Professional Documents
Culture Documents
ทีม่ าและความสาคัญ
“การคิด” เป็ นความสามารถที่มีอยูใ่ นตัวผูเ้ รี ยนทุกคน ซึ่งสามารถพัฒนาได้ถา้ ได้รับ
การฝึ กอย่างเหมาะสม และผูท้ ี่มีบทบาทสาคัญในการพัฒนาการคิดของผูเ้ รี ยนก็คือ “ครู ผสู้ อน”
ดังนั้นครู ผสู ้ อนจึงจาเป็ นต้องได้รับการส่ งเสริ มให้มีศกั ยภาพในการจัดการเรี ยนรู ้ที่เน้นการคิด อย่าง
มีระบบ จริ งจัง และต่อเนื่อง ซึ่งในอดีตที่ผา่ นมา การพัฒนาครู นิยมจัดในรู ปแบบการฝึ กอบรม ที่มกั
บริ หารจัดการทุกอย่างเสร็ จสรรพภายในช่วงเวลาสั้น ๆ โดยทีมงานจัดการอบรมและวิทยากร เมื่อ
อบรมเสร็ จก็แยกย้ายกันไป ไม่มีการนิเทศ ติดตามผล ทาให้การพัฒนาครู ไม่ประสบผลสาเร็ จ
เท่าที่ควร
ด้วยเหตุน้ ี ผูว้ จิ ยั จึงสนใจพัฒนารู ปแบบการพัฒนาครู ให้มีความสามารถในการจัด
การเรี ยนรู้ที่เน้นการคิด ” โดยอาศัยแนวคิดพื้นฐานสาคัญ 3 ประการ คือ การฝึ กอบรมอย่างมี
ส่ วนร่ วม การฝึ กอบรมโดยใช้โรงเรี ยนเป็ นฐาน และการอบรมเพื่อแก้ไขปั ญหาการปฏิบตั ิงาน
แบบครบวงจร ซึ่ งรู ปแบบการพัฒนาครู ดงั กล่าว หน่วยงานหรื อผูเ้ กี่ยวข้องกับการพัฒนาครู รวมทั้ง
นักวิจยั ทัว่ ไป สามารถนาไปขยายผล หรื อประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาครู ให้มีความสามารถในการจัดการ
เรี ยนรู้ที่เน้นการคิดในพื้นที่เป้ าหมายอื่น ๆ ต่อไป
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
1. ศึกษาสภาพ ปั ญหา และความต้องการของครู ในโรงเรี ยนเป้ าหมาย เกี่ยวกับการพัฒนาครู
ให้มีความสามารถในการจัดการเรี ยนรู้ที่เน้นการคิด
2. พัฒนารู ปแบบการพัฒนาครู ให้มีความสามารถในการจัดการเรี ยนรู้ที่ เน้นการคิด
3. เปรี ยบเทียบความรู ้ของครู เกี่ยวกับการจัดการเรี ยนรู ้ที่เน้นการคิด ก่อนและหลัง
การพัฒนา
4. ประเมินความสามารถของครู ในการจัดทาแผนการจัดการเรี ยนรู้ที่เน้นการคิด
5. ศึกษาความพึงพอใจของครู ต่อการใช้รูปแบบการพัฒนาครู
วิธีการวิจัย
การวิจยั ครั้งนี้ ใช้วธิ ี การวิจยั ปฏิบตั ิการแบบมีส่วนร่ วม โดยผสมผสานทั้งการวิจยั เชิง
ปริ มาณและเชิงคุณภาพ กลุ่มเป้ าหมายที่สนใจเข้าร่ วมโครงการ ได้แก่ ครู โรงเรี ยนบ้านท่าวัด
“คุรุราษฎร์บารุ งวิทย์” สังกัดสานักงานพื้นที่การศึกษาสกลนครเขต 1 ปี การศึกษา 2551 จานวน
14 คน ซึ่งการดาเนินการวิจยั ประกอบด้วย 6 ขั้นตอน ได้แก่ 1) ขั้นเตรี ยมการ 2) ขั้นศึกษาปั ญหาและ
กาหนดวิธีการแก้ไข 3) ขั้นวางแผนปฏิบตั ิการแก้ปัญหา 4) ขั้นวางแผนติดตามและประเมินผล
5) ขั้นปฏิบตั ิการตามแผนที่วางไว้ และ 6) ขั้นประเมินผลการปฏิบตั ิการแก้ปัญหา
ผลการวิจัย
ผลการวิจยั สรุ ปได้ ดังนี้
1. ครู ทุกคนมีความเห็นสอดคล้องกันว่า ความสามารถในการคิดของนักเรี ยนอยูใ่ นเกณฑ์
ไม่น่าพอใจ ควรส่ งเสริ มให้ครู ได้รับการพัฒนาความสามารถในการจัดการเรี ยนรู ้ที่เน้นการคิด โดย
การจัดอบรมเชิงปฏิบตั ิการทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบตั ิ จัดให้มีพี่เลี้ยงคอยให้คาแนะนา จัดระบบนิเทศ
ติดตาม และประเมินผลอย่างใกล้ชิดและสม่าเสมอ จัดให้มีชุดการเรี ยนรู ้เพื่อทบทวนและศึกษาเพิ่ม
ด้วยตนเอง จัดหาตัวอย่างแผนการจัดการเรี ยนรู ้ที่เน้นการคิด รวมทั้งหนังสื อ ตารา และรายงาน
การวิจยั ที่เกี่ยวข้องไว้ในห้องสมุดของโรงเรี ยน จัดทาเอกสารแนะนา Website รวมทั้งวิธีการสื บค้น
จัดหาตัวอย่างนวัตกรรมเพื่อการเรี ยนรู ้ ที่เน้นพัฒนาการคิด เชิญวิทยากรที่มีความเชี่ยวชาญสาธิต
การสอนเน้นการคิดในสถานการณ์จริ ง และศึกษาดูงานโรงเรี ยนที่ประสบความสาเร็ จในการจัด
การเรี ยนรู้ที่เน้นการคิด
2. รู ปแบบการพัฒนาครู ให้มีความสามารถในการจัดการเรี ยนรู้ที่เน้นการคิด มีองค์ประกอบ
ดังนี้ 1) ชื่อรู ปแบบ 2) ความเป็ นมาและความสาคัญ 3) แนวคิดทฤษฎีพ้นื ฐาน 4) หลักการ
5) วัตถุประสงค์ 6) เนื้อหา 7) กระบวนการ 8) สื่ อและแหล่งเรี ยนรู ้ และ 9) การวัดและประเมินผล
ซึ่งรายละเอียดพอสังเขปในบางองค์ประกอบหลัก ๆ ดังนี้
2.1 แนวคิดพื้นฐานของรู ปแบบ ได้แก่ การฝึ กอบรมอย่างมีส่วนร่ วม การฝึ กอบรมโดยใช้
โรงเรี ยนเป็ นฐาน และการอบรมเพื่อแก้ไขปั ญหาการปฏิบตั ิงานแบบครบวงจร
2.2 หลักการสาคัญของรู ปแบบ ได้แก่ 1) บุคลากรทุกคนในโรงเรี ยนรับรู้เข้าใจ ต้องการ
และยินดีเข้าร่ วมกิจกรรม 2) ใช้กระบวนการมีส่วนร่ วมระหว่างบุคลากรในโรงเรี ยนและทีมวิทยากร
ภายนอก ในการวิเคราะห์ปัญหาและค้นหาแนวทางแก้ไข 3) ทีมวิทยากรทาหน้าที่เป็ นที่ปรึ กษา
ผูอ้ านวยความสะดวก ผูใ้ ห้การช่วยเหลือ ชี้แนะ และให้ขอ้ มูลป้ อนกลับ ทั้งนี้เพื่อเป็ นการสร้าง
ความสัมพันธ์ที่ดี และความมัน่ ใจในการทางานร่ วมกัน 4) มุ่งเปลี่ยนแปลงทั้งความรู ้ ความสามารถ
ในการเขียนแผนการจัดการเรี ยนรู ้ที่เน้นการคิด การนาแผนการจัดการเรี ยนรู ้สู่การปฏิบตั ิจริ งใน
ห้องเรี ยน รวมทั้งเจตคติที่ดีต่อการสอนเพื่อพัฒนาการคิดของผูเ้ รี ยน และ 5) การพัฒนาครู จะต้อง
ดาเนินการอย่างต่อเนื่ อง และเว้นระยะเวลาการทากิจกรรมต่าง ๆ ของรู ปแบบพอสมควร เพื่อให้ครู
ได้มีโอกาสทบทวนความรู ้ ศึกษาค้นคว้าเพิม่ เติม และฝึ กปฏิบตั ิจริ งด้วยตนเอง
2.3 วัตถุประสงค์หลักของรู ปแบบ คือ 1) เพื่อพัฒนาความรู้ ของครู เกี่ยวกับการจัด
การเรี ยนรู้ที่เน้นกระบวนการคิด และ 2) เพื่อพัฒนาความสามารถของครู ในการจัด ทาแผนการจัด
การเรี ยนรู้ที่เน้นการคิด และการนาแผนการจัดการเรี ยนรู้ ไปใช้
2.4 เนื้อหาของรู ปแบบ ได้แก่ 1) การวิเคราะห์ผเู้ รี ยน การคิด และการพัฒนาการคิด
2) รู ปแบบการสอน วิธีสอน และเทคนิคการสอนที่ส่งเสริ มการคิดของผูเ้ รี ยน 3) การเลือกสื่ อ
อุปกรณ์ นวัตกรรม แหล่งเรี ยนรู ้ต่าง ๆ ที่ส่งเสริ มการคิดของผูเ้ รี ยน 4) วิธีการวัดและประเมิน
ความสามารถในการคิดของผูเ้ รี ยน 5) การออกแบบการเรี ยนรู้ที่เน้น การคิด และ 6) การเขียน
แผนการจัดการเรี ยนรู้ที่เน้นการคิด
2.5 กระบวนการของรู ปแบบ แบ่งออกเป็ น 2 ระยะ คือ ระยะเตรี ยมการก่อนการพัฒนา
และระยะปฏิบตั ิการ นิเทศ และติดตามการพัฒนา ซึ่ งกิจกรรมการพัฒนาครู ประกอบด้วย
1) กิจกรรมอบรมเชิงปฏิบตั ิการ ซึ่ งมีท้ งั การเพิ่มพูนความรู ้เชิงทฤษฎี และการฝึ ก
ทักษะปฏิบตั ิในสถานการณ์จาลอง หรื อตามกิจกรรมฝึ กทักษะที่จดั เตรี ยมไว้
2) กิจกรรมสาธิ ตการจัดการเรี ยนรู ้ที่เน้นการคิดโดยวิทยากรที่มีความเชี่ยวชาญ
3) กิจกรรมส่ งเสริ มการเรี ยนรู ้ดว้ ยตนเอง จากแหล่งเรี ยนรู ้ต่าง ๆ ได้แก่ ชุดการเรี ยนรู้
ด้วยตนเอง หนังสื อ ตารา และรายงานการวิจยั ที่เกี่ยวข้อง ตัวอย่างแผนการจัดการเรี ยนรู้ ที่เน้น
การคิด และเครื อข่ายอินเตอร์ เน็ต
4) กิจกรรมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ได้แก่ การจัดหาพี่เลี้ยงให้คาแนะนาเกี่ยวกับ
การจัดการเรี ยนรู้ที่เน้นการคิด การติดตามให้คาปรึ กษา ให้การช่วยเหลือ ชี้แนะ และให้ขอ้ มูล
ป้ อนกลับโดยทีมวิทยากร ซึ่ งสามารถจัดได้หลายรู ปแบบ ได้แก่ การเยีย่ มโรงเรี ยน การให้คาปรึ กษา
ทางโทรศัพท์ การตรวจชิ้นงานและให้ขอ้ มูลป้ อนกลับเพื่อการปรับปรุ งแก้ไข รวมทั้งการเรี ยนรู้จาก
โรงเรี ยนที่ประสบความสาเร็ จในการจัดการเรี ยนรู้ที่ เน้นการคิด
2.6 สื่ อ และแหล่งเรี ยนรู ้ มีหลายรู ปแบบ เช่น เอกสารประกอบการอบรม ชุ ดนาเสนอ
เพาเวอร์พอยต์ประกอบการบรรยายของวิทยากร ชุดการเรี ยนรู้ดว้ ยตนเอง ฐานข้อมูลงานวิจยั ที่
เกี่ยวข้องจากเครื อข่ายอินเตอร์ เน็ต ตัวอย่างแผนการจัดการเรี ยนรู ้ และนวัตกรรมการเรี ยนการสอนที่
เน้นการพัฒนาการคิด หนังสื อ ตาราต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งบุคคลที่มีความรู ้ ความสามารถใน
การจัดการเรี ยนรู้ที่เน้นการคิด
2.7 การวัดและประเมินผล วัดและประเมินผลตามวัตถุประสงค์ของรู ปแบบโดยใช้
แบบทดสอบความรู ้เกี่ยวกับการจัดการเรี ยนรู้ที่เน้นการคิด แบบประเมินความเหมาะสมของ
แผนการจัดการเรี ยนรู ้ที่เน้นการคิด และแบบสอบถามความพึงพอใจของครู ต่อการใช้รูปแบบ
การพัฒนาครู
3. ผลการใช้รูปแบบพัฒนาครู พบว่า
3.1 ก่อนการพัฒนา ครู กลุ่มเป้ าหมายมีคะแนนเฉลี่ยของความรู ้เกี่ยวกับการจัดการเรี ยนรู ้
ที่เน้นการคิดเท่ากับร้อยละ 45.73 แต่หลังการพัฒนามีคะแนนเฉลี่ยสู งขึ้นเป็ นร้อยละ 73.93 ซึ่งสู ง
กว่าก่อนการพัฒนาอย่างมีนยั สาคัญทางสถิติที่ระดับ .01
3.2 หลังการพัฒนาครู กลุ่มเป้ าหมายทุกคนมีความสามารถในการจัดทาแผนการจัด
การเรี ยนรู ้ที่เน้นการคิดผ่านเกณฑ์ที่กาหนด กล่าวคือ แผนการจัดการเรี ยนรู ้ที่ครู กลุ่มเป้ าหมายสร้าง
ขึ้น มีความเหมาะสมผ่านเกณฑ์ที่กาหนดไว้คือ 3.50 ขึ้นไป (คะแนนเต็ม 5)
4. หลังการพัฒนา ครู กลุ่มเป้ าหมายมีความพึงพอใจต่อการใช้รูปแบบการพัฒนาครู
ในภาพรวมอยูใ่ นระดับมากที่สุด
ข้ อเสนอแนะ
จากผลการวิจยั ดังกล่าวข้างต้น จะเห็นว่ารู ปแบบที่ผวู ้ จิ ยั พัฒนาขึ้นสามารถนาไปใช้พฒั นา
ครู ให้มีความสามารถในการจัดการเรี ยนรู ้ที่เน้นการคิดได้อย่างเหมาะสม ดังนั้นผูว้ จิ ยั จึงมี
ข้อเสนอแนะ ดังนี้
1. สานักงานเขตพื้นที่การศึกษา หน่วยงาน และสถาบันการศึกษาที่มีบทบาทเกี่ยวข้องกับ
การพัฒนาครู ควรส่ งเสริ มให้มีการนารู ปแบบนี้ ไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาครู ให้มีความสามารถ
ในการจัดการเรี ยนการสอนเพื่อพัฒนาการคิดของนักเรี ยนอย่างกว้างขวาง
2. การนารู ปแบบการพัฒนาครู ให้มีความสามารถในการจัดการเรี ยนรู้ที่เน้น การคิดที่
พัฒนาขึ้นไปใช้ ผูบ้ ริ หารและครู ทุกคนในโรงเรี ยนต้องมีความพร้อมที่จะพัฒนาตนเอง
3. การพัฒนาครู ตามรู ปแบบที่พฒั นาขึ้น มุ่งเน้นให้ครู สามารถเขียนแผนการจัดการเรี ยนรู้ที่
เน้นการคิด และนาไปใช้ในสถานการณ์หอ้ งเรี ยนจริ ง ซึ่งจาเป็ นต้องได้รับการนิเทศ ให้คาปรึ กษา
และให้ขอ้ มูลย้อนกลับอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นในการนารู ปแบบการพัฒนาครู น้ ีไปใช้ จึงต้องมุ่งเน้นให้
ครู ที่เข้ารับการพัฒนาได้ปฏิบตั ิจริ งอย่างต่อเนื่อง ภายใต้การดูแลช่วยเหลือของวิทยากร ซึ่งจะช่วย
เสริ มสร้างให้ครู มีความสามารถในการจัดการเรี ยนรู ้ที่เน้นการคิดอย่างมีประสิ ทธิ ภ าพ
4. การนารู ปแบบการพัฒนาครู ที่พฒั นาขึ้นไปใช้ ควรมีการศึกษาความสามารถในการคิด
ของนักเรี ยนที่เปลี่ยนแปลงไปภายหลังที่ครู นาแผนการจัดการเรี ยนรู้ที่เน้นการคิดไปใช้ใน
สถานการณ์จริ งอย่างจริ งจัง
5. ควรนาแนวคิดการฝึ กอบรมครู โดยใช้โรงเรี ยนเป็ นฐาน การฝึ ก อบรมแบบมีส่วนร่ วม
และการอบรมเพื่อแก้ไขปั ญหาแบบครบวงจร ไปพัฒนารู ปแบบการฝึ กอบรมครู ให้มีความรู ้ ทักษะ
และเจตคติที่ดีในประเด็นอื่น ๆ เช่น การจัดการเรี ยนรู้ที่เน้นผูเ้ รี ยนเป็ นสาคัญ การวิจยั เพื่อพัฒนา
การเรี ยนรู้ของผูเ้ รี ยน เป็ นต้น
หัวข้ อวิจัย การวิจยั ปฏิบตั ิการแบบมีส่วนร่ วม เพื่อพัฒนารู ปแบบการพัฒนาครู ให้มี
ความสามารถในการจัดการเรี ยนรู้ที่เน้นการคิด : กรณี ศึกษาโรงเรี ยนบ้านท่าวัด
“คุรุราษฎร์ บารุ งวิทย์ สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาสกลนคร เขต 1
ชื่ อผู้วจิ ัย ผูช้ ่วยศาสตราจารย์ ดร. สาราญ กาจัดภัย และคณะ
คณะ ครุ ศาสตร์
สถาบัน มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร
ปี การศึกษา 2552
บทคัดย่ อ
ABSTRACT
The objectives of this participatory action research were (1) to study the state,
problem, and need of teachers in the target school concerning development of teachers to be able
to manage learning with emphasis on thinking, (2) to develop a model for development of
teachers to be able to manage learning with emphasis on thinking, (3) to compare teachers’
knowledge of learning management with emphasis on thinking before and after development,
(4) to evaluate teachers’ ability to make a learning plan with emphasis on thinking and
(5) to investigate teachers’ satisfaction with implementing the teachers development plan.
