You are on page 1of 20

บททีที่ 2

ทฤษฎีทเี่ กีย่ วข้ อง

2.1 ความรู้ เกี


เ ย่ วกับแบตตเตอรี่ชนิดตตะกัว่ -กรด

ต ว่ -กรดจัดดอยู่ในกลุ่มแบตเตอรี
แบบตเตอรี่ ชนิ ดตะกั แ ่ แบบบทุติยภูมิ คือ สามารถประจุไฟใหม่
และนํากลับมาใช้
ม งานได้อีอีก เช่นเดียวกักับ นิ เกิล-แคดเมียม, นิ เกิล-เหล็
ล ก, นิ เกิลล-ไฮไดรด์และลิ
ล เทียม
แบตเตอรี่ เป็ นต้น [4]

2.11.1 หลักการททํางาน

แผผ่นธาตุบวกเป็ป็ นตะกัว่ เปอรร์ ออกไซด์(Lead Peroxidde, PbO2) แแผ่นธาตุลบเป็ นตะกัว่


บริ สุทธิ์(Sponge Lead, Pbb) เมื่อเติมสาารละลายตะกักัว่ เปอร์ออกไซด์(Diluted SSulfuric Acidd) ลงไป
ให้ท่วมแผ่นธาตุ แ จะไม่มีการรจ่ายไฟเนื่องจากยังไม่
ธ แล้ว แบตตเตอรี่ ลูกดังกกล่าวก็พร้อมทีที่จะใช้งาน แต่
ครบวงจรไฟฟ้ าและพลังงานที่สะสมอยยูใ่ นแบตเตอรีรี่ ขณะนี้คือพลลังงานเคมี ดังงแสดงไว้ในภภาพที่ 2.1

ภาพที่ 2.1 สภภาวะในแบตเเตอรี่ เมื่อได้รับบการประจุไฟเต็


ฟ มที่

หลังจากที่ต่อภาระภายนอ
อ อกให้ครบวง จรแล้วดังภาพที่ 2.2 แล้ แ ว กรดซัลฟิ วริ ก(Sulfuriic Acid,
H2SO4) ในสสารละลายอิเล็กโทรไลต์ จจะทําปฏิกิริยากับตะกัว่ เปออร์ออกไซด์ขของแผ่นธาตุบวก
บ และ
ตะกัว่ บริ สุทธิ์ของแผ่นธาตตุ ทําให้แผ่นนธาตุท้ งั คู่เริ่ มเปลี
เ ่ยนเป็ น ตะกัว่ ซัลเฟต(LLead Sulfatee, PbSO4)

 

ส่ วนสารละลลายอิเล็กโทรไลต์จะเริ่ มเปปลี่ยนเป็ น นํ้า(H2O) มากขึ้น ปฏิกิริยาเคคมีน้ ีให้พลังงานไฟฟ้


ง า
ในระบบ ทําให้
ใ เกิดการไหหลของกระแสสภายในวงจรนั้นขึ้นมา

ภาพที่ 2.2 แสสดงการทํางานเมื่อแบตเตออรี่ เริ่ มจ่ายไฟ

ในอี ก วิธี ห นึ่ งที่ จ ะสามารรถอธิ บ ายหลลัก การทํา งานนของแบตเตตอรี่ ชนิ ด ตะกกั่ว -กรด คื อในขณะที
ใ ่
แบตเตอรี่ กาํ ลัลงทําการจ่ายไฟได้เป็ นอย่างดีคือการอธิธิบายด้วยสมกการเคมีในขณณะที่แบตเตอรี่ี กาํ ลังทํา
การจ่ายกระแแสไฟให้กบั ภาระภายนอก
ภ กนั้น ปฏิกิริยาเคมี
า ที่เกิดขึ้นที่แผ่นธาตุบววก ระหว่างตะกัว่ เปอร์
ออกไซด์และกรดซัลฟิ วริิ กจะทําให้ ตตะกัว่ เปอร์ ออกไซด์ อ กลายเป็ นตะกั่วซั ลเฟต, กรดซัลฟิ วริ ก
กลายเป็ นนํ้า และได้ออกกซิ เจนที่ไม่เสสถียร(Nascennt Oxygen, ) อีกหนึ่ งตตัว สามารถเขียนเป็ น
สมการได้ดงั สมการที่ 2.1

PbO2 + H2SOO4 = PbbSO4 + H2O + (2.1)

ในขณะที่ปฏิกิริยาเคมีที่เกิดขึ้นที่แผ่นธาตุลบระหว่างตะกัว่ บริ สุทธิ


ท ์ และกรดซัซัลฟิ วริ กจะทําให้
า ตะกัว่
บริ สุทธิ์ เปลีลี่ยนเป็ นตะกัวซั
ว่ ลเฟต และ ได้ผลิตผลเป็ นก๊าซไฮโดรเจน(Hydrogeen, H2) ที่พร้อมจะทํา
ปฏิกิริยาสามารถเขียนเป็ นสมการได้
น ดงังสมการที่ 2.22
Pb + H2SO4 = PbSO4 + H2 (2.2)
จะเห็นได้ว่าสมการที
ส น ่เดียวกัน ดังนั้นออกกซิเจน ในสมการที่ 2.1
่ 2.1 และสมการทีที่ 2.2 เกิดขึ้นในที
และ ไฮโดรเเจน ในสมการที่ 2.2 ที่ไม่เเสถียรจะรวมมกันเป็ นนํ้า ซึ่ งมีความเสถี ยรดังนั้นเมื่อรวมทั้ง 2

 

ว น (เนื่องจจากปฏิกิริยาเคคมีเกิดในที่เดียวกันจึงสามมารถรวมกันไได้) จะได้ปฏิกิริยาเคมี
สมการเข้าด้วยกั
ที่สมดุลดังสมมการที่ 2.3
PbO2 + Pb + 2H2SO4 = 2PbSO4 + 2H2O (2.3)

ถ้าหากปล่อยให้
ย กระแสไหหลเช่นนี้ ไปเรืรื่ อยๆ จนถึงสภาวะหนึ่ง ที่สารตั้งต้น้ ทางด้านซ้ายมื
า อของ
สมการที่ 2.32 หมดไปปฏฏิกิริยาทางเคคมีก็จะไม่เกิดขึด ้ นอีก และะจะไม่มีกระแแสไฟฟ้ าไหลลระหว่าง
ขั้วบวกและขขั้วลบอีกต่อไป ณ สภาว ะเช่นนี้ ถา้ กรดซัลฟิ วริ ก ถูกใช้หมดก่อนนสารละลายอิเล็กโทร
ไลต์ก็จะกลายเป็ นเพียงนํ้าบริ
า สุทธิ์เท่านนั้น ส่ วนแผ่นธาตุ
น บวกและะแผ่นธาตุลบ จะเกิดการสสะสมของ
ตะกัว่ ซัลเฟต ดังแสดงในภภาพที่ 2.3

ภาพที่ 2.3 แสสดงสถานะขอองส่ วนทํางานนของแบตเตออรี่ เมื่อแบตเตอรี่ ได้จ่ายไฟจจนหมด

ดังที่ได้กล่าวมาแล้
ว วว่าปฏิกิริยาเคมีข องแบตเตอรีรสามารถย้
่ อนกลั
น บได้ เมื่ออเซลล์เก็บไฟฟฟ้ าชนิ ด
ตะกั่ว -กรด ได้รั บ อิ เ ล็ ก ตรอนจากต้้น กํา เนิ ด ภายยนอกเข้า ไปปในขั้ว ลบทํ าให้ แ ผ่ น ธา ตุ ล บคาย
อิเล็กตรอน ผ่ผานสารละลายอิเล็กโทรไลลต์เข้าสู่แผ่นธาตุ ธ บวก การกกระทําเช่นนี้ เเรี ยกว่า“การปประจุไฟ”
ดังแสดงในภภาพที่ 2.4

