Professional Documents
Culture Documents
หน่วยที่ 1
เรื่อง ความหมายของอัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ าเคมี
********************************************************
ปฏิกิรย
ิ าเคมีต่างๆ อาจจะเกิดขึ้นได้เร็วหรือช้าต่างกัน ซึ่งขึ้นอย่่กับ
ชนิ ดของปฏิกิรย
ิ า เช่น การระเบิดของดินปื น จัดว่าเป็ นปฏิกิรย
ิ าที่เกิดขึ้น
ได้เร็วมาก เพราะใช้เวลาไม่ถึงนาที การลุกไหม้ของเชื้ อเพลิง เช่น ก๊าซหุง
ต้ ม และน้้ ามั นเบนซิน ก็ จัดว่ าเป็ นปฏิ กิร ย
ิ าที่ เ กิ ดได้ เ ร็ ว การลุ กไหม้ ข อง
ถ่ านหรือของไม้ จัดว่าเป็ นปฏิ กิร ย
ิ าที่เ กิ ดขึ้ นเร็ว ปานกลาง การเน่ าเปื่ อย
ของผัก ผลไม้ จั ดว่ าเป็ นปฏิกิรย
ิ าที่ เกิ ดขึ้นค่อ นข้ างช้า การเกิ ดสนิ มของ
เหล็กจัดว่าเป็ นปฏิกิรย
ิ าที่เกิดขึ้นช้ามาก เป็ นต้น
ปฏิกิรย
ิ าเคมีที่มีความส้าคัญทางด้านอุตสาหกรรมก็เกี่ยวข้องกับอัตรา
การเกิดปฏิกิรย
ิ าเช่นเดียวกัน ปฏิกิรย
ิ าเหล่านี้ ให้ผลผลิตที่มีผลต่อสภาวะ
เศรษฐกิจของประเทศ จึงจ้าเป็ นที่จะต้องผลิตให้ได้จ้านวนมากและต้นทุน
ต้่า ซึ่งต้องได้ผลผลิตมากที่สุดในเวลาน้อยที่สุดนั ่นเอง ในการนี้ จึงจ้าเป็ น
ที่จะต้องเรียนร้่เกี่ยวกับอัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ า เรียนร้่สภาวะต่างๆ ที่ใช้ใน
การควบคุมการผลิต หรือสภาวะต่างๆ ที่ใช้ควบคุมการเกิดปฏิกิรย
ิ า ต้อง
ทราบว่าปั จจัยอะไรบ้างที่มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ า จะท้า ให้ปฏิกิรย
ิ า
เกิดเร็วหรือช้าได้อย่างไร เป็ นต้น
ความหมายของอัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ าเคมี
อัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ าเคมี หมายถึง “ปริมาณของผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้น
จากปฏิกิรย
ิ าใน 1 หน่วยเวลา” การวัดอัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ าจึงเป็ นการวัด
ปริมาณของผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นใน 1 หน่วยเวลา เขียนเป็ นความสัมพันธ์
ดังนี้
2
ปริมาณของผ ลิตภัณฑ์ที่เพม
ิ่ ข้ น
ึ
อัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ าเคมี = เวลา
เวลา
เขียนรวมกันได้เป็ น
ปริมาณของผ ลิตภัณฑ์ที่เพม
ิ่ ข้ น
ึ
อัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ าเคมี = เวลา
= ปริมาณของสารตั้งต้นที่ลดลง
เวลา
ไม่ว่าจะวัดอัตรา การเกิดปฏิกิรย
ิ าจากสารตั้งต้นที่ลดลง หรือจาก
สารผลิ ต ภั ณ ฑ์ ท่ี เ พิ่ ม ขึ้ น จะต้ อ งได้ ค่ า เท่ า กั น เพราะเป็ นปฏิ กิ ร ิย าเคมี
เดียวกัน การที่จะเลือกวัดปริมาณของสารตั้งต้น หรือ ผลิตภัณฑ์ก็ข้ ึนอย่่
กับความสะดวกของการวัดปริมาณสารนั้ นๆ
3
วิธีการวัดอัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ า
การวัดอัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ าจะพิจารณาจากการวัดปริมาณของสารตั้ง
ต้น หรือสารผลิตภัณฑ์ก็ได้ ทั้งนี้ ขึ้นอย่่กับความสะดวกของการทดลอง ขึ้น
อย่่กับลักษณะและสมบัติของสารที่เกี่ยวข้อง ตัวอย่างเช่น
1. ถ้าในปฏิกิรย
ิ าเกี่ยวข้องเป็ นก๊าซ อาจจะวัดอัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ า
จ า ก ป ริ ม า ณ ข อ ง ก๊ า ซ ที่ เ กิ ด ขึ้ น ห รื อ วั ด จ า ก ค ว า ม ดั น ข อ ง ร ะ บ บ ที่
เปลี่ยนแปลงไป
2. ถ้ า ในปฏิ กิ ร ิย าเกี่ ย วข้ อ งกั บ สารที่ มี สี อาจจะวั ด อั ต ราการเกิ ด
ปฏิกิรย
ิ าจากความเข้มข้นของสีที่ลดลงของสาตั้งต้น หรือความเข้มของสีท่ี
เพิ่มขึ้นของผลิตภัณฑ์
3. ถ้าในปฏิกิรย
ิ าเกี่ยวข้องกับสารละลาย จะวัดอัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ า
จากความเข้มข้นของสารละลายที่เปลี่ยนไป
นอกจากนี้ ก็ยังสามารถวัดอัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ าด้วยวิธีการอย่างอื่น
เช่ น ถ้ า เป็ นของแข็ ง ใช้ วิ ธี ก ารชั ่ง มวล ถ้ า เป็ นสารละลายที่ เ กี่ ย วข้ อ งกั บ
กรด-เบส ใช้วิธีวัด pH เป็ นต้น
*0 หน่วยของเวลา ขึ้นอย่่กับชนิ ดของปฏิกิรย
ิ า ถ้าปฏิกิรย
ิ าเกิดเร็วก็
อาจจะวัดเป็ นนาที หรือวินาที ถ้าเกิดช้าอาจจะวัดเป็ นชัว่ โมงหรือเป็ นวัน
4
หรือจาก pH ที่เพิ่มขึ้น
3. ปฏิกิรย
ิ า
2H (aq) + S2O3 (aq) → S (s) + SO2 (g) + H2O (l)
+ 2-
5
การใช้สัญลักษณ์แทนอัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ าเคมี
พิจารณาปฏิกิรย
ิ า
Mg(s) + H2SO4 (aq) → MgSO4 (aq) + H2 (g)
สามารถจะวั ด อั ต ราการเกิ ด ปฏิ กิ ร ิย าได้ ท้ ั งจากปริม าณ Mg หรือ
H2SO4 ที่ลดลง และจากปริมาณของ MgSO4 หรือ H2 ที่เกิดขึ้น ซึ่งอาจ
จะเขียนสัญลักษณ์แทนอัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ าจากสารต่างๆ ได้ดังนี้
ให้ [ ] แทนความเข้มข้น หรือปริมาตรของสาร
∆ แทนการเปลี่ยนแปลง
t แทนระยะเวลาที่เกิดปฏิกิรย
ิ า
เครื่องหมาย + แทนการเพิ่มขึ้น
- แทนการลดลง
ถ้าอัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ าจากความเข้มข้นของกรด H2SO4 ที่ลดลง
เมื่อเวลาเริม
่ ต้น (t1) มี H2SO4 เข้มข้น C1
เมื่อเวลา t2 มี H2SO4 เข้มข้น C2
เวลาที่ใช้ = t2 - t1 = ∆t
ความเข้มข้นที่ลดลง = C2 - C1 = - ∆ [H2SO4]
อัตราการลดลงของกรด H2SO4 = = ปริมาณของสารตั้งต้นที่ลดลง
เวลา
6
∴ อั ต ร า ก า ร ล ด ล ง ข อ ง ก ร ด H2SO4 =
…………………… (1)
ในกรณี ท่ีปฏิกิรย
ิ าเคมีน้ ั นเกี่ยวข้องกับสารมากกว่า 1 โมลอัตราการ
เกิดปฏิกิรย
ิ าจะไม่เท่ากับอัตราการเปลี่ยนแปลงของสารนั้ น จะต้องมีการ
เพิ่มแฟกเตอร์บางอย่างเข้าไปจึงจะหาอัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ าได้
พิจารณาตัวอย่างของปฏิกิรย
ิ า
Mg (s) + 2HCl (aq) → MgCl2 (aq) + H2 (g)
อัตราการลดลงของ Mg =
………(1)
อัตราการลดลงของ HCl =
……….(2)
อัตราการเพิ่มขึ้นของ MgSO4 =
..…….. (3)
8
อัตราการเพิ่มขึ้นของ H2 =
………(4)
อัตราการเปลี่ยนแปลงปริมาณของสารทั้ง 4 ชนิ ดจะไม่เท่ากัน
จากสมการถ้าใช้ Mg 1 โมล จะต้องใช้ HCl 2 โมล จึงจะได้ MgCl2
และ H2 อย่างละ 1 โมล
สมมติว่าในเวลา 10 นาที ใช้ Mg ไป 0.1 โมล จะหาอัตราการ
เปลี่ยนแปลงของสารต่างๆ ได้ดังนี้
จากสมการ ถ้าใช้ Mg 0.1 โมลจะใช้ HCl 0.2 โมล และได้ MgCl2 กับ
H2 อย่างละ 0.1 โมล
อัตราการลดลงของ Mg = = โมล/นาที
อัตราการลดลงของ HCl = = โมล/นาที
อัตราการลดลงของ MgCl2 = = โมล/นาที
อัตราการลดลงของ H2 = = โมล/นาที
จะเห็นได้ว่าอัตราการเปลี่ยนแปลงของสารมีค่าไม่เท่ากัน ถ้าอัตราการ
เกิดปฏิกิรย
ิ า คือ อัตราการเปลี่ยนแปลงของสาร อัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ าที่
คิดจากสารต่างๆ ก็จะมีค่าไม่เท่ากัน ซึ่งเป็ นไปไม่ได้ ทั้งนี้ เพราะ อัตราการ
เกิดปฏิกิรย
ิ าของปฏิกิรย
ิ าเคมีหนึ่ งๆ จะต้องมีค่าเท่ากันไม่ว่าจะคิดจากสาร
ใด ดังนั้ นอัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ าจึงไม่ใช่ อัตราการเปลี่ยนแปลงของสาร แต่
สามารถคิดจากอัตราการเปลี่ยนแปลงของสารได้
การที่จะท้าให้อัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ ามีค่าเท่ากันไม่ว่าจะคิดจากสารใด
ต้องมีการเพิ่มแฟกเตอร์บางอย่างเข้าไป
พิ จ า ร ณ า ก ร ณี ข อ ง HCl ถ้ า ค่ ณ อั ต ร า ก า ร ล ด ข อ ง HCl ด้ ว ย
.................. จะพบว่าอัตราการเกิดเปลี่ยนแปลงจะเท่ากับสารอี่นๆ
9
………….. x อั ต ร า ก า ร ล ด ล ง ข อ ง HCl =
= โมล/นาที
ตั ว เลข “…………..” ที่ เ พิ่ ม เข้ า ไป ก็ คื อ จ้า นวนโมลของ HCl
นั ่นเอง ซึ่งเป็ นแฟกเตอร์ท่ีต้องเพิ่มเข้าไป เพื่อท้าให้อัตราการเปลี่ยนแปลง
เท่ากัน
อัตราการลดลงของ Mg = โมล/นาที
……. x อัตราการลดลงของ HCl = โมล/นาที
อัตราการลดลงของ MgCl2 = โมล/นาที
อัตราการลดลงของ H2 = โมล/นาที
จะเห็นว่าทุกกรณี เท่ากัน ดังนั้ น จึงเขียนอัตราการเกิด
ปฏิกิรย
ิ าเคมีจากสารต่างๆ ได้ดังนี้
R = = = =
อัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ าเคมีจึงมีส่วนสัมพันธ์กับอัตราการเปลี่ยนแปลง
ของสารผ่านทางแฟกเตอร์เกี่ยวกับจ้านวนโมล ซึ่งเขียนความสัมพันธ์ทัว่ ๆ
ไป ได้ดังนี้
R = x อัตราการเปลี่ยนแปลงของสาร
1
n
∆[ X ]
หรือ R = .
1
n ∆t
เมื่อ
n = จ้านวนโมลของสาร X
[X] = ความเข้มข้นของสาร X
ในกรณี ท่ีพิจารณาสมการทัว่ ๆ ไป
aA + bB → cC + dD
จะเขียนอัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ าไดเป็ น
10
R = = = =
ตัวอย่างเช่น
2A + 3B → C + 4D
R = = = =
นั ่นคือ อัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ าเคมีคิดจากสารใดก็ได้ แต่ต้องคิดตาม
ความสัมพันธ์ดังกล่าว
ประเภทของอัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ า
อัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ าแบ่งออกเป็ น 2 ประเภท
ก. อัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ าเฉลี่ย หมายถึง อัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ าที่คิด
จากการเปลี่ยนแปลงปริมาณของผลิตภัณฑ์ (หรือสารตั้งต้น ) ทั้งหมดใน
1 หน่วยเวลา
ข. อัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ า ณ ขณะหนึ่ ง หมายถึง อัตราการเกิด
ปฏิกิรย
ิ า ณ เวลาใดเวลาหนึ่ ง ซึ่งคือ ค่าความชัน (slope) ของกราฟ
ระหว่างปริมาณของสารที่เปลี่ยนแปลงกับเวลา
โดยทัว่ ๆ ไป อัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ า 2 ประเภทจะไม่เท่ากัน
ในปฏิกิรย
ิ าทัว่ ๆ ไป ช่วงแรกของการเกิดปฏิกิรย
ิ าจะค่อนข้างเร็วและ
ค่อยๆ ช้าลงตามล้าดับ ท้าให้อัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ า ณ ขณะใดขณะหนึ่ งมี
ค่าไม่เท่ากัน
ตัวอย่างที่ 1 จากปฏิกิรย
ิ า
2KMnO4 + 16HCl → 2KCl + 2MnCl2 + 8H2O +
5Cl2
11
จงเขียนอัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ าในเทอมของสารต่างๆ
วิธีทำา
หมายเหตุ อาจจะคิดอัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ าจากสารตัวอื่นก็ได้ จะได้
ค้าตอบเท่ากัน
ตัวอย่างที่ 5 จากการทดลองหาอัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ าระหว่าง Mg กับ
HCl ตามสมการ
Mg + 2HCl → MgCl2 + H2
โดยการเก็บก๊าซ H2 จากการแทนที่สารละลายดังในร่ป
ผลการทดลองได้ดังนี้
ปริมาตร H2 เวลา (s) ปริมาตร H2 เวลา (s)
(cm ) (cm )
3 3
1 7 4 32
2 15 6 60
3 23 8 105
ก. จงค้านวณอัตราเฉลี่ยของการเกิดก๊าซ H2
ข. จงค้านวณอัตราการเกิดก๊าซ H2 ระหว่างเวลา 23 - 32 วินาที
ค. จงค้านวณอัตราการเกิดก๊าซ H2 ณ วินาทีท่ี 50
วิธีท้า ก.