The target group were 14 teachers at Ban Tha Wat “Kuru Rat Bumrung Wit” School
under the Office of Sakon Nakhon Educational Service Area 1 in academic year 2008. The study
consisted of 6 steps: (1) preparation, (2) problem investigation and specifying how to resolve
the problem, (3) planning to resolve the problem, (4) following-up and evaluating the results,
(5) implementing the plan and (6) evaluating the results of problem solution. The findings can be
concluded as follows:
1. Every teacher had a congruent opinion that students’ ability to think was in
the unsatisfactory criterion, so teachers should be promoted with ability development.
They should be able to manage learning with emphasis on thinking through attending a workshop
both in theory and practice. A trainer should be assigned to give some advice. Close and regular
supervision, following-up and evaluation should be conducted. A package of learning
for review and further learning by themselves should be given. The example of a lesson plan with
emphasis on thinking should be prepared and the school library should have books, texts, related
research reports. Documents for introducing websites should be produced including how to
search examples of innovation for learning with emphasis on thinking. Experts in demonstrating
instruction with emphasis on thinking in the real situation should be invited. A field trip to a
successful school in learning management with emphasis on thinking should be made.
2. The model for development of teachers to be able to manage learning with
emphasis on thinking was based on three important basic ideas like participatory training,
school-based training, and training for resolving performance problems comprehensively.
Components of the model comprised (1) model name, (2) its background and importance,
(3) basic theory ideas (4) principle, (5) objectives, (6) content, (7) process, (8) media and sources
of learning, and (9) measurement and evaluation.
3. The results of implementing the teachers development model revealed (1) that
before the development, teachers had an average score of 45.73 % for their knowledge about
learning management with emphasis on thinking, whereas after the development they got an
average score of 73.93 %which was higher than before the development significantly at the
.01 level; (2) that after the development every teacher had their ability to make a learning
management plan with emphasis on thinking and met the criterion; and (3) that after the
development, teachers were satisfied with implementation of the overall teachers development
model at the highest level.
กิตติกรรมประกาศ
การวิจยั ปฏิบตั ิการแบบมีส่วนร่ วมครั้งนี้ สาเร็ จได้ดว้ ยความร่ วมมือร่ วมใจอย่างดียงิ่ จาก
คณะผูบ้ ริ หาร และคณะครู ทุกท่านของโรงเรี ยนบ้านท่าวัด “คุรุราษฎร์บารุ งวิทย์” สังกัดสานักงาน
เขตพื้นที่การศึกษาสกลนคร เขต 1 ทีมนักวิจยั ซาบซึ้ งในไมตรี จิต และรู ้สึกอบอุ่นใจทุกครั้งที่ลง
พื้นที่ทาวิจยั จึงขอขอบพระคุณเป็ นอย่างสู งมา ณ ที่น้ ี
ขอขอบพระคุณอธิการบดี ผูบ้ ริ หาร และทีมงานของสถาบันวิจยั และพัฒนา มหาวิทยาลัย
ราชภัฏสกลนครทุกท่าน ที่ให้การสนับสนุนและอานวยความสะดวกในการทาวิจยั
คุณค่าและประโยชน์อนั พึงมีจากงานวิจยั นี้ ทีมนักวิจยั ขอมอบแด่ผสู ้ นใจศึกษา ตลอดจนผูม้ ี
พระคุณทุกท่าน
บทที่ หน้า
1 บทนา....................................................................................…...………………………. 1
ความเป็ นมาและความสาคัญของปัญหา........…..…………………………………… 1
คาถามการวิจยั ................................................................…………………………… 5
วัตถุประสงค์ของการวิจยั ............................................................………………….… 5
ขอบเขตของการวิจยั ...............................................................………………….…... 6
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ…………………………………………………………. 7
นิยามศัพท์เฉพาะ.....................................................................…………………….… 8
2 เอกสารและงานวิจยั ที่เกี่ยวข้อง.................................................…….………………….. 10
แนวคิดเกี่ยวกับการวิจยั ปฏิบตั ิการแบบมีส่วนร่ วม..………………………..………. 10
แนวคิดเกี่ยวกับการวางระบบติดตามและประเมินผลการพัฒนาครู ………………… 14
แนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาครู ……………….……………………………………….. 19
ทฤษฎี หลักการ แนวคิดเกี่ยวกับการคิดและการพัฒนาการคิด……………………….. 26
ข้อมูลพื้นฐานของโรงเรี ยนเป้ าหมาย (โรงเรี ยนบ้านท่าวัด “คุรุราษฎร์บารุ งวิทย์”) …… 46
งานวิจยั ที่เกี่ยวข้อง …………………………………………………………………… 49
กรอบแนวคิดในการวิจยั ……………………………………………………………… 55
3 วิธีดาเนินการวิจยั ……………………………………………………………………….. 56
ขั้นที่ 1 ขั้นเตรี ยมการ ………………………………………………………………… 56
ขั้นที่ 2 ขั้นศึกษาปั ญหาและกาหนดวิธีการแก้ไข ……………………………………. 58
ขั้นที่ 3 ขั้นวางแผนปฏิบตั ิการแก้ปัญหา ……………………………………………… 60
ขั้นที่ 4 ขั้นวางแผนติดตามและประเมินผล …………………………………………. 61
ขั้นที่ 5 ขั้นปฏิบตั ิการตามแผนที่วางไว้ ……………………………………………… 64
ขั้นที่ 6 ขั้นประเมินผลการปฏิบตั ิการแก้ปัญหา ……………………………………… 65
สารบัญ (ต่อ)
บทที่ หน้า
4 ผลการวิเคราะห์ขอ้ มูล………………………………………………………………....... 66
ผลการศึกษาสภาพ ปัญหา และความต้องการพัฒนาความสามารถ
ในการจัดการเรี ยนรู้ ที่เน้นการคิด………………………………………………… 66
ผลการพัฒนารู ปแบบการพัฒนาครู ให้มีความสามารถในการจัดการเรี ยนรู้
ที่เน้นการคิด ……………………………………………………………………… 73
ผลการศึกษาความสามารถของครู ในการจัดการเรี ยนการรู้ที่เน้นการคิด ..….……….. 85
ผลการศึกษาความพึงพอใจต่อการใช้รูปแบบการพัฒนาครู ให้มีความสามารถใน
การจัดการเรี ยนรู้ที่เน้นการคิด ……………………………………………………. 97
ภาคผนวก…………………………………………………………………………………… 112
ภาคผนวก ก เครื่ องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ……………………………….…. 113
ภาคผนวก ข ตัวอย่างชุดการเรี ยนรู ้ดว้ ยตนเอง ……..……………………………….…. 135
ภาคผนวก ค ตัวอย่างเอกสารแนะนาขั้นตอนการสื บค้นงานวิจยั ทางการศึกษา ………... 157
ภาคผนวก ง ภาพกิจกรรมอบรมเชิงปฏิบตั ิการ ……..……………………………….…. 163
ภาคผนวก จ ตัวอย่างแผนการจัดการเรี ยนรู ้ที่ครู กลุ่มเป้ าหมายจัดทาขึ้น …………….…. 169
ตาราง หน้า
ตาราง หน้า
1
สารบัญภาพ
ภาพ หน้า
1 แนวคิดเกี่ยวกับระบบการประกันคุณภาพการศึกษาและหลักการบริ หาร
ที่เป็ นระบบครบวงจร ………………………………………………………………. 15
2 รู ปแบบการติดตามและประเมินผลการพัฒนาครู ให้เป็ นนักวิจยั แกนนาในเรื่ อง
การวิจยั ในชั้นเรี ยน ………………………………………………………………… 17
3 กรอบแนวคิดของการอบรมอย่างมีส่วนร่ วม ………………………………………….. 20
4 กระบวนการอบรมแบบครบวงจร …………………………………………………….. 22
5 กระบวนการคิดอย่างมีวจิ ารณญาณ ……………………………………………………. 35
6 กระบวนการจัดการเรี ยนรู้ที่เน้นการคิด ……………………………………………….. 41
7 กรอบแนวคิดในการวิจยั ……………………………………………………………….. 55
8 ลงพื้นที่โรงเรี ยนเป้ าหมายเพื่อประสานความร่ วมมือ …………………………………... 58
9 กรอบแนวคิดของการอบรมอย่างมีส่วนร่ วม …………………………………………… 77
10 กระบวนการอบรมแบบครบวงจร …………………………………………………….. 79
11 ประชุมชี้แจง และปรึ กษาหารื อเกี่ยวกับโครงการวิจยั ………………………………… 164
12 ประชุมชี้แจง และปรึ กษาหารื อเกี่ยวกับโครงการวิจยั ………………………………… 165
13 ฝึ กออกแบบกิจกรรมการเรี ยนการสอนเน้น การคิด …………………………………… 166
14 ร่ วมกิจกรรมสาธิ ตการจัดการเรี ยนรู ้เน้นการคิด (การคิดแบบหมวก 6 ใบ) …………… 167
15 ฝึ กทักษะการสื บค้นข้อมูลทางอินเตอร์ เน็ต เกี่ยวกับงานวิจยั นวัตกรรม
เพื่อพัฒนาการคิด และอื่น ๆ ……………………………………………………….. 168
บทที่ 1
บทนา
ความเป็ นมาและความสาคัญของปัญหา
คาถามการวิจัย
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
ขอบเขตของการวิจัย
3. ตัวแปรทีศ่ ึกษา
1. ตัวแปรต้ น ได้แก่ การใช้รูปแบบการพัฒนาครู ให้มีความสามารถในการจัดการเรี ยนรู้
ที่เน้นการคิด
2. ตัวแปรตาม ได้แก่
2.1 สภาพ ปัญหา และความต้องการของครู เกี่ยวข้องกับการพัฒนาครู ให้มี
ความสามารถในการจัดการเรี ยนรู้ที่เน้นการคิด
2.2 ความสามารถของครู ในการจัดการเรี ยนรู้ที่เน้นการคิด ประกอบด้วย 2 ตัวแปรย่อย
คือ ความรู้ ความเข้าใจของครู เกี่ยวกับการจัดการเรี ยนรู้ที่เน้นการคิด และความสามารถในการจัดทา
แผนการเรี ยนรู้ ที่เน้นการคิด
2.3 ความพึงพอใจของครู ต่อการใช้รูปแบบการพัฒนาครู ให้มีความสามารถในการ
จัดการเรี ยนรู้ที่เน้นการคิด
4. ระเบียบวิธีวจิ ัยทีใ่ ช้
ระเบียบวิธีวจิ ยั หลักที่ใช้ในการวิจยั ครั้งนี้ คือ การวิจยั ปฏิบตั ิการแบบมีส่วนร่ วม
(Participatory Action Research) โดยมีการศึกษาข้อมูลต่าง ๆ ทั้งเชิงปริ มาณและเชิงคุณภาพ
5. ระยะเวลาทีใ่ ช้ ในการวิจัย
ระยะเวลาที่ใช้ในการปฏิบตั ิการวิจยั แบบมีส่วนร่ วม คือ ภาคเรี ยนที่ 1 และภาคเรี ยนที่ 2
ปี การศึกษา 2551
นิยามศัพท์ เฉพาะ
บทที่ 2
แนวคิดเกีย่ วกับการวิจัยปฏิบัติการแบบมีส่วนร่ วม
1. การวิจัยปฏิบัติการ
การวิจยั ปฏิบตั ิการ เป็ นการวิจยั ประเภทหนึ่งที่ผทู้ าวิจยั คือผูป้ ฏิบตั ิงานในองค์การหรื อมี
ส่ วนเกี่ยวข้องในองค์การนั้น ซึ่ งอาจมีคนเดียว หรื อหลายคน หรื อทุกคนในองค์การ ได้ดาเนินการ
แก้ไขปั ญหาหรื อพัฒนาองค์การให้ดีข้ ึนโดยนาเอาวิธีการ แนวทาง หรื อกิจกรรมต่าง ๆ ที่ผา่ น
การพิจารณาตรวจสอบเบื้องต้นแล้วว่าเหมาะสม ไปทดลองปฏิบตั ิการตามแผนที่วางไว้ มี
การติดตาม ตรวจสอบและประเมินกระบวนการปฏิบตั ิงาน และผลลัพธ์ยอ่ ย ๆ ที่ตอ้ งการให้เกิดขึ้น
ในแต่ละขั้นตอนของการทางาน รวมทั้งปั ญหาอุปสรรคต่าง ๆ สะท้อนผลการประเมินที่ได้ให้กบั
องค์การเป็ นระยะ เพื่อใช้เป็ นข้อมูลสาหรับการวางแผนปรับปรุ งแก้ไขในส่ วนยังเป็ นปั ญหา จากนั้น
ดาเนินการแก้ไขปั ญหาหรื อพัฒนาต่อไป จนกระทัง่ ปั ญหาที่เกิดขึ้นในองค์การนั้นได้รับการคลี่คลาย
หรื อเป้ าหมายของการพัฒนานั้นบรรลุผลตามต้องการ (สาราญ กาจัดภัย และคณะ. 2547 : 10)
11
2. การวิจัยแบบมีส่วนรวม
การวิจยั แบบมีส่วนร่ วม เป็ นกระบวนการค้นหาข้อมูลร่ วมกันระหว่างนักวิจยั และ
กลุ่มเป้ าหมาย เพื่อใช้ในอธิ บายปั ญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชุมชนหรื อองค์การที่สนใจศึกษา การวิจยั
ประเภทนี้ จะไม่เรี ยกกกลุ่มเป้ าหมายในการทาวิจยั ว่ากลุ่มตัวอย่าง หรื อกลุ่มผูใ้ ห้ขอ้ มูลเหมือน
การวิจยั ทัว่ ไป แต่จะเรี ยกว่า “นักวิจยั ภายใน หรื อนักวิจยั ร่ วม” เพราะบทบาทของกลุ่มเป้ าหมาย
ไม่ใช่เพียงแค่ผใู ้ ห้ขอ้ มูล แต่เป็ นผูม้ ีส่วนร่ วมในการทาวิจยั ในขณะที่นกั วิจยั เอง (นักวิจยั ภายนอก)
ก็ไม่ใช่เพียงเป็ นผูส้ ังเกตการณ์ภายนอกเท่านั้น แต่จะเข้ามามีส่วนร่ วมในปั ญหาของกลุ่มเป้ าหมายที่
นักวิจยั ทางานร่ วมอยูด่ ว้ ย (สาราญ กาจัดภัย และคณะ.2547 : 11)
3. การวิจัยปฏิบัติการแบบมีส่วนร่ วม
การวิจยั ปฏิบตั ิการแบบมีส่วนร่ วม (Participatory action research) หรื อ PAR เป็ น
กระบวนการค้นคว้าแสวงหาความรู้ตามหลักการของการวิจยั เชิงวิทยาศาสตร์ ซึ่งมีวตั ถุประสงค์
มุ่งไปที่การแก้ปัญหาในการพัฒนา โดยอาศัยการมีส่วนร่ วมของชุ่มชน (กลุ่มเป้ าหมาย) ทั้งในแง่ของ
ผูร้ ่ วมกระบวนการวิจยั และผูม้ ีหุน้ ส่ วนในการใช้ประโยชน์ของการวิจยั การใช้ PAR อย่างถูกต้อง
จะเกิดผลสัมฤทธิ์ กบั กลุ่มเป้ าหมายอย่างน้อย 3 ประการ คือ 1) ได้เรี ยนรู ้เพิ่มขึ้น 2) มีการกระทามาก
ขึ้น และ 3) มีการเผยแพร่ พลังความรู ้กนั มากขึ้น ดังนั้น PAR จึงไม่ใช่แค่กระบวนการสื บค้นปั ญหา
และแก้ปัญหาเท่านั้น แต่เป็ นกระบวนการกระตุน้ ให้กลุ่มเป้ าหมายมีการกระทาต่อปั ญหาเหล่านั้น
การกระทาอย่างหนึ่งอย่างใดต่อปั ญหาทาให้กลุ่มเป้ าหมายได้มีโอกาสเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี
ผลสุ ดท้ายกลุ่มเป้ าหมายมิได้เพียงเรี ยนรู ้การแก้ปัญหา แต่ได้เพิ่มพูนความรู ้ให้พร้อมที่จะเผชิญกับ
ปัญหาที่ยากไปกว่านี้ (กมล สุ ดประเสริ ฐ. 2540 : 8-9)
กิจกรรมของการวิจยั ปฏิบตั ิการแบบมีส่วนร่ วม มีลกั ษณะ 3 ประการที่เชื่อมโยงเข้า
ด้วยกันอย่างผสมกลมกลืน คือ (เฉลียว บุรีภกั ดี และคณะ. 2545 : 238)
1. เป็ นการค้นคว้าวิจยั เพื่อให้ได้คาตอบที่จาเป็ น เช่น ข้อมูลความจริ งปัญหาเชิงพัฒนาที่
จะต้องแก้ไข สมมติฐานสาหรับการทดสอบต่อไป แผนการดาเนินงานสาหรับการพัฒนาหรื อ
แก้ปัญหา และการติดตามประเมินผลการพัฒนาแก้ไขปั ญหา
2. เป็ นการมีส่วนร่ วมของสมาชิกในกลุ่มเป้ าหมาย ผูซ้ ่ ึ งเป็ นทั้งผูร้ ่ วมดาเนินการวิจยั และ
ผูไ้ ด้รับผลลัพธ์ของการวิจยั
3. เป็ นการปฏิบตั ิการในการดาเนินชีวติ จริ ง มิใช่เป็ นการจาลองจากชีวติ จริ งมาเพื่อ
การวิจยั และผูเ้ ข้ามามีส่วนร่ วมในการวิจยั จะเป็ นผูม้ ีส่วนได้ส่วนเสี ยในกิจกรรมครั้งนี้
12
4. รู ปแบบการวิจัยปฏิบัติการแบบมีส่วนร่ วม
การวิจยั ปฏิบตั ิการแบบมีส่วนร่ วม อาจมีรูปแบบของการมีส่วนแบบหนึ่งแบบใดใน
3 รู ปแบบ ต่อไปนี้ (เฉลียว บุรีภกั ดี. 2545 : 239)
1. มีนกั วิจยั จากภายนอกเป็ นนักวิจยั หลักในระยะแรก ๆ หรื อวงรอบแรก ๆ ของ
กระบวนการวิจยั โดยมีประชาชนในท้องถิ่น (หรื อผูป้ ฏิบตั ิงานในองค์การ) ซึ่ งเป็ นกลุ่มเป้ าหมาย
เข้ามาเป็ นนักวิจยั ร่ วม (นักวิจยั ภายใน) จนกระทัง่ ถึงระยะหนึ่งหรื อวงจรรอบหลัง ๆ จึงค่อยถ่ายโอน
ความรับผิดชอบของบทบาทผูน้ าของนักวิจยั หลักจากภายนอกไปยังสมาชิกในชุมชนเอง (หรื อใน
องค์การ) โดยอาจจะมีนกั วิจยั หลักหรื ออาจไม่มีก็ได้
2. ไม่มีนกั วิจยั หลักจากภายนอก แต่อาจมีผใู้ ห้คาปรึ กษาคนเดียวหรื อเป็ นคณะผูใ้ ห้
คาปรึ กษา และมีสมาชิกผูร้ ่ วมวิจยั จากชุมชนท้องถิ่น (หรื อจากองค์การ) นั้น ดาเนินการจัดรู ป
องค์กรคณะผูว้ จิ ยั ขึ้นเองตามที่เหมาะสมกับลักษณะปั ญหาเชิงพัฒนาที่ตอ้ งการแก้ไขของชุมชน
ท้องถิ่น (หรื อองค์การ)
3. รู ปแบบอื่นที่ดดั แปลงหรื อประยุกต์ไปจากรู ปแบบในข้อ 1 และข้อ 2 เช่น ไม่เรี ยก
นักวิจยั หลักจากภายนอกและไม่เรี ยกผูใ้ ห้คาปรึ กษา แต่อาจเรี ยกว่า ผูอ้ านวยกระบวนการ
(Facilitator) เป็ นต้น
5. ขั้นตอนของกระบวนการวิจัยปฏิบัติการแบบมีส่วนร่ วม
จากการศึกษาเอกสารเกี่ยวกับขั้นตอนของกระบวนการวิจยั ปฏิบตั ิการแบบมีส่วนร่ วม
(กมล สุ ดประเสริ ฐ. 2540 : 12-15 ; พันธุ์ทิพย์ รามสู ต. 2540 :42-52 ; เฉลียว บุรีภกั ดี. 2545 :
244-249) ผูว้ จิ ยั ได้ทาการวิเคราะห์ สังเคราะห์ และปรับขั้นตอนต่าง ๆ ของกระบวนการวิจยั
ปฏิบตั ิการแบบมีส่วนร่ วมได้ เป็ น 6 ขั้นตอนหลัก ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 ขั้นเตรี ยมการ ประกอบด้วยกิจกรรมย่อย ๆ ได้แก่
1.1 เลือกชุมชนเป้ าหมายที่ตอ้ งการพัฒนา
1.2 เข้าสู่ ชุมชน เพื่อหาความร่ วมมือจากผูเ้ กี่ยวข้อง สร้างความสัมพันธ์ที่ดี และสร้าง
ความไว้วางใจและการยอมรับในชุมชน
ขั้นตอนที่ 2 ขั้นศึกษาปั ญหา และกาหนดแนวทางหรื อวิธีการแก้ไข ประกอบด้วย
กิจกรรมย่อย ๆ ได้แก่
2.1 สารวจข้อมูลพื้นฐานของชุมชน
2.2 แนะนาให้สมาชิกในชุมชนรู ้จกั กับหลักการและแนวคิดของ PAR
2.3 บุปัญหา และจัดเรี ยงลาดับความสาคัญของปัญหา
13
แนวคิดเกีย่ วกับการวางระบบติดตามและประเมินผลการพัฒนาครู
ถ้าพิจารณาแนวคิดเกี่ยวกับระบบการประกันคุณภาพการศึกษาและหลักการบริ หาร
ที่เป็ นระบบครบวงจรดังกล่าวข้างต้น จะเห็นว่ามีความสอดคล้องกัน ดังแสดงในภาพ 1
(สานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. 2543 : 10)
ร่ วมกันวางแผน
P การควบคุมคุณภาพ
ร่ วมกันปรับปรุ ง A D ร่ วมกันปฏิบตั ิ
การตรวจสอบ
และประเมินคุณภาพ
C
ร่ วมกันตรวจสอบ
ดังนั้นการวางระบบติดตามและประเมินผลการพัฒนาคุณภาพขององค์การใด
องค์การหนึ่ง อาจใช้ระบบติดตามและประเมินผล ดังนี้
1. ติดตามและประเมินผลกระบวนการควบคุมคุณภาพ โดยการตรวจสอบว่า องค์กรได้
มีการร่ วมกันวางแผนปฏิบตั ิการ และได้ร่วมกันปฏิบตั ิตามแผน หรื อไม่ อย่างไร
2. ติดตามและประเมินผลกระบวนการตรวจสอบคุณภาพ และกระบวนประเมินคุณภาพ
โดยการตรวจสอบว่า
2.1 องค์กรได้มีการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการทางานตามกิจกรรม
ต่าง ๆ ในแผนปฏิบตั ิการ รวมทั้งการสะท้อนข้อมูลจากการประเมินผลแก่สมาชิกเพื่อประกอบ
การพิจารณาปรับปรุ งแก้ไขงาน หรื อไม่ อย่างไร
2.2 องค์กรได้มีการปรับปรุ งแก้ไขเพื่อพัฒนาคุณภาพของงานให้ดีข้ ึน หรื อไม่ อย่างไร
3. ติดตามและประเมินผลความต่อเนื่องในการทางานแบบครบวงจร PDCA โดยการ
ตรวจสอบว่า องค์กรได้มีทางานตามระบบ PDCA อย่างต่อเนื่อง จนกระทัง่ คุณภาพของงานเป็ นไป
ตามเป้ าหมายที่พึงประสงค์ หรื อไม่ อย่างไร
16
การติดตามและประเมินโครงการแบบมีส่วนร่ วม
P การควบคุมคุณภาพ
D
การวางแผนโครงการ การปฏิบตั ิงานตามแผน
1. ตรวจสอบความเหมาะสมของ
วัตถุประสงค์ของโครงการ C
- ความสอดคล้องกับความต้องการ การติดตาม ตรวจสอบ
จาเป็ น การปฏิบตั ิงาน
การตรวจสอบ
- ความเป็ นไปได้ที่จะบรรลุผล
และประเมิน
2. ตรวจสอบความเหมาะสมของ
คุณภาพ A
กิจกรรมของโครงการ
การสะท้อนผล
3. ให้ขอ้ มูลย้อนกลับเพื่อการปรับปรุ ง
และการปรับปรุ งแก้ไข
แก้ไข
ระยะที่ 3 ประเมินผลสรุ ปของโครงการ 1. ความสอดคล้องกันระหว่าง
การปฏิบตั ิงานกับแผนที่วางไว้
1. การบรรลุผลตามวัตถุประสงค์ของ 2. ปั ญหาที่อาจเกิดขึ้นในระหว่าง
โครงการ การดาเนินงานตามแผน
2. ผลกระทบและผลพลอยได้ 3. ความเหมาะสมและความเพียงพอ
อันเกิดจากโครงการ ของทรัพยากรที่ใช้ในการปฏิบตั ิงาน
4. ให้ขอ้ มูลย้อนกลับเพื่อการปรับปรุ งแก้ไข
การติดตามและประเมินโครงการแบบมีส่วนร่ วม
แนวคิดเกีย่ วกับการพัฒนาครู
1. แนวคิดการอบรมอย่างมีส่วนร่ วม
แนวคิดของการอบรมอย่างมีส่วนร่ วม เป็ นแนวคิดของการอบรมแนวใหม่ที่ใช้กลวิธีและ
ข้อดีของการมีส่วนร่ วมมาพัฒนาศักยภาพของผูเ้ ข้าอบรม โดยการจัดประสบการณ์การเรี ยนรู ้ให้ตาม
ความสนใจของผูเ้ ข้าอบรมในกรอบของหลักสู ตร บนหลักการและทักษะต่าง ๆ ที่จาเป็ นในการมี
ส่ วนร่ วม ซึ่ งกรอบแนวคิดของการอบรมอย่างมีส่วนร่ วมมีลกั ษณะดัง ภาพ 3
(จงกลนี ชุติมาเทวินทร์ . 2544 : 125)
20
วัตถุประสงค์ของการอบรม
ปั จจัยนาเข้าวิชาการ
(ความรู ้, เทคโนโลยี, ประสบการณ์)
กระบวนการอบรม แผนการ/โครงการ
การแก้ไขปั ญหา/การนาเอาความรู ้ไปใช้
การปฏิบตั ิตามแผน
การติดตามประเมินผล
ภาพ 3 กรอบแนวคิดของการอบรมอย่างมีส่วนร่ วม
1. ปั ญหาหรื อความจาเป็ น
2. ระบุปัญหา
3. ระบุสาเหตุของปั ญหา
5. เสนอทางเลือกเพื่อแก้ปัญหา
เลือกวิธีอื่นที่ไม่ใช่การ
6. ประเมินทางเลือก อบรม
หยุด
7. ตกลงใจเลือกวิธีการ 8. แนวทางเลือก
แก้ปัญหาทางใดทางหนึ่ง
สัมฤทธิ์ผล ไม่สมั ฤทธิ์ผล
เลือก
22. ตรวจสอบพฤติกรรม 9. วิเคราะห์หาความจาเป็ น การฝึ กอบรม
ภาพ 4 กระบวนการอบรมแบบครบวงจร
23
1. มิติของการคิด
ทิศนา แขมมณี และคณะ (2544 : 103-112) ได้กล่าวถึง มิติของการคิดโดยสรุ ปดังนี้
มิติของการคิดมี 6 ด้าน ได้แก่ 1) มิติดา้ นข้อมูลหรื อเนื้อหาที่ใช้ในการคิด 2) มิติดา้ นคุณสมบัติที่
เอื้ออานวยต่อการคิด 3) มิติดา้ นทักษะการคิด 3) มิติดา้ นลักษณะการคิด 4) มิติดา้ นกระบวนการคิด
5) มิติดา้ นการควบคุมและประเมินการคิดของตนเอง
1.1 มิติดา้ นข้อมูลหรื อเนื้อหาที่ใช้ในการคิด กล่าวคือ บุคคลไม่สามารถคิดโดยไม่มี
เนื้อหาของการคิดได้ ซึ่ งเนื้อหาของการคิด อาจจัดเป็ น 3 ด้านใหญ่ ๆ ได้แก่ ข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง
ข้อมูลเกี่ยวกับสังคมและสิ่ งแวดล้อม และข้อมูลวิชาการ
1.2 มิติดา้ นคุณสมบัติที่เอื้ออานวยต่อการคิด เป็ นคุณสมบัติส่วนตัวบางประการของ
บุคคลที่มีผลต่อการคิดและคุณภาพของการคิด เช่น ความเป็ นผูม้ ีใจกว้าง เป็ นธรรม ใฝ่ รู ้
กระตือรื อร้น ช่างวิเคราะห์ผสมผสาน ขยัน กล้าเสี่ ยง อดทน มีค วามมัน่ ใจในตนเอง และมี
มนุษยสัมพันธ์ เป็ นต้น
1.3 มิติดา้ นทักษะการคิด “ทักษะการคิด” เป็ นคาที่แสดงถึงพฤติกรรมการคิด ที่มี
ลักษณะเป็ นรู ปธรรมเพียงพอที่ใช้ให้มองเห็นพฤติกรรมหรื อการกระทาที่ชดั เจนของการคิดนั้น ๆ
โดยทัว่ ไปสามารถแบ่งได้ 3 ระดับ คือ 1) ทักษะการคิดขั้นพื้นฐาน ซึ่ งส่ วนมากเป็ นทักษะทาง
การสื่ อสาร เช่น ทักษะการฟัง การจา การอ่าน การรับรู ้ การพูด การเขียน การอธิ บาย เป็ นต้น
2) ทักษะที่เป็ นแกนสาคัญ เป็ นทักษะที่ใช้กนั มาก เช่น ทักษะการสังเกต การเปรี ยบเทียบ การตีความ
การขยายความ การอ้างอิง เป็ นต้น และ 3) ทักษะการคิดขั้นสู ง เป็ นทักษะการคิดที่ซบั ซ้อนขึ้น และ
ยากขึ้นกว่าทักษะแกนสาคัญ เช่น ทักษะการวิเคราะห์ ทักษะการสังเคราะห์ ทักษะการทานาย ทักษะ
การตั้งสมมติฐาน ทักษะการจัดระบบ เป็ นต้น
27
1.4 มิติดา้ นลักษณะการคิด “ลักษณะการคิด” เป็ นคาที่มีลกั ษณะเป็ นนามธรรม ซึ่ งเป็ นสิ่ ง
ที่แสดงให้เห็นว่า คนเรามีลกั ษณะการคิดหลายแบบ เช่น การคิดคล่อง การคิดหลากหลาย การคิด
ละเอียดลออ การคิดให้ชดั เจน การคิดกว้าง การคิดไกล การคิดลึกซึ้ ง การคิดอย่างมีเหตุผล เป็ นต้น
1.5 มิติดา้ นกระบวนการคิด “กระบวนการคิด” เป็ นการคิดที่ตอ้ งดาเนินการไปเป็ นลาดับ
ขั้นตอนที่จะช่วยให้การคิดนั้นประสบผลสาเร็ จตามจุดมุ่งหมายของการคิดนั้น ๆ ซึ่ งในแต่ละลาดับ
ขั้นตอนอาจต้องอาศัยทักษะการคิด หรื อลักษณะการคิดจานวนมาก กระบวนการคิดที่สาคัญมีหลาย
กระบวนการ เช่น กระบวนการคิดอย่างมีวจิ ารณญาณ กระบวนการคิดแก้ปัญหา กระบวนการคิด
ริ เริ่ มสร้างสรรค์ กระบวนการตัดสิ นใจ เป็ นต้น
1.6 มิติดา้ นการควบคุมและประเมินการคิดของตนเอง หรื อ “การควบคุมการรู้คิด
ของตนเอง” ซึ่ งหมายถึง การรู ้ตวั ถึงความคิดของตนเองในการกระทาอะไรอย่างใดอย่างหนึ่ง
หรื อการประเมินการคิดของตนเอง และใช้ความรู ้น้ นั ในการควบคุมหรื อปรับการกระทาของตนเอง
การคิดในลักษณะนี้เรี ยกว่า “การคิดอย่างมียทุ ธศาสตร์ ” ซึ่งครอบคลุมการวางแผน การควบคุม
กากับการกระทาของตนเอง การตรวจสอบความก้าวหน้าและการประเมินผล
ทักษะการคิดพื้นฐาน ขั้นตอน/วิธีการ
1. ทักษะการสังเกต 1. รับรู ้สิ่งที่สงั เกต
(Observing) 2. ใช้ประสาทสัมผัสหลายทาง (ตา หู จมูก ลิน้ กาย) รับรู ้และสารวจสิ่ งที่สงั เกต
3. รวบรวมข้อมูลการสังเกตทั้งด้านคุณลักษณะและปริ มาณ
4. รายงานข้อมูลการสังเกตตรงตามข้อมูลเชิงประจักษ์
5. รายงานข้อมูลการสังเกตโดยไม่ตีความข้อมูล
2. ทักษะการสารวจ 1. กาหนดสิ่ งหรื อเรื่ องจะไปสารวจค้นหา
(Exploring) 2. กาหนดวิธีการที่จะสารวจค้นหาสิ่ งหรื อเรื่ องที่กาหนด
3. ใช้วธิ ีการที่กาหนดในการสารวจค้นหาเรื่ องหรื อสิ่ งที่ตอ้ งการให้ได้มากที่สุด
3. ทักษะการสารวจ 1. กาหนดสิ่ งหรื อเรื่ องจะไปสารวจ
(Surveying) 2. ใช้วธิ ีการต่าง ๆ เข้าไปรับรู ้ขอ้ มูลทั้งที่เป็ นข้อเท็จจริ งหรื อความคิดเห็นเกี่ยวกับสิ่ งนั้น
3. ใช้วธิ ีการที่กาหนดในการสารวจค้นหาเรื่ องหรื อสิ่ งที่ตอ้ งการให้ได้มากที่สุด
4. ทักษะการจัด 1. สังเกตความเหมือน ความต่าง และภาพรวมของสิ่ งต่างๆ ที่จะจัดกลุ่ม
หมวดหมู่ 2. กาหนดเกณฑ์ของสิ่ งที่จะมารวมกลุ่มเดียวกัน ซึ่งแต่ละกลุ่มมีเกณฑ์ต่างกันไป
(Categorizing) 3. จาแนกหรื อแยกสิ่ งต่าง ๆ เข้ากลุ่มตามเกณฑ์ที่กาหนด
4. ได้สิ่งต่าง ๆ จัดเป็ นกลุ่มๆ
5. ทักษะการจาแนก 1. สังเกตสิ่ งที่สนใจจะจาแนกประเภท
ประเภท 2. สังเกตภาพรวม สังเกตสิ่ งที่เหมือน และสิ่ งที่ต่างกัน
(Classifying) 3. กาหนดเกณฑ์จาแนกประเภทที่ได้รับการยอมรับทางวิชาการหรือยอมรับทัว่ ไป
ในการแยกสิ่ งต่าง ๆ ออกจากกัน
4. แยกสิ่ งต่าง ๆ ออกจากกันตามเกณฑ์
5. จัดกลุ่มที่มีลกั ษณะเหมือนกันไว้ดว้ ยกัน
6. ได้ผลการจาแนกประเภทในแบบต่าง ๆ
6. ทักษะ 1. กาหนดสิ่ งที่จะนามาเปรี ยบเทียบกัน
การเปรี ยบเทียบ 2. กาหนดวัตถุประสงค์หรื อเป้ าหมายของการเปรี ยบเทียบ
(Comparing) 3. กาหนดเกณฑ์การเปรี ยบเทียบ (ใช้เกณฑ์เดียวกันในการเปรี ยบเทียบ)
4. แจกแจงรายละเอียดของสิ่ งที่นามาเปรี ยบเทียบตามเกณฑ์
5. นาเสนอผลการเปรี ยบเทียบตามเกณฑ์ให้เห็นชัดเจน
6. ประเมินผลการเปรี ยบเทียบ
7. นาผลการเปรี ยบเทียบไปใช้ประโยชน์ตามเป้ าหมาย
30
ตาราง 2 (ต่อ)
ทักษะการคิดพื้นฐาน ขั้นตอน/วิธีการ
7. ทักษะการเชื่อมโยง 1. พิจารณาข้อมูลต่าง ๆ
(Connecting) 2. เลือกข้อมูลที่มีความเกี่ยวข้องกันมาสัมพันธ์กนั ให้มีความหมาย
3. อธิบายความสัมพันธ์ของข้อมูล
8. ทักษะการแปลความ 1. ทาความเข้าใจในสาระและความหมายของสิ่ งที่จะแปลความ
(Translating) 2. หากลวิธีนาเสนอสาระและความหมายนั้นในรู ปแบบวิธีการใหม่ แต่ให้ยงั คงสาระ
และความหมายเดิม
3. ดาเนินการเรี ยบเรี ยงและถ่ายทอดสาระและความหมายนั้นตามกลวิธีที่กาหนด
9. ทักษะการตีความ 1. ศึกษาข้อมูล/ข้อความ/เรื่ องที่ตอ้ งการตีความให้ชดั เจน
(Interpreting) 2. หาความหมายของข้อความที่ไม่ได้มีบอกไว้ โดย
2.1 เชื่อมโยงข้อมูล/ข้อความที่มีกบั ข้อความอื่น ๆ ทั้งที่มีอยูแ่ ละที่เป็ นความรู ้หรื อ
ประสบการณ์เดิม
2.2 เชื่อมโยงข้อมูลอย่างมีเหตุผล
3. ระบุความหมายที่แฝงอยูโ่ ดยอธิบายเหตุผลประกอบ
10. ทักษะการทา 1. ระบุสิ่งที่สงสัยหรื อคลุมเครื อ
ความกระจ่าง 2. ใช้วธิ ีต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความชัดเจน เช่น เปรี ยบเทียบ ยกตัวอย่าง แปลความ
(Clarifying) ขยายความ ตีความ อธิบาย สรุ ป อ้างอิง ให้เหตุผล
11. ทักษะการสรุ ปย่อ 1. ศึกษาเรื่ องที่ตอ้ งการสรุ ปย่อให้เข้าใจ
(Summarizing) 2. จับเฉพาะใจความสาคัญของเรื่ อง โดย
2.1 จับจุดมุ่งหมายของเรื่ อง
2.2 ลาดับเหตุการณ์ของเรื่ อง
2.3 ระบุเหตุการณ์หรื อความหมายของเรื่ องที่จาเป็ นต่อการเข้าใจเรื่ องให้ครบถ้วน
2.4 ตัดรายละเอียดปลีกย่อยต่าง ๆ ที่ไม่จาเป็ นต่อการเข้าใจ
2.5 นาเหตุการณ์หรื อความหมายของเรื่ องที่สาคัญจาเป็ น ขาดไม่ได้ต่อการเข้าใจเรื่ อง
มาเรี ยบเรี ยงเรื่ องให้กระชับ
12. ทักษะการลงสรุ ป 1. ศึกษาข้อมูลทั้งหมด
ความเห็น 2. จัดกระทากับข้อมูลด้วยวิธีการต่าง ๆ ตามความเหมาะสม และสรุ ปสาระสาคัญของ
(Drawing conclusion) ข้อมูล/เรื่ องที่ศึกษา
3. ให้ความเห็นเกินไปจากข้อมูลที่มีอยู่ โดยอาศัย การเชื่อมโยง การใช้เหตุผล และ
อ้างอิงจากความรู ้หรื อประสบการณ์เดิมหรื อจากข้อมูลอื่น ๆ
4. อธิบายความคิดเห็นโดยใช้เหตุผลประกอบ
31
2.1.2 ทักษะการคิดขั้นสู ง
2.1.1.1 ทักษะการให้คาจากัดความ หมายถึง การระบุลกั ษณะเฉพาะที่สาคัญของ
สิ่ งใดสิ่ งหนึ่ง
2.1.1.2 ทักษะการวิเคราะห์ หมายถึง การแยกแยะข้อมูล หรื อส่ วนประกอบของ
สิ่ งใดสิ่ งหนึ่งออกเป็ นส่ วนย่อย ๆ และตรวจสอบหรื อจัดโครงสร้างความสัมพันธ์ขององค์ประกอบ
ต่าง ๆ
2.1.1.3 ทักษะการสังเคราะห์ หมายถึง การนาเอาส่ วนประกอบของสิ่ งใดสิ่ งหนึ่ง
มาผสมผสานรวมกัน เพื่อให้เกิดสิ่ งใหม่ที่มีเอกลักษณ์ และคุณสมบัติเฉพาะที่แตกต่างไปจากสิ่ งเดิม
2.1.1.4 ทักษะการประยุกต์ให้ความรู ้ หมายถึง การนาความรู ้ที่มีอยูไ่ ปใช้ใน
สถานการณ์ใหม่ที่มีลกั ษณะแตกต่างไปจากเดิม
2.1.1.5 ทักษะการประเมิน หมายถึง การตัดสิ นคุณค่าหรื อคุณภาพของสิ่ งหนึ่ง
สิ่ งใด โดยการนาผลจากการวัดไปเทียบกับเกณฑ์
สาหรับตัวอย่างวิธีการหรื อขั้นตอนการพัฒนาทักษะการคิดขั้นสู ง ดังแสดงใน
ตาราง 3
ทักษะการคิดขั้นสูง ขั้นตอน/วิธีการ
1. ทักษะการให้ 1. ศึกษาองค์ประกอบ/ลักษณะ/สมบัติที่หลากหลายของสิ่ งหนึ่งสิ่ งใด
คาจากัดความ 2. คัดสมบัติเฉพาะหรื อสมบัติร่วมของสิ่ งนั้น
(Defining) 3. นาสมบัติร่วมเหล่านั้นมาเรี ยบเรี ยงเป็ นข้อความให้กะทัดรัด ชัดเจน สละสลวย
2. ทักษะการวิเคราะห์ 1. ศึกษาข้อมูลหรื อสิ่ งที่ตอ้ งการวิเคราะห์
(Analyzing) 2. กาหนดวัตถุประสงค์/เป้ าหมายของการวิเคราะห์
3. กาหนดเกณฑ์ในการวิเคราะห์
4. แยกแยะ/แจกแจงส่วนประกอบของสิ่ งนั้น
5. แจกแจงรายละเอียดของส่วนประกอบทั้งหมด
6. ตรวจสอบ/จัดโครงสร้าง หรื อความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบใหญ่ และ
ความสัมพันธ์ขององค์ประกอบย่อย
3. ทักษะ 1. ศึกษาส่วนประกอบหรื อวิเคราะห์ขอ้ มูลที่ตอ้ งการสังเคราะห์
การสังเคราะห์ 2. กาหนดวัตถุประสงค์ของสิ่ งใหม่ที่ตอ้ งการสร้างหรื อสังเคราะห์ข้ ึน
(Synthesizing) 3. เลือกข้อมูลที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของสิ่ งใหม่ที่ตอ้ งการ
4. นาข้อมูลมาจัดทากรอบแนวคิดสาหรับสร้างสิ่ งใหม่
32
ตาราง 3 (ต่อ)
ทักษะการคิดขั้นสูง ขั้นตอน/วิธีการ
5. สร้างสิ่ งใหม่ตามวัตถุประสงค์และกรอบแนวคิดที่กาหนด โดยผสมผสาน
ส่วนประกอบ/ข้อมูลที่เลือก รวมทั้งข้อมูลอื่น ๆ ตามความเหมาะสมและความจาเป็ น
4. ทักษะการประยุกต์ 1. สารวจลักษณะของสถานการณ์ใหม่
ใช้ความรู ้ 2. ทบทวนข้อมูลหรื อความรู ้ที่มี
(Applying) 3. คัดเลือกข้อมูล ความรู ้ที่มีลกั ษณะสอดคล้องกับลักษณะของสถานการณ์ใหม่
4. ตรวจสอบความเป็ นเหตุเป็ นผล หรื อความเหมาะสมระหว่างข้อมูลกับสถานการณ์
5. ใช้ความรู ้ในสถานการณ์ใหม่
5. ทักษะการประเมิน 1. ตั้งเกณฑ์ที่ใช้ตดั สิ นคุณค่าหรื อคุณภาพ
(Evaluating) 2. นาข้อมูลที่ได้จากการวัดมาเทียบกับเกณฑ์
3. ระบุระดับของคุณค่าหรื อคุณภาพของสิ่ งนั้น
ลักษณะการคิด ขั้นตอน/วิธีการ
1. คิดคล่อง 1. กาหนดประเด็นที่ตอ้ งการคิด
2. คิดเชื่อมโยงเรื่ องที่คิดกับความรู/้ ประสบการณ์/ความรู ้สึก/ความคิดเห็นของตนอย่าง
รวดเร็ วให้ได้ขอ้ มูลจานวนมาก
2. คิดหลากหลาย 1. กาหนดประเด็นที่ตอ้ งการคิด
2. คิดถึงประเภท/ชนิด/แบบ/ลักษณะที่แตกต่างกันของสิ่ งที่คิดให้ได้จานวนมาก
3. หาตัวอย่างของประเภท/ชนิด/แบบ/ลักษณะของสิ่ งที่คิด
3. คิดละเอียด 1. พิจารณาเรื่ องที่คิดว่า มีประเด็นใดที่ตอ้ งการรายละเอียดเพิ่มขึ้นและเพื่อจุดประสงค์ใด
2. ขยายข้อมูลหรื อหาข้อมูลของประเด็นที่คิดให้ได้รายละเอียดเพิ่มเติมมากขึ้น
4. คิดชัดเจน 1. พิจารณาข้อมูล/เรื่ องที่คิด
2. ตรวจสอบว่าตนเองรู ้/ไม่รู้ เข้าใจ/ไม่เข้าใจ หรื อสงสัยอะไร
3. คิดหาคาตอบและวิธีการอธิบายความเข้าใจของตนในเรื่ องที่ตนรู ้
5. คิดอย่างมีเหตุผล 1. รวบรวมข้อมูลในสิ่ งที่คิด
2. จาแนกข้อมูลในเรื่ องที่คิด ที่เป็ นข้อเท็จจริ ง และความคิดเห็นออกจากกัน
3. พิจารณาความน่าเชื่อถือของข้อเท็จจริ งและความคิดเห็น
4. พิจารณาเรื่ องที่คิดโดยใช้หลักเหตุผลแบบนิรนัย และ/หรื อแบบอุปนัย บนฐานข้อมูล
ที่น่าเชื่อถือได้
6. คิดถูกทาง 1. คิดตัดสิ นใจในทางที่เป็ นประโยชน์ต่อส่วนรวม
2. คิดตัดสิ นใจในทางที่เป็ นประโยชน์ระยะยาวมากกว่าประโยชน์ระยะสั้น
7. คิดกว้าง 1. คิดถึงองค์ประกอบ/แง่มุมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่ องที่คิดให้ได้มากทีส่ ุด
2. หาข้อมูลรายละเอียดขององค์ประกอบ/แง่มุมของเรื่ องที่คิดให้ได้มากที่สุด
8. คิดลึกซึ้ง 1. รวบรวมส่วนประกอบและข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับเรื่ องที่คิดอย่างครอบคลุม
2. เชื่อมโยงความสัมพันธ์ที่ซบั ซ้อนของรายละเอียดในส่วนประกอบต่าง ๆ เพื่อให้เห็น
โครงสร้างหรื อภาพรวมของเรื่ องที่คิด
3. หาส่วนประกอบที่มีความสาคัญหรื อมีอิทธิพลต่อเรื่ องที่คิด
4. หาความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของส่วนประกอบต่าง ๆ ที่โยงใยของเรื่ องที่คิด
5. วิเคราะห์หาสาเหตุที่แท้จริ งของปั ญหา/เรื่ องที่คิด
9. คิดไกล 1. นาข้อมูล/ปั จจัยรอบด้านของเรื่ องที่คิดมาวิเคราะห์หาความสัมพันธ์เชิงสาเหตุ
2. ทานายความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของปั จจัยต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องเป็ นขั้น ๆ ไป โดยอาศัย
ข้อมูลและข้อเท็จจริ งต่าง ๆ เป็ นฐานในการทานาย
3. ประเมินความเหมาะสมและความเป็ นได้ของความสัมพันธ์เชิงสาเหตุแต่ละขัน้ ตอน
4. ลงความเห็นการทานายเหตุการณ์ในอนาคต
34
3. กระบวนการคิดและวิธีการพัฒนา
กระบวนการคิด เป็ นการคิดที่ที่ตอ้ งดาเนินไปตามขั้นตอนที่จะช่วยให้ประสบ
ความสาเร็ จตามจุดมุ่งหมายของการคิดนั้น ๆ กระบวนการคิดมีองค์ประกอบสาคัญ 3 ส่ วน คือ
1) จุดมุ่งหมายของกระบวนการ 2) ลาดับขั้นตอน และ 3) การปฏิบตั ิตามขั้นตอน ซึ่ งกระบวนการคิด
ในปั จจุบนั มีหลายกระบวนการ เช่น กระบวนการคิดอย่างมีวจิ ารณญาณ กระบวนการคิดแก้ปัญหา
กระบวนการคิดริ เริ่ มสร้างสรรค์ กระบวนการคิดวิเคราะห์ เป็ นต้น
3.1 กระบวนการคิดวิเคราะห์
กระบวนการคิดวิเคราะห์ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน (สุ วทิ ย์ มูลคา. 2547 ก : 19) ดังนี้
ขั้นที่ 1 กาหนดสิ่ งที่ตอ้ งการวิเคราะห์ เป็ นการกาหนดวัตถุสิ่งของ เรื่ องราว หรื อ
เหตุการณ์ต่าง ๆ ขึ้นมา เพื่อเป็ นต้นเรื่ องที่จะใช้วเิ คราะห์ เช่น พืช สัตว์ หิ น ดิน รู ปภาพ บทความ
เรื่ องราว เหตุการณ์หรื อสถานการณ์จากข่าว ของจริ งหรื อสื่ อเทคโนโลยีต่าง ๆ
ขั้นที่ 2 กาหนดปั ญหาหรื อวัตถุประสงค์ เป็ นการกาหนดประเด็นหรื อข้อสงสัยจาก
ปั ญหาของสิ่ งที่ตอ้ งการวิเคราะห์ ซึ่ งอาจจะกาหนดเป็ นคาถาม หรื อเป็ น การกาหนดวัตถุประสงค์
ของการวิเคราะห์เพื่อค้นหาความจริ ง สาเหตุ หรื อความสาคัญ เช่น ภาพนี้ บทความนี้ตอ้ งการสื่ อ
หรื อบอกอะไรที่สาคัญที่สุด
ขั้นที่ 3 กาหนดหลักการหรื อกฎเกณฑ์ เป็ นการกาหนดข้อกาหนดสาหรับใช้แยก
ส่ วนประกอบของสิ่ งที่กาหนดให้ เช่น เกณฑ์ในการจาแนกสิ่ งที่เหมือนกันหรื อแตกต่างกัน
หลักเกณฑ์ในการหาลักษณะความสัมพันธ์เชิงเหตุผล อาจจะเป็ นลักษณะความสัมพันธ์ที่มี
ความคล้ายคลึงกันหรื อขัดแย้งกัน
ขั้นที่ 4 พิจารณาแยกแยะ เป็ นการพินิจ พิเคราะห์ทาการแยกแยะ กระจายสิ่ งที่
กาหนดให้ออกเป็ นส่ วนย่อย ๆ โดยอาจใช้เทคนิคคาถาม ใคร (Who) อะไร (What) ที่ไหน (Where)
เมื่อไร (When) และ อย่างไร (How)
ขั้นที่ 5 สรุ ปคาตอบ เป็ นการรวบรวมประเด็นที่สาคัญ เพื่อหาข้อสรุ ปเป็ นคาตอบหรื อ
ตอบปั ญหาของสิ่ งที่กาหนดให้
3.2 กระบวนการคิดอย่างมีวจิ ารณญาณ
กระบวนการคิดอย่างมีวจิ ารณญาณ ประกอบด้วย 7 ขั้นตอน ดังภาพ 5
35
ไม่สมเหตุสมผล
7. ประเมินข้อสรุ ป
6. ลงข้อสรุ ป
5. ตั้งสมมติฐาน
4. ระบุลกั ษณะของข้อมูล
2. รวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องจากแหล่งต่าง ๆ
4. การพัฒนาการคิดของผู้เรียน
4.1 แนวทางในการพัฒนาคุณภาพการคิด
ในการประชุมที่ The Wingspread Conference Center in Racine รัฐ Wisconsin เมื่อ
เดือนพฤษภาคม 1984 ผูเ้ ข้าร่ วมประชุมเป็ นนักการศึกษาทัว่ โลกจานวน 60 คน ได้สรุ ปว่า แนวคิด
ในการพัฒนาคุณภาพการคิดมี 3 แนวทาง คือ (บุญเลี้ยง ทุมทอง. 2550 : 26-27)
1. การสอนเพื่อให้เกิดการคิดเป็ น การสอนแนวทางนี้จะประสบผลสาเร็ จได้ก็ต่อเมื่อ
ครู จดั บรรยากาศในชั้นเรี ยนให้เอื้อต่อการให้ผเู ้ รี ยนคิดคาตอบ ซึ่ งต้องเป็ นคาตอบที่เกิดจาก
การวิเคราะห์ การจัดหมวดหมู่ ประมวลข้อมูลเกี่ยวกับสิ่ งนั้น ๆ ก่อนตอบคาถาม การสอนเพื่อให้เด็ก
คิดเป็ นอาจจะเป็ นการใช้วธิ ี แทรกในบทเรี ยนวิชาต่าง ๆ ที่รวมไว้ในหลักสู ตร
2. การสอนการคิดให้เป็ นวิชาหนึ่งแยกออกมาจากวิชาที่มีการเรี ยนการสอนตามปกติ
โรงเรี ยนอาจจะสอนวิชาการคิดให้แก่เด็ก เพื่อให้ได้หลักการและทักษะการคิดที่สามารถนาไป
ประยุกต์ใช้ในการเรี ยนวิชาต่าง ๆ ได้
3. การสอนกระบวนการคิด เป็ นการสอนที่เน้นให้ผเู้ รี ยนได้ตระหนักถึง
กระบวนการคิดของตนเองและบุคคลอื่น เพื่อให้เกิดทักษะการคิดและความเข้าใจกระบวนการคิด
ของตนเองในอดีต สิ่ งที่ตนจะต้องศึกษาเพิ่มเติมให้ได้แนวทางการแก้ปัญหาในอนาคต เป็ นการสอน
ที่เน้นการวางแผนเกี่ยวกับการคิด การตรวจสอบความถูกต้องเหมาะสมของความคิดของตน
สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ โดยศูนย์บริ หาร
โครงการหนึ่งอาเภอ หนึ่งโรงเรี ยนในฝัน ได้ให้ แนวทางส่ งเสริ มความสามารถในการคิดในเอกสาร
ชุด “สานฝัน ด้วยการคิด” ดังนี้ (สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. 2548 :17-18)
1. ส่ งเสริ มตั้งแต่อยูใ่ นครรภ์ ให้ได้รับปั จจัยที่เอื้อต่ออวัยวะที่ใช้ในการคิด เช่น อาหาร
อากาศ น้ า ดนตรี ฯลฯ
2. จัดสภาพแวดล้อมทั้งที่บา้ นและโรงเรี ยน เช่น บรรยากาศที่เอื้อต่อการใช้คาถาม
3. ใช้ชุดฝึ กโดยเฉพาะ เช่น ต้องการฝึ กทักษะบางตัวซึ่ งเป็ นการฝึ กโดยตรงโดยไม่
ผูกพันกับเนื้อหา หรื อเกมฝึ กคิดต่าง ๆ
4. จัดสอนเป็ นรายวิชา หรื อเป็ นส่ วนหนึ่งของรายวิชา ซึ่ งนิยมทาในระดับอุดมศึกษา
5. จัดทาเป็ นหลักสู ตรระยะสั้น เช่น หลักสู ตร 3 วัน หรื อ 5 วัน
6. บูรณาการทักษะการคิดเข้าไปในการสอนเนื้อหารายวิชาต่าง ๆ
7. ใช้รูปแบบการเรี ยนการสอนที่นกั วิชาการคิดขึ้น โดยมีทฤษฎีหรื อหลักการเกี่ยวกับ
การคิดรองรับ มีกระบวนการในการดาเนินการสอน แล้วได้ผลตามวัตถุประสงค์
8. ใช้เทคนิคที่ส่งเสริ มการคิด เช่น เทคนิคการใช้คาถาม
40
6. พัฒนา/ปรับปรุ ง/แก้ไข
4.4.2 การเลือกวิธีจัดการเรียนรู้
วิธีจดั การเรี ยนรู ้มีอยูม่ ากมายหลายวิธี แต่ละวิธีก็มีขอ้ ดีและข้อเสี ยแตกต่างกัน
ไม่มีวธิ ี จดั การเรี ยนรู ้ใดวิธีหนึ่งที่เหมาะกับเนื้อหาและจุดประสงค์การเรี ยนรู ้ทุกชนิด ดังนั้ นจึง
จาเป็ นต้องรู ้จกั เลือกวิธีจดั การเรี ยนรู ้มาใช้ให้เหมาะสม โดยพิจารณาตามเกณฑ์ต่อไปนี้
(สุ วทิ ย์ มูลคา. 2549 ข: 16)
4.4.2.1 ควรเหมาะสมกับความรู ้ในเนื้อหาวิชา ความสามารถและความสนใจ
ของครู ผสู้ อน
4.4.2.2 ควรเหมาะสมกับวัย ความสามารถและความสนใจของผูเ้ รี ยน
4.4.2.3 สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของบทเรี ยน และความคิดรอบยอดที่
ครู ผสู ้ อนต้องการให้เกิดแก่ผเู ้ รี ยน
4.4.2.4 ควรเหมาะสมกับเวลา สถานที่ และจานวนผูเ้ รี ยน
4.4.2.5 เป็ นวิธีที่เสนอแนะแนวทางให้ผเู ้ รี ยนได้รับความรู ้ ความเข้าใจต่อ
บทเรี ยนได้เป็ นอย่างดี โดยไม่ตอ้ งใช้เวลามาก และสามารถนาความรู ้ไปใช้ได้จริ ง
4.4.2.6 เป็ นวิธีการที่ก่อให้เกิดทักษะต่าง ๆ แก่ผเู ้ รี ยน เช่น ทักษะการแสวงหา
ความรู ้ ทักษะการแก้ปัญหา ทักษะการแสดงออกทางสังคม เป็ นต้น
4.4.2.7 เป็ นวิธีการที่ก่อให้เกิดเจตคติที่ดี ถูกต้องตามสภาพความต้องการของ
สังคมและเป็ นที่ยอมรับ
4.4.2.8 เป็ นวิธีการที่ก่อให้เกิดแนวทางที่จะนาความรู ้ ทักษะ และเจตคติที่ได้รับ
ไปใช้และปฏิบตั ิในชีวติ ประจาวันได้
ในการจัดการเรี ยนรู้ให้ผเู้ รี ยนได้คิด มีเทคนิคมากมายที่ครู ผสู้ อนสามารถนาไป
ประยุกต์ใช้ ได้ อาทิเช่น (ประพันธ์ศิริ สุ เสารัจ. 2551 : 307 )
1) การใช้คาถามกระตุน้ เพื่อให้คิด และแสวงหาคาตอบ
2) ให้ผเู ้ รี ยนแสดงความคิดเห็นมาก ๆ โดยไม่ตอ้ งคานึงถึงความถูกผิด
3) ให้ผเู ้ รี ยนฝึ กปฏิบตั ิกิจกรรมการคิดแบบต่าง ๆ (ฝึ กสังเกต ฝึ กบันทึก
ฝึ กการฟัง ฝึ กการปุจฉา วิสัชนา ฝึ กตั้งสมมติฐานหรื อตั้งคาถาม ฝึ กค้นหาคาตอบจากแหล่งต่าง ๆ
ฝึ กทาโครงงานและวิจยั ฝึ กแยกแยะข้อมูล ฯลฯ)
4) ฝึ กคิดเป็ นขั้นตอน
5) ฝึ กคิดจากง่ายไปหายาก
6) กระตุน้ และเสริ มแรงให้ผเู้ รี ยนคิดเป็ นระยะ
44
2. ประวัติ
โรงเรี ยนบ้านท่าวัด “คุรุราษฎร์บารุ งวิทย์” เริ่ มก่อตั้งเมื่อวันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2466
ณ บริ เวณวัดมหาพรหมโพธิราชในปัจจุบนั โดยมีครู ใหญ่คนแรกชื่อ นายเสาร์ หาญมนตรี อาคาร
เรี ยนเดิมเป็ นศาลาวัด 4 ห้องเรี ยน พื้นที่ 132 ตารางเมตร ซึ่งคับแคบและมีปัญหาเมื่อถึงวันพระ
ประชาชนต้องใช้สถานที่ประกอบพิธีทางศาสนา ทาให้การเรี ยนการสอนต้องหยุดชะงักไม่ต่อเนื่อง
พ.ศ. 2473 นายเขียน ศรี อานาม ครู ใหญ่เห็นว่าศาลาการเปรี ยญชารุ ดมาก จึง ได้
ขอความร่ วมมือจากนายบัวอ่อน พรหมสาขาฯ และขุนภูมิศกั ดิ์ ศึกษาธิ การอาเภอ ร่ วมมือกับราษฎร
ในหมู่บา้ นปลูกสร้างศาลาหลังใหม่แล้วเสร็ จเมื่อวันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2479
พ.ศ. 2495 นายสว่าง วงศ์รัตนะ ตาแหน่งครู ใหญ่ เห็นว่าศาลาการเปรี ยญที่ใช้
ชารุ ดและเป็ นอุปสรรคในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา จึงได้ยา้ ยโรงเรี ยนออกจากวัดโดย
ร่ วมมือกับราษฎรไปปลูกสร้างอาคารเรี ยนหลังใหม่เป็ นเอกเทศในที่ดินของโรงเรี ยนที่จบั จองไว้
พื้นที่ 12 ไร่ เศษ คือที่ดินที่เป็ นที่ต้ งั โรงเรี ยนในปั จจุบนั โดยสร้างแบบ ป.1 มีมุขกลาง 4 ห้องเรี ยน
ทางราชการสมทบให้เงินสนับสนุน 50,000 บาท สร้างเสร็ จเมื่อวันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2502 ตั้งชื่อ
ใหม่วา่ โรงเรี ยนบ้านท่าวัด “คุรุราษฎร์บารุ งวิทย์” ตั้งแต่น้ นั มาโรงเรี ยนได้รับการสนับสนุนจากทาง
ราชการและราษฎรในหมู่บา้ น จัดสรรงบประมาณก่อสร้างอาคารต่าง ๆ จนถึงปัจจุบนั ดังนี้
พ.ศ. 2521 ได้รับงบประมาณจัดสรรอาคาร สปช.216 ราคา 480,000 บาท
พ.ศ. 2522 ได้รับงบประมาณสร้างส้วมแบบ อ.11 ขนาด 2 ที่ ราคา 15,000 บาท
พ.ศ. 2525 ได้รับงบประมาณสร้างส้วมแบบ สามัญ 401 ขนาด 5 ที่ ราคา 888,888 บาท
พ.ศ. 2526 ได้เข้าร่ วมโครงการ กศ.พช.ได้รับงบประมาณสนับสนุนเป็ นจานวนเงิน
78,800 บาท
พ.ศ. 2527 ได้รับประมาณก่อสร้างอาคารอเนกประสงค์ แบบ203/200 เป็ นเงิน
250,000 บาท
47
3. สภาพของชุ มชน
บ้านท่าวัดเหนือ และบ้านท่าวัดใต้ เดิมเป็ นหมู่บา้ นเดียวกันเรี ยกว่าบ้านท่าวัด หมู่ 3
ตาบลเหล่าปอแดง อาเภอเมือง จังหวัดสกลนคร ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2531 ได้แบ่งเขตการปกครอง
ออกเป็ น 2 หมู่บา้ นเรี ยกชื่อว่า บ้านท่าวัดเหนือ หมู่ที่ 3 ผูใ้ หญ่บา้ นคนปั จจุบนั คือนายชาญชัย
พลเยีย่ ม และบ้านท่าวัดใต้ หมู่ที่ 9 ผูใ้ หญ่บา้ นคนปั จจุบนั นายอุทิศ หอมจันทร์ หมู่บา้ นทั้งสอง
ตั้งอยูร่ ิ มหนองหาร ซึ่ งเป็ นหนองน้ าขนาดใหญ่รองรับน้ าที่ ไหลมาจากลาน้ าพุงและระบายออกไป
ทางลาน้ าก่าออกสู่ ลาน้ าโขงที่อาเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม ลักษณะของชุมชน ตั้งบ้านเรื อน
ชิดกัน ส่ วนมากจะเป็ นบ้านไม้ การขยายบ้านเรื อนออกไปทาได้ยาก เพราะติดทุ่งนาและหนองหาร
พื้นที่โดยทัว่ ไปเป็ นที่ลุ่มและมีที่ดินจากัด ประชาชนส่ วนหนึ่งบุกรุ กหนองหารเพื่อ ปลูกสร้างที่อยู่
อาศัย สภาพทัว่ ไปของบ้านท่าวัดทั้ง 2 หมู่เหมือนกับชาวบ้านอีสานทัว่ ไปคืออยูก่ นั เป็ นครอบครัว
ใหญ่ ยึดถือจารี ตประเพณี ที่ถือกันมาตั้งแต่โบราณ เช่ นประเพณี บุญกองข้าว บุญห่อข้าวสาก
ประเพณี สงกรานต์ ฯลฯ
ประชากรหมู่ที่ 3 บ้านท่าวัดเหนือมี 293 ครัวเรื อน เป็ นชาย 672 คน หญิง 674 คน
ส่ วนหมู่ที่ 11 บ้านท่าวัดใต้มี 174 ครัวเรื อน เป็ นชาย 380 คน หญิง 375 คน รวมทั้งสองหมู่บา้ น 476
ครัวเรื อน เป็ นชาย 1,052 คน หญิง 1,049 คน ซึ่ งทุกคนเชื้อชาติไทย นับถือศาสนาพุทธ ส่ วนมาก
เรี ยนจบการศึกษาภาคบังคับ( ป.4 หรื อ ป.6 และ ม.3) แต่ปัจจุบนั เปลี่ยนค่านิยมและเห็นประโยชน์
ของการศึกษา นิยมส่ งบุตรหลานศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น ภาษาที่ใช้ในการสื่ อสารคือ “ภาษาย้อ”
อาชีพส่ วนใหญ่ (ประมาณร้อยละ 90) ทานา โดยหลังฤดูเก็บเกี่ยวจะทาการปลูกพืชในฤดูแล้งเป็ น
อาชีพเสริ ม เช่น มะเขือเทศ และพืชผักสวนครัว มีรายได้เฉลี่ยค่อนข้างต่า เพียงครอบครัวละ
ประมาณ 15,000 บาท / ปี
48
4. ข้ อมูลพืน้ ฐานของโรงเรียน
4.1 วิสัยทัศน์
วิสัยทัศน์ของโรงเรี ยนบ้านท่าวัด “คุรุราษฎร์บารุ งวิทย์” คือ ยึดผูเ้ รี ยนเป็ นสาคัญ
สร้างสรรค์คุณธรรมความดี โดยมีชุมชนร่ วมมือ นาสื่ อเทคโนโลยีสู่การเรี ยนรู ้ มุ่งสู่ การศึกษาต่อและ
ประกอบอาชีพ
4.2 พันธกิจ
พันธกิจของโรงเรี ยนบ้านท่าวัด “คุรุราษฎร์บารุ งวิทย์” ได้แก่
4.2.1 จัดการศึกษาให้กบั นักเรี ยนตั้งแต่ช้ นั อนุบาลถึงชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น
4.2.2 นักเรี ยนได้รับการพัฒนาตามเกณฑ์มาตรฐานการเรี ยนรู้เต็มศักยภาพ
4.2.3 นักเรี ยนได้รับการพัฒนาความรู้ความสามารถทางเทคโนโลยี และใช้
เทคโนโลยีเพื่อการเรี ยนรู้ การสื่ อสาร และการจัดการที่เหมาะสม
4.3 คติพจน์
คติพจน์ของโรงเรี ยนบ้านท่าวัด “คุรุราษฎร์บารุ งวิทย์” คือ “ความรู้ดี มีพลานามัย
วินยั เด่น”
4.4 ตราสั ญลักษณ์ และสี ประจาโรงเรียน
ตราสัญลักษณ์ของโรงเรี ยนบ้านท่าวัด “คุรุราษฎร์บารุ งวิทย์” คือ
“ดอกบัว พระอาทิตย์ หนองหาร” ส่ วนสี ประจาโรงเรี ยนคือ สี ม่วง-ขาว
4.5 เขตบริการของโรงเรีย น
เขตบริ การของโรงเรี ยนบ้านท่าวัด “คุรุราษฎร์บารุ งวิทย์” มี 2 หมู่บา้ น คือบ้านท่าวัด
เหนือหมู่ที่ 3 และบ้านท่าวัดใต้ หมู่ที่ 9 ตาบลเหล่าปอแดง อาเภอเมืองสกลนคร จังหวัดสกลนคร
4.6 การจัดการศึกษา
โรงเรี ยนบ้านท่าวัด “คุรุราษฎร์บารุ งวิทย์” จัดการศึกษา 3 ระดับ คือ ระดับก่อน
ประถมศึกษา ระดับประถมศึกษา และระดับมัธยมศึกษาตอนต้น
4.7 จานวนห้ องเรียน
จานวนห้องเรี ยนของโรงเรี ยนบ้านท่าวัด “คุรุราษฎร์บารุ งวิทย์” มีท้ งั หมด 11
ห้องเรี ยน แบ่งเป็ นระดับก่อนประถมศึกษา 2 ห้องเรี ยน ระดับประถมศึกษา 6 ห้องเรี ยน และ
ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น3 ห้องเรี ยน
4.8 จานวนบุคลากร
จานวนบุคลากรของโรงเรี ยนบ้านท่าวัด “คุรุราษฎร์บารุ งวิทย์” มีท้ งั หมด 16 คน
แบ่งเป็ น ผูอ้ านวยการโรงเรี ยน ข้าราชการครู ชาย 7 คน หญิง 7 คน และนักการภารโรงอีก 1 คน
49
4.9 อาคารเรียนและอาคารประกอบ
โรงเรี ยนบ้านท่าวัด “คุรุราษฎร์บารุ งวิทย์” มีอาคารเรี ยนและอาคารประกอบ ดังนี้
4.9.1 อาคารเรี ยน แบบ ป.1ฉ 2 จานวน 1 หลัง 3 ห้อง
4.9.2 อาคารเรี ยน แบบ สปช.216 จานวน 1 หลัง 6 ห้อง
4.9.3 อาคารเรี ยน แบบ สปช.105/26 จานวน 1 หลัง 6 ห้อง
4.9.4 อาคารเอนกประสงค์ แบบ 203/26 จานวน 1 หลัง 1 ห้อง
4.9.5 ส้วม จานวน 3 หลัง 11 ห้อง
4.9.6 อาคารโรงอาหาร จานวน 1 หลัง
4.10 จานวนนักเรียนและห้ องเรียน ปี การศึกษา 2551
โรงเรี ยนบ้านท่าวัด “คุรุราษฎร์บารุ งวิทย์” ปี การศึกษา 2551 มีจานวนนักเรี ยน
ทั้งหมด 270 คน จาก 11 ห้องเรี ยน โดยมีรายละเอียด ดังนี้
4.10.1 ระดับก่อนประถมศึกษา มี 2 ห้องเรี ยน คือ อนุบาลปี ที่ 1 และอนุบาลปี ที่ 2
ซึ่งมีนกั เรี ยน 26 คน และ 23 คน ตามลาดับ
4.10.2 ระดับประถมศึกษา มี 6 ห้องเรี ยน คือ ประถมศึกษาปี ที่ 1 ถึงประถมศึกษาปี ที่
6 ระดับชั้นละ 1 ห้องเรี ยน โดยมีจานวนนักเรี ยนทั้งหมด 146 คน แบ่งเป็ น ประถมศึกษาปี ที่1,2,3,4,5
และ 6 จานวน 23,19,25,25,32 และ 22 คน ตามลาดับ
4.10.3 ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น มี 3 ห้องเรี ยน คือ มัธยมศึกษาปี ที่ 1 ถึงมัธยมศึกษา
ปี ที่ 3 ระดับชั้นละ 1 ห้องเรี ยน โดยมีจานวนนักเรี ยนทั้งหมด 75 คน แบ่งเป็ น มัธยมศึกษาปี ที่1,2
และ 3 จานวน 23,29 และ 23 คน ตามลาดับ
ประกอบด้วย ศึกษานิเทศก์จงั หวัด 22 คน ผูบ้ ริ หาร ครู และนักเรี ยนในโรงเรี ยนนาร่ อง 22 โรงและ
ในจานวนนี้เลือกศึกษาเชิงลึกจานวน 4 โรงเรี ยน
ผลการวิจยั พบว่า ปั จจัยที่ส่งผลต่อประสิ ทธิ ภาพการฝึ กอบรมครู ในรู ปแบบ School Based
Program มี 5 ด้าน คือ 1) ด้านความพร้อมของโรงเรี ยน ได้แก่ ผูบ้ ริ หาร ครู และโรงเรี ยนมี
ความพร้อมที่จะพัฒนาตนเอง 2) ด้านปั จจัยภายนอกโรงเรี ยน ได้แก่ การสนับสนุนโครงการจาก
ผูบ้ ริ หารระดับอาเภอหรื อจังหวัด และสภาพชุมชนที่ต้ งั โรงเรี ยนมีภาวะคุกคามจากปั ญหาเอดส์
3) ด้านการวางแผนการอบรม ได้แก่ การคัดเลือกโรงเรี ยน และการศึกษาข้อมูลพื้นฐานของโรงเรี ยน
4) ด้านการฝึ กอบรม ได้แก่ เป้ าหมายการอบรม หลักสู ตร เนื้อหา ตารางการอบรม วิทยากร สถานที่
ฝึ กอบรม กระบวนการอบรม การประเมินผล และองค์ประกอบในการฝึ กอบรมอื่น ๆ 5) ด้าน
กระบวนการนิเทศ ได้แก่ การวางแผนการนิเทศ รู ปแบบหรื อวิธีการนิเทศ การพัฒนากระบวนการ
นิเทศภายในโรงเรี ยน บทบาทของศึกษานิเทศก์ และการประเมินความต้องการจาเป็ นในการพัฒนา
ของครู สาหรับการเรี ยนรู ้ภายหลังการฝึ กอบรมของครู จะแบ่งออกเป็ น 4 ระยะ 1) ระยะลองผิดลอง
ถูกในการการจัดกิจกรรมการเรี ยนการสอนโดยใช้กระบวนการเรี ยนรู ้แบบมีส่วนร่ วม 2) ระยะเผชิญ
ปั ญหาในห้องเรี ยนเกี่ยวกับพฤติกรรมการเรี ยนของนักเรี ยนและบทบาทการสอนของครู 3) ระยะ
คลี่คลายความรู ้ความเข้าใจต่อกระบวนการเรี ยนรู ้แบบมีส่วนร่ วม และ 4) ระยะเปลี่ยนแปลง
พฤติกรรมการสอนของครู ซึ่ งปั จจัยที่มีต่อผลการเรี ยนรู ้ของครู คือ พื้นฐานความรู ้และทักษะ
การสอนเดิมของครู และการฝึ กอบรมที่ใช้รูปแบบการฝึ กอบรมแบบมี ส่วนร่ วม
2. ทวีศกั ดิ์ นพกร และคณะ (2541. อ้างถึงใน สานักงานรับรองมาตรฐานและประเมิน
คุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน). 2546 : 7-14) ได้ทาวิจยั เรื่ อง การปฏิรูปการศึกษาทั้งโรงเรี ยน
แบบมีส่วนร่ วม : กรณี ศึกษาโรงเรี ยนเทศบาล 2 (วัดคูหาสวรรค์) เทศบาลเมืองพิษณุโลก ภายใต้
ความช่วยเหลือขององค์การยูนิเซฟ ลักษณะงานวิจยั เป็ นการผสมผสานระหว่าง การวิจยั ปฏิบตั ิการ
แบบมีส่วนร่ วม การวิจยั เชิงสารวจ และการสัมภาษณ์แนวลึก โดยมีวตั ถุประสงค์ เพื่อ 1) ส่ งเสริ มให้
ครู รู้จกั ตนเอง เข้าใจผูอ้ ื่น เข้าใจนักเรี ยน และมีทกั ษะการทางานเป็ นทีม 2) ส่ งเสริ มใช้กระบวนการ
สอนแบบทักษะชีวติ 3) ให้ครู เข้าใจหลักสู ตร สามารถวิเคราะห์หลักสู ตร และสร้างแบบการสอน
แบบบูรณาการ และ 4) ให้ครู สอนโดยใช้ผเู ้ รี ยนเป็ นศูนย์กลาง ด้วยทักษะการเรี ยนรู ้แบบมีส่วนร่ วม
การพัฒนาครู ท้ งั โรงเรี ยนมีการฝึ กอบรมต่อเนื่องทั้งปี 12 ครั้ง กลุ่มเป้ าหมายหลักเป็ นครู โรงเรี ยน
เทศบาล 2 (วัดคูหาสวรรค์) 31 คน เป็ นครู ประจาการ 29 คน ครู ช่วยสอน 9 คน ซึ่ งครู ส่วนใหญ่เป็ น
ผูห้ ญิง มีครู ผชู้ ายเพียง 5 คนเท่านั้น
51
กรอบแนวคิดในการวิจัย
ร่ วมกันวางแผนปฏิบตั ิการพัฒนาครู
ตามรู ปแบบที่กาหนดขึ้น
ปฏิบตั ิการตามแผนที่วางไว้ ควบคู่ไปกับ
การสังเกต ติดตาม และประเมินผลเป็ นระยะ ๆ
ให้ขอ้ มูลย้อนแก่ผเู ้ กี่ยวข้อง
เพื่อการปรับปรุ ง แก้ไข
ประเมินผลสรุปรวม
1. ความสามารถของครู ในการจัดการเรี ยนรู ้ที่เน้นการคิด ซึ่งพิจาณาจาก ความรู ้ ความเข้าใจเกี่ยวกับ
การจัดการเรี ยนรู ้ที่เน้นการคิด และความสามารถในการจัดทาแผนการจัดการเรี ยนรู ้ที่เน้นการคิด
2. ความพึงพอใจของครู ต่อการใช้รูปแบบการพัฒนาครู ให้มีความสามารถในการจัดการเรี ยนรู ้ที่เน้นการคิด
ภาพ 7 กรอบแนวคิดในการวิจยั
56
บทที่ 3
วิธีดาเนินการวิจยั
ขั้นที่ 1 ขั้นเตรียมการ
ขั้นที่ 2 ขั้นศึกษาปัญหาและกาหนดวิธีการแก้ไข
ขั้นที่ 3 ขั้นวางแผนปฏิบัติการแก้ปัญหา
ขั้นที่ 4 ขั้นวางแผนติดตามและประเมินผล
ประกอบด้วยกิจกรรมต่าง ๆ ดังนี้
1. นาแผนปฏิบตั ิงานตามกิจกรรมต่างๆ ที่ระบุในโครงการ และแผนการติดตามและ
ประเมินโครงการ ไปปฏิบตั ิจริ ง
65
ขั้นที่ 6 ขั้นประเมินผลการปฏิบัติการแก้ปัญหา
ประกอบด้วยกิจกรรมต่าง ๆ ดังนี้
1. วิเคราะห์ความสามารถของครู ในการจัดการเรี ยนการรู้ที่เน้นการคิด ดังนี้
1.1 เปรี ยบเทียบความรู ้ ความเข้าใจของครู เกี่ยวกับการจัดการเรี ยนการรู้ที่เน้นการคิด
ก่อนและหลังการพัฒนาตามรู ปแบบที่พฒั นาขึ้น โดยพรรณนาด้วยสถิติพ้นื ฐานได้แก่ ร้อยละ
ค่าเฉลี่ย และส่ วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยโดยใช้การทดสอบที
แบบ 2 กลุ่มไม่อิสระกัน (Dependent Samples t-test) ซึ่ งในที่น้ ี ได้ทาการวิเคราะห์ท้ งั ที่เป็ นข้อมูลที่
ได้จากแบบทดสอบ และแบบประเมินตนเอง
1.2 วิเคราะห์ความสามารถในการจัดทาแผนการจัดการเรี ยนรู้ที่เน้นการคิด โดยใช้
การประเมินความเหมาะสมของแผนการจัดการเรี ยนรู้ที่เน้นการคิ ดที่ครู พฒั นาขึ้นกับเกณฑ์ที่ต้ งั ไว้
โดยผูเ้ ชี่ยวชาญจานวน 5 ท่าน ซึ่ งเป็ นอาจารย์สอนระดับปริ ญญาโทสาขาหลักสู ตรและการสอน
มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร และมีความเชี่ยวชาญด้านหลักสู ตรและการสอน ได้แก่
2.1.1 ผศ.ดร.ประยูร บุญใช้
2.1.2 ผศ.ดร.สาราญ กาจัดภัย
2.1.3 ผศ.ดร.ภูมิพงศ์ จอมหงษ์พิพฒั น์
2.1.4 ดร.อุษา ปราบหงษ์
2.1.5 ดร.พจมาน ชานาญกิจ
เกณฑ์ประเมินความเหมาะสม คือ ค่าเฉลี่ย 4.50 – 5.00, 3.50 – 4.49, 2.50 – 3.49,
1.50 – 2.49 และ 1.00 – 1.49 หมายถึง แผนการจัดการเรี ยนรู้มีความเหมะสมมากที่สุด มาก
ปานกลาง น้อย และน้อยที่สุด ตามลาดับ โดยที่ ความเหมาะสมของแผนการจัดการเรี ยนรู ้ที่ผา่ น
เกณฑ์ตอ้ งมีค่าตั้งแต่ 3.50 ขึ้นไป (ระดับมากขึ้นไป)
2.2 ประเมินความพึงพอใจของครู กลุ่มเป้ าหมายต่อการใช้รูปแบบการพัฒนาครู ให้มี
ความสามารถในการจัดการเรี ยนรู ้ที่เน้นการคิด โดยพรรณนาด้วยสถิติพ้นื ฐาน ได้แก่ค่าเฉลี่ย และ
ส่ วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
เกณฑ์ประเมินความพึงพอใจ คือ ค่าเฉลี่ย 4.50 – 5.00, 3.50 – 4.49, 2.50 – 3.49,
1.50 – 2.49 และ 1.00 – 1.49 หมายถึง ความพึงพอใจในระดับมากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย และ
น้อยที่สุด ตามลาดับ
66
บทที่ 4
ผลการวิเคราะห์ ข้อมูล
ผลการวิเคราะห์ขอ้ มูล
รายการ
(จานวนผูต้ อบทั้งหมด 14 คน)
1. เพศ เป็ นชาย 7 คน และหญิง 7 คน
2. อายุ อายุเฉลี่ย 48 ปี ส่ วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของอายุ 4.51 ปี
อายุต่าสุ ด 37 ปี และสู งสุ ด 57 ปี
3. สถานภาพสมรส ทุกคนแต่งงานแล้วและยังอาศัยอยูด่ ว้ ยกัน
4. วุฒิการศึกษาสู งสุ ด 1. ประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ป.วช.) สาขาช่างกลโรงงาน
ซึ่ งขณะนี้กาลังศึกษาต่อในระดับปริ ญญาตรี จานวน 1 คน
2. ปริ ญญาตรี (ค.บ.) จานวน 12 คน จาแนกตามสาขา ดังนี้
คหกรรมศาสตร์ 3 คน เกษตรศาสตร์ /เกษตรกรรม 2 คน
เทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการศึกษา 2 คน
บริ หารการศึกษา การศึกษาปฐมวัย การประถมศึกษา
ภาษาอังกฤษ และภาษาไทย สาขาละ 1 คน
3. ปริ ญญาโท 1 คน สาขาบริ หารการศึกษา
(กาลังศึกษาต่อระดับปริ ญญาโท 2 คน ในสาขาหลักสู ตร
และการสอน)
5. ประสบการณ์ในการสอน มีประสบการณ์ในการสอนเฉลี่ย 24 ปี ส่ วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
7.47 ปี มีประสบการณ์ในการสอนน้อยสุ ด 6 ปี (มีเพียงคนเดียว
นอกนั้นเกิน 15 ปี ) และมากสุ ด 37 ปี
6. กลุ่มสาระการเรี ยนรู ้ที่สอน มีสอนตรงหรื อใกล้เคียงกับสาขาที่สาเร็ จการศึกษาระดับสู งสุ ด
เพียง 3 คน ครู ส่วนใหญ่สอนเกิน 1 กลุ่มสาระการเรี ยนรู ้
7. ระดับการศึกษาที่สอน สอนเฉพาะระดับปฐมวัย 1 คน สอนเฉพาะระดับประถมศึกษา
7 คน สอนเฉพาะระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 2 คน สอนทั้งระดับ
ปฐมวัยและระดับประถมศึกษา 1 คน และสอนทั้งระดับ
ประถมศึกษาและมัธยมศึกษาตอนต้น 3 คน ไม่มีใคร
ที่สอนทั้ง 3 ระดับ
8. ระดับชั้นที่สอน มี 4 คนที่สอนในระดับชั้นเดียว นอกนั้นสอนเกิน 1 ระดับชั้น
68
7. ปัญหาหรืออุปสรรคในการจัดการเรียนการสอน
ปัญหาหรื ออุปสรรคในการจัดการเรี ยนการสอนของครู จาแนกได้ 3 ด้าน ดังนี้
7.1 ด้านครู ผสู้ อน ได้แก่ 1) สอนไม่ตรงสาขาที่เรี ยนมา ทาให้ขาดทักษะ กระบวนการ
สอนในบางเรื่ อง บางเนื้ อหา 2) การสอนของครู ยงั ไม่มีวธิ ี การที่หลากหลาย ทาให้ไม่น่าสนใจ
3) เวลาในการสอนค่อนข้างจากัด และ 4) ภาระงานอื่นเยอะ ทาให้ประสิ ทธิภาพในการสอนด้อยลง
7.2 ด้านนักเรี ยน ได้แก่ ความพร้อมและประสบการณ์เดิมของเด็กมีนอ้ ย
7.3 ด้านผูป้ กครอง ได้แก่ ผูป้ กครองคาดหวังสู ง ต้องการให้เด็กเขียนเป็ น อ่านเป็ น มี
ผลสัมฤทธิ์ สูง โดยไม่คานึงถึงประสบการณ์ดา้ นอื่น ๆ ของเด็ก
7.4 ด้านสื่ อ ได้แก่ ขาดสื่ อการเรี ยนการสอนที่มีคุณภาพและเร้าความสนใจเด็ก
7.5 ด้านเนื้อหาวิชา ได้แก่ เนื้อหามากทาให้สอนได้ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์
8. ความสามารถในการคิดขั้นสู งของนักเรียนตามความคิดเห็นของครู
ครู ผสู ้ อนทุกคน ประเมินว่า ความสามารถในการคิดขั้นสู งของนักเรี ยนในห้องเรี ยนที่
ตนสอนค่อนข้างต่า หรื ออยูใ่ นเกณฑ์ที่ไม่น่าพอใจ โดยเฉพาะอย่างยิง่ การคิดวิเคราะห์มีปัญหามาก
ที่สุด รองลงมาคือ การคิดอย่างมีวจิ ารณญาณ และการคิดแก้ปัญหา
9. ความคิดเห็นของครู เกีย่ วกับการจัดการเรียนรู้ ทเี่ น้ นการคิด
ครู ผสู้ อนมีความเห็นสอดคล้องกันว่า การจัดการเรี ยนรู้ที่เน้นการคิด เป็ นสิ่ งที่ดี และมี
ความจาเป็ นอย่างมาก ครู ควรได้รับการส่ งเสริ มให้มีความรู ้ความสามารถในเรื่ องดังกล่าว โดยมี
เหตุผลสนับสนุน ได้แก่ 1) เด็กสามารถนาการคิดขั้นสู งไปใช้ในชีวติ ประจาวันได้ 2) สอดคล้องกับ
ผลการประเมินภายนอก และสภาพปัญหาที่แท้จริ งในโรงเรี ยน
ครู บางคนได้ให้แนวคิดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการพัฒนาความสามารถในการคิดขั้นสู งของเด็ก
ว่า ควรค่อยเป็ นค่อยไป เพราะพื้นฐานความสามารถในด้านการคิดของเด็กค่อนข้างแตกต่างกันมาก
จาเป็ นต้องอาศัยเวลา และความต่อเนื่อง รวมทั้งการร่ วมมื อกันจากหลาย ๆ ฝ่ าย
ประเมินตนเอง ความต้องการพัฒนาตนเอง
ส่ วนเบี่ยงเบน
ส่ วนเบี่ยงเบน
รายการ
แปลความ
แปลความ
มาตรฐาน
มาตรฐาน
ค่าเฉลี่ย
ค่าเฉลี่ย
1. ความรู ้เกี่ยวกับการคิดและ 2.98 .83 ปานกลาง 4.64 .50 มากที่สุด
การพัฒนาการคิด
2. ความรู ้เกี่ยวกับรู ปแบบการสอน 3.07 .92 ปานกลาง 4.79 .43 มากที่สุด
วิธีสอน และเทคนิคการสอน
ต่าง ๆ ที่ช่วยพัฒนาการคิดของ
นักเรี ยน
3. การออกแบบกิจกรรมการเรี ยนรู ้ 2.79 .70 ปานกลาง 4.86 .36 มากที่สุด
เพื่อพัฒนาการคิดของนักเรี ยน
4. การเขียนแผนการจัดการเรี ยนรู้ 2.79 .89 ปานกลาง 4.79 .43 มากที่สุด
ที่เน้นการคิด
5. ความรู ้เกี่ยวกับการออกแบบ 2.64 .93 ปานกลาง 4.79 .43 มากที่สุด
และสร้างนวัตกรรมต่าง ๆ
เพื่อพัฒนาการคิดของนักเรี ยน
6. ความรู ้เกี่ยวกับการวัดและ 2.64 .93 ปานกลาง 4.79 .43 มากที่สุด
ประเมินการคิดของนักเรี ยน
7. ความรู ้เกี่ยวกับการเขียนรายงาน 2.50 1.09 ปานกลาง 4.86 .36 มากที่สุด
การใช้นวัตกรรมเพื่อพัฒนา
การคิดของนักเรี ยน
ระดับความต้องการ
ส่ วนเบี่ยงเบน
รายการ
แปลความ
มาตรฐาน
ค่าเฉลี่ย
1. จัดอบรมเชิ งปฏิบตั ิการ ให้มีท้ งั ภาคทฤษฎีและปฏิบตั ิ 4.43 .85 มาก
2. การจัดอบรมเชิงปฏิบตั ิการ ให้แบ่งเป็ นช่วง ๆ ตามประเด็น 4.36 .84 มาก
เนื้อหา ไม่ควรจัดรวมทุกประเด็นครั้งเดียว
3. จัดให้มีพี่เลี้ยงคอยให้คาแนะนา 4.71 1.07 มากที่สุด
4. จัดเวทีนาเสนอผลงาน 4.00 1.18 มาก
5. จัดระบบนิเทศ ติดตาม และประเมินผลอย่างใกล้ชิด 4.29 .91 มาก
และสม่าเสมอ
6. จัดให้มีชุดการเรี ยนรู ้ เพื่อทบทวนและศึกษาเพิ่มด้วยตนเอง 4.57 .85 มากที่สุด
7. จัดหาตัวอย่างแผนการจัดการเรี ยนรู ้ที่เน้น การคิดไว้ใน 4.57 .85 มากที่สุด
ห้องสมุดของโรงเรี ยน
8. จัดหาหนังสื อ ตารา และรายงานการวิจยั ที่เกี่ยวข้องไว้ใน 4.71 .83 มากที่สุด
ห้องสมุดของโรงเรี ยน
หมายเหตุ เกณฑ์การประเมิน 4.50 – 5.00, 3.50 – 4.49, 2.50 – 3.49, 1.50 – 2.49 และ
1.00 – 1.49 หมายถึง มากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย และน้อยที่สุด ตามลาดับ
73
วัตถุประสงค์ของการอบรม
การเตรี ยมการ
หลักสูตร
และการออกแบบ
(เนื้อหา, กระบวนการ, เทคนิค, วิธีการ )
หลักสูตร
บทบาทของบุคคลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
ปั จจัยนาเข้าวิชาการ
(ความรู ้, เทคโนโลยี, ประสบการณ์)
กระบวนการอบรม แผนการ/โครงการ
การแก้ไขปั ญหา/การนาเอาความรู ้ไปใช้
การปฏิบตั ิตามแผน
การติดตามประเมินผล
ภาพ 9 กรอบแนวคิดของการอบรมอย่างมีส่วนร่ วม
78
1. ปั ญหาหรื อความจาเป็ น
2. ระบุปัญหา
3. ระบุสาเหตุของปั ญหา
5. เสนอทางเลือกเพื่อแก้ปัญหา
เลือกวิธีอื่นที่ไม่ใช่
6. ประเมินทางเลือก การอบรม
หยุด
7. ตกลงใจเลือกวิธีการ
8. แนวทางเลือก
แก้ปัญหาทางใดทางหนึ่ง
สัมฤทธิ์ผล ไม่สมั ฤทธิ์ผล
เลือก
22. ตรวจสอบพฤติกรรม 9. วิเคราะห์หาความจาเป็ น การฝึ กอบรม
ภาพ 10 กระบวนการอบรมแบบครบวงจร
4. หลักการของรู ปแบบ
รู ปแบบการพัฒนาครู ให้มีความสามารถในการจัดการเรี ยนรู้ที่เน้นการคิด มีหลักการ
สาคัญในการพัฒนา ดังนี้
80
7. กระบวนการของรู ปแบบ
รู ปแบบการพัฒนาครู ให้มีความสามารถในการจัดการเรี ยนรู้ที่เน้นการคิด ใช้การมี
ส่ วนร่ วมระหว่างวิทยากรภายนอกและบุคลากรทุกคนในโรงเรี ยน โดยมีเป้ าหมายหลักร่ วมกันคือ
พัฒนาครู ให้มีความสามารถในการจัดการเรี ยนรู้ที่เน้นการคิด ซึ่งกระบวนการของรู ปแบบแบ่ง
ออกเป็ น 2 ระยะ ดังนี้
ระยะที่ 1 ระยะเตรียมการก่อนการพัฒนา
การดาเนินงานในระยะเตรี ยมการก่อนการพัฒนา มีวตั ถุประสงค์สาคัญ คือ
1. เพื่อให้ผเู ้ กี่ยวข้องทุกคนทั้งบุคลากรในโรงเรี ยนและทีมวิทยากรภายนอก รับรู ้
เข้าใจปั ญหาและสาเหตุของปั ญหาเกี่ยวกับการจัดการเรี ยนการสอนที่เน้นการคิดของครู ในโรงเรี ยน
เป้ าหมาย
2. เพื่อค้นหาแนวทางแก้ปัญหาหรื อพัฒนาร่ วมกัน ทั้งนี้เพื่อให้ได้วธิ ี การพัฒนา
กิจกรรมเสริ ม รวมทั้งสื่ อและแหล่งเรี ยนรู ้ต่าง ๆ สอดคล้องกับความต้องการของครู ทุกคนใน
โรงเรี ยน
3. เพื่อวางแผนพัฒนาความสามารถในการจัดการเรี ยนรู้ที่เน้นการคิด ตามแนวทาง
ที่วางไว้
82
9. การวัดและประเมินผลรู ปแบบ
การวัดและประเมินผลรู ปแบบการพัฒนาครู ให้มีความสามารถในการการจัดการเรี ยนรู้ที่
เน้นการคิด ดาเนินการดังนี้
9.1 เปรี ยบเทียบความรู ้ ความเข้าใจของครู เกี่ยวกับการจัดการเรี ยนการรู้ที่เน้น
กระบวนการคิดก่อนและหลังการพัฒนาตามรู ปแบบที่สร้างขึ้น
9.2 ศึกษาความสามารถของครู ในการจัดทาแผนการจัดการเรี ยนการรู้ที่เน้นการคิด
หลังการฝึ กตามรู ปแบบที่พฒั นาขึ้น โดยพิจารณาจากความเหมาะสมของแผนการจัดการเรี ยนรู้ที่เน้น
กระบวนการคิดที่ครู พฒั นาขึ้นกับเกณฑ์ที่ต้ งั ไว้ ซึ่งประเมินโดยผูเ้ ชี่ยวชาญ
9.3 ศึกษาความพึงพอใจของครู ที่มีต่อการใช้รูปแบบการพัฒนาครู ให้มีความสามารถ
ในการจัดการเรี ยนการรู้ที่เน้นการคิด
ก่อนการพัฒนา หลังการพัฒนา
ครู
ค่าเฉลี่ยของการประเมิน ระดับความรู้ ค่าเฉลี่ยของการประเมิน ระดับความรู้
คนที่
ตนเอง (5 คะแนน) ความเข้าใจ ตนเอง (5 คะแนน) ความเข้าใจ
1 3.29 ปานกลาง 4.29 มาก
2 2.00 น้อย 3.71 มาก
3 3.29 ปานกลาง 4.14 มาก
4 3.43 ปานกลาง 4.57 มาก
5 2.86 ปานกลาง 4.14 มาก
6 2.86 ปานกลาง 4.14 มาก
7 2.86 ปานกลาง 4.29 มาก
8 2.71 ปานกลาง 4.00 มาก
9 2.57 ปานกลาง 3.86 มาก
10 2.43 น้อย 3.71 มาก
11 2.00 น้อย 3.71 มาก
12 2.29 น้อย 3.71 มาก
13 2.00 น้อย 4.00 มาก
14 4.14 มาก 4.71 มาก
รวม 2.77 ปานกลาง 4.05 มาก
หมายเหตุ เกณฑ์การประเมิน 4.50 – 5.00, 3.50 – 4.49, 2.50 – 3.49, 1.50 – 2.49 และ
1.00 – 1.49 หมายถึง มากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย และน้อยที่สุด ตามลาดับ
ระดับ
จานวน คะแนน ส่ วนเบี่ยงเบน ทดสอบที
ช่วงในการวัด ค่าเฉลี่ย ความรู้
คน เต็ม มาตรฐาน (t-test)
ความเข้าใจ
ก่อนการพัฒนา 14 5 2.77 .62 ปานกลาง
13.93**
หลังการพัฒนา 14 5 4.05 .35 มาก
** มีนยั สาคัญทางสถิติที่ระดับ .01
ตาราง 12 (ต่อ)
ตาราง 12 (ต่อ)
ตาราง 12 (ต่อ)
ตาราง 12 (ต่อ)
ระดับความ
มากทีส่ ุ ด
มากทีส่ ุ ด
มากทีส่ ุ ด
มากทีส่ ุ ด
มากทีส่ ุ ด
มากทีส่ ุ ด
,มาก
มาก
มาก
มาก
มาก
มาก
มาก
มาก
เหมาะสม
หมายเหตุ เกณฑ์ความเหมาะสม 4.50 – 5.00, 3.50 – 4.49, 2.50 – 3.49, 1.50 – 2.49 และ 1.00 – 1.49
หมายถึง มีความเหมาะสมอยูใ่ นระดับ มากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย และน้อยที่สุด
ตามลาดับ โดยที่เกณฑ์ผา่ นที่ต้ งั ไว้คือตั้งแต่ 3.50 ขึ้นไป
94
ส่วนเบี่ยงเบน ระดับ
รายการประเมิน ค่าเฉลี่ย
มาตรฐาน ความเหมาะสม
1. สาระสาคัญ 4.48 .34 มาก
1) ครอบคลุมจุดประสงค์การเรี ยนรู ้ 4.29 .47 มาก
2) ครอบคลุมขอบข่ายสาระ การเรี ยนรู ้ /เนื้อหา 4.81 .25 มากที่สุด
3) กะทัดรัดแต่ได้ใจความชัดเจนสมบูรณ์ 4.29 .42 มาก
2. จุดประสงค์ การเรียนรู้ 4.78 .17 มากทีส่ ุ ด
1) สอดคล้องและครอบคลุมกับสาระการเรี ยนรู/้ เนื้อหา 4.81 .19 มากที่สุด
2) ระบุพฤติกรรมสอดคล้องกับกระบวนการ จัด 4.81 .43 มากที่สุด
การเรี ยนรู ้
3) มีความเฉพาะเจาะจง 4.93 .38 มากที่สุด
4) มีความเป็ นไปได้ที่จะบรรลุผล 5.00 .00 มากที่สุด
5) สามารถวัดและประเมินผลได้ 5.00 .00 มากที่สุด
3. สาระการเรียนรู้ 4.58 .22 มากทีส่ ุ ด
1) ระบุขอบข่ายเรื่ องที่จะเรี ยนอย่างชัดเจน 5.00 .00 มากที่สุด
2) สอดคล้องกับสาระสาคัญที่กาหนดไว้ 4.48 .47 มาก
3) น่าสนใจเหมาะสมกับระดับชั้นของผูเ้ รี ยน 5.00 .32 มากที่สุด
4) เหมาะสมกับกระบวนการเรี ยนรู ้และเวลา 3.83 .29 มาก
4. กระบวนการจัดการเรียนรู้/ กิจกรรมการเรียนรู้ 4.36 .36 มาก
1) เป็ นลาดับขั้นตอนที่เหมาะสมกับธรรมชาติของ 4.36 .40 มาก
เนื้อหาวิชาที่สอน
95
ตาราง 13 (ต่อ)
ส่วนเบี่ยงเบน ระดับ
รายการประเมิน ค่าเฉลี่ย
มาตรฐาน ความเหมาะสม
2) สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรี ยนรู ้ และสามารถ 4.36 .50 มาก
ทาให้บรรลุจุดประสงค์การเรี ยนรู ้ได้
3) สอดคล้องกับสาระการเรี ยนรู ้ 4.76 .30 มากที่สุด
4) เหมาะสมกับวัยธรรมชาติและ ความสนใจของผูเ้ รี ยน 4.17 .58 มาก
5) ใช้รูปแบบ/วิธี/เทคนิคการจัดการเรี ยนรู ้ที่จะ ช่วย 4.86 .31 มากที่สุด
ส่งเสริ มให้ผเู ้ รี ยนพัฒนาการคิด
6) ใช้เทคนิคการจัดการเรี ยนรู ้ที่จะ ช่วยให้ผเู ้ รี ยน 3.93 .40 มาก
กระตือรื อร้นที่จะเรี ยนรู ้
7) กิจกรรมการเรี ยนรู ้ส่งเสริ มให้ผเู ้ รี ยนสร้างความรู ้ 4.12 .41 มาก
และสรุ ปความรู ้ดว้ ยตนเอง
5. สื่อ/นวัตกรรม/แหล่ งเรียนรู้ 4.51 .36 มากทีส่ ุ ด
1) สอดคล้องกับสาระการเรี ยนรู ้ 4.31 .59 มาก
2) สอดคล้องกับกิจกรรมการเรี ยนรู ้ 4.55 .50 มากที่สุด
3) สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรี ยนรู ้ 4.12 .25 มาก
4) มีความน่าสนใจ กระตุน้ ให้เกิดการเรี ยนรู ้ 4.88 .21 มากที่สุด
5) ส่งเสริ มให้ผเู ้ รี ยนได้ฝึกคิด 4.57 .44 มากที่สุด
6) เหมาะสมกับวัยของผูเ้ รี ยน 4.64 .44 มากที่สุด
6. การวัดและประเมินผล 4.08 .40 มาก
1) มีการวัดและประเมินผลการเรี ยนรู ้ที่หลากหลาย 3.86 .39 มาก
2) วิธีวดั และเครื่ องมือวัดสอดคล้องตามจุดประสงค์และ 4.33 .41 มาก
สามารถประเมินสิ่ งที่ตอ้ งการประเมินได้จริ ง
3) มีเกณฑ์การประเมินผลการเรี ยนรู ้ที่ชดั เจน 4.05 .47 มาก
รวมทุกองค์ ประกอบ 4.47 .30 มาก
ส่วนเบี่ยงเบน ระดับ
รายการสารวจ ค่าเฉลี่ย
มาตรฐาน ความพึงพอใจ
1. ครู กลุ่มเป้ าหมายมีส่วนร่ วมในการกาหนดรู ปแบบ 4.82 .40 มากที่สุด
การพัฒนาครู ให้มีความสามารถในการจัดการเรี ยนรู ้ที่
เน้นการคิด
2. รู ปแบบการพัฒนาครู ให้มีความสามารถในการจัด 5.00 .00 มากที่สุด
การเรี ยนรู ้ที่เน้นการคิดสอดคล้องกับความต้องการ
ของครู กลุ่มเป้ าหมาย
3. การพัฒนาครู โดยใช้โรงเรี ยนเป็ นฐานเป็ นรู ปแบบที่ดี 4.73 .47 มากที่สุด
เพราะช่วยส่งเสริ มให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาไป
ในทิศทางเดียวกันทั้งโรงเรี ยน
4. บุคลากรทุกคนในโรงเรี ยนรับรู ้ เข้าใจ ต้องการและยินดี 4.91 .30 มากที่สุด
เข้าร่ วมกิจกรรม โดยเฉพาะผูอ้ านวยการโรงเรี ยน
เห็นความสาคัญและให้การสนับสนุน
5. กระบวนการพัฒนาครู ให้มีความสามารถในการจัด 4.55 .52 มากที่สุด
การเรี ยนรู ้ที่เน้นการคิด มีความเหมาะสม
6. กิจกรรมต่าง ๆ ของกระบวนการพัฒนาครูให้มี 4.64 .50 มากที่สุด
ความสามารถในการจัดการเรี ยนรู ้ที่เน้นการคิด
ส่งเสริ มให้ครู มีความรู ้ ความสามารถในการจัด
การเรี ยนรู ้ที่เน้นการคิดมากยิง่ ขึ้น
7. การได้เข้าร่ วมกิจกรรมครั้งนี้ มีผลทาให้ครู มีเจตคติที่ดี 4.55 .52 มากที่สุด
ยิง่ ขึ้นต่อการจัดการเรี ยนรู ้ที่เน้นการคิดของนักเรี ยน
98
ตาราง 14 (ต่อ)
ส่วนเบี่ยงเบน ระดับ
รายการสารวจ ค่าเฉลี่ย
มาตรฐาน ความพึงพอใจ
8. การได้เข้าร่ วมกิจกรรมทาให้ครู มีความมัน่ ใจ มากยิง่ ขึ้น 4.36 .50 มาก
ในการเขียนแผนการจัดการเรี ยนรู ้ที่เน้นการคิด
9. การสอนโดยใช้แผนการจัดการเรี ยนรู ้ที่เน้นการคิดที่ครู 4.73 .47 มากที่สุด
สร้างขึ้น ส่งเสริ มให้นกั เรี ยนมีความกระตือรื อร้นใน
การทากิจกรรมมากขึ้น
10. นักเรี ยนพอใจที่ครู จดั กิจกรรมต่าง ๆ เพื่อส่งเสริ มให้ 4.73 .47 มากที่สุด
พวกเขาได้คิด ได้แสดงความคิดเห็น และลงมือปฏิบตั ิ
จริ งร่ วมกับเพื่อน ๆ
11. นักเรี ยนกล้าคิด กล้าแสดงความคิดเห็นมากขึ้น เมื่อครู 4.36 .50 มาก
กระตุน้ โดยกิจกรรมต่าง ๆ ในแผนการจัดการเรี ยนรู ้ที่
เน้นการคิด
ภาพรวม 4.67 .30 มากทีส่ ุ ด
หมายเหตุ เกณฑ์การประเมิน 4.50 – 5.00, 3.50 – 4.49, 2.50 – 3.49, 1.50 – 2.49 และ
1.00 – 1.49 หมายถึง มีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย
และน้อยที่สุด ตามลาดับ
บทที่ 5
สรุปผลการวิจัย
อภิปรายผลการวิจัย
17) ดาเนินการอบรม 18) วัดการเรี ยนรู้หลังอบรม 19) ผูอ้ บรมกลับไปทางาน 20) การติดตามผล
21) วัดผลการปฏิบตั ิงานภายหลังการอบรม และ 22) ตรวจสอบพฤติกรรมหรื อผลการปฏิบตั ิงาน
2.2 การฝึ กอบรมโดยใช้โรงเรี ยนเป็ นฐาน เป็ นรู ปแบบการฝึ กอบรมที่ให้ความสาคัญ
ทั้งการเพิ่มพูนความรู ้ความสามารถ ทักษะการทางานและเจตคติที่ดีต่อการทางานของบุคลากรใน
โรงเรี ยน โดยการอบรมต้องทาให้ครบระบบอย่างทัว่ ถึง ทั้งระดับบริ หารและระดับปฏิบตั ิเพื่อเอื้อ
ซึ่ งกันและกัน ดังนั้นการฝึ กอบรมโดยใช้โรงเรี ยนเป็ นฐานในเรื่ องใดเรื่ องหนึ่ง จาเป็ นต้องเพิ่มพูน
ทั้งความรู ้ความสามารถ และทักษะในการทางาน รวมทั้งกระตุน้ ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเจตคติต่อ
การทางานที่เกี่ยวข้องกับเรื่ องนั้น ๆ ให้กบั บุคลากรทั้งโรงเรี ยน เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและ
พัฒนาในแนวทางเดียวกันทั้งโรงเรี ยน ซึ่ งขั้นตอนสาคัญในการกาหนดโปรแกรมการฝึ กอบรมโดย
ใช้โรงเรี ยนเป็ นฐาน มี 5 ขั้นตอน คือ 1) การระบุปัญหา 2) การระบุแนวทางแก้ไขปั ญหาที่อาจ
เป็ นไปได้ 3) การนาแนวทางนั้นไปใช้ 4) การประเมินโปรแกรม และ 5) การพิจารณาปรับปรุ งแก้ไข
(ถ้าจาเป็ น) โดยโปรแกรมดังกล่าวมีลกั ษณะเฉพาะสาคัญ ได้แก่ 1) เริ่ มที่ความต้องการของครู และ
โรงเรี ยน 2) จะต้องอยูภ่ ายใต้ภาวะผูน้ าของผูบ้ ริ หารโรงเรี ยนหรื อส่ วนกลาง 3) จะต้องใช้สังกัป
สาคัญ (Key concepts) และคาสาคัญ (Key words) ที่ได้กาหนดไว้ในกระบวนการวางแผน
การนาไปใช้และการประเมิน 4) กิจกรรมทุกอย่างจะต้องกระทาเพื่อตอบสนองความต้องการของ
โรงเรี ยน และทุกคนต้องให้ความร่ วมมือ และ 5) กระบวนการฝึ กอบรมถือเป็ นหน้าที่ ที่ตอ้ งปฏิบตั ิ
ด้วยความเข้าใจ (ประวิต เอราวรรณ์ และคณะ. 2541 : 19-21)
จากที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นว่าแนวคิดทฤษฎีพ้นื ฐานทั้ง 3 ประการ ที่ใช้เป็ นแนวทาง
ในการพัฒนารู ปแบบการพัฒนาครู ให้มีความสามารถในการจัดการเรี ยนรู้ที่เน้นการคิดมีจุดเน้น
สาคัญสอดคล้องกันคือ การมีส่วนร่ วมในการพัฒนาของบุคลากรทุกคนในโรงเรี ยน โดยประเด็นที่
ร่ วมกันพัฒนานั้นเป็ นเรื่ องที่สอดคล้องกับสภาพ ปั ญหาและความต้องการ ซึ่ งแนวคิดