Professional Documents
Culture Documents
บทที่ 3 พันธะเคมี
บทที่ 3 พันธะเคมี
พันธะไอออนิก(Ionic bond)
แรงดึงดูดทางไฟฟ้าของไอออนบวก กับ ไอออนลบ
ไม่จาเป็ นต้องเป็ นโลหะ กับ อโลหะเสมอไป กัน NH4Cl
คุณสมบัติทั่วไป
1. แข็ง แต่เปราะ เพราะ เมื่อทุบแล้วระนาบสมดุลเคลื่อน บวกลบผลักกัน
2. แข็ง แต่ไม่นาไฟฟ้า เมื่อหลอมเหลวหรื อละลายจะนาไฟฟ้า
3. จุดเดือด จุดหลอมเหลวสู ง
วัฏจักรบอร์ น-ฮาเบอร์ (Born-Haber cycle)
เป็ นวัฎจักรที่แสดงขั้นตอนการเกิดสารประกอบไอออนิก เช่น การเกิด NaCl
ขั้นตอนที่ 1 Na ระเหิดกลายเป็ นไอ
ขั้นตอนที่ 5 โซเดียมไอออนรวมกับคลอไรด์ไอออน
สมการรวมที่เกิดขึน้
ทริคการจา
NaCl จะเกิดขึ้นได้ จะมาจาก Na+ และ Cl- ในสถานะแก๊ส
Na(g) เป็ น Na+ (g) ได้ยงั ไง คาตอบ IE
Na ในธรรมชาติ เป็ นของแข็งหนิ คาตอบ ระเหิดสิ
Cl(g) เป็ น Cl- (g) ได้ยงั ไง คาตอบ EA
Cl2(g) เป็ น Cl(g) ยังไง คาตอบ BE (หาร 2 ด้วย)
โจทย์ จงเขียนสมการของพลังงานรวมของสารประกอบไอออนิกดังต่ อไปนี้
1. MgCl2
2. Na2O
โครงสร้ างสารประกอบไอออนิก
ไอออนบวกและไอออนลบมีการจัดเรี ยงเป็ น 3 มิติ โดยไอออนแต่ละชนิดจะถูกเรี ยกว่า
“จุดแลตทิซ(Lattice point)” จุดแลตทิซจะอยูใ่ น “หน่วยเซลล์(unit cell)” ซึ่งเป็ นหน่วยที่เล็กที่สุด
ที่ใช้บอกรู ปร่ างผลึก ไอออนแต่ละชนิดจะถูกล้อมรอบด้วยไอออนอีกชนิด และจานวนที่ลอ้ มรอบ
จะถูกเรี ยกว่า “เลขโคออร์ดิเนชัน(coordination number, CN)”
การละลายนา้ ของสารประกอบไอออนิก
กลไกของการละลาย
1. สารประกอบแตกตัวเป็ นไอออน
เช่น
2. ไอออนแต่ละชนิดจะถูกน้ าล้อมรอบ เรี ยก “ถูกไฮเดรต(Hydrated)”
เช่น
พลังงานที่เกีย่ วข้ องกับการละลาย
1. พลังงานแลตทิซ(Lattice energy)
2. พลังงานไฮเดรชัน(Hydration energy)
การละลายของสารประกอบไอออนิกจะเป็ นแบบใดขึ้นอยูก่ บั พลังงาน 2 ชนิดนี้
ถ้า แลตทิซ > ไฮเดรชัน
ถ้า แลตทิซ < ไฮเดรชัน
ถ้า แลตทิซ = ไฮเดรชัน
ถ้า แลตทิซ >>> ไฮเดรชัน
การคานวณ(แนวโจทย์)
แบบที่ 1 ให้พลังงานแลตทิซกับไฮเดรชันมา ถามว่าเป็ นการละลายแบบใด
วิธีทา
โจทย์ จากกระบวนการละลายของสาร XY
+ -
X(s) + 484 kJ → X (g) + Y (g)
+ - + -
X (g) + Y (g) → X (aq) + Y (aq) + 469 kJ
การละลายของ XY 2 โมล ดูดหรื อคายความร้อนเท่าใด
วิธีทา
สารประกอบไอออนิกที่ละลายนา้
1. สารประกอบของหมู่ IA
2. สารประกอบแอมโมเนียม
3. สารประกอบไนเตรต
4. สารประกอบแอซิเตต ยกเว้น CH3COOAg ละลายได้เล็กน้อย