 

ภาพที่ 2.4 แสสดงถึงการปรระจุไฟให้แบตตเตอรี่

การเปลี่ยนแปปลงทางเคมีเมืม่อเกิดปฏิกิริยาย้อนกลับโดย โ อิเล็กตรออน จากแหล่งงจ่ายไฟภายนนอกจะไป


ทําให้ตะกัว่ ซัลเฟต และนํ้าให้อยูใ่ นสภาพที่ไม่เสถียรพร้อมที่จะททําปฏิกิริยาเพืพื่ อให้ได้ สสารที่เสถียร
ซึ่ งก็คือการกกลับไปอยูใ่ นสสภาวะเช่นเดิดิมก่อนที่จะมีมีการจ่ายไฟนันั่ เอง สําหรัรับปฏิกิริยาย้อนกลั
อ บนี้
บ ดว้ ยสมมการทางเคมีดดังนี้ ปฏิกิริยาเคมี
สามารถอธิ บายได้ า ที่แผ่นธาาตุบวก ระหวว่างตะกัว่ ซัลเฟตกับนํ้า
จะทําให้ตะกักัว่ ซัลเฟต ที่แผ่ผนธาตุบวกเปปลี่ยนเป็ นตะกัว่ เปอร์ออกไไซด์ เมื่อนํ้าร วมตัวกับตะกกัว่ ซัลเฟต
ในอัตราส่ วนทีน ่เหมาะสมกกลายเป็ นกรดดซัลฟิ วริ ก และได้ผลิตผลลของก๊าซไฮโโดรเจน สามารถเขียน
เป็ นสมการได้ดงั นี้
PbSO4 + 2H2O = PbbO2 + H2SO4 + H2 (2.4)

ส่ วนปฏิกิริยาเคมี
า ที่แผ่นธาาตุลบระหว่างงตะกัว่ ซัลเฟตตกับนํ้า จะทําให้ ตะกัว่ ซัลลเฟตเปลี่ยนเเป็ นตะกัว่
บริ สุทธิ์และนนํ้าก็เข้าทําปฏิฏิกิริยากับซัลเเฟต ในอัตราส่ วนที่เหมาะะสมทําให้เกิดดกรดซัลฟิ วริ ก และได้
ผลิตผลเป็ นออกซิ
อ เจน ปฏิกิริยาเคมีที่เกิ ดขึ้นนี้สามารรถเขียนเป็ นสมการได้
ส ดงั นี้

PbSO4 + H2O = Pb + H2SO4 + Ô (2.5)

เนื่องจากปฏิกิกิริยาเคมีตามสมการที่ 2.4 และ 2.5 นั้นเกิดในที่เดียวกั ว น ทําให้สา รละลายอิเล็กโทรไลต์



ที่มีไฮโดรเจนน ที่เกิดจากแผ่นธาตุบวกแและออกซิเจนนที่เกิดจากแผ่นธาตุลบซึ่งออยูใ่ นสภาพทีไม่ ่ เสถียร
ทั้งคู่จะรวมกักันแล้วกลายเป็ป็ นนํ้า ที่มีควาามเสถียรสามมารถเขียนเป็ นสมการได้
น ดงั นี้

 

2PbSO4 + 3HH2 = PbbO2 + Pb + 2H


H2SO4 + H2O (2.6)

ป กิริยาเคมีกการผลิตกระแแสไฟฟ้ าของแบตเตอรี่ น้ นั นเป็ นปฏิกิริยาเคมี


ดังได้กล่าวแล้วข้างต้นว่าปฏิ า แบบ
ย้อนกลับได้แสดงว่
แ าการนนําสมการที่ 22.3 สลับพจจน์ระหว่างตัวแปรทีว ่อยูท่ างงด้านขวาและะด้านซ้าย
ของเครื่ องหมมายเท่ากับ ( = ) สมการใหหม่ที่ได้จะเป็ นสมการที
น ่ 2.66 แต่ในขณะนีนี้จะเห็นได้วาด้ ่ านขวา
ของสมการทีที่ 2.3 ไม่เท่ากับั ด้านซ้ายขอองสมการที่ 2.6 เหตุผลก็คอื ในสมการทีที่ 2.6 นั้นมีน้ าํ เกินมาอยู่
1โมเลกุล นําสมการที่ 2.6 มาเขียนใหม่ม่ได้ดงั นี้

2PbSO4 + 2HH2O + H2O = PbO2 + Pb + 2H2SOO4 + H2O (2.7)

จะเห็นได้ว่าทัท้ งด้านซ้ายและด้านขวาขของสมการที่ 2.7 นั้นมีนํน้ าํ เกินมาหนึ่ งงตัวและเสมือนว่


อ าไม่มี
ส่ วนร่ วมในกการเกิดปฏิกิริยาเคมีเลยจึงสสามารถเขียนสมการที
น ่ 2.7 เป็ นสมการใใหม่ได้ดงั นี้

2PbSO4 + 2HH2O = PbO


P 2 + Pb + 2H
2 2SO4 (2.8)

ทําให้ดา้ นขววาของสมการที่ 2.3 เท่ากับบด้านซ้ายของงสมการที่ 2.88 สามารถเขียยนแสดงการททํางานให้


อยูใ่ นรู ปของงปฏิกิริยาเคมีแบบย้
แ อนกลับบได้ได้ดงั ภาพพที่ 2.5

ภาพที่ 2.5 แสสดงการทํางานของแบตเตออรี่ ในรู ปแบบบของสมการเคมี



 

2.11.2 ส่ วนประกกอบของแบตตเตอรี่ชนิดตะะกัว่ – กรด

กาารที่จะนําหลักการดั
ก งกล่าววข้างต้นไปใช้งานได้น้ นั จะต้ จ องมีข้ นั ตตอนต่างๆ เพื่อให้ได้
แบตเตอรี่ ที่มีมีความเหมาะสสมกับการใช้ช้งานทั้งในเรื่ องของ
อ ขนาดด รู ปร่ าง คววามปลอดภัยในการใช้

งาน ลักษณะะของการใช้งาน เป็ นต้น กการผลิตแบตเเตอรี่ สาํ หรับใช้ ใ งานจึงจําเป็ป็ นต้องมีองค์ค์ประกอบ
อื่นๆเพิ่มเติมจากที่กล่าวมาแล้วในหลักกการทํางานเบืบื้องต้นของแบตเตอรี่ โดยยทัว่ ไปในแบตเตอรี่ ลูก
หนึ่งจะประกกอบด้วยส่ วนประกอบดังตต่อไปนี้

1. แผ่นธาตุ มี 2 ชนิ ดคื อ แผ่นธาตุบวกและแผ่นธาตุ น ลบ ซึ่ งแแผ่นธาตุท้ งั สองชนิ ดนี้


ประกอบด้วยโครงตะกั
ย แ สดุที่เกิดดปฏิกิริยาอันเป็ นคุณลักษณะเฉพาะขอองแบตเตอรี่ แต่ละแบบ
ว่ และวั
โดยมีรายละเเอียดดังนี้

2. โครงตะกัว่ (Grid) เป็ นที่สาํ หรับรองรรับให้วสั ดุที่เกิดปฏิกิริยา เเกาะตัวกันเป็ นรู ปแผ่น


วัสดุที่นาํ มาททําเป็ นโครงตตะกัว่ จะหล่ออจากอัลลอย((Alloy) ที่เปนส่
ป็ วนผสมขของตะกัว่ , แออนติโมนี
(Antimony) และอาเซนิ
แ ค(Arsenic)
( กาารผลิตโครงตตะกัว่ ที่องค์การแบตเตอรี่ ใใช้มี 2 แบบ คือแบบ
เพลต(Paste) และแบบสไปปน์กริ ด(Spinne Grid)

3. วัสดุที่เกิดปฏิกิริยา(Activve Material) ที่ใช้ละเลงในนโครงตะกัว่ นั้นขึ้นอยูก่ บชนิบั ดของ


แผ่นธาตุคือ
ก. แผ่นธาตุ
ธ บวก(Posiitive Plate, PbOP 2)จะใช้วสดุสั ที่เกิดปฏิกิรริิ ยาเป็ นส่ วนผผสม ของ
ผง Lead Subboxide, Dynell Flock, กรดซซัลฟิ วริ ก และะนํ้ากลัน่
ธ ลบ(Negattive Plate, Pbb) จะใช้วสั ดุที่เกิดปฏิกิริยยา ที่เป็ นส่ วนผสมของ
ข. แผ่นธาตุ น
ผง Lead Subboxide, Dynell Flock, Expaander HL 5000, Vaseline, กรดซัก ลฟิ วริ กกและนํ้ากลัน่

ภาพที่ 2.6 โคครงแผ่นธาตุ


10 
 

4. แผ่นกั้น(Seeparator) แผ่นนกั้นสําหรับแบตเตอรี
แ ่ มีรูปร่
ป างเป็ นแผ่นนบาง ๆ มีรูสํสาํ หรับให้
สารละลายอิเล็
เ กโทรไลต์ซึซึมผ่านได้ ใชช้สอดระหว่างแผ่นธาตุบวก และแผ่นธธาตุลบ สลับกันไปเพื่อ
ป้ องกันไม่ให้หแผ่นธาตุบวกและแผ่นธาาตุลบสัมผัสกัน ในปั จจุบนแผ่ นั นกั้นนิยมมใช้แผ่นกั้นชนิ
ช ด PVC
ฉาบใยแก้ว

ภาพที่ 2.7 แผ่นกั้น (Separator)

5. สารละลายอิอิเล็กโทรไลต์ต์ ที่ใช้กบั แบตเตอรี่ ชนิดตะกัว่ -กรดคือ กรดซัลฟิ วริ ก(H


ก 2SO4)
ผสมกับนํ้าบริิ สุทธิ์ (H2O)) ให้ได้ความมเข้มข้นประมมาณ 1.250– 1.300 ขึ้นอยยูก่ บั การออกแบบและ
ประเภทการใช้งานและสภาพภูมิอากาาศ ถ้าใช้สารรละลายที่มีคาความถ่ ่า วงจํา เพาะมากเกินไปจะทํ
น า
ให้เ กิ ด ผลเสีสยหลายอย่าง เช่ น การคคายประจุ ใ นตัว เองและกการผุก ร่ อ นขของแผ่น ธาตุ แต่ จ ะมี
ประโยชน์สําหรั บภูมิประเทศเขตหนนาว เนื่ องจากกจะทําให้จดเยื ุด อกแข็งขอองสารละลายยลดตํ่าลง
ปกติถา้ เป็ นแแบตเตอรี่ ที่ใช้กระแสสู งไดด้แก่แบตเตอรี่ี รถยนต์จะใช้กรดที่มีควาามถ่วงจําเพาะะสู งไม่ว่า
จะใช้ค่าความถ่วงจําเพาะะสู งหรื อตํ่า แต่ปริ มาณไอออนที่อยู่ในสารละลาย
น ก็ตอ้ งเพียงพพอที่จะทํา
ปฏิกิริยาในสสารละลายนออกจากจะมีกกรดซัลฟิ วริ กแล้ ก วยังมีสารรอื่นเจือปนอ ยู่ดว้ ยเช่ น แมงกานี
แ ส
เหล็ก สารหหนู คลอไรด์ด์ ไนโตรเจนนออกไซด์ โดยที โ ่ มีปริ มาณมากน้
า อยจจะขึ้น อยู่กับเกรดของ

นํ้ากรด ถ้าเป็ป็ นนํ้ากรดเกรรดเอ จะมีสารรเจือปนไม่เกิน 0.03665 %

6. เปลือกหม้อและฝาปิ
แ ด(Coontainer and Cover) ทําด้วยยางแข็
ว งหรืรื อพลาสติก

7. สะพานไฟและขั้ว สะพาานไฟและขั้ว ทําด้วยอัลลอยที่มีส่วนผสสมระหว่าง ตะะกัว่ , แอน


ติโมนี และออาเซนิค สะพพานไฟมีหน้าาที่สาํ หรับต่อทางไฟจากเซซลล์(Cell) หนึนึ่งไปยังอีก เซลล์หนึ่ ง
ส่ วนขั้วนั้นมีหน้าที่สาํ หรับเชื น ่
บ ่อมแผ่นธาาตุชนิดเดียวกกันรวมให้เป็ นหมู
11 
 

8. วัสดุสาํ หรับปิ ดผนึก(Sealling Compouund) คือ สารปประกอบที่มีสส่่ วนผสมของนํ้ามันดิน


ว งแรงและเหนียว ไมม่อ่อนตัวหรื อแตกร้าวได้งายเกิ
เป็ นหลักมีความแข็ ่า นไปเมื่อออุณหภูมิของแแบตเตอรี่
สู งขึ้น และไม่ละลายกับนํบ ้ ายาของแบบตเตอรี่ ใช้เทระหว่างฝาปิิ ดและเปลืออกหม้อ เพื่อกั้นไม่ให้
สารละลายอิเล็
เ กโทรไลต์ ภายในแบตเเตอรี่ ซึมออกมาได้ถา้ เปลือกหม้อ อเป็ นพพลาสติกจะใช้ช้กาวผนึ ก
ฝาหม้อแทน

2.11.3 ชนิดของแแบตเตอรี่ชนิดดตะกัว่ -กรด

1. Flooded Leaad-Acid Batteeries เป็ นแบบตเตอรี่ ตะกัว่ -กรดชนิดที่สสารละลายเล็กโทรไลต์



ท่วมแผ่นธาตตุ เนื่ องจากก๊ก๊าซที่เกิดขณะะประจุไฟฟ้ าจะลอยออกไ
า ไปจากแบตเตตอรี่ ทําให้ตอ้ งเติมนํ้า
กลัน่ ตามระยยะเวลา ตัวอยย่างของแบตเเตอรี่ ชนิดนี้คือแบตเตอรี
อ ํ บรถยนต์ต์ทวั่ ๆไป ตัวอย่างตาม
่ สาหรั
ภาพที่ 2.8

ภาพที่ 2.8 โคครงสร้างของแบตเตอรี่ แรงงดัน6V (ชนิด Flooded Leaad-Acid Batteteries)

2. Sealed Lead-Acid
L Batteries เป็ นแบตเตออรี่ ตะกัว่ -กรดดชนิ ดที่มีการรควบ คุม
สารละลายอิิเล็กโทรไลต์ต์ โดยมีลิ้นนระบายให้ก๊าซออกถ้า ากําลัลงดันภายในนแบตเตอรี่ สูงกว่
ง าค่าที่
กําหนดไว้ โดยปกติจะอยูยูท่ ี่ประมาณ 2 – 5 psig ในนขณะที่เกิดก๊าซขึ า ้ น ภายในนแบตเตอรี่ จะถู
ะ กกักไว้
และจะรวมตัตัวกันกลายเป็ปนหยดนํ้า กระบวนการรรวมตัวเป็ นหหยดนํ้าภายใ นแบตเตอรี่ นีน้ ีสามารถ
ดําเนินได้เป็ นอย่
น างดีถา้ อัตราการประจุ
ต ไไฟฟ้ าไม่สูงเกิกินไป ตัวอย่างตามภาพที่ 22.9
12 
 

(11) ขั้วแบบตเตอรี่
(9 )วาล์ท
(7) ยางกันอิเล็ค โทรด
(5) จุด ต่อ ขั้ว +
(1) แผ่นธาตุตุ
(3) เพพลทกั้น

(10) กรอบภายนอก
(8) จุดต่อ ขั้ว -
(6) การรรวมเซล์ล
(4)) เพลทขั้ว -
(2) เพลทขั้ว +

ภาพที่ 2.9 โคครงสร้างของงแบตเตอรี่ ตะะกัว่ -กรด (Seaaled Lead-Accid Batteries)

2.11.4 วิธีการอัดประจุ

1. Constant Vooltage Chargiing จะมีแหลล่งจ่ายไฟฟ้ ากระแสตรงที่มมีี แรงดันไฟฟ้ าแน่นอน


ให้กับ แบตเตตอรี่ ก ระแสออัด ประจุ ข้ ึ น ออยู่กับค่าควาามแตกต่ างของแรงดันแหหล่ งจ่ า ยไฟตตรงกับค่า
แรงดันไฟฟ้ าของแบตเตอรี่ ที่เปลี่ยนแแปลงไประหหว่างการอัดประจุ ป ในตอนนต้นที่เริ่ มอัดประจุ
ป น้ ัน
ง เนื่องจากกแรงดันไฟฟ้ฟ้ าของแบตเตอรี่ ยงั มีค่าตํ่าดังแสดงในภาาพที่ 2.10
จะต้องใช้กระะแสไฟฟ้ าสูงมาก

ก แรงดันชาร์์จในคาบเวลาา(ต่อเซลล์)
ก. ข. แรงดันั กับกระแสใในคาบเวลาขณะชาร์จ

ภาพที่ 2.10 ความสั


ค มพันธ์กระแสกับเววลาของการอัดั ประจุ Constant Voltage Charging

2. Constant Current
C Charrging จะใช้ค่คาความต้านททานค่ามากๆ (เมื่อเทียบกับค่ บ าความ
ต้านทานภายยในของแบตเตอรี่ ) ต่ออนุกกรมกับวงจรเเพื่อกําจัดค่ากระแสโดยต้
ก อองใช้แรงดันไฟฟ้
ไ าของ
า ก ระแสไไฟฟ้ าอัด ปร ะจุ มี ค่ า คงที่เมื่ อ แรงดัน ไไฟฟ้ าของแ บตเตอรี่
แหล่ ง จ่ า ยไฟฟสู ง เพื่ อ ทําให้
13 
 

เปลี่ยนแปลงงไป ความสัมพันธ์การเปปลี่ยนแปลงขอองแรงดันกับกระแสต่อคาาบเวลาแสดงในภาพที่
2.11

ก. กระแสชชาร์จในคาบเววลา ข. แรงดันั กับกระแสใในคาบเวลาขณะชาร์จ

ภาพที่ 2.11 ความสั


ค มพันธ์์แรงดันกับกรระแสของการรอัดประจุ Connstant Currennt Charging

3. Taper Curreent Charging การอัดประจุจุแบบนี้กระแสไฟฟ้ าอัดปรระจุเริ่ มต้นสูงและค่


ง อย
ๆ ลดลง การรลดลงของกกระแสไฟฟ้ า (Taper) มี ผลเนื่ องมาจากกค่าแรงดันไไฟฟ้ าของแบบตเตอรี่ ที่
เพิ่มขึ้นขณะออัดประจุ ความสัมพันธ์กการเปลี่ยนแปปลงของแรงดดันกับกระแสสต่อคาบเวลาาแสดงใน
ภาพที่ 2.12

ก. กระแสชาร์จในคาบบเวลา ข. แรงดันั กับกระแสใในคาบเวลาขณะชาร์จ

ภาพที่ 2.12 ความสั


ค มพันธ์์แรงดันกับเวลลาของการอัดประจุ
ด Taperr Current Chaarging

4. Fast Charginng เป็ นการอัดดประจุในระยยะเวลาสั้นๆใช้กระแสไฟฟ้ฟ้ าสูงซึ่งทําใหห้อุณหภูมิ


ของแบตเตอรี่ี สูงขึ้นอย่างรวดเร็
ง วมีผลททําให้แบตเตอรี่ เสื่ อมคุณภาพเร็
ภ ว จากกภาพที่ 2.13((ก.)แสดง
14 
 

ลักษณะของแรงดันกับกรระแสการชารร์ จกับแบตเตอรี่ ขนาดควาามจุ 100-Ah และภาพทีที่ 2.13(ข.)


แรงดันกับกรระแสในคาบเเวลาขณะชาร์ร์จ(ต่อเซลล์)

ก. ลักษณะของแรง
ษ ดันกับกระแสสการชาร์จ ข. แรงดันั กับกระแสใในคาบเวลาขณะชาร์จ

ภาพที่ 2.13 ความสั


ค มพันธ์์แรงดันกับเวลลาของการอัดประจุ
ด Fast Charging
C

5. Trickle Charrging เป็ นการรอัดประจุโดยให้กระแสไฟฟ้ าแก่แบตเเตอรี่ เพียงเล็กน้ ก อยหรื อ


เรี ย กว่ า กระะแส “Trick” เพื่ อ ให้แ บตตเตอรี่ มี ไ ฟเต็ต็ม ตลอดเวลลาโดยมี ค่ า แรรงดัน ไฟฟ้ าอัด ประจุ
ประมาณ 1.100 – 1.125 เทท่าของแรงดันนไฟฟ้ าแบตเตตอรี่ วิธีการนี้ยังช่วยลดการรเกิดซัลเฟชันด้ น่ วย [2]

2.11.5 คุณสมบัติตเิ ชิงสมรรถนนะของแบตเตตอรี่

1. แอมแปร์ -ชัวโมง
ว่ (AH)) เป็ นหน่ วยพืพื้นฐานในการรวัดความจุขอองแบตเตอรี่ โดยใช้
วิธีการคายปรระจุดว้ ยกระแแสคงที่แล้วจับเวลาเป็ นชัวโมงจนใกล้
ว่ จะคายประจุ
จ หหมด ความจุจุแอมแปร์
ชัว่ โมงได้จากกการนําค่ากรระแสคูณกับเ วลาเป็ นชัว่ โมมง ตัวอย่างเชช่น แบตเตอรีรี่ ความจุ 80 แอมแปร์
แ -
ชัว่ โมง หมายยความว่าแบตตเตอรี่ ลูกนั้นสสามารถจ่ายไไฟกระแสตรงงคงที่ 8 แอมแแปร์ได้นาน 10 1 ชัว่ โมง
หรื อ 4 แอมแแปร์ได้นาน 20 ชัว่ โมง

2. ความจุ (Capacity) ใในทางปฏิบตั ิการวัดความจจุของแบตเตออรี่ ยงั ขึ้นกับขนาดของ



กระแสที่คายยประจุ หรื อความเร็
อ วในนการใช้งานแแบตเตอรี่ ถ้า้ กระแสที่คาายประจุเพิ่มขึ้นความจุ
แบตเตอรี่ ที่ใช้
ใ งานได้จริ งจะลดลงในกการกําหนดคุณลั ณ กษณะการรลดลงของค วามจุแบตเตออรี่ แบบนี้
น ากับความจุจุของแบตเตออรี่ ดว้ ยอัตราส่สวนของความมจุต่อเวลา ดังแแสดงในภาพพที่ 2.14
จะมีการเขียนกํ
15 
 

ภาพที่ 2.14 ความสามารถ


ค ในการคายปรระจุกบั เวลาในการคายประะจุ

สาาเหตุที่เมื่อแบบตเตอรี่ คายปรระจุดว้ ยกระแแสตํ่า มีความจุมากกว่ากระะแสสูงเนื่องจจากมีเวลา


ที่สารละลายอิเล็กโทรไลตต์ จะเข้าไปทําปฏิกิริยากับเพลตลึกกว่า ทําให้เกิดปฏิฏิกิริยามากขึ้นพลัน งงาน
ไฟฟ้ าที่ได้ก็จะมากตามไป
จ ปด้วย แต่กาารซึ มของสารรละลายเข้าไปปในเพลตยิ่งลึ กอายุการใชช้งานของ
แบตเตอรี่ ก็จะลดลง ดังนั้นอัตราการคคายประจุจึงมีความสําคัญต่ตอทั้งความจุขของแบตเตอรีรี่ และอายุ
การใช้งาน แบตเตอรี
แ ต ชวั่ โมง (kWh) ซึ่งเป็ นนผลคูณระหว่างความจุ
่ บางชชนิดวัดความมจุเป็ นกิโลวัตต์
แอมแปร์ ชวั่ โมง
โ และแรงงดันปกติของงแบตเตอรี่ และหารด้ แ วย 1000 เช่น แบตเตอรี่ 12 V 100
แอมแปร์-ชัว่ โมง มีความจุจุเท่ากับ 12 x (100/1000) = 1.2 kWh เป็ นต้น ค่าควา มจุ ประสิ ทธิภาพ และ
การประจุไฟฟ้ ามากเกินไป ปริ มาณพลัลังงานไฟฟ้ าใในแบตเตอรี่สามารถวั ส ดได้ด้ในหน่วยวัตต์-ชัว่ โมง
หรื อกิโลวัตต์-ชัว่ โมงคํานวณหาประสิ ททธิภาพของพพลังงาน หรื อ Energy Efficciency โดยใช้ช้สมการที่
่ วง 70-880 เปอร์เซ็นต์
2.9 ซึ่งแบตเตตอรี่ ทวั่ ไปมีคาในช่

ปรระสิ ทธิภาพขอองพลังงาน = พลั


พ งงานที่คายประจุ (วัตต์-ชชัว่ โมง) (2.9)
พลังงานนที่ตอ้ งใช้ในกการอัดประจุจจนเต็มพิกดั

ค่าความจุของแบตเตอรี่ สามารถวั
า ดได้ใในหน่วยของแอมแปร์-ชัว่ โมง และปรระสิ ทธิภาพขอองการอัด
ประจุ หรื ออาจเรี ยกว่า ปรระสิ ทธิภาพของแอมแปร์-ชัว่ โมง (Ah Efficiency)
E คําํ นวณได้จากกสมการที่
2.10 ซึ่งในแบบตเตอรี่ ตะกัว-กรด
ว่ จะมีค่าประมาณ 955 % แต่ในแบบตเตอรี่ แบบนินิเกิล-แคดเมียมจะมี
ย ค่า
ด ว่ ไปจะมีมีค่าประสิ ทธิภาพของพลั
น้อยกว่านี้ ในนแบตเตอรี่ โดยทั ภ งงานน้อยกว่า ประสิ ทธิ ภาพพของการ
อัดประจุหรื อประสิ
อ ทธิภาพของแอมแปปร์ -ชัว่ โมงเนืนื่องจากการคาายประจุของแแบตเตอรี่ ใช้แรงดั
แ นตํ่า
กว่าการอัดประจุ
16 
 

ประสิ ทธิภาพของแอมแปร์-ชัว่ โมง = แอมแปร์-ชัว่ โมงของการคายประจุ (2.10)


แอมแปร์-ชัว่ โมงที่ตอ้ งใช้ในการอัดประจุจนเต็มพิกดั

ประสิ ทธิ ภาพของแอมแปร์ -ชัว่ โมงมีค่าเข้าใกล้หนึ่ ง ดังนั้นจึงทําให้สะดวกที่เลือกใช้ค่าแอมแปร์ -


ชัว่ โมงเพื่อให้ทราบว่าต้องการทําการอัดประจุ และเพื่อแทนที่จาํ นวนประจุที่คายออกมาในการใช้
งานค่าประสิ ทธิ ภาพของแอมแปร์ -ชัว่ โมงเมื่อทําการอัดประจุเต็มพิกดั พบว่าจะมีค่าน้อยกว่าหนึ่ ง
เพียงเล็กน้อย เนื่องจากการอัดประจุหรื อการอัดประจุเกินจะถูกนําไปใช้งานในความต้องการอื่นๆ
อาทิ เช่น ปฏิกิริยาเคมีซ่ ึ งเกิดขึ้นในแบตเตอรี่ ตะกัว่ -กรด และแบตเตอรี่ นิเกิล-แคดเมียมนั้นจะเกิด
ก๊าซออกซิเจนจากการแตกตัวของนํ้าที่ข้ วั บวก รวมถึงในแบตเตอรี่ แบบเปิ ดที่จะเกิดก๊าซไฮโดรเจน
จากการแตกตัวของนํ้าที่ข้วั ลบ

3. แรงดันคัทออฟ(Cut Off Voltage) เป็ นแรงดันไฟฟ้ าตํ่าสุ ดที่ระบบแบตเตอรี่ ยอมให้มี


ได้ขณะคายประจุ ถ้าตํ่ากว่านี้ จะมีการเสี ยหายถาวร ไม่สามารถเก็บพลังงานในแบตเตอรี่ ต่อไปได้
โดยค่านี้จะกําหนดเฉพาะเจาะจงที่อตั ราการคายประจุต่างๆ กัน บริ ษทั ผูผ้ ลิตจะเป็ นผูก้ าํ หนดแรงดัน
ตํ่าสุ ดหรื อแรงดันสุ ดท้ายของการคายประจุคู่กบั อัตราการคายประจุ ถ้าใช้แรงดันตํ่าสุ ดดังกล่าวกับ
อัตราการคายประจุที่แตกต่างไป ความจุแบตเตอรี่ จะสูงกว่า สําหรับอัตราการคายประจุที่ต่าํ กว่า

4. รอบการใช้งาน(Cycle) เมื่อประจุแบตเตอรี่ จนเต็ม นําไปใช้งานแล้วนํากลับมาประจุ


ใหม่จนเต็มอีกครั้งหนึ่ งเรี ยกรอบการใช้งาน ในการใช้งานมีรอบการใช้งานสองลักษณะคืองานที่มี
การคายประจุนอ้ ย และงานที่มีการคายประจุมาก การจะใช้งานแบตเตอรี่ แบบไหนนั้นขึ้นกับ
ลักษณะของเซลล์ และส่ วนใหญ่ไม่ใช้คายประจุจนหมด ในการใช้งานที่มีการคายประจุมาก มักมี
การคายประจุมากกว่า 50 % ต่อรอบการใช้งานขึ้นไป

5. การคายประจุ(Discharge) คือกระบวนการที่แบตเตอรี่ คายประจุไฟฟ้ าออกมา กําหนด


ในรู ปของกระแสการคายประจุ หรื ออัตราการคายประจุ สําหรับแบตเตอรี่ แบบตะกัว่ กรด คือ
ปฏิกิริยาที่ตะกัว่ ตะกัว่ ไดอ๊อกไซด์ และกรดซัลฟิ วริ ก เปลี่ยนเป็ นตะกัว่ ซัลเฟตและนํ้า

6. การประจุ(Charge) คือกระบวนการที่แบตเตอรี่ ประจุไฟฟ้ า กําหนดในรู ปของกระแส


ประจุ หรื ออัตราการประจุ สําหรับแบตเตอรี่ แบบตะกัว่ กรด คือปฏิกิริยาที่ตะกัว่ ซัลเฟตและนํ้า
เปลี่ยนเป็ นตะกัว่ , ตะกัว่ ไดอ๊อกไซด์ และกรดซัลฟิ วริ ก
17 
 

7. อัตราการอัดประจุและคายประจุ(Rate of Charge/Discharge) คืออัตราส่ วนของความ


จุต่อเวลาเป็ นชัว่ โมง เช่นแบตเตอรี่ ขนาดความจุ 30AH ที่ C/10 หรื อ C10 หมายถึงแบตเตอรี่ สามารถ
คายประจุ 3 แอมแปร์ในเวลา 10 ชัว่ โมง (C/10 หรื อ C10 หมายถึงขนาดของกระแสที่คายประจุ ใน
ที่น้ ี คือ 30/10 = 3 แอมแปร์ ) ในแบตเตอรี่ ลูกเดียวกัน เมื่อเปลี่ยนเป็ น C/5 ความจุจะลดลง อัตราการ
คายประจุและการอัดประจุจะใช้การเปรี ยบเทียบค่ากระแสที่ถูกใช้ในการประจุแบตเตอรี่ และไม่
ขึ้นกับค่าความจุของแบตเตอรี่ รวมถึงจะแสดงเป็ นจํานวนชัว่ โมง อาทิ เช่นอัตรา 10 ชัว่ โมง และ
อัตรา 240 ชัว่ โมง เป็ นต้น กระแสที่ใช้งานนี้ คาํ นวณโดยใช้สมการที่ 2.11 จากค่าความจุที่แบตเตอรี่
สามารถคายประจุได้ หารด้วยจํานวนชัว่ โมง

อัตราการคายประจุและการอัดประจุ = ค่าความจุ (แอมแปร์-ชัว่ โมง) (2.11)


เวลา (ชัว่ โมง)

ตัวอย่างเช่น C/10 หรื ออัตรา 10 ชัว่ โมง หมายถึง ค่ากระแสเทียบเท่า Rated Capacity ในหน่วย
แอมแปร์-ชัว่ โมง หารด้วย 10

8. ขั้วลบ(Negative Porality) เป็ นจุดที่มีความต่างศักดิ์ต่าํ ในวงจรไฟฟ้ ากระแสตรงหรื อ


ขั้วลบของแบตเตอรี่ หมายถึงตําแหน่งอิเล็กโตรดที่อิเล็กตรอนไหลออกมาเมื่อมีการคายประจุ

9. ขั้วบวก(Positive Porality) เป็ นจุดที่มีความต่างศักดิ์สูงในวงจรไฟฟ้ ากระแสตรงหรื อ


ขั้วบวกของแบตเตอรี่ หมายถึงตําแหน่งอิเล็กโตรดที่อิเล็กตรอนหรื อกระแสไหลเมื่อมีการประจุ

10. แรงดันขณะเปิ ดวงจร(Open Circuit Voltage) คือแรงดันที่แบตเตอรี่ อยูใ่ นสภาวะ


สมดุล ไม่มีการประจุหรื อไม่มีการคายประจุ แรงดันนี้ จะขึ้นกับลักษณะการออกแบบแบตเตอรี่ ,
ความถ่วงจําเพาะและอุณหภูมิ

11. ความลึกของการคายประจุ(Depth of Discharge : DOD) คือเปอร์ เซ็นต์ของความจุ


แบตเตอรี่ ที่ถูกใช้งานออกไปหรื อคายประจุออกไปเปรี ยบเทียบกับความจุท้ งั หมดมีปริ มาณ DOD
สองปริ มาณที่ใช้อธิบาย คือ Allowable DOD หรื อ Maximum DOD เป็ นค่าเปอร์ เซ็นต์ของความจุ
ที่มากที่สุดที่ยอมให้มีการใช้งานได้ ถ้ามีการใช้งานเกินค่านี้แล้ว แบตเตอรี่ ลูกนั้นจะไม่สามารถนํา
กลับมาประจุใช้งานได้อีก โดยทัว่ ไปจะกําหนดโดยแรงดันคัทออฟ
18 
 

12. สถานะของการคายประจุ(Stage of Charge : SOC) เป็ นค่าที่บอกความจุของ


แบตเตอรี่ ในแต่ละเวลาที่ใช้งาน มีค่าเป็ นอัตราส่ วนระหว่างความจุของแบตเตอรี่ ในขณะนั้นต่อ
ความจุของแบตเตอรี่ เมื่อประจุเต็ม เช่น แบตเตอรี่ มี SOC 100 % หมายความว่าแบตเตอรี่ อยูใ่ น
สถานะประจุเต็ม แบตเตอรี่ มี SOC 50 % หมายความว่ามีความจุเหลืออยู่ 50 % ดังแสดงในตารางที่
2.1

ตารางที่ 2.1 ความสัมพันธ์ระหว่างค่าสถานะประจุกบั ค่าความสามารถในการคายประจุ

สถานะประจุ (%SOC) ความสามารถในการคายประจุ (% DOD)


100 0
75 25
50 50
25 75
0 100

ความลึกของการคายประจุ และการอัดประจุ, ค่าดีโอดีเป็ นสัดส่ วนหรื อเปอร์เซ็นต์ของความจุซ่ ึงถูก


ใช้งานไปแล้วจากเดิมทีมีการอัดประจุเต็มพิกดั ในทางส่ วนกลับของค่าดีโอดีคือค่าเอสโอซี เป็ น
สัดส่ วนหรื อเปอร์เซ็นต์ของความจุที่คงใช้งานได้ อาจพิจารณาคล้ายแก้วนํ้าซึ่งมีน้ าํ อยูร่ ะดับหนึ่งซึ่ ง
จะมีส่วนที่วา่ งเปล่าหรื อส่ วนจะต้องเติมให้เต็ม ดังนั้นค่าดีโอดี และค่าเอสโอซีคือ ความสู งของส่ วน
ที่ว่างเปล่าไม่มีน้ าํ ในแก้วและความสู งของนํ้าที่มีอยู่ในแก้วตามลําดับอย่างไรก็ตาม ค่าดีโอดีหรื อ
เอสโอซีจะใช้เพื่ออ้างอิงความจุปกติ (Nominal Capacity) ตัวอย่างเช่น ความจุที่อตั รา 10 ชัว่ โมง
การจ่ายกระแสตํ่าจะให้ค่าดีโอดี มากกว่า 100 % ซึ่งมีความหมายอย่างง่ายคือ แบตเตอรี่ มีความจุใน
การใช้งานได้มากกว่า 100 % เมื่ออัตราการคายประจุต่าํ กว่าอัตราการคายประจุปกติ

13. การคายประจุดว้ ยตัวเอง(Self Discharge Rate) เมื่อทําการประจุแบตเตอรี่ จนเต็ม


และปล่อยไว้โดยไม่มีการต่อไปใช้งานจะมีการคายประจุในตัวเองอัตราการคายประจุดว้ ยตัวเองจะ
กําหนดเป็ นเปอร์เซ็นต์ของความจุท้ งั หมดในช่วงเวลา 1 เดือนการคายประจุดว้ ยตัวเองนี้ข้ ึนกับความ
ยากง่ายในการเกิดก๊าซที่เพลตเมื่อมีการประจุเกินและจะมีค่าเพิม่ ขึ้นเมื่ออุณหภูมิแวดล้อมสูงขึ้น

14. อายุการใช้งานแบตเตอรี่ (Battery Lifetime) อายุการใช้งานแบตเตอรี่ คือช่วงเวลาที่


ความจุของแบตเตอรี่ เมื่อประจุเต็มลดลงจากความจุเต็มของแบตเตอรี่ ใหม่ 80 % โดยการลดลงนั้น
19 
 

เกิ ดขึ้นทั้งจากจํานวนรอบการใช้งานและอายุของเซลล์ ในบางรอบการใช้งานวัสดุทาํ ปฏิกิริยาจะ


หลุดออกจากอิเล็กโทรด และจมลงด้านล่างของภาชนะบรรจุ เมื่อวัสดุแยกออกมาจากอิเล็กโทรด
วัสดุ น้ ันจะไม่ สามารถคื นรู ปเหมื อนเดิ มได้ส่งผลให้ความจุ ของแบตเตอรี่ ลดลงได้เ ช่ นเดี ยวกัน
จํานวนรอบของการใช้งานก่อนที่ความจุเต็มจะลดลงเหลือ 80 % เรี ยกอายุของเซลล์(Cell Life) อายุ
ของเซลล์น้ ี จะขึ้นกับลักษณะการคายประจุ, ขนาดของกระแสที่คายประจุและอุณหภูมิ ในการใช้
งานบางงานเซลล์ไม่ได้มีการใช้งานเป็ นรอบบ่อยๆ เช่นในระบบไฟฟ้ าฉุ กเฉิ นแบตเตอรี่ จะได้รับ
การประจุเต็มตลอดเวลา จนกระทัง่ ถึงเวลาฉุกเฉิ นจึงมีการคายประจุความจุเต็มของแบตเตอรี่ ชนิดนี้
จะลดลงตามอายุการใช้งาน ดังนั้นจึงเรี ยกอายุของการใช้งานแบตเตอรี่ แบบนี้ เป็ นอายุตามปฏิทิน
(Calendar Life) หรื ออายุสแตนบาย(Standby Life) โดยมีหน่วยเป็ นปี อายุตามปฏิทินนี้ จะขึ้นกับ
อุณหภูมิและวิธีการเก็บรักษาแบตเตอรี่ ในเซลล์บางชนิดแบตเตอรี่ จะสามารถใช้งานได้นานเท่าอายุ
ปฏิทินของแบตเตอรี่ ก็ต่อเมื่อมีการใช้งานแบบที่มีการคายประจุนอ้ ยเท่านั้น ดังนั้นจะไม่สามารถใช้
ไฟฟ้ าเท่ากับความจุของแบตเตอรี่ ท้ งั หมดได้ เวลาที่กล่าวถึงความจุแบตเตอรี่ จึงมักกล่าวถึงความจุ
สองลักษณะคือ ความจุทวั่ ไป(Nominal Capacity) และความจุที่ใช้งานจริ ง(Usable Capacity)

15. ผลกระทบของอุณหภูมิ (Temperature Effects) สําหรับแบตเตอรี่ ที่เป็ นเซลล์ไฟฟ้ า


เคมีทวั่ ไปแล้วการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิจะมีผลกระทบต่อประสิ ทธิ ภาพของแบตเตอรี่ เช่น เมื่อ
อุณหภูมิเพิ่มขึ้น 10C จากอุณหภูมิหอ้ ง หรื อ เพิ่มขึ้นเป็ นสองเท่า ซึ่ งเป็ นผลทําให้อายุการใช้งาน
ของแบตเตอรี่ ลดลงเป็ นสองเท่าเช่นกัน และนอกจากนั้นอุณหภูมิสูงยังมีผลในการเร่ งการสึ กหรอ
ของเพลตบวก เนื่ องมาจากผลของการเกิดก๊าซ และการสู ญเสี ยนํ้า ส่ วนอุณหภูมิต่าํ มีผลทําให้อายุ
การใช้งานนานขึ้นแต่อย่างไรก็ตามทําให้ความจุลดลงในแบตเตอรี่ แบบตะกัว่ -กรด

16. ผลกระทบของอัตราการคายประจุ(Effects of Discharge Rates) ความจุเต็มของ


แบตเตอรี่ จะลดลง เมื่อมีการใช้งานแบตเตอรี่ ที่อตั ราการคายประจุสูงขึ้น อัตราการคายประจุสูงนี้ มี
ผลต่อแรงดันไฟฟ้ าขณะที่ ไม่มีโหลดจะมีค่าตํ่ากว่าการใช้อตั ราการคายประจุต่ าํ กว่าบางครั้งอาจ
ส่ งผลถึงการเลือกจุดแรงดันตํ่าสุ ดที่จะตัดภาระทางไฟฟ้ าออกในแรงดันแบตเตอรี่ ค่าเดียวกัน

17. การเกิดก๊าซ(Gassing) เซลล์ของแบตเตอรี่ เมื่อได้รับการประจุเต็ม วัสดุทาํ ปฏิกิริยาใน


อิเล็กโตรดเปลี่ยนรู ปจากสภาวะการคายประจุเป็ นสภาวะการประจุเต็มทั้งหมด ถ้ายังทําการประจุ
ต่อไป จะเกิดปฏิกิริยาเคมีอื่นขึ้นแทนที่อิเล็กโตรด ปฏิกิริยาหนึ่ งที่เกิดขึ้นคือปฏิกิริยาแยกนํ้าทําให้
เกิดก๊าซ เรี ยกการเกิดก๊าซ เนื่องจากมีฟองอากาศเกิดขึ้นที่ผวิ ของอิเล็กโตรด โดยฟองออกซิ เจนจะ
เกิ ดที่ผิวเพลตขั้วบวกและไฮโดรเจนเกิดที่ผิวเพลตขั้วลบ การเกิดก๊าซแบบช้าๆไม่ทาํ ให้เกิดความ
20 
 

เสี ยหายต่อเซลล์ แต่การเคลื่อนที่ของฟองก๊าซแบบช้าๆกลับทําให้เกิดประโยชน์เนื่องจากฟองก๊าซ


จะทําให้เกิดการผสมกันของสารละลายอิเล็กโทรไลต์ไม่ให้เกิดการแยกชั้นความเข้มข้น ถ้ายังมีการ
เกิดแก๊สอย่างต่อเนื่อง สารละลาย อิเล็กโทรไลต์จะมีความเข้มข้นสู งขึ้นและระดับของสารละลายจะ
ลดลง ดังนั้นต้องเติมนํ้ากลัน่ ลงไปเพื่อป้ องกันไม่ให้สารละลายลดลงตํ่ากว่าตําแหน่ งตํ่าสุ ด ยังมี
ปฏิกิริยาเคมีอื่นๆที่เกิดช่วงสภาวะการประจุเกินคือการแยกตัวของโครงสร้างอิเล็กโตรด ปฏิกิริยานี้
จะรุ นแรงมากกว่าการเกิดก๊าซ เพราะวัสดุที่แยกตัวไม่สามารถเกิดปฏิกิริยาผันกลับได้ ดังนั้นในการ
ประจุแบตเตอรี่ แบบตะกัว่ กรด จึงมีความต้องการระบบควบคุมการประจุ เพื่อป้ องกันการเสี ยหายที่
เกิดขึ้นบางครั้งการป้ องกันการประจุเกิน [4]

2.1.6 การทดสอบแบตเตอรี่

1. ทดสอบความสามารถในการเก็บไฟ สําหรับแบตเตอรี่ ที่ใช้กบั เครื่ องยนต์ต่าง ๆ


หลังจากประจุไฟเต็มที่แล้วต้องเก็บไฟได้เกินกว่า 70% ของความจุของแบตเตอรี่ ในเวลา 1 เดือน
หมายความว่า ต้องประจุไฟแบตเตอรี่ ให้เต็มแล้วทิ้งไว้เฉย ๆ เป็ นเวลา 1 เดือน แล้วนํามาทดลอง
ปล่อยไฟ ความจุของแบตเตอรี่ จะต้องหายหรื อลดน้อยลงกว่าเดิม ความจุที่หายไปเป็ นจํานวนเท่าใด
นํามาหาเป็ นเปอร์ เซ็นต์ก็สามารถทราบได้ว่าแบตเตอรี่ น้ นั มีความสามารถในการเก็บไฟเพียงใด แต่
ความจุที่หายไปนี้จะขึ้นอยูก่ บั ความถ่วงจําเพาะของนํ้ายา อุณหภูมิ และความบริ สุทธิ์ของนํ้ายาด้วย

2. การทดสอบความเสื่ อมของแบตเตอรี่ ดว้ ยค่า CCA.(Cool Cranking Ampere) ปกติ


แล้วแบตเตอรี่ เมื่อใช้ไปนานๆความสามารถสามารถในการประจุไฟจะลดลงสังเกตได้จากการ
สตาร์ ทแรงไฟจะไม่พอสตาร์ ท และไม่เก็บไฟ จะมีอายุการใช้งานประมาณ 2 – 3 ปี หน้าที่หลักที่
สํ า คัญ ของแบตเตอรี่ ตะกั่ว -กรดสํ า หรั บ รถยนต์ ( SLI-Battery)คื อ ให้ พ ลัง งานเพื่ อ หมุ น สตาร์
เครื่ องยนต์ การสตาร์ ทเครื่ องยนต์ตอ้ งใช้กระแสสู งในระยะเวลาสั้นๆ อัตรา CCA. หมายถึงจํานวน
แอมแปร์ ของแบตเตอรี่ ที่ประจุเต็ม ณ อุณหภูมิ 0 ˚F ที่สามารถจ่ายกระแสได้เป็ นเวลา 30 วินาทีโดย
ที่ยงั รักษาแรงดันอยูท่ ี่ 1.2 โวลต์ต่อเซลล์ หรื อ 7.2 โวลต์สาํ หรับแบตเตอรี่ 12 โวลต์

3. การวัดนํ้ายาแบตเตอรี่ ปกติน้ าํ ยาแบตเตอรี่ จะมีการกําหนดอุณหภูมิของนํ้ายาอิเล็กโทร


o
ไลต์ที่อุณหภูมิ 80 F เพราะ Specific Gravity ของนํ้ากรดนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิโดยจะ
o
ขยายตัวขึ้นเมื่อเกิดความร้อนและจะหดตัวเมื่อเย็น จึงกําหนดเกณฑ์อุณหภูมิที่ 80 F และให้เกณฑ์
o
ความเปลี่ยนแปลงของ Specific Gravity ไว้ 0.001 ต่อ 3 องศา และถ้าแบตเตอรี่ อุณหภูมิสูงกว่า 80 F
ให้บวกด้วย 0.001 ต่อ 3 องศา เช่นกัน [4]
21 
 

2.2 ทฤษฎีฎีการสั่ นสะเททือนด้ วยคววามถีธ่ รรมชชาติ

กาารเคลื่อนที่ไปมาของวั
ป ตถุรรอบจุดสมดุลในช่วงหนึ่ง ไม่ว่าการเคลืลื่อนที่น้ นั จะเเกิดขึ้นใน
แบบ ซํ้าตัวเอองหรื อไม่กตาม ็ต เราเรี ยกกการเคลื่อนทที่น้ ี ว่า การสั่น (Vibraation) หรื อการแกว่
ก ง
(Oscillation) เช่น การแกว่งไป-มาขของชิงช้า หรื ห อลูกตุม้ นาาฬิกา การเ คลื่อนที่ของลูกสู บใน
เครื่ องยนต์ เป็ป็ นต้น [5]

2.22.1 การสั่ นของระบบหนึ่งงลําดับขั้นความเสรี

ปรรากฏการณ์การสัา น่ สะเทือนนจะเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนรู
น ปไปมาระ หว่างพลังงานน สําหรับ
ระบบที่มีการรสั่นสะเทือนนั น ้ นจะมีองค์ค์ประกอบสําคัญ คือ องค์ อ ประกอบบที่สะสมพลังงานศั ง กย์
องค์ประกอบบที่สะสมพลังงานจลน์
ง แลละองค์ประกกอบที่หน่วงใหห้พลังงานขอองระบบลดลงง ซึ่ งการ
เปลี่ ยนรู ปไปปมาของพลังงานง จะททําให้เกิ ดการเคลื่ อนที่ และการเคลื
ล ่อนนที่ น้ ี จะก่ อใหห้เกิ ดการ
สัน่ สะเทือนขึขึ้น กล่าวคือ เมื่อมีการสะสมพลังงานนศักย์ข้ ึนในระะบบ พลังงา นนี้ จะถูกเปปลี่ยนเป็ น
พลังงานจลน์น์ ซึ่ งอยูใ่ นลักษณะการเคลื
ก ลื่อนที่ของมววลในระบบ และการเคลื
แ ่ออนที่น้ ีจะก่อให้เกิดการ
สะสมพลังงาานศักย์ข้ ึนอีก เป็ นเช่นนี้ไปปเรื่ อยๆ ส่ วนองค์
น ประกอบบที่หน่วงพลังงงาน ของระบบนั้น ก็
จะเปลี่ยนพลัลังงานศักย์และพลังงานจลนน์ของระบบใให้อยูใ่ นรู ปอืน่ เช่น เสี ยง หหรื อความร้อน เป็ นต้น
จนในที่สุดพลังงานของระะบบหมดไป นอกเสี ยจากกว่ามีสิ่งใดสิ่งหนึ ง ่ งมากระททํา หรื อกระต้ตุน้ ให้การ
สัน่ สะเทือนยยังคงมีอยู่

ภาพที่ 2.15 แบบจํ


แ าลองของระบบเชิงกกลการสัน่ สะเทือนเทียบกับแผนภาพวั
บ ตตถุอิสระของมมวล

กําหนดให้
คือ มวลขของวัตถุ
คือ ระยะะขจัด
คือ ความมหน่วงของระะบบ
22 
 

คือ ความหน่วงวิกฤต
คือ ค่าความแข็งของสปริ ง
 คือ ความถี่ธรรมชาติของการสัน่ หน่วง

แบบจําลองของระบบดังภาพที่ 2.15 สามารถเขียนเป็ นสมการเคลื่อนที่ (Equation of Motion) ได้


0

ความถี่ธรรมชาติ (Natural Frequency,  ) ของระบบที่มีการสัน่ อิสระ มีค่า

และนิยามให้ อัตราส่ วนความหน่วง (Damping Ratio,) เป็ น


2√

สมการการเคลื่อนที่จะมีผลเฉลยของสมการในรู ป ดังนั้นสมการ สามารถเขียนใหม่


ได้ คือ
2  0

ดังนั้นผลเฉลยของสมการการเคลื่อนที่ จะอยูใ่ นรู ป


     

ลักษณะการสัน่ ของระบบจะขึ้นอยูก่ บั ค่าอัตราส่ วนความหน่วง 

     
1. เมื่อ > 1
2. เมื่อ = 1 

     
3. เมื่อ  1 x t C e C e

หรื อจัดให้อยูใ่ นรู ป


 sin  ∅

เมื่อระบบมีการเคลื่อนที่แบบมีความหน่วง โดยที่ 1 ความถี่ของการสัน่ จะเป็ นความถี่ของการ


สัน่ หน่วง (Frequency of Damped Oscillation) หรื อ
23 
 

  1 

จากภาพที่ 2.16 ผลการตอบสนองจะเป็ปนการลดลงออย่างลอการิ ทมึ (Logarithmmic Decremennt) แกน x


แทนระยะขจัจัด แกน y แทนคาบเวลา เราสามารถหหาค่าอัตราส่วนความหน่
ว ว งได้จากความมสัมพันธ์
ดังนี้
2 

1 

ภาพที่ 2.16 ผลการเคลื


ผ ่อนที่ของมวล

You might also like