14
ข.
ค.
แบบทดสอบท้ายการจัดการเรียนร้้หน่วย
เรื่อง การศึกษาอัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ าเคมี
จงเลือกคำำตอบที่ถูกต้องที่สุดจำกคำำถำมแต่ละข้อ
1. ข้อใดจัดเป็ นปฏิกิริยาเนื้ อ
เดียว
1. Zn(s) + 2HCl(aq) → ZnCl2(aq) + H2(g)
2. 2Mg(s) + O2(g) → 2MgO(s)
3. CO2(g) + Ca(OH)2(aq) → CaCO3(s) + 2H2O(l)
4. H2SO4(aq) + 2KOH(aq) → K2SO4(aq) + 2H2O(l)
คำาชี้แจง ข้อมูลต่อไปนี้ใช้ประกอบการตอบคำาถามข้อ 2-4
2A2B(g) ↔ 2A2(g) + B2(g)
15
A2B มีการเปลี่ยนแปลงความเข้มข้นดังนี้
เวลา ความเข้มข้นของ
(s) A2B (mol/dm )
3
0 5
5 3.5
10 X
15 2.0
20 1.7
25 1.5
2. อัตราการเกิดปฏิกิริยาเฉลี่ยมีค่าเท่าใด
1. 0.06 mol/dm /s 2. 0.14 mol/dm /s
3 3
หน่วยที่ 2
เรื่อง แนวคิดเกี่ยวกับการเกิดปฏิกิรย
ิ าเคมีและพลังงานกับการ
ดำาเนิ นไปของปฏิกิรย
ิ า
********************************************************
1. แนวคิดเกี่ยวกับการเกิดปฏิกิรย
ิ าเคมี
ปฏิกิรย
ิ าเคมีหนึ่ งๆ จะเกิดได้หรือไม่ เกิดขึ้นได้อย่างไร เกิดเร็วหรือ
ช้าได้อย่างไร นอกจากจะทราบจากการทดลองแล้ว ยังสามารถทราบได้จาก
การใช้ทฤษฎีอธิบายอัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ า เช่น ทฤษฎีการชน และทฤษฎี
ทรานสิชันสเตต เป็ นต้น ทฤษฎีดังกล่าวจะอธิบายให้ทราบว่าการที่ปฏิกิรย
ิ า
จะเกิดขึ้นได้ต้องมีสภาวะอย่างไร และเมื่อมีปฏิกิรย
ิ าเกิดขึ้นแล้วการเพิ่ม
ความเข้มข้น อุณหภ่มิ ท้าให้เกิดเร็วขึ้น เป็ นเพราะเหตุใด
ปฏิกิรย
ิ าเกิดขึ้น แต่ถ้าน้า ก๊าซ NO 1 โมล บรรจุลงในภาชนะที่มีก๊าซ O2
1 โมลจะพบว่ามีอัตราการชนมากกว่า 10 ครั้งต่อวินาที เช่นเดียวกัน แต่
30
17
สามารถเกิดปฏิกิรย
ิ าได้เป็ น NO2 แสดงให้เห็นว่าในบางกรณี ถึงแม้อนุ ภาค
จะชนกันมากเพียงใดก็ยังไม่มีปฏิกิรย
ิ าเกิดขึ้น แต่บางกรณี ปฏิกิรย
ิ าจะเกิด
ขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
ทฤษฎีท่ีใช้อธิบายการเกิดปฏิกิรย
ิ าดังกล่าวนี้ เรียกว่า ทฤษฎีการชน
กันของก๊าซ
ทิศทางการชนกันของโมเลกุล
19
การที่ปฏิกิรย
ิ าเกิดช้าเป็ นเพราะปฏิกิรย
ิ านั้ นมีพลังงานก่อกัมมันต์ส่ง
ซึ่งอนุ ภาคที่จะชนกันแล้วท้าให้เกิดพลังงานเท่ากับ หรือ มากกว่าพลังงานก่
อกัมมันต์ จะต้องเป็ นอนุ ภาคที่มีพลังงานส่งมาก ซึ่งที่อุณหภ่มิปกติอนุ ภาค
ที่ มี พ ลั ง งานส่ ง ๆ เหล่ า นี้ จะมี จ้า นวนน้ อ ย จึ ง เป็ นผลให้ อั ต ราการเกิ ด
ปฏิกิรย
ิ าต้่า
ดั ง นั้ น ปฏิ กิ ร ย
ิ าที่ เ กิ ดเร็ ว จะต้ อ งมี ค่ าพลั ง งานก่ อ กั มมั น ต์ ต้่ า และมี
จ้า นวนอนุ ภาค ที่มีพลังงานส่งอย่่มาก ในท้า นองกลับกัน ปฏิกิรย
ิ าจะเกิด
ช้าถ้ามีพลังงานก่อกัมมันต์ส่ง และมีจ้านวนอนุ ภาคที่มีพลังงานส่งอย่่น้อย
โดยทัว่ ๆ ไปพลังงานก่อกัมมันต์กับจ้านวนโมเลกุลทีมีพลังงานส่ง จะมีสว่ น
สัมพันธ์กัน ในปฏิกิรย
ิ าที่มีพลังงานก่อกัมมันต์ต้่า จะมีโมเลกุลที่มีพลังงาน
22
ร่ปที่ 3 เปรียบเทียบการเล่นบาสเกตบอลกับการเกิดปฏิกิรย
ิ าเคมี
ภาพ a แสดงให้เห็นว่าพลังงานยังไม่พอ ในแง่ของการเกิดปฏิกิรย
ิ า
ก็คือ พลังงานไม่ถึงพลังงานก่อกัมมันต์ ท้าให้ไม่เกิดปฏิกิรย
ิ า
ภาพ b พลั ง งานที่ ใ ช้ มากเกิ น พอ ไม่ เ หมาะสม ในแง่ ข องการเกิ ด
ปฏิกิรย
ิ าเคมีก็คือ พลังงานส่งกว่า พลังงานก่อกัมมันต์ แต่ทิศทางของการ
ชนไม่เหมาะสม ท้าให้ไม่เกิดปฏิกิรย
ิ า
ภาพ c แสดงให้เ ห็ น ถึ ง พลัง งานพอและทิ ศ ทางถ่ กต้ อ ง ในแง่ ข อง
การเกิดปฏิ กิรย
ิ าเคมี ก็คือ พลังงานส่งพอและมี ทิศ ทางที่ เหมาะสม ท้า ให้
เกิดปฏิกิรย
ิ าเคมี
2. พลังงานกับการดำาเนิ นไปของปฏิกิรย
ิ า
เนื่ องจากการเกิดปฏิกิรย
ิ าเคมี จะต้องมีพลังงานเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
ถ้าเป็ นปฏิกิรย
ิ าของสารประกอบโคเวเลนต์จะมีการสลายพันธะของสารตั้ง
ต้น และมีการสร้างพันธะของสารผลิตภัณฑ์ข้ ึน ถ้าพลังงานที่ใช้ในการสลาย
พันธะทั้งหมดรวมกันแล้ว มีค่ามากกว่าพลังงานที่ได้จากการเกิดพันธะใหม่
รวมกัน การเปลี่ยนแปลงนั้ นจะเป็ นประเภทด่ดความร้อน ในทางตรงกั น
ข้ า ม ถ้ า พลั ง งานที่ ใ ช้ ใ นการสลายพั น ธะทั้ งหมดรวมกั น มี ค่ า น้ อ ยกว่ า
23
ร่ปที่ 4 การเปลี่ยนแปลงพลังงานของปฏิกิรย
ิ า NO2 (g) + CO (g) →
NO (g) + CO2 (g)
E1 คือพลังงานของสารตั้งต้น
E3 คือพลังงานของสารผลิตภัณฑ์
Ea คือพลังงานก่อกัมมันต์ ซึ่งเป็ นผลต่างระหว่าง E2 กับ E1
∆E คือ พลังงานของปฏิกิรย
ิ า ซึ่งเป็ นผลต่างระหว่าง E3 กับ E1
24
ในปฏิกิรย
ิ าดังกล่าวนี้
∆E = -234 kJ
Ea = 66.9 kJ
ร่ปที่ 5 การเปลี่ยนแปลงพลังงานของปฏิกิรย
ิ า 2HI (g) H2 (g) +
I2 (g)
∆E = E3 - E1
Ea = E2 - E1
ตัวอย่างเช่น ปฏิกิรย
ิ าคายความร้อน A B จะมีกราฟแสดง
การด้าเนิ นไปของปฏิกิรย
ิ าดังนี้
ร่ปที่ 6 การเปลี่ยนแปลงประเภทคายความร้อน
พลังงานของปฏิกิรย
ิ า ( ∆ E) นอกจากจะพิจารณาจากพลังงานของ
สารตั้ง ต้น และพลัง งานของผลิ ตภั ณฑ์ แล้ ว ยังสามารถหาได้ จากพลั ง งาน
กระตุ้น
∆E = E (ผลิตภัณฑ์) - E (สารตั้งต้น)
= E3 - E1
หรือ ∆E = Eaf - Ear
ถ้า Eaf > Ear จะเป็ นปฏิกิรย
ิ าด่ดความร้อน
Eaf < Ear จะเป็ นปฏิกิรย
ิ าคายความร้อน
อย่างไรก็ตาม ∆E = Eaf - Ear ใช้ ไ ด้ กั บ ปฏิ กิ ร ิย าที่ ผั น
กลับเท่านั้ น ปฏิกิรย
ิ าที่เกิดแบบสมบ่รณ์จะมีแต่ปฏิกิรย
ิ าไปข้างหน้า หรือมี
แต่ Eaf ดังนั้ นจะใช้ความสัมพันธ์ดังกล่าวไม่ได้
ตารางที่ 1 พลังงานก่อกัมมันต์ของปฏิกิรย
ิ าเคมีบางชนิ ด (ทุกตัวอย่่ใน
ภาวะก๊าซ)
ปฏิกิรย
ิ า Ea (kJ)
H2 + I2 → 2HI 167.2
2HI → H2 + I2 183.9
NO + O3 → 10.5
NO2 + O2 23.0
Cl2 + H2 → HCl 73.6
+ H
Br + H2 →
HBr + H
โดยทัว่ ๆ ไปอาจจะสรุปเกี่ยวกับพลังงานก่อกัมมันต์ได้ดังนี้
1. Ea คือพลังงานต้่าที่สุดที่โมเลกุลของสารตั้งต้นจะต้องมีเพื่อที่จะ
ชนกันแล้วเกิดปฏิกิรย
ิ าได้เป็ นผลิตภัณฑ์
27
แบบทดสอบท้ายการจัดการเรียน
เรื่อง การเกิดปฏิกิรย
ิ าเคมี
จงเลือกคำำตอบที่ถูกต้องที่สุดจำกคำำถำมแต่ละข้อ
1. ิ า P และปฏิกิรย
จากกราฟ ข้อสรุปเกี่ยวกับปฏิกิรย ิ า Q ข้อใดถูก
ต้อง
29
1. อัตราการเกิดปฏิกิริยา P เร็วกว่าอัตราการเกิดปฏิกิริยา Q
เพราะปฏิกิริยา P เป็ นปฏิกิริยาคายความร้อน
2. อัตราการเกิดปฏิกิริยา Q เร็วกว่าอัตราการเกิดปฏิกิริยา P
เพราะปฏิกิริยา Q เป็ นปฏิกิริยาดูดความร้อน
3. อัตราการเกิดปฏิกิริยา P เร็วกว่าอัตราการเกิดปฏิกิริยา Q
เพราะพลังงานก่อกัมมันต์ของปฏิกิริยา P
น้ อยกว่าของปฏิกิริยา Q
4. อัตราการเกิดปฏิกิริยา Q เร็วกว่าอัตราการเกิดปฏิกิริยา P
เพราะพลังงานก่อกัมมันต์ของปฏิกิริยา Q
มากกว่าของปฏิกิริยา P
2. จากกราฟการดำาเนิ นไปของปฏิกิริยา
ข้อสรุปของปฏิกิริยา A และปฏิกิรย
ิ าB
1. ิ า A เกิดยากกว่าปฏิกิริยา B เพราะปฏิกิริยา A มี
ปฏิกิรย
พลังงานก่อกัมมันต์สูงกว่า
2. ิ า B เกิดยากกว่าปฏิกิริยา A เพราะปฏิกิริยา B เป็ น
ปฏิกิรย
ปฏิกิริยาดูดความร้อน
30
3. 4.
1. -30 kJ/mol
2. น้ อยกว่า +30 kJ/mol
3. มากกว่า +30 kJ/mol
4. อาจมากกว่าหรือน้ อยกว่า +30 kJ/mol
7. จากกราฟระหว่างพลังงานกับการดำาเนิ นไปของปฏิกิริยา A และ
B เป็ นดังนี้
32
ข้อความเกี่ยวกับปฏิกิริยาทัง้ สองข้อใดไม่ถูกต้อง
1. ิ า A เป็ นปฏิกิริยาคายความร้อน ส่วนปฏิกิริยา B ดูด
ปฏิกิรย
ความร้อน
2. พลังงานก่อกัมมันต์ของปฏิกิริยา A จะเป็ นครึ่งหนึ่ งของ
พลังงานก่อกัมมันต์ของปฏิกิริยา B
3. ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากปฏิกิริยา A จะเสถียรกว่าผลิตภัณฑ์ที่ได้
จากปฏิกิริยา B
4. กราฟทัง้ สองไม่ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับอัตราการเกิดปฏิกิริยา
8. ปฏิกิริยา A + B → C + D เป็ นปฏิกิริยาดูดความร้อน
ประกอบด้วยปฏิกิริยาย่อย 2 ขัน
้ ตอน ดังนี้
้ ที่ 1 A + B
ขัน → E (เกิดเร็ว)
้ ที่ 2
ขัน E → C + D (เกิดช้า)
กราฟข้อใดสอดคล้องกับข้อมูล
1. 2.
3. 4.
33
9. ปฏิกิริยา A → D มี 3 ขัน
้ ตอนย่อย เขียนกราฟแสดงพลังงานก่
้ ตอนย่อยทัง้ 3 ขัน
อกัมมันต์ของขัน ้ ได้ดังนี้
การเรียงลำาดับอัตราการเกิดปฏิกิริยาทัง้ 3 ขัน
้ ตอนย่อยของ
ปฏิกิริยา A → D ข้อใดถูกต้อง
1. (A→ B) > (B →C) > (C→D)
2. (C→D) > (A→B) .> (B→C)
3. (B→C) > (A→B) > (C→D)
4. (C→D) > (B→C) > (A→B)
10. จากกราฟอัตราการเกิดปฏิกิริยาถูกควบคุมด้วยปฏิกิริยาย่อยในข้อ
ใด
1. ้ x และ y
ขัน 2. ้ w และ x
ขัน
3. ้ x
ขัน 4. ้ w
ขัน
34
หน่วยที่ 3
เรื่อง ปั จจัยที่มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ าเคมี
**************************************************
อัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ า ขึ้นอย่่กับปั จจัยหลายอย่าง คือ
1. ธรรมชาติของสารตั้งต้น 4. อุณหภ่มิ
2. ความเข้มข้นของสารตั้งต้น 5. ตัวเร่งปฏิกิรย
ิ า
3. พื้ นที่ผิวของสารตั้งต้น 6. ตัวหน่วงปฏิกิรย
ิ า
อั ตราการเกิ ดปฏิ กิรย
ิ าจะเร็ วหรือ ช้า ก็ ข้ ึนอย่่ กับ ปั จจั ย ดั ง กล่ าว จะ
เห็นว่าปั จจัยที่มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ านั้ นเป็ นผลเนื่ องจากสารตั้งต้น
เท่านั้ น ไม่เกี่ยวข้องกับสารผลิตภัณฑ์ การที่ทราบว่าอัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ า
ขึ้ นอย่่ กับ ปั จจั ย อะไรบ้ าง ท้า ให้ส ามารถควบคุ มความเร็ ว ของปฏิ กิร ย
ิ าได้
ท้า ให้เกิ ดเร็ว หรือเกิดช้าตามต้อ งการ ปฏิ กิร ย
ิ าบางชนิ ดอาจจะเกิ ดได้ เ ร็ ว
35
ธรรมชาติของสารตั้งต้นที่มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ า
ปฏิกิรย
ิ าเคมีโดยทัว่ ๆ ไป จะมีอัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ าที่แตกต่างกัน มี
ตั้งแต่ช้ามากจนสังเกตไม่ได้ถึงเกิดขึ้นได้ทันที บางปฏิกิรย
ิ าอาจจะเกิดเร็ว
มากถึงหนึ่ งในล้านวินาที เช่น การระเบิดของดินปื น ปฏิกิรย
ิ าจ้า นวนมาก
เกิดขึนเร็ว เช่น ปฏิกิรย
ิ าระหว่างกรดกับเบสจะได้เกลือและน้้าทันที หรือ
ปฏิกิรย
ิ าระหว่างสารละลาย AgNO3 กับ NaCl จะได้ตะกอนขาว AgCl
ทันที
NaOH + HCl → NaCl + H2O
AgNO3 + NaCl → AgCl + NaNO3
ปฏิ กิ ร ย
ิ าบางชนิ ด อาจจะเกิ ด ช้ า มากจนไม่ เ ห็ น การเปลี่ ย นแปลงใน
ขณะทดลอง อาจจะต้ อ งใช้ เ วลาเป็ นวั น เดื อ น หรือเป็ นปี จึ ง จะเห็ น การ
เปลี่ยนแปลงนั้ น เช่น การเน่าเปื่ อยของซากพืช ซากสัตว์ การเกิดสนิ ม
ของโลหะต่างๆ เป็ นต้น
ส า ร ที่ มี อั น ย ร่ ป กั น มั ก จ ะ ท้า ป ฏิ กิ ริ ย า กั น ไ ด้ เ ร็ ว ไ ม่ เ ท่ า กั น เ ช่ น
ฟอสฟอรัส ขาวกั บ ฟอสฟอรัส แดง ที่ อุ ณ หภ่ มิ ห้ อ งฟอสฟอรัส ขาวจะลุ ก
ติ ด ไฟในอากาศได้ ทั น ที แต่ ฟ อสฟอรัส แดงไม่ เ กิ ด ปฏิ กิ ร ิย าทั้ งนี้ เพราะ
โครงสร้างของฟอสฟอรัสขาวนั้ นเป็ น P4 ลักษณะเป็ นโมเลกุลเดี่ยวๆ แต่
ฟอสฟอรัสแดงมีโครงสร้างที่ต่อกันเป็ นแนวยาว
ดังนั้ นฟอสฟอรัสขาวจึงเกิดปฏิกิรย
ิ าได้ง่ายกว่า เพราะไม่ต้องมีการ
ท้าลายพันธะมากเท่ากับฟอสฟอรัสแดง โดยทัว่ ๆ ไป การเกิดปฏิกิรย
ิ าเคมี
จะมีการสลายพันธะและสร้างพันธะในเวลาเดียวกัน ปฏิกิรย
ิ าจะเกิดเร็วหรือ
36
เช่น
5Fe + MnO4 + 8H → Mn + 5Fe +
2+ - + 2+ 3+
4H2O เกิดเร็ว
2H2 + O2 → 2H2O เกิดช้า
1. ความเข้มข้นของสารตั้งต้นกับอัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ าเคมี
ก่ อนที่จะพิ จารณาเกี่ย วกั บผลของความเข้มข้ น ที่ มีต่อ อั ตราการเกิ ด
ปฏิกิรย
ิ า ขอให้ท้าความเข้าใจเกี่ยวกับปฏิกิรย
ิ าเนื้ อเดียวและปฏิกิรย
ิ าเนื้ อ
ผสมก่อน
ก. ปฏิกิรย
ิ าเนื้ อเดียว หมายถึง ปฏิกิรย
ิ าที่สารตั้งต้นทั้งหมดรวมตัว
กันเป็ นสารเนื้ อเดียว อาจจะมีสถานะเป็ นของแข็ง ของเหลวหรือก๊าซก็ได้
เช่น ปฏิ กิร ย
ิ าที่ส ารตั้ง ต้น ทุกตั วเป็ นก๊ าซ ปฏิกิรย
ิ าที่ สารตั้ งต้ นทุ กตั วเป็ น
สารละลาย เป็ นต้น
N2 (g) + O2 (g) → 2NO (g)
NaOH (aq) + HCl (aq) → NaCl (aq) + H2O (l)
ข. ปฏิกิรย
ิ าเนื้ อผสม หมายถึง ปฏิกิรย
ิ าที่สารตั้งต้นทุกตัวไม่ได้รวม
เป็ นสารละลายเนื้ อเดียว อาจเป็ นปฏิกิรย
ิ าที่สารตั้งต้นอย่่ต่างสถานะ เช่น
ระหว่างของแข็งกับของเหลว หรือของเหลวกับก๊าซ เป็ นต้น หรือ อาจเป็ น
ปฏิกิรย
ิ าที่สารตั้งต้นละลายอย่่ในตัวท้าละลายต่างชนิ ด ซึ่งไม่ละลายกัน
Mg (s) + 2HCl (aq) → MgCl2 (aq) + H2 (g)
37
ไปในปฏิกิรย
ิ า หรือถ้าเป็ นปฏิกิรย
ิ าของก๊าซอาจจะเพิ่มความเข้มข้นโดยลด
ปริมาตรของภาชนะหรือเพิ่มความดัน
ความเข้มข้นของสารตั้งต้นแต่ละตัวในปฏิกิรย
ิ าอาจจะมีผลต่ออัตรา
การเกิดปฏิกิรย
ิ าไม่เท่ากัน บางตัวอาจจะมีผลมาก บางตัวอาจจะมีผลน้อย
หรือไม่มีผลเลยก็ได้ นั กวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาความสัมพันธ์ ระหว่ างความ
เข้มข้น ของสารตั้งต้นกับอัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ า เพื่อที่จะด่ว่าสารใดบ้าง มี
ผลต่อ อัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ าและมีผลมากน้อยอย่างไร โดยอาศัย law of
mass action ซึ่ ง กล่ าวว่ า “อั ตราการเกิ ด ปฏิ กิร ย
ิ าจะเป็ นสั ด ส่ ว นโดยตรง
กับความเข้มข้นของสารตั้งต้น ที่เข้าท้าปฏิกิรย
ิ า”
ในปฏิกิรย
ิ าเคมีทัว่ ๆ ไป aA + bB → cC + dD
A และ B เป็ นสารตั้งต้น
จาก law of mass action “อัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ า (R) α ความเข้ม
ข้นของสารตั้งต้น”
R α [A] และ R α [B]
m n
(1)
จากสมการที่ (1) เรียกว่า “กฎอัตราเร็ว” ซึ่งใช้แสดง ความสัมพันธ์
ระหว่าง ความเข้มข้นของสารตั้งต้นกับอัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ า กฎอัตราเร็ว
39
จะท้าให้ทราบว่า ความเข้มข้นของสารใดบ้างมีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ า
ท้า ให้ทราบว่าสารตั้งต้นชนิ ดใดมีผลโดยตรงต่อการเปลี่ยนแปลงอัตราการ
เกิดปฏิกิรย
ิ ามากกว่ากัน ทั้งนี้ ต้องหาค่า m และ n ก่อนโดยการทดลอง
R = อัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ า
k = ค่าคงที่อั ตราเร็ ว ซึ่ ง จะคงที่ ส้า หรับ ปฏิ กิร ย
ิ าหนึ่ ง ๆ ที่
อุ ณ หภ่ มิท่ี ก้า หนดให้ (k ของปฏิ กิร ย
ิ าหนึ่ ง จะเปลี่ ย นแปลงเมื่ ออุ ณ หภ่ มิ
เปลี่ยนเท่านั้ น)
m, n = คืออันดับของปฏิกิรย
ิ า เมื่อเทียบกับสาร A และ B
ตามล้าดับ (m + n) เรียกว่าเป็ นอันดับรวมของปฏิกิรย
ิ า m และ n จะ
มีค่าเป็ นอย่างไรก็ได้อาจเป็ น 0, 1, 2, 3, …. หรือเป็ นเลขเศษส่วน หรือมี
ค่ าเป็ นลบก็ได้ กล่ าวได้ ว่ าค่ า m และ n เป็ นตั วเลขที่ จะบอกให้ ท ราบว่ า
อัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ าขึ้นอย่่กับสารใดบ้าง มากหรือน้อยอย่างไร เช่น ถ้า
m > n แสดงว่าการเปลี่ยนความเข้มข้นของ A จะมีผลต่ออัตราการเกิด
ปฏิกิรย
ิ ามากกว่า B เป็ นต้น
ค่า m, n อาจจะเท่ากับ a และ b หรือไม่ก็ได้ ทั้งนี้ ขั้นอย่่กับ
ผลการทดลอง ดังนั้ นจึงไม่สามารถจะท้านายกฎอัตราเร็วจากสมการที่ดุล
ได้
ในกรณี ท่ีสารตั้งต้นมีเพียง 2 ชนิ ด คือ A กับ B จะพบว่ากฎอัตราเร็ว
จะมีตัวแปรที่ยังไม่ทราบค่าอย่่ 3 ตัว คือ k, m, และ n ในที่น้ ี จะหา
ค่ า ของตั ว แปรทั้ ง 3 ได้ จ ะต้ อ งมี ส มการทางคณิ ตศาสตร์ อ ย่ า งน้ อ ย 3
สมการ ซึ่ ง จะท้า ได้ โ ดยการทดลอง 3 การทดลองหรือ มากกว่ า เปลี่ ย น
ความเข้มข้นของ A และ B ไปเรื่อยๆ แล้วหาอัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ า เมื่อ
น้า ไปแทนค่าในกฎอัตราเร็วจะหาค่า k, m, และ n ซึ่งจะท้า ให้ทราบผล
ของความเข้มข้นที่มีต่ออัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ านั้ น ตัวอย่างเช่น
40
1. ถ้าผลการทดลองได้ค่า m = 1, n = 1
แสดงว่า R = k[A] [B]
อัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ าจะขึ้นอย่่กับความเข้มข้นของทั้ง A และ B
ถ้าความเข้มข้นของสารใดสารหนึ่ งเปลี่ยนแปลงไป อัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ า
จะเปลี่ยนแปลงไป
ปฏิกิรย
ิ านี้ เป็ นอันดับหนึ่ งเมื่อเทียบกับ A หรือ B และมีปฏิกิรย
ิ ารวม
เป็ นอันดับสอง
2. ถ้าผลการทดลองได้ m = 1, n = 0
แสดงว่า R = k[A]
อัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ าจะขึ้นอย่่กับสาร A เท่านั้ น ถ้าความเข้มข้นของ
สาร A เปลี่ยน อัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ าจะเปลี่ยน แต่ถ้าความเข้มข้นของ B
เปลี่ยนจะไม่มีผลใดๆ ต่ออัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ า
ในกรณี น้ ี จัดเป็ นปฏิกิรย
ิ าอันดับหนึ่ งเมื่อเทียบกับ A เป็ นอันดับศ่นย์
เมื่อเทียบกับ B และปฏิกิรย
ิ ารวมเป็ นอันดับหนึ่ ง
3. ถ้าผลการทดลองได้ m = 0, n = 0
แสดงว่า R = k
ในกรณี น้ ี สารตั้งต้นไม่มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ า ไม่ว่าความเข้ม
ข้นจะเปลี่ยนอย่างไรอัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ าจะไม่เปลี่ยนแปลง เรียกว่าเป็ น
ปฏิ กิ ร ย
ิ าอั น ดั บ ศ่ น ย์ ท้ ั ง ในแง่ ข อง A, B และปฏิ กิร ย
ิ ารวม ตั ว อย่ า ง เช่ น
การสลายตัวของ NH3 โดยมี Pt เป็ นคะตะไลส์
2NH3 (g) Pt
→ N2 (g) + 3H2 (g)
อี ก ตั ว อย่ า งหนึ่ ง คื อ ปฏิ กิ ร ย
ิ าการก้า จั ด อั ล กอฮอล์ อ อกจากกระแส
เลือดในตับของคน เมื่ออัลกอฮอล์เข้าส่่เลือด ร่างกายจะต้องขับออก อัตรา
41
การสลายตัวของอัลกอฮอล์ในร่างกายจะคงที่ไม่ว่าปริมาณของอัลกอฮอล์ใน
เลือดจะมากหรือน้อยเพียงใดก็ตาม
4. ถ้าผลการทดลองได้ m = 1, n = 2
แสดงว่า R = k[A] [B]
2
ในกรณี น้ ี อัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ าจะขึ้นอย่่กับสาร A และ B แต่สาร B
มีผลมากกว่า ถ้าความเข้มข้นของ A และ B เปลี่ยนแปลงเท่าๆ กัน การ
เปลี่ ย นแปลงของ B จะมี ผ ลต่ อ การเปลี่ ย นแปลงอั ต ราการเกิ ด ปฏิ กิ ร ย
ิ า
มากกว่า
ส้า หรับกรณี จัดเป็ นปฏิ กิร ย
ิ าอัน ดั บหนึ่ ง เมื่ อเทีย บกั บ A อันดั บสอง
เมื่อเทียบกับ B และปฏิกิรย
ิ ารวมเป็ นอันดับ สาม
5. ถ้าผลการทดลองได้ m และ n เป็ นเลขเศษส่วน เช่น
1
R = k[ A ][ B] 2
1 + [C] / k ' [ B]
กรณี ดังกล่าวจะมีปฏิกิรย
ิ าเกิดขึ้นหลายขั้นตอนและค่อนข้างซับซ้อน
(ไม่กล่าวถึงในที่น้ ี )
ที่ ก ล่ า วมา เป็ นเพี ย งตั ว อย่ า งที่ ส มมติ ข้ ึ นมาเพื่ อให้ ด่ ค วามสั ม พั น ธ์
ระหว่างความเข้มข้นกับอัตราการเกิดปฏิ กิรย
ิ า จะเห็น ได้ ว่าอัตราการเกิ ด
ปฏิกิรย
ิ าอาจจะขึ้นอย่่กับสารตั้งต้นเพียงชนิ ดเดียว หรือหลายๆ ชนิ ด หรือ
ไม่ข้ ึนกับสารใดเลยก็ได้ ในกรณี ท่ีข้ ึนกับสารตั้งต้นหลายตัวแต่ละตัวก็อาจ
จะมีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ าไม่เท่ากันก็ได้ โดยทัว่ ๆ ไป ความเข้มข้น
ของสารทุกตัวมักจะมีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ า ในปฏิกิรย
ิ าเคมีทัว่ ๆ ไป
ถ้าทราบการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจะเขียนสมการแสดงปฏิกิรย
ิ าได้ แต่จะ
ไม่สามารถท้า นายอัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ าจากสมการเหล่านี้ ได้ ไม่ทราบว่า
ปฏิกิรย
ิ าจะเกิดเร็วหรือช้า ไม่ทราบว่าความเข้มข้นของสารใดบ้างที่มีผลต่อ
42
อัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ า ทั้งนี้ เพราะอัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ าจะต้องได้จากผล
การทดลองเท่านั้ น
กรณี ท่ี มีส ารตั้ ง ต้ น มากกว่ า 2 ชนิ ด ก็ ส ามารถเขี ย นกฎอั ตราเร็ ว ได้
เช่นเดียวกัน เช่นปฏิกิรย
ิ า
2A + B + 3C → 2X + Y
เขียนกฎอัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ าได้เป็ น
R = k[A] [B] [C]
m n p
วิธีทำา
วิธีทำา
ง. ปฏิกิรย
ิ า A + 2B + P → 2X + Yก ฎ อั ต ร า เ ร็ ว R =
k[A] [B]
วิธีทำา
44
ตัวอย่างที่ 3 ปฏิกิรย
ิ าเกิดขึ้นดังสมการ A + 2B → C
การ ความเข้มข้นของ ความเข้มข้น อัตราการเกิด
ทดลอง A ของ B ของ C
(โมล/ลิตร) (โมล/ลิตร) (โมล/ลิตร-
วินาที)
1 1.0 1.0 2.5
2 2.0 1.0 2.5
3 1.0 2.0 5.0
4 1.0 2.0 5.0
วิธีทำา
45
การคำานวณอัตราเร็วของปฏิกิรย
ิ าเมื่อทราบกฎอัตราเร็ว
ตัวอย่างที่ 4 จากการทดลองเพื่อหาอัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ าตามสมการ A
+ 2B → C + 3D ได้ข้อม่ล ดังนี้
การทดลอง [A] (โมล/ [B] (โมล/ลิตร) R (โมล/ลิตร-
ที่ ลิตร) วินาที)
1 1 1 1 x 10
-3
2 2 1 4 x 10
-3
3 3 2 1.8 x 10
-2
4 2 3 1.2 x 10
-2
5 3 4 3.6 x 10
-2
ก. จงค้านวณกฎอัตราเร็วในเทอมของ A และ B
ข. ถ้า [A] = 4 โมล/ลิตร และ [B] = 2 โมล/ลิตร อัตราการเกิด
ปฏิกิรย
ิ าจะเป็ นเท่าใด
ค. ถ้ า ความเข้ ม ข้ น ของ A เป็ น 3 เท่ า ของ B อั ต ราการเกิ ด
ปฏิกิรย
ิ าจะเพิ่มขึ้นกี่เท่า
วิธีทำา
46
กฎอัตราเร็วในเทอมของความดัน
ในกรณี ที่ ส ารตั้ งต้ น เป็ นก๊ า ซ นอกจากจะพิ จ ารณาอั ต ราการเกิ ด
ปฏิกิรย
ิ า จากความเข้มข้นแล้ว ยังสามารถพิจารณาได้ในเทอมของความ
ดันของก๊าซได้
เช่นปฏิกิรย
ิ าต่อไปนี้ aA(g) + bB (g) → cC(g) + dD (g)
กฎอัตราเร็วสามารถเขียนในเทอมความดันได้เป็ น R = k P m
A PB
n
ตัวอย่างที่ 5 จากปฏิกิรย
ิ า 2NO (g) + 2H2 (g) → N2 (g) + 3H2O
(g) ที่ 1100 K วัดอัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ าได้ดังนี้
ความดัน H2 ความดัน NO อัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ า
(mmHg) (mmHg) (mmHg/s)
400 152 0.28
400 300 1.08
400 359 1.55
300 400 1.44
289 400 1.39
205 400 0.98
47
2. พื้ นที่ผิวของสารกับอัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ าเคมี
ดังที่ได้กล่าวไว้แล้วว่าปฏิกิรย
ิ าเคมีน้ ั นอาจจะแบ่งเป็ น 2 ประเภท
ตามลั ก ษณะของวั ฏ ภาค (phase) คื อ ปฏิ กิร ย
ิ าเนื้ อเดี ย ว ซึ่ ง สารตั้ ง ต้ น ทุ ก
ชนิ ดรวมกันเป็ นสารละลายเนื้ อเดียว และปฏิกิรย
ิ าเนื้ อผสม ซึ่งสารตั้งต้น
ไม่ ไ ด้ ร วมกั น เป็ นเนื้ อเดี ย ว เช่ น อาจจะเป็ นของเหลวกั บ ของแข็ ง หรือ
ของเหลวกับก๊าซ ในกรณี ท่ีเป็ นปฏิกิรย
ิ าเนื้ อเดียว ความเข้มข้นของสารตั้ง
ต้นจะเป็ นปั จจัยที่ส้าคัญในการควบคุมอัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ า ในกรณี ท่ีเป็ น
ปฏิ กิร ย
ิ าเนื้ อผสม นอกจากจะพิ จ ารณาความเข้ มข้ น ของสารแล้ ว ยั ง ต้ อ ง
พิจารณาปั จจัยอื่นๆ อีก คือ พื้ นที่ผิวของสารตั้งต้นที่มาท้าปฏิกิรย
ิ า ดังเช่น
ปฏิ กิร ย
ิ าระหว่ า ง Mg(s) กั บ HCl (aq) จะพบว่ าพื้ นที่ ผิ ว ของ Mg มี ส่ ว น
ส้าคัญมากในการควบคุมอัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ า
Mg (s) + HCl (aq) → MgCl2 (aq) + H2 (g)
48
3. อุณหภ้มิกับอัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ าเคมี
นอกเหนื อจากความเข้มข้นและพื้ นที่ผิวของสารตั้งต้นจะมีผลโดยตรง
ต่ อ อั ตราการเกิ ด ปฏิ กิ ร ย
ิ าเคมี แ ล้ ว ปั จจั ย ที่ ส้า คั ญ อี ก อย่ า งหนึ่ ง ที่ มี ผ ลต่ อ
อัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ าเคมี คืออุณหภ่มิ โดยทัว่ ๆ ไป เมื่ออุณหภ่มิของระบบ
ส่งขึ้นอัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ ามักจะเกิดเร็วขึ้น แต่มีบ้างเหมือนกันที่อุณหภ่มิ
ไม่ มี ผ ลต่ อ อั ต ราการเกิ ด ปฏิ กิ ร ย
ิ า หรือ มี ผ ลในทางตรงกั น ข้ า ม คื อ ท้า ให้
ปฏิ กิ ร ิย าเกิ ด ช้ า ลง เช่ น ปฏิ กิ ร ิย า I + I →I2 ถ้ า เพิ่ ม อุ ณ หภ่ มิ จ ะท้า ให้
ปฏิ กิ ร ิย าเกิ ด ช้ า ลง เป็ นต้ น อย่ า งไรก็ ต ามปฏิ กิ ร ิย าเคมี ส่ ว นใหญ่ เมื่ อ
อุณหภ่มิสง่ ขึ้น จะมีอัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ าเร็วขึ้น
ตัวอย่างเช่น เมื่อวางแผ่นโลหะ Mg ไว้ในอากาศที่อุณหภ่มิห้อง ผิว
ของ Mg จะค่อยๆ เปลี่ยนเป็ นสีเทาทั้งนี้ เพราะเกิด MgO
MgO (s) + O2 (g) → 2MgO (s)
49
การเกิดปฏิกิรย
ิ านี้ จะช้ามาก แต่ถ้าน้า แผ่น Mg นี้ เผาในเปลวไฟจะ
พบว่ า สามารถเกิ ด ปฏิ กิ ร ิย าได้ MgO ภายในเวลาไม่ ก่ี วิ น าที แสดงว่ า
อุณหภ่มิช่วยท้าให้ปฏิกิรย
ิ าเกิดเร็วขึ้น
ในชีวิตประจ้า วัน จะพบว่า อุณหภ่มิมีส่วนเกี่ยวข้องกับปฏิกิรย
ิ าเคมี
เสมอๆ เช่น การเก็บอาหารไว้ในต้่เย็น จะเก็บไว้ได้นานกว่าการเก็บอาหาร
ไว้ ท่ี อุ ณ หภ่ มิ ห้ อ ง เนื่ องจากที่ อุ ณ หภ่ มิ ต่้ า สามารถป้ องกั น การบ่ ด เน่ า ของ
อาหารได้ ดี กว่ า ทั้ง นี้ เพราะการบ่ ดเน่ าเกิ ด จากแบคที เ รีย ขั บ สารบางชนิ ด
ออกมาย่อยสายสารอินทรีย์ ถ้าอุณหภ่มิต้่ากว่าปฏิกิรย
ิ าเคมีในอาหารนั้ นจะ
เกิดช้า ท้าให้การบ่ดเน่าเกิดช้าลง พวกยาบางชนิ ด เช่น ยาปฏิชีวนะ วัคซีน
ป้ องกั น พิ ษสุ นั ข บ้ า ต้ อ งเก็ บ ไว้ ท่ี อุ ณ หภ่ มิต่้ า เนื่ องจากยาเหล่ า นี้ สลายตั ว
ง่ายที่อุณหภ่มิห้อง การปรุงอาหารก็เช่นเดียวกัน ถ้าใช้อุณหภ่มิส่ง อาหาร
จะสุกเร็วกว่าที่อุณหภ่มิต้่า แต่ในขณะเดียวกัน การสลายของสารอาหารหรือ
สารที่มีคุณค่าทางอาหารส่งก็จะสลายตัวเร็วเช่นกัน
ตัวอย่างของการศึกษาผลของอุ ณหภ่ มิท่ี มีต่ออั ตราการเกิ ดปฏิ กิร ย
ิ า
ได้แก่ ปฏิกิรย
ิ าระหว่ าง KMnO4 กับ H2C2O4 ใน H2SO4 โดยวัดอัตรา
การเกิดปฏิกิรย
ิ าจากการฟอกสีของ KMnO4
2MnO4 + 5C2O4 + 16H → 2Mn + 8H2O +
- 2- + 2+
10CO2
จากการทดลองพบว่าเมื่อใช้ความเข้มข้นและปริมาณของสารเท่ากัน
ที่อุณหภ่มิส่งการฟอกจางสีของ KMnO4 (เปลี่ยนจากสีม่วงแดงไม่มีสี)
จะเกิดได้เร็วกว่าที่อุณหภ่มิต้่า
4. ตัวเร่งปฏิกิรย
ิ าและตัวหน่วงปฏิกิรย
ิ า
การเพิ่มอัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ าเคมีนอกจากจะท้าได้โดยการเพิ่มความ
เข้ มข้ น ของสารตั้ ง ต้ น เพิ่ ม พื้ นที่ ผิ ว ของสารตั้ ง ต้ น และการเพิ่ ม อุ ณ หภ่ มิ
50
แล้ว ยังอาจจะเพิ่มอัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ าได้ โดยการเติมสารที่เรียกว่า ตัว
เร่งปฏิกิรย
ิ าลงไป ในท้านองกลับกัน อาจจะท้าให้ปฏิกิรย
ิ าเกิดช้าลงโดยการ
เติมสารที่เรียกว่า ตัวหน่วงปฏิกิรย
ิ า หรือตัวขัดขวางปฏิกิรย
ิ าลงไป สารที่
เป็ นตัวเร่งปฏิกิรย
ิ าหรือตัวหน่วงปฏิกิรย
ิ านั้ นส่วนมากจะใช้เพียงเล็กน้อย
ตัวเร่งปฏิกิรย
ิ า หมายถึง สารที่ท้า ให้ปฏิกิรย
ิ าเกิดเร็วขึ้น เมื่อสิ้นสุด
ปฏิกิรย
ิ าแล้วสารนั้ นจะต้องได้กลับมาเท่าเดิม ตัวเร่งปฏิกิรย
ิ าจะต้องมีส่วน
ร่วมในการเกิดปฏิกิรย
ิ าเสมอ โดยอาจจะมีส่วนร่วมโดยตรง หรือมีส่วนร่วม
โดยอ้อมก็ได้ แต่อย่างไรก็ตามเมื่อสิ้นสุดปฏิกิรย
ิ าแล้ว ตัวเร่งปฏิกิรย
ิ าจะ
ต้ อ งได้ ก ลั บ คื น มาเท่ า เดิ ม กระบวนการที่ มี ก ารเติ ม ตั ว เร่ ง ปฏิ กิ ร ย
ิ าลงไป
เรียกว่า กระบวนการคะตะลิซีส (catalysis)
ตัวเร่งปฏิกิรย
ิ าอาจจะแบ่งเป็ น 2 ประเภทดังนี้
ก. ตัวเร่งปฏิกิรย
ิ าเนื้ อเดียว หมายถึง ตัวเร่งปฏิกิรย
ิ าที่อย่่ในวัฏภาค
หรืออย่่ในสถานะเดียวกับสารตั้งต้น เช่น เป็ นของแข็งเหมือนกัน หรือเป็ น
ของเหลวเหมื อ นกั น ดั ง เช่ น การใช้ MnO2 (s) เป็ นตั ว เร่ ง ปฏิ กิ ร ย
ิ าใน
การเตรียม O2 จากการเผา KClO3 (s)
2KClO3 (s) 2KCl (s) + 3O2 (g)
M n O (s )
2 →
∆
เนื่ องจากตัวเร่งปฏิกิรย
ิ าไม่ได้ถ่กใช้ไปในการเกิดปฏิกิรย
ิ า ถึงแม้ว่าตัว
เร่ ง ปฏิ กิร ย
ิ าจะมี ส่ ว นเกี่ ย วข้ องกั บ ปฏิ กิร ย
ิ าก็ ตามที แต่ ห ลั ง จากปฏิ กิ ร ย
ิ า
สมบ่รณ์แล้วจะได้กลับมาเท่าเดิม ดังนั้ นการเขียนสมการเพื่อแสดงตัวเร่ง
ปฏิกิรย
ิ าจึงนิ ยมเขียนไว้บนล่กศรในสมการ ดังเช่น การเผา KClO3
ถ้าไม่ใช้ MnO2 ปฏิกิรย
ิ าจะเกิดขึ้นได้จะต้องใช้อุณหภ่มิและความดัน
ส่ง แต่ถ้าใช้ MnO2 เป็ นตัวเร่งปฏิกิรย
ิ า จะเกิด O2 ได้เร็วและไม่ต้องใช้
อุณหภ่มิหรือความดันส่ง
51
อี ก ตั ว อย่ า งหนึ่ งได้ แ ก่ ก ารใช้ MnSO4 (aq) เป็ นตั ว เร่ ง ปฏิ กิ ร ิย า
ระหว่าง H2C2O4 (aq) กับ KMnO4 (aq)
2MnO4 (aq) + 5C2O4 (aq) + 16H (aq) 2Mn (aq) +
- 2- + M nSO (aq) 2+
4 →
ปฏิกิรย
ิ าระหว่าง Ce (aq) กับ Ti (aq) ดังนี้
4+ +
……………….. (2)
Mn (aq) + Ti (aq) Mn (aq) + Ti (aq)
4+ + 2+ 3+
→
…………………(3)
(1)+(2)+(3); 2Ce (aq) + Ti (aq) + Mn (aq) → 2Ce (aq) + Ti
4+ + 2+ 3+ 3+
(aq) + Mn (aq)
2+
จะเห็นได้ว่ามี Mn ทั้งทางซ้ายและขวาของสมการในปริมาณที่เท่า
2+
จะได้กลับคืนมาเท่าเดิม เมื่อปฏิกิรย
ิ าสิ้นสุด เขียนสมการใหม่เป็ น
2Ce (aq) + Ti (aq) 2Ce (aq) + Ti (aq)
4+ + Mn 2 + (aq )
3+ 3+
→
ข. ตัวเร่งปฏิกิรย
ิ าเนื้ อผสม หมายถึง ตัวเร่งปฏิกิรย
ิ าที่มีวัฎภาคต่าง
จากสารตั้ งต้ น เช่ น เมื่ อสารตั้ งต้ น ทั้ งหมดเป็ นก๊ า ซแต่ ตั ว เร่ ง ปฏิ กิ ร ิย า
52
ของแข็ ง หรือ สารตั้ ง ต้ น เป็ นของเหลว แต่ ตั ว เร่ ง ปฏิ กิ ร ิย าเป็ นของแข็ ง
เป็ นต้น
ตัวอย่างเช่น การใช้ Pt หรือ Ni หรือ Pd เป็ นตัวเร่งปฏิกิรย
ิ าใน
ปฏิกิรย
ิ าระหว่าง H2 กับ O2
2H2 (g) + O2 (g) Pt
→ 2H2O (l)
Pt เป็ นของแข็ง ในขณะที่ H2 และ O2 เป็ นก๊าซ ดังนั้ น Pt จึงเป็ น
ตัวเร่งปฏิกิรย
ิ าเนื้ อผสม ถ้าไม่ใช้ Pt ปล่อยให้ปฏิกิรย
ิ าเกิดขึ้นเองจะเกิด
ช้ามาก
อีกตัวอย่างหนึ่ งได้แก่ การใช้โลหะ Pt, Ni, Fe หรือ Pd เป็ นตัวเร่ง
ปฏิกิรย
ิ า ในปฏิกิรย
ิ าการเติม H2 ให้แก่สารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่ไม่อ่ิม
ตัว เช่น C2H4 (g)
H2 (g) + C2H4 (g) Ni
→ C2H6 (g)
ในปฏิกิรย
ิ านี้ Ni ท้า หน้าที่เป็ นตัวเร่งปฏิกิรย
ิ าเนื้ อผสม เนื่ องจาก
อย่่ในสถานะที่แตกต่างจาก H2 และ C2H4
ในปฏิกิรย
ิ าการเติม H2 นี้ ถ้าไม่ใส่ตัวเร่งปฏิกิรย
ิ า จะท้า ให้ปฏิกิรย
ิ า
เกิดช้ามาก รวมทั้งต้องใช้สภาวะของอุณหภ่มิและความดันที่รุนแรง
ส้า หรับตัวเร่งปฏิกิรย
ิ าเนื้ อผสม พื้ นที่ผิวของตัวเร่งปฏิกิรย
ิ าจะมีผล
ต่ออัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ ามาก ยิ่งพื้ นทีผ
่ ิวของตัวเร่งปฏิกิรย
ิ ามากจะยิ่งท้าให้
ปฏิกิรย
ิ าเกิดเร็วมาก ถ้าพื้ นที่ผิวของตัวเร่งปฏิกิรย
ิ าน้อย ปฏิกิรย
ิ าจะเกิดช้า
เพราะปฏิกิรย
ิ าจะเกิดขึ้นที่ผิวของตัวเร่งปฏิกิรย
ิ า โดยที่ตัวเร่งจะช่วยท้าให้
พันธะของสารตั้งต้นที่มาสัมผัสผิวอ่อนลง หรือแตกออกท้าให้เกิดปฏิกิรย
ิ า
ได้ง่าย
ในกรณี ของปฏิกิรย
ิ าการเติม H2 ให้แก่สารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่
ไม่อ่ิมตัว พบว่าปฏิกิรย
ิ าจะเกิดขึ้นที่ผิวของโลหะ ซึ่งอธิบายได้ว่าเนื่ องจาก
53
2H2O2 Fe3+
→ 2H2O + O2
ถ้ามีการเติ มเกลื อฟอสเฟตลงไป ฟอสเฟตไอออน (PO4 ) จะรวม
3-
ฟอสเฟตยั ง ช่ ว ยท้า ให้ Fe กลายเป็ น Fe ซึ่ ง ไม่ ท้า ให้ H2O2 สลายตั ว
3+ 2+
ในร่ า งกายของคนก็ มี เ อนไซม์ ห ลายชนิ ด ที่ ท้า หน้ า ที่ เ ป็ นตั ว เร่ ง
ปฏิกิรย
ิ า เช่น ในกระบวนการย่อยน้้าตาล ถ้าน้าน้้าตาลมาละลายในน้้าที่ 37
องศาเซลเซียส ซึ่งเป็ นอุณหภ่มิใกล้เคียงกับอุณหภ่มิในร่างกายจะปรากฎว่า
ไฮโดรไลส์ยากมาก แม้ว่าจะปล่อยทิ้งไว้ 2 -3 วัน การเปลี่ยนแปลงแทบจะ
ไม่เกิดขึ้นเลย แต่เมื่อคนรับประทานน้้าตาลเข้าไป น้้าตาลนั้ นจะถ่กย่อยให้
เป็ น CO2 และ H2O ได้ทันที
C12H22O11 + 12O2 → 12CO2 + 11H2O
ทั้งนี้ เพราะมีเอนไซม์ช่วยย่อยน้้าตาลเหล่านั้ น ในน้้าลายก็มีเอนไซม์
เรียกว่า อะไมเลส ช่วยย่อยอาหารจ้า พวกแป้ งให้เป็ นน้้าตาล ในน้้าย่อยมี
เอนไซม์เรียกเปปซิน ช่วยย่อยโปรตีน เป็ นต้น
ตั ว เน่ ง ปฏิ กิร ย
ิ า สามารถใช้ ใ นขบวนการก้า จั ด มลพิ ษ ของอากาศได้
เช่น ใช้ในการก้า จัดก๊าซพิษ CO และ NO โดยใช้เครื่องคะตะไลติก คอน
เวอร์เตอร์ ในเครื่องยนต์ ใช้ Pt ช่วยท้า ให้ CO และไฮโดรคาร์บอนส่วนที่
ยังไม่เผาไหม้กลายเป็ น CO2 และ H2O ในขณะเดียวกันพวกโลหะทรานซิ
ชัน หรือธาตุเฉื่อยในคะตะไลติกคอนเวอร์เตอร์ก็ช่วยในการรีดิวซ์ NO และ
NO2 ให้กลายเป็ น N2 ซึ่งเป็ นผลให้มีการลดก๊าซพิษลงได้
**********************************************************
*****************
แบบทดสอบท้ายการจัดการเรียน
เรื่อง ปั จจัยที่มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ าเคมี
จงเลือกคำำตอบที่ถูกต้องที่สุดจำกคำำถำมแต่ละข้อ
55
1. ปฏิกิรย
ิ าใดต่อไปนี้ที่อัตราการเกิดปฏิกิริยาไม่ข้ ึนกับความเข้มข้น
ของสารตัง้ ต้น
1. ปฏิกิริยาระหว่างโลหะแมกนี เซียมกับสารละลายกรดไฮโดร
คลอริก
2. ปฏิกิริยาระหว่างกรดออกซาลิกกับโพแทสเซียมเปอร์แมงกา
เนต
3. ปฏิกิริยาระหว่างแอลกอฮอล์ในเลือด
4. ปฏิกิริยาระหว่างโซเดียมไทโอซัลเฟตกับสารละลายกรดไฮโดร
คลอริก
2. ถ้าปฏิกิริยาระหว่างหินปูนปริมาณมากเกินพอกับสารละลายกรดไฮ
โดรคลอริกเข้มข้น 0.3
โมลต่อลูกบาศก์เดซิเมตร ปริมาตร 20 ลูกบาศก์เซนติเมตร ที่ 20
องศาเซลเซียส มีอัตราการ
เกิดปฏิกิริยาเท่ากับ A และได้รับปริมาณผลิตภัณฑ์เท่ากับ B เมื่อ
เปลี่ยนไปใช้กรดไฮโดร-
คลอริกเข้มข้น 1 โมลต่อลูกบาศก์เดซิเมตร โดยมีอุณหภูมิเท่าเดิม
จะได้ผลอย่างไร
ข้ อัตราการเกิด ปริมาณ
อ ปฏิกิรย
ิ า ผลิตภัณฑ์
1 มากกว่า A มากกว่า A
. มากกว่า A เท่ากับ B
2 น้ อยกว่า A น้ อยกว่า B
56
. น้ อยกว่า A เท่ากับ B
3
.
4
.
3. เมื่ อใช้ ส ารละลายกรดไฮโดรคลอริ ก เข้ ม ข้ น 1 โมลต่ อ ลู ก บาศก์
เดซิเมตร ปริมาตร 25
ลู ก บ า ศ ก์ เ ซ น ติ เ ม ต ร เ ท ล ง ใ น หิ น ปู น ชิ้ น เ ล็ ก ๆ จ ะ มี แ ก๊ ส
คาร์บอนไดออกไซด์เกิดขึ้น การ
เปลี่ ย นแปลงในข้ อ ใดไม่ ทำา ให้ เ พิ่ ม อั ต ราการเกิ ด ปฏิ กิ ริ ย าเคมี ใ น
ระยะเริ่มต้น
ใช้สารละลายกรดไฮโดรคลอริกเข้มข้น 1 mol/dm ปริมาตร
3
1.
ของ 100 cm
3
4. บดหินปูนให้เป็ นผงละเอียดก่อนทำาปฏิกิรย
ิ าเคมี
4. คำาตอบที่ถูกต้องที่สุดสำาหรับการอธิบายว่า เมื่อเพิ่มอุณหภูมิของ
ระบบสูงขึ้นเล็กน้ อยอัตรา
การเกิดปฏิกิริยาเคมีจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว คือข้อใด
1. จำานวนครัง้ ของการชนกันระหว่างอนุภาคเพิ่มขึ้น
57
2. พลังงานจลน์ เฉลี่ยของโมเลกุลเพิ่มขึ้น
3. สัดส่วนของโมเลกุลที่มีพลังงานมากกว่าหรือเท่ากับพลังงานก่
อกัมมันต์มากขึ้น
4. พลังงานก่อกัมมันต์ของปฏิกิริยาเพิ่มขึ้น
5. การกระจายพลั ง งานจลน์ ข องโมเลกุ ล ของแก๊ ส ที่ อุ ณ หภู มิ T1, T2
และ T3 (T3 > T2 > T1)
แสดงเป็ นกราฟได้ดังรูป เมื่อ Ea คือพลังงานก่อกัมมันต์ ข้อความ
ในข้อใดถูกต้อง
1. ่ ุณหภูมิ T1 ปฏิกิริยาเกิดเร็วที่สุด
ทีอ
อุณหภูมิ T2
6. โดยทั ่วไปอั ตราการเกิ ด ปฏิ กิริย าเคมี เพิ่ มขึ้ น ประมาณ 2 เท่า เมื่ อ
เพิ่มอุณหภูมิ 10 องศา
เซลเซียส ในการทดลองหนึ่ ง สารตัว อย่า งของโพแทสเซีย มคลอ
เรตสลายตัว 90 เปอร์เซ็นต์
โดยมวล ในเวลา 20 นาที ถ้าเพิ่มอุณหภูมิข้ ึน 20 องศาเซลเซียส
สารตัวอย่างจะใช้เวลาในการ
กี่นาที
1. 2.5 นาที 2. 5 นาที
3. 10 นาที 4. 15 นาที
7. ศึกษาการทดลองการเกิดปฏิกิริยาสลายตัวของสาร Y ที่มีสีขาวไป
เป็ นสาร Z ซึ่งมีสีเหลือง ดังนี้
ข้
การทดลอง ผลที่สังเกตได้
อ
ก. ตัง้ ผลึก Y ไว้ในที่มีแสง
ข. ตัง้ ผลึก Y ในที่มืด เกิดสีเหลืองที่ผิว ภายใน
ค. ตัง้ สารละลาย Y ไว้ในที่มืด 5 นาที
ง. ตัง้ สารละลาย Y ไว้ในที่มืด เกิดเป็ นสีเขียว
จ. อุณหภูมิ 60°C เกิดเป็ นสีเขียว
ตัง้ สารละลาย Y ไว้ในที่สว่าง เกิดเป็ นสีเขียว
เกิดเป็ นสีเหลืองอมเขียว
ภายใน 5 นาที แล้ว
ค่อยๆ เปลี่ยนเป็ นสี
59
เหลือง
ข้อใดไม่สามารถสรุปได้จากการทดลองข้างต้น
1. สาร Y ไม่เหมาะที่จะใช้ทำาสีทาบ้าน
2. อัตราการสลายตัวของสาร Y ไม่ข้ ึนกับอุณหภูมิ
3. อัตราการสลายตัวของสาร Y ขึ้นกับความเข้มข้น
4. การสลายตัวของสาร Y เกิดขึ้นได้ทุกสภาพเมื่อมีแสง
คำาชี้แจง จงใช้ข้อมูลตอบคำาถามข้อ 8-9
ิ าที่แตกต่างกัน 4 ปฏิกิริยาทีอ
ปฏิกิรย ่ ุณหภูมิเดียวกัน จะมีการกระ
จายพลังงานจลน์ ที่เหมือนกัน ยกเว้นค่าพลังงาน E ดังแสดงในรูป ก-ง
ตามลำาดับ
60
8. ภายใต้เงื่อนไขเดียวกันปฏิกิริยาใดเกิดขึ้นเร็วที่สุด
1. ปฏิกิริยาที่ 1 2. ปฏิกิริยาที่ 2
3. ปฏิกิริยาที่ 3 4. ปฏิกิริยาที่ 4
9. ถ้าเติมตัวหน่ วงปฏิกิริยาลงในปฏิกิริยาที่ 1 จะมีผลอย่างไร
1. เส้นโค้งการกระจายพลังงานจลน์ จะเลื่อนไปทางซ้าย
2. เส้นโค้งการกระจายพลังงานจลน์ จะเลื่อนไปทางขวา
ก่อกัมมันต์เพิ่มขึ้น
10. ปฏิกิรย
ิ า H2O2(aq) H2O(l) + O2(g) เมื่อเติม
สารละลาย KI ในปฏิกิริยาเกิดแก๊ส O2
ได้เร็วขึ้น เนื่ องมาจากข้อใด
1. สารละลาย KI ลดพลังงานก่อกัมมันต์ของปฏิกิริยา
2. สารละลาย KI เพิ่มพลังงานให้กับสารตัง้ ต้น
3. สารละลาย KI ทำาให้การชนกันของโมเลกุลของสารตัง้ ต้นเกิด
ได้มากขึ้น
4. สารละลาย KI ช่วยเพิ่มพลังงานให้กับโมเลกุล
62
หน่วยที่ 4
เรื่อง การอธิบายผลของปั จจัยที่มีผลต่ออัตราการเกิด
ปฏิกิรย
ิ าเคมี
***************************************************
1. การอธิบายผลของความเข้มข้นต่ออัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ าเคมี
โดยทั ่ ว ไปเมื่ อความเข้ ม ข้ น ของสารตั้ งต้ น เพิ่ ม ขึ้ น อั ต ราการเกิ ด
ปฏิ กิ ร ย
ิ าจะเพิ่ ม ขึ้ น เมื่ อ ความเข้ มข้ น ของสารตั้ ง ต้ น ลดลง อั ตราการเกิ ด
ปฏิกิรย
ิ าจะลดลงด้วย สามารถอธิบายโดยใช้ทฤษฎีการชนกันของโมเลกุล
การเพิ่ ม หรือ ลดความเข้ ม ข้ น ของสารตั้ งต้ น ก็ คื อ การเพิ่ ม หรือ ลด
จ้านวนอนุ ภาคของสารตั้งต้นในระบบนั ่นเอง ถ้าเพิ่มความเข้มข้น จ้านวน
อนุ ภาคย่อมมากขึ้น โอกาสที่อนุ ภาคจะชนกันย่อมมากขึ้นด้วย นอกจากนี้
เมื่อจ้านวนอนุ ภาคเพิ่มขึ้น อนุ ภาคส่วนที่มีพลังงานส่งจะมากขึ้นด้วย เมื่อ
อนุ ภาคที่มีพลังงานส่งๆ เหล่านี้ มาชนกัน ย่อมท้าให้อัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ า
เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงความเข้มข้นของสารตั้งต้นบางครั้ง
อาจจะไม่มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ าก็ได้
การอธิบายเหตุผลที่ว่าท้า ไมอัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ าบางครั้งขึ้นอย่่กับ
ความเข้ ม ข้ น ของสารตั้ ง ต้ น บางตั ว โดยใช้ ท ฤษฎี ก ารชนกั น ของโมเลกุ ล
63
(II) ถ้าปฏิกิรย
ิ าเกิดขึ้น 2 ขั้นตอน
A + B → X เกิดช้า
X + A → C + D เกิดเร็ว
ปฏิกิรย
ิ ารวม; 2A + B→ C + D
ในกรณี น้ ี อัตราเร็วจะเป็ น R = k [A] [B] ทั้งนี้ เพราะขั้นที่ใช้ตัดสิน
อัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ าคือ ขั้นที่เกิดช้าที่สุด และในขั้นที่เกิดช้ามี A และ
B อย่างละ 1 โมเลกุล จึงเขียนกฎอัตราเร็วได้เป็ น
R = k [A] [B]
(III) ถ้าปฏิกิรย
ิ าเกิดขึ้น 2 ขั้นตอน
A + A → A2 (เกิดช้า)
A2 + B → C + D (เกิดเร็ว)
64
ปฏิกิรย
ิ ารวม 2A + B → C + D
ในกรณี น้ ี อัตราเร็วจะเป็ น R = k [A] ทั้งนี้ เพราะตอนที่เกิดช้า
2
พลังงานก่อกัมมันต์ของปฏิกิรย
ิ าคือ a ซึ่งเป็ นพลังงานก่อกัมมั นต์
ของขั้นย่อยขั้นแรกที่เกิดช้าที่สุดนั ่นเอง
66
โดยสรุป
1. กลไกของปฏิกิรย
ิ า หมายถึง ขั้นตอนต่างๆ ของการเกิดปฏิกิรย
ิ า
ปฏิกิรย
ิ าเคมีหนึ่ งๆ อาจจะมีข้ ันตอนของการเกิดปฏิกิรย
ิ าเพียง 1 ชั้นตอน
แต่ปฏิกิรย
ิ าบางชนิ ดอาจจะเกิดขั้นหลายขั้นตอน แต่ละขั้นตอนเรียกว่า ขั้น
ย่อยของปฏิกิรย
ิ า
2. ทุกๆ ขั้นย่อย จะมีพลังงานก่อกัมมันต์ หรือพลังานกระตุ้นประจ้า
ขั้น และมีค่าต่างๆ กัน ขั้นตอนย่อยที่ส้าคัญที่สุดคือ ขั้นตอนที่เกิดช้าที่สุด
ซึ่ ง จะมี พ ลั ง งานก่ อ กั ม มั น ต์ ม ากที่ สุ ด เรีย กว่ า ขั้ นตั ด สิ น อั ต ราการเกิ ด
ปฏิกิรย
ิ า กฎอัตราเร็วจะได้มาจากขั้นย่อยที่เกิดช้าที่สุดนี้
3. โดยทั ่ว ๆ ไปเมื่ อทราบกลไกของปฏิ กิ ร ิ ย า จะสามารถหากฎ
อั ตราเร็ ว ได้ และในทางตรงกั น ข้ าม ถ้ าทราบกฎอั ต ราเร็ ว ก็ ส ามารถเขี ย น
กลไกของปฏิกิรย
ิ าได้เช่นเดียวกัน
ตัวอย่างของกลไกของปฏิกิรย
ิ า
1. ปฏิกิรย
ิ า H2 (g) + Cl2 (g) → 2HCl (g) เขียนกลไกของ
ปฏิกิรย
ิ าได้ดังนี้
Cl2 (g) + แสง 2Cl (g)
………………….(a)
Cl(g) + H2 (g) → HCl (g) + H (g)
………………….(b)
H (g) + Cl2 (g) → HCl (g) + Cl (g)
………………….(c)
Cl (g) + Cl (g) → Cl2 (g)
………………….(d)
67
ปฏิ กิ ร ิ ย านี้ มี 4 ขั้ นตอน ตั้ งแต่ (a) - (d) จั ด ว่ า เป็ นกลไกของ
ปฏิกิรย
ิ าล่กโซ่ โดยเริม
่ ต้อนจากขั้น (a) จนถึงขั้น (d) แล้วจะวนกลับไป
ขั้น (a) ใหม่ต่อเนื่ องกันไป
ร่ปที่ 1 กลไกของการเกิดปฏิกิรย
ิ า H2 + Cl แสง
→ 2HCl
2. ปฏิกิรย
ิ า 2NO + O2 → 2NO2
มีกลไกของปฏิกิรย
ิ าเป็ น
NO + O2 OONO เกิดเร็ว
NO + OONO → 2NO2 เกิดช้า
มีกฎอัตราเป็ น R = k [NO] [O2]
2
3. ปฏิกิรย
ิ า NO2 + CO → CO2 + NO
ที่อุณหภ่มิต้่ากว่า 500 K มีกลไกของปฏิกิรย
ิ าดังนี้
NO2 + NO2 → NO3 + NO เกิดช้า
NO3 + CO → NO2 + CO2 เกิดเร็ว
มีกฎอัตราเป็ น R = k [NO2]
2
2. การอธิบายผลของอุณหภ้มิต่ออัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ าเคมี
ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่าโดยทัว่ ๆ ไป อุณหภ่มิจะมีผลโดยตรงต่ออัตรา
การเกิ ด ปฏิ กิ ร ิย า ถ้ า อุ ณ หภ่ มิ ต้่ า ปฏิ กิ ร ิย าจะเกิ ด ช้ า และถ้ า อุ ณ หภ่ มิ ส่ ง
ปฏิกิรย
ิ าจะเกิดเร็ว
68
พิจารณาตัวอย่างต่อไปนี้
1. ปฏิ กิ ร ิย าระหว่ า งลวดแมกนี เ ซี ย ม (หรือ ฝอยเหล็ ก ) กั บ O2 ใน
อากาศ ซึ่งจะได้เป็ นแมกนี เซียมออกไซด์ ตามสมการ 2Mg + O2 →
2MgO + พลังงาน
ที่ อุ ณ หภ่ มิ ห้ อ ง ปฏิ กิ ร ิย าจะเกิ ด ช้ า มาก แต่ ถ้ า เพิ่ ม อุ ณ หภ่ มิ ใ ห้ กั บ
ปฏิกิรย
ิ า โดยการน้า ลวด Mg เผาโดยตรงในเปลวไฟ จะพบว่ า ปฏิ กิร ย
ิ า
เกิ ด ขึ้ นทั น ที ไ ด้ เ ป็ น MgO และจะเกิ ด ต่ อ เนื่ องกั น ไปถึ ง แม้ ว่ า จะน้า ลวด
Mg ออกจากเปลวไฟแล้วก็ตาม Mg จะติดไฟจนหมด การที่เป็ นเช่นนี้
เนื่ องจากเมื่อ Mg รวมกับ O2 จะคายความร้อนออกมาจ้านวนหนึ่ ง ความ
ร้อนที่คายออกมานี้ จะช่วยให้ปฏิกิรย
ิ าด้าเนิ นต่อไปได้เอง
2. ปฏิกิรย
ิ าระหว่าง H2 กับ O2 ได้เป็ น H2O ตามสมการ 2H2
+ O2 → 2H2O
ปฏิ กิ ร ย
ิ านี้ มี พ ลั ง งานก่ อ กั มมั น ต์ หรือ พลั ง งานกระตุ้ น ค่ อ นข้ า งส่ ง
ท้า ให้ ป ฏิ กิ ร ิย าเกิ ด ยาก ที่ อุ ณ หภ่ มิ ห้ อ งจึ ง ไม่ เ กิ ด ปฏิ กิ ร ิย า แต่ ถ้ า เพิ่ ม
อุ ณหภ่ มิใ ห้แก่ร ะบบ โดยการจุ ดไฟเผาก๊ าซผสม H2 + O2 จะพบว่ าเกิ ด
ปฏิกิรย
ิ าได้ H2O ทันที
จากตั ว อย่ า งของทั้ งสองปฏิ กิ ร ิย า แสดงให้ เ ห็ น ว่ า อุ ณ หภ่ มิ มี ผ ล
โดยตรงต่ออัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ า การเพิ่มอุณหภ่มิท้าให้ปฏิกิรย
ิ าเกิดได้เร็ว
ขึ้น ในแง่ของทฤษฎีจลน์และทฤษฎีการชนกันของโมเลกุลสามารถอธิบาย
ผลของอุณหภ่มิได้ดังนี้
ตามทฤษฎี จ ลน์ เ มื่ ออุ ณ หภ่ มิ เ พิ่ ม ขึ้ น จะท้า ให้ โ มเลกุ ล ของก๊ า ซ
เคลื่ อนที่ ด้ ว ยความเร็ ว ส่ ง ขึ้ น ซึ่ ง เป็ นผลให้ มี พ ลั ง งานในตั ว ส่ ง ขึ้ น การที่
โมเลกุลเคลื่อนที่เร็วขึ้น จะท้าให้มีโอกาสชนกันมากขึ้น ดังนั้ นอัตราการเกิด
ปฏิกิรย
ิ าจึงย่อมจะมีโอกาสส่งขึ้นด้วย โดยทัว่ ๆ ไปเมื่ออุณหภ่มิของระบบ
69
เพิ่มขึ้นประมาณ 10 C อัตราการชนกันของโมเลกุลจะเพิ่มขึ้นประมาณ
0
เท่า แต่อัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ าจะเพิ่มขึ้นประมาณ 2 -3 เท่า แสดงว่า
1
100
อัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ าที่เพิ่มขึ้นไม่ใช่เป็ นเพราะโมเลกุลมีโอกาสชชนกันมาก
ขึ้ นเท่ า นั้ น ต้ อ งค้า นึ งถึ ง พลั ง งานของโมเลกุ ล ที่ เ ข้ า มาชนกั น ด้ ว ย คื อ
โมเลกุ ล ที่ เ ข้ า มาชนกั น จะต้ อ งมี พ ลั ง งานในตั ว ส่ ง พอที่ จ ะเกิ ด ปฏิ กิ ร ย
ิ าได้
และต้องชนกันในทิศทางที่เหมาะสมด้วย
เนื่ องจากโมเลกุ ล แต่ ล ะตั ว เคลื่ อนที่ ด้ ว ยความเร็ ว ต่ า งๆ กั น บาง
โมเลกุลเคลื่อนที่เร็วจะมีพลังงานส่ง บางโมเลกุลเคลื่อนที่ช้าจะมีพลังงาน
ต้่า ดังนั้ นโมเลกุลใหญ่จึงมีพลังงานไม่เท่ากัน (แต่เท่ากับพลังงานเฉลี่ยตาม
ทฤษฎี จ ลน์ ) เมื่ อน้า มาเขี ย นกราฟเพื่ อแสดงการกระจายพลั ง งานของ
โมเลกุลต่างๆ จะได้ดังนี้
ร่ปที่ 2 กราฟแสดงการกระจายพลังงานจลน์ของโมเลกุลของก๊าซ
Ea คือ พลังงานก่อกัมมันต์ของปฏิกิรย
ิ า
E’ คือ พลังงานจลน์เฉลี่ย
จะเห็ นว่ าโมเลกุ ลส่ วนใหญ่ จะมี พลั ง งานเท่ ากั บ พลัง งานจลน์ เ ฉลี่ ย
ซึ่งมีค่าน้อยกว่าพลังงาน ก่อกัมมันต์ โมเลกุลส่วนน้อยที่มีพลังงานค่อน
ข้างต้่า และโมเลกุลจ้า นวนน้อยเช่นเดียวกัน ที่มีพลังงานในตัวส่งๆ โดย
เฉพาะที่ มี พ ลั ง งานเท่ า กั บ หรือ มากกว่ า พลั ง งานก่ อ กั ม มั น ต์ (คื อ ส่ ว นที่
แรเงา) โมเลกุลที่มีพลังงานส่งๆ เช่น พวกที่ มีพ ลังงานมากกว่าพลั งงาน
กระตุ้น เมื่อชนกันในทิศทางที่เหมาะสมจะท้า ให้เกิดปฏิกิรย
ิ าได้ โมเลกุล
70
อื่นๆ ที่มีพลังงานต้่าเมื่อชนกันจะไม่ท้าให้เกิดปฏิกิรย
ิ า ดังนั้ นอัตราการชน
กันของโมเลกุลจึงมากกว่าอัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ า
เมื่ออุณหภ่มิเพิ่มขึ้น โมเลกุลจะมีพลังงานในตัวส่งขึ้น ลักษณะของ
กราฟที่ แสดง การกระจายพลัง งานจลน์ ของโมเลกุ ล จะเบี่ ย งเบนมาทาง
ขวา ดังในร่ป
ร่ปที่ 3 การกระจายพลังงานจลน์ของโมเลกุลของก๊าซที่อุณหภ่มิต่างกัน
แทนโมเลกุ ล ที่ มี พ ลั ง งานเท่ ก ากั บ หรือ
มากกว่า Ea ที่อุณหภ่มิต้่า (T1)
แทนโมเลกุลที่มีพลังงานเท่ากับหรือมากกว่า
Ea ที่อุณหภ่มิสง่ (T2)
จากกราฟจะเห็ น ได้ ว่ า พื้ นที่ ใ ต้ ก ราฟทางด้ า นขวาของ Ea (ส่ ว นที่
แรเงาไว้) ณ อุณหภ่มิ T1 มีค่าน้อยกว่าพื้ นที่ของอุณหภ่มิ T2 แสดงว่าที่
อุณหภ่มิ T1 จ้านวนโมเลกุลที่มีพลังงานส่งๆ มีน้อยกว่าที่อุณหภ่มิ T2 โดย
ทั ่ว ๆ ไปโมเลกุ ล ที่ มี พ ลั ง งานส่ ง ๆ (มากกว่ าหรือ เท่ ากั บ พลั ง งานกระตุ้ น )
เมื่อชนกันจะท้าให้เกิดปฏิกิรย
ิ าได้ดังนั้ นที่อุณหภ่มิ T1 จึงเกิดปฏิกิรย
ิ าช้า
กว่าที่อุณหภ่มิ T2
ดังนั้ นการเพิ่มอุณหภ่มิท้า ให้ปฏิกิรย
ิ าเกิดเร็วขึ้น ก็เพราะว่าการเพิ่ม
อุณหภ่มิเป็ นการเพิ่มจ้านวนโมเลกุลที่มีพลังงานส่งๆ ให้มากขึ้น โมเลกุลที่
เพิ่มขึ้นเหล่านี้ เมื่อชนกันจะท้าให้ปฏิกิรย
ิ าเกิดเร็วขึ้น
71
อย่างไรก็ตาม อุณหภ่มิไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับพลังงานก่อกัมมันต์
ไม่ว่าจะมีอุณหภ่มิส่งหรือต้่าพลังงานก่อกัมมันต์ของปฏิกิรย
ิ าหนึ่ งๆ จะมีค่า
คงที่ (นอกจากกรณี ท่ีการเพิ่มอุณหภ่มิท้า ให้กลไกของปฏิกิรย
ิ าเปลี่ยนไป
ซึ่งอาจจะเป็ นผลท้าให้พลังงานก่อกัมมันต์เปลี่ยนแปลงไปด้วย) จะเห็นได้
จากกราฟแสดงการกระจายพลัง งานจลน์ ของโมเลกุ ลของก๊ าซที่ อุ ณ หภ่ มิ
ต่างกัน ค่า Ea จะเท่ากัน แต่จ้านวนโมเลกุลที่มีพลังงานส่งๆ จะไม่เท่ากัน
ถึ ง แม้ ว่ า อุ ณ หภ่ มิ จ ะไม่ มี ผ ลต่ อ ค่ า พลั ง งานกระตุ้ น แต่ ก็ ส ามารถ
หาความสัมพันธ์ระหว่างอุณหภ่มิ และ พลังงานกระตุ้นได้
Ea
log k = −
2.303 RT
+C
E
หรือ ln k = − RTa + C'
Ea = พลังงานก่อกัมมันต์หรือพลังงานกระตุ้น
k = ค่าคงที่อัตราเร็วของปฏิกิรย
ิ า (ขึ้นอย่่กับอุณหภ่มิ)
R = ค่าคงที่ของก๊าซ, T = อุณหภ่มิเคลวิน, C,
C’ = ค่าคงที่
ลักษณะของความสัมพันธ์ดังกล่าว เป็ นไปตามสมการเส้นตรง ( y
=ax + b) ดังนั้ นเมื่อเขียนกราฟระหว่าง log k กับ 1/T จะได้กราฟเส้น
Ea
ต ร ง ที่ มี ค ว า ม ชั น (slope) เ ท่ า กั บ −
2.303 R
แ ล ะ มี จุ ด ตั ด (intercept)
เท่ากับ C
สรุปผลของอุณหภ้มิต่ออัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ า
1. การเพิ่มอุณหภ่มิจะท้า ให้ปฏิกิรย
ิ าเกิดเร็วขึ้น เพราะท้า ให้จ้า นวน
โมเลกุลที่มีพลังงานมากกว่าหรือ เท่ากับพลังงานก่อกัมมันต์มีจ้านวนมาก
ขึ้น ซึ่งเมื่อชนกันจึงท้าให้ปฏิกิรย
ิ าเกิดเร็วขึ้น
2. พลั ง งานก่ อ กั ม มั น ต์ ข องปฏิ กิ ร ิ ย าหนึ่ งๆ มี ค่ า คงที่ ไม่ ข้ ึ นกั บ
อุ ณ หภ่ มิ ไม่ ว่ า อุ ณ หภ่ มิ จ ะเพิ่ ม หรือ ลด พลั ง งานก่ อ กั ม มั น ต์ จ ะเท่ า เดิ ม
(พลังงานก่อกัมมันต์จะลดลงเมื่อมีการเติมตัวเร่งปฏิกิรย
ิ าลงไป)
3. จ้า นวนโมเลกุ ล ทั้ ง หมดที่ อุ ณ หภ่ มิ ต่ า งๆ จะเท่ า กั น คื อ พื้ นที่ ใ ต้
กราฟที่แสดงการกระจายพลังงานจลน์ของโมเลกุลของก๊าซที่อุณหภ่มิต่าง
กันจะต้องเท่ากัน
4. อุณหภ่มิสามารถท้าให้กลไกของปฏิกิรย
ิ าเปลี่ยนแปลงไปได้
3. การอธิบายผลของตัวเร่งปฏิกิรย
ิ าต่ออัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ าเคมี
การที่ จะท้า ให้ ปฏิ กิร ย
ิ าเคมี ห นึ่ ง ๆ เกิ ดได้ เ ร็ ว ขึ้ น อาจจะท้า ได้ ห ลาย
อย่าง เช่น เพิ่มความเข้มข้น เพิ่มอุณหภ่มิ หรือการเพิ่มพื้ นที่ผิว นอกจาก
นี้ ปฏิ กิ ร ิย าบางชนิ ดยั ง สามารถท้า ให้ เ กิ ด เร็ ว ขึ้ นได้ โดยการเติ ม ตั ว เร่ ง
ปฏิกิรย
ิ า ที่เหมาะสมลงไป
เช่นปฏิกิรย
ิ าระหว่าง KMnO4 (aq) กับ H2C2O4 (aq) ในสารละลาย
กรด H2SO4 นอกจากจะท้าให้เกิดปฏิกิรย
ิ าเร็วขึ้นโดยการเพิ่มอุณหภ่มิแล้ว
73
ยั ง อาจจะท้า ให้ ป ฏิ กิ ร ย
ิ าเกิ ด เร็ ว ขึ้ นโดยการใส่ ตั ว เร่ ง ปฏิ กิ ร ย
ิ าลงไป ทั้ ง นี้
ท้า ได้ โ ดยไม่ ต้ อ งเพิ่ ม อุ ณ หภ่ มิ กล่ า วคื อ ที่ อุ ณ หภ่ มิ ห้ อ ง KMnO4 และ
H2C2O4 จะท้า ปฏิ กิ ร ิย ากั น ช้ า มาก แต่ ถ้ า เติ ม MnCl2 ลงไปเล็ ก น้ อ ย
Mn จะท้า หน้ าที่ เป็ นตั วเร่ง ปฏิ กิร ย
ิ า ท้า ให้ปฏิกิรย
ิ าเกิดได้ เร็ วขึ้ น การที่
2+
ร่ปที่ 5 เปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงของพลังงานระหว่างมีและไม่มีตัวเร่ง
ปฏิกิรย
ิ า
E1 = พลังงานก่อ กัมมั น ต์ข องปฏิ กิร ย
ิ าเมื่ อไม่ มีตัว เร่ ง
ปฏิกิรย
ิ า
E2 = พลั ง งานก่ อ กั ม มั น ต์ ข องปฏิ กิ ร ิย าเมื่ อมี ตั ว เร่ ง
ปฏิกิรย
ิ า
∆E = พลังงานของปฏิกิรย
ิ า
จะเห็นได้ว่า
1. พลังงานก่อกัมมันต์ ของปฏิกิรย
ิ าที่มีตัวเร่งปฏิกิรย
ิ า จะต้่ากว่าที่
ไม่มีตัวเร่งปฏิกิรย
ิ า จึงท้าให้ปฏิกิรย
ิ าเกิดได้เร็วขึ้น
2. พลังงานของปฏิกิรย
ิ า ( ∆ E) มีค่าคงที่เท่าเดิม ไม่ว่าจะใช้ตัวเร่ง
ปฏิกิรย
ิ าหรือไม่ก็ตาม ทั้งนี้ เพราะตัวเร่งปฏิกิรย
ิ าเพียงท้าให้พลังงานก่อกัม
มั น ต์ ล ดลงเท่ า นั้ น ไม่ ไ ด้ ท้า ให้ พ ลั ง งานของสารตั้ งต้ น และผลิ ต ภั ณ ฑ์
เปลี่ยนแปลง
ข. ปฏิกิรย
ิ าสลายตัว ของ B ไปเป็ น X โดยมี M เป็ นตัวเร่ง
ปฏิกิรย
ิ า
B M → X
M มีส่ วนร่วมในปฏิ กิร ย
ิ าโดยตรงท้า ให้ ปฏิ กิร ย
ิ าด้า เนิ น ไปตามเส้ น
ทางใหม่ มีหลายขั้นตอนย่อย แลแต่ละขั้นตอนมีพลังงานกระตุ้นต้่ากว่าเดิม
ตัวอย่างกลไกของปฏิกิรย
ิ า
75
B + M → BM เกิดช้า
BM → X + M เกิดเร็ว
ปฏิกิรย
ิ ารวม B + M → X + M
จะเห็นได้ว่า M เป็ นตัวเร่งปฏิกิรย
ิ า เริม
่ ต้นใช้เท่าใด เมื่อปฏิกิรย
ิ า
สิ้นสุดจะได้กลับคืนมาเท่านั้ น
เขียนสมการใหม่เป็ น B M
→ X
เปรียบเทียบกับกรณี ไม่ใสตัวเร่งปฏิกิรย
ิ า ซึ่งเกิดเพียงขั้นตอนเดียว
และมีพลังงานกระตุ้นส่ง เขียนกราฟได้ดังนี้
ร่ปที่ 6 การเปลี่ยนแปลงพลังงานเมื่อเติมตัวเร่งปฏิกิรย
ิ า
E1 = พลังงานก่อกัมมันต์ของปฏิกิรย
ิ า เมื่อไม่มีตัวเร่ง
ปฏิกิรย
ิ า
E2 = พลั ง งานก่ อ กั ม มั น ต์ ข องปฏิ กิ ร ิย า เมื่ อมี ตั ว เร่ ง
ปฏิกิรย
ิ าของขั้นแรก
E3 = พลั ง งานก่ อ กั ม มั น ต์ ข องปฏิ กิ ร ิย า เมื่ อมี ตั ว เร่ ง
ปฏิกิรย
ิ าของขั้นทีส
่ อง
จากกราฟจะเห็นได้ว่า E2 > E3 เนื่ องจากขั้นแรกของปฏิกิรย
ิ าที่มี
ตัวเร่งปฏิกิรย
ิ าเกิดช้ากว่าขั้นที่ 2 พลังงานก่อกัมมันต์จึงส่งกว่า
ในกรณี นี้ E2 คื อ พลั ง งานก่ อ กั ม มั น ต์ ข องปฏิ กิ ร ิย าเมื่ อมี ตั ว เร่ ง
ปฏิกิรย
ิ า
จะเห็นได้ว่าเมื่อมีตัวเร่งปฏิกิรย
ิ า พลังงานก่อกัมมันต์จะลดลงเสมอ
76
ร่ปที่ 7 การกระจายพลังงานของโมเลกุลเมื่อมีตัวเร่งปฏิกิรย
ิ า
Ea1 = พลังงานก่อกัมมันต์ของปฏิกิรย
ิ า เมื่อไม่มีตัวเร่ง
ปฏิกิรย
ิ า
Ea2 = พลั ง งานก่ อ กั ม มั น ต์ ข องปฏิ กิ ร ิย า เมื่ อมี ตั ว เร่ ง
ปฏิกิรย
ิ า
การที่พลังงานก่อกัมมันต์ลดลง ท้าให้ระบบมีจ้านวนโมเลกุลที่มีพลัง
งานส่งๆ มากขึ้น จึงชนกันแล้วเกิดปฏิกิรย
ิ าได้ง่ายขึ้น
ตั ว อย่ า งของ KMnO4 กั บ H2C2O4 โดยใช้ Mn เป็ นตั ว เร่ ง
2+
ปฏิ กิ ร ิย าเป็ นลั ก ษณะของตั ว เร่ ง ปฏิ กิ ร ิย าเนื้ อเดี ย ว หรือ กรณี Br กั บ
C2H5OH โดยใช้ H เป็ นตัวเร่งปฏิกิรย
ิ า ก็เป็ นตัวเร่งปฏิกิรย
ิ าเนื้ อเดียว
+
เช่นกัน
H + CH3CH2OH CH3CH2OH2 เกิดเร็ว
+ +
CH3CH2OH2 + Br → CH3CH2Br + OH + H เ กิ ด
+ - - +
ช้า
ปฏิกิรย
ิ ารวม CH3CH2OH + Br CH3CH2Br + OH
- H+
-
← →
ในกรณี ท่ีใช้ตัวเร่งปฏิกิรย
ิ าเนื้ อผสม เช่น
H2 + C2H4 P t→ C2H6
77
ปฏิกิรย
ิ าจะเกิดที่ผิวของ Pt ซึ่งเป็ นตัวเร่งปฏิกิรย
ิ า โดย Pt จะรวม
กับ H2 ท้าให้พันธะในโมเลกุล H2 สลายตัวออก ได้เป็ นไฮโดรเจนอะตอม
เกาะอย่่ท่ีผิวของ Pt อะตอมของไฮโดรเจนจะว่องไวต่อการเกิ ดปฏิกิรย
ิ า
มาก จึงรวมตัวกับ C2H4 ต่อไป ไดเป็ น C2H6 พร้อมกับปล่อย Pt กลับ
คืนมา
2Pt + H2 → 2PtH
2PtH + C2H4 → 2Pt + C2H6
ปฏิกิรย
ิ ารวม ; 2Pt + H2 + C2H4 → 2Pt + C2H6
หรือ H2 + C2H4 Pt
→ C2H6
อีกตัวอย่างหนึ่ งของตัวเร่งปฏิกิรย
ิ าเนื้ อผสม ได้แก่ ปฏิกิรย
ิ าระหว่าง
H2 กับ O2 โดยมี Pt เป็ นตัวเร่งปฏิกิรย
ิ า
ลักษณะของการเกิดปฏิกิรย
ิ าจะเหมือนกับกรณี H2 กับ C2H4
ร่ปที่ 8 ปฏิกิรย
ิ า 2H2 + O2 → 2H2O เมื่อมี Pt เป็ นตัวเร่งปฏิกิรย
ิ า
ขั้นแรก (ก) ไฮโดรเจนโมเลกุลจะแตกตัวออกกลายเป็ นอะตอมเกาะ
ที่ผิวของ Pt
ขั้นที่สอง (ข) ออกซิเจนโมเลกุลจะเข้ามารับไฮโดรเจนอะตอมจาก
ผิวของ Pt กลายเป็ นไอน้้า
78
H
N2 + 3H2 2NH3
ใช้ SiO2 และ Al2O3 ในกระบวนการแตกสลายของไฮโดรคาร์บอน
ในการกลั ่ น น้้ ามั น เป็ นต้ น อย่ า งไรก็ ต ามการใช้ ตั ว เร่ ง ปฏิ กิ ร ิ ย าใน
อุ ต สาหกรรมต้ อ งค้า นึ ง ถึ ง ปั จจั ย หลายอย่ า งเพื่ อการประหยั ด ด้ ว ย เช่ น
ความปลอดภั ยในการใช้ การแยกตั ว เร่ ง ปฏิ กิร ย
ิ าออกจากผลิ ตภั ณ ฑ์ และ
ราคา ของตัวเร่งปฏิกิรย
ิ า เป็ นต้น
k1
CO + NO2 CO2 + NO
k2
อัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ าไปข้างหน้า = k1 [CO] [NO2]
อัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ าย้อนกลับ = k2 [CO2] [NO]
ที่ภาวะสมดุล อัตราการเกิ ดปฏิกิรย
ิ าไปข้ างหน้ า เท่ากับ อัตราการ
เกิดปฏิกิรย
ิ าย้อนกลับ
k1 [CO] [NO2] = k2 [CO2] [NO]
k1 [CO2 ] [NO]
k2 = [CO] [NO2 ] = K
ข. ในปฏิกิรย
ิ าที่เกิดขึ้นหลายขั้นตอน เช่น 2A + B
2C ขั้นย่อยเป็ นดังนี้
k1
A + B C + X
k2
k3
A + X C
k4
ปฏิกิรย
ิ ารวม ; 2A + B 2C ในท้านองเดียวกับข้อ ก.
ขั้ น ย่ อ ย แ ร ก k1 [A] [B] = k2 [C] [X]
………………… (1)
ขั้นย่อยที่สอง k3[A] [X] = k4 [C] ………………….
(2)
k1k 3
(1) x (2) ; k1k3 [A] [B] = k2k4 [C] หรือ =
2 2
k 2k 4
[C]2
[A] 2 [B]
= K
ตัวอย่างที่ 1 เมื่อวางลวด Mg ทิ้งไว้ในอากาศ Mg จะท้าปฏิกิรย
ิ ากับ
O2 ในอากาศอย่างช้าๆ เป็ นแมกนี เซียมออกไซด์ แต่ถ้าเผาลวด Mg ลวด
80
Mg จะลุกไหม้ท้า ปฏิกิรย
ิ ากับ O2 ในอากาศอย่างรวดเร็วได้แมกนี เซียม
ออกไซด์
ก. พลั ง งานก่ อ กั ม มั น ต์ ข องปฏิ กิร ย
ิ าทั้ ง สองระบบนี้ เท่ า กั น หรือ ไม่
เพราะเหตุใด
ข. เหตุใดปฏิกิรย
ิ าในระบบหลังจึงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วกว่าระบบแรก
ค. ให้เขียนกราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่าง พลังงานกับการด้าเนิ น
ไปของปฏิกิรย
ิ าทั้งสองระบบ พร้อมทั้งระบุ ด้วยว่า ช่วงใดเป็ นพลังงานที่
เปลี่ยนแปลงไปในปฏิกิรย
ิ า
วิธีทำา
ตัวอย่างที่ 2 พิจารณาปฏิกิรย
ิ าระหว่างก๊าซ NO กับ H2 ซึ่งบรรจุอย่่ใน
ภาชนะที่อุณหภ่มิห้อง เมื่อเผาให้ร้อนจะเกิดปฏิกิรย
ิ าตามสมการ 2NO
(g) + 2H2 (g) → N2 (g) + 2H2O (g)
การเปลี่ยนแปลงสิ่งต่อไปนี้ จะมีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิรย
ิ าอย่างไร
ก. ลดปริมาณของระบบลงครึง่ หนึ่ ง
81
ตัวอย่างที่ 3 ในปฏิกิรย
ิ าต่อไปนี้ 2A + B → C
ถ้ากฎอัตราเร็วเป็ น R = k [A] [B] จงเขียนกลไกของปฏิกิรย
ิ าที่
อาจจะเป็ นไปได้
วิธีทำา
82
วิธีทำา
**********************************************************
*******
83
แบบทดสอบท้ายการเรียนร้้
เรื่อง กฎอัตราและอันดับของปฏิกิรย
ิ าเคมี
จงเลือกคำำตอบที่ถูกต้องที่สุดจำกคำำถำมแต่ละข้อ
1. ิ า 2NO(g) + Cl2(g) → 2NOCl(g) ได้ผลการทดลองดังนี้
ปฏิกิรย
= 1 และความเข้มข้นของ
NO = 0.5
โมลต่อลูกบาศก์เดซิเมตร และ Cl2 เข้มข้นเท่ากับ 0.8 โมลต่อ
ลูกบาศก์เดซิเมตร ค่า x,y และอัตราการ
เกิดปฏิกิริยามีค่าเท่าไร
ความเข้มข้นของสาร อัตราการเกิด
ตัง้ ต้น N2O5 ปฏิกิริยาเริ่มต้น
(mol/dm ⋅ s)
3
(mol/dm )
3
2.00 × 10 1.80 × 10
-4 -2
3.00 × 10 2.70 × 10
-4 -2
4.00 × 10 3.60 × 10
-4 -2
1. อันดับศูนย์ 2. อันดับหนึ่ ง
3. อันดับสอง 4. อันดับสาม
คำาชี้แจง จงใช้ข้อมูลต่อไปนี้ตอบคำาถามข้อ 4-6
2NO(g) + O2(g) → 2NO2(g)
ทำาการทดลองวัดความเข้มข้นของสารตัง้ ต้น และอัตราการเกิด
85
ความเข้มข้นของ
การ อัตราการ
สารตัง้ ต้น
ทดลอง เกิด NO2
(mol/dm )
3
ที่ (mol/dm ⋅ s)
3
[NO] [O2]
1 0.01 0.01 0.007
2 0.01 0.02 0.014
3 0.01 0.03 0.021
4 0.02 0.03 0.084
5 0.03 0.03 0.189
4. อัตราการเกิดปฏิกิริยาเป็ นไปตามข้อใด
1. r = k[NO] [O2] 2. r = k[NO][O2]
2 2
5. ค่าคงที่ของอัตราการเกิดปฏิกิริยามีค่าเท่าไร
1. 7 × 10 2. 7 × 10
-3 3
3. 7 × 10 4. 7 × 10
-6 6
ปฏิกิริยา 2A + 2B 2C + D
M
การ ความเข้มข้นเมื่อเริ่ม
อัตราการ
ทดลอง ต้น (mol/dm )
3
เกิด D
ที่ A B M
1 8 × 10 2 × 10 1 × 10 0.48 × 10
-3 -3 -2 -3
2 2 × 10 4 × 10 1 × 10 0.48 × 10
-3 -3 -2 -3
3 2 × 10 2 × 10 1 × 10 0.24 × 10
-3 -3 -2 -3
4 2 × 10 2 × 10 5 × 10 0.96 × 10
-3 -3 -3 -3
8. ในการทดลองเพื่อหาผลของความเข้มข้นที่มีต่อปฏิกิริยาเคมีของ
ปฏิกิริยา
H2O2(aq) + 3I (aq) + 2H (aq) → I 3 (aq) + 2H2O(l)
- + −
ได้ผลการทดลองดังต่อไปนี้ เมื่อใช้สารละลายความเข้มข้นเหล่านี้
87
ครัง้ ละเท่าๆกัน
ความเข้มข้นเมื่อเริ่ม
ครั ้ อัตราการเกิด
ต้น(mol/dm )
3
งที่ ปฏิกิริยา(mol/dm ⋅ s) × 10
3 6
H2O2 I H
- +
ปฏิกิริยาจะมีค่า 0.5
2. ถ้าเปลี่ยน [I ] เป็ น 0.2 ในครัง้ ที่ 2 อัตราการเกิดปฏิกิริยาจะ
-
มีค่า 1.0
3. ถ้าเปลี่ยน [H2O2] เป็ น 0.2 ในครัง้ ที่ 3 อัตราการเกิด
ปฏิกิริยาจะมีค่า 2.0
4. ถ้าเปลี่ยน [H2O2] เป็ น 0.05 ในครัง้ ที่ 4 อัตราการเกิด
ปฏิกิริยาจะมีค่า 0.5
9. ผลการทดลองสำาหรับปฏิกิริยา 2NO(g) + H2(g) → H2O(g) +
N2O(g) เป็ นดังนี้
**********************************************************
*******