5. สารประกอบซัลเฟต ยกเว้น Ag+, Hg22+, Pb2+
6. สารประกอบเปอร์คลอเรต ยกเว้น KClO4 ละลายได้เล็กน้อย
สมการไอออนิกและสมการไอออนิกสุ ทธิ
สมการไอออนิก เป็ นสมการที่แสดงไอออนอิสระในสารละลายครบทุกชนิด
สมการไอออนิกสุ ทธิ เป็ นสมการที่แสดงเฉพาะไอออนที่เกิดปฏิกิริยาได้ผลิตภัณฑ์(มักเป็ นตะกอน)
หลักการเขียน
1. แยกสารประกอบไอออนิกให้เป็ นไอออน
2. ตัดสารที่ไม่เกี่ยวข้องออก
3. สารที่ไม่ละลายน้ าให้คงไว้
4. ดุลสมการ
เช่น AgNO3 + NaCl → AgCl + NaNO3
เมื่ออะตอมของไฮโดรเจนเคลื่อนที่เข้ามาใกล้กนั จะเกิดแรงดึงดูดที่จะนาอิเล็กตรอนมาใช้
ร่ วมกัน ทาให้พลังงานมีค่าต่าลง จนถึงจุดที่ต่าที่สุดจะเกิดเป็ นโมเลกุลของแก๊สไฮโดรเจน และเมื่อ
เข้าใกล้กนั มาก ๆ จะเกิดแรงผลักทาให้มีพลังงานที่สูงขึ้น
การวาดสู ตรโครงสร้ างของสารประกอบโคเวเลนต์
เขียนได้ 2 แบบคือ
1. สู ตรแบบจุด
2. สู ตรแบบเส้น
วิธีการเขียน
1. ให้ดูค่า EN ของอะตอมแต่ละตัว
-อะตอมทีมี EN น้อยกว่าจะเป็ นอะตอมกลาง
-อะตอมที่มี EN มากกว่าจะเป็ นอะตอมล้อมรอบ
2. วางอะตอมล้อมรอบอะตอมกลาง
3. ใส่ จานวนเวเลนซ์อิเล็กตรอน
4. ดูวา่ อะตอมจะแชร์กนั กี่ตวั
5. แปลงเป็ นแบบเส้น
โจทย์ จงวาดโครงสร้ างแบบจุดและเส้ นของสารต่ อไปนี้
F2 HCN CCl4
ชนิดของพันธะ
1. พันธะเดี่ยว
2. พันธะคู่
3. พันธะสาม
พันธะโคออร์ ดิเนตโคเวเลนต์ (Coordinate covalent bond)
เป็ นพันธะที่เกิดจากการแชร์อิเล็กตรอนของคู่อะตอมหนึ่ง โดยที่
อิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะจะมาจากอะตอมกลางเท่านั้น มักพบในสารประกอบแทรนซิชนั
เช่น NH+4
[Co(H2O)6]Cl2
ความแข็งแรงและความยาวพันธะ
ความยาว : พันธะเดี่ยว > พันธะคู่ > พันธะสาม
ในโมเลกุลต้องใช้พนั ธะเฉลี่ยในการเปรี ยบเทียบ
แขน
พันธะเฉลี่ย =
พันธะ
ความแข็งแรง : พันธะเดี่ยว < พันธะคู่ < พันธะสาม
โจทย์ จงเปรียบเทียบความยาวพันธะของ S-O ใน SO2, SO3, SO32-
พลังงานพันธะ(Bonding energy, BE)
พลังงานที่ใช่ในการสลายพันธะในโมเลกุลในสถานะแก๊ส
ให้กลายเป็ นอะตอมในสถานะแก๊ส
ส่ วนใหญ่โจทย์มกั จะออกคานวณ
สมมติปฏิกิริยา
aA + bB → cC +dD
พลังงานของปฏิกิริยา(∆H0 ) จะสามารถหาได้จาก
∆H0 = [a(BEA) + b(BEB)] – [c(BEC) + d(BED)]
ถ้า ∆H0 > 0 แสดงว่าเป็ นปฏิกิริยาดูดพลังงาน
ถ้า ∆H0 < 0 แสดงว่าเป็ นปฏิกิริยาคายพลังงาน
รูปร่ างโมเลกุลและมุมพันธะ
อธิบายด้วยทฤษฎี VSEPR มีชื่อเต็มว่า Valence Shell Electron Pair Repulsion ซึ่งเป็ นทฤษฎี
ที่ทานายรู ปร่ างโมเลกุล โดยขึ้นอยูก่ บั อะตอมล้อมรอบและอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยว
AXmEn
พิจารณากรณีที่ m เป็นจานวนเต็ม และ n เป็น 0
m = 2 → AX2 m = 5 → AX5
m = 3 → AX3
m = 6 → AX6
m = 4 → AX4
วิธีหารู ปแบบ
1. หาอะตอมกลาง มักมีอะตอมเดียว ทดเลขหมู่
2. ลบด้วยจานวนแขนของอะตอมล้อมรอบ
3. ตัวเลขที่เหลือนามาหาร 2 จะเป็ นจานวนคู่ของอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยว
เช่น NH3
ผลของค่า EN ต่ อมุมพันธะ
กรณี ที่ 1 อะตอมกลางมี EN ต่างกัน
เช่น NH3 กับ PH3
สภาพขั้ว
เกิดจากความต่างของค่า EN อะตอมที่มี EN มากจะดึงหมอก
อิเล็กตรอนให้อยูใ่ กล้กบั อะตอมนั้น
ฝั่งที่มีหมอกอิเล็กตรอนมาก จะแทนด้วย
ฝั่งที่มีหมอกอิเล็กตรอนน้อย จะแทนด้วย
สภาพขั้วของพันธะ
พันธะจะไม่มีข้วั ก็ต่อเมื่อเป็ นอะตอมชนิดเดียวกัน เช่น H2, F2, O2
พันธะมีข้ วั จะเกิดขึ้นเมื่อเป็ นอะตอมต่างชนิดกัน
สภาพขั้วของโมเลกุล
โมเลกุลที่ไม่ มีข้วั
1. โมเลกุลของธาตุชนิดเดียวกัน เช่น H2, F2, O2, P4
2. โมเลกุลที่มีรูปร่ างสมมาตรคือ เส้นตรง, สามเหลี่ยมแบนราบ
ทรงสี่ หน้า, พิระมิดคู่ฐานสามเหลี่ยม และ ทรงแปดหน้า
อะตอมล้อมรอบต้องเป็ นชนิดเดียวกัน!!!
3. สารประกอบไฮโดรคาร์บอน คือสารที่ประกอบด้วย C และ H เท่านั้น
โมเลกุลที่มีข้วั
1. โมเลกุลของ 2 อะตอมที่ต่างชนิดกัน เช่น HCN, ClF
2. โมเลกุลที่มีรูปร่ างที่ไม่สมมาตรทิศของขั้วจะพิจารณาแบบเวกเตอร์
แรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลโคเวเลนต์ (Intermolecular force)
1. แรงลอนดอน(London force, Dispersion force)
เป็ นแรงระหว่างโมเลกุลที่ไม่มีข้วั กับโมเลกุลไม่มีข้ วั
มีค่าขึ้นกับมวลโมเลกุลหรื อความหนาแน่น
เช่น C5H12
2. แรงดึงดูดระหว่ างขั้ว(dipole-dipole force)
เป็ นแรงระหว่างโมเลกุลมีข้วั กับเมลกุลมีข้ วั
เช่น HCN, HCl, OF2
3. พันธะไฮโดรเจน (Hydrogen bond)
เป็ นแรงระหว่างโมเลกุล ไม่ใช่พนั ธะ!!!
H สร้างพันธะกับ F, O, N
เช่น จุดเดือด H2O > HF > NH3
สารผลึกโครงร่ างตาข่ าย
เป็ นอะตอมของอโลหะที่ยดึ กันไว้ดว้ ยพันธะโคเวเลนต์
ไม่มีความเป็ นโมเลกุล จึงไม่มีแรงระหว่างโมเลกุล
ข้อสังเกตุที่เห็นได้ง่ายคือ จุดเดือด จุดหลอมเหลวสู ง แต่ไม่นาไฟฟ้า
เช่น C(เพชร), C(แกรไฟต์), SiO2(ทราย)
แกรไฟต์เป็ นผลึกโครงร่ างตาข่ายที่นาไฟฟ้า!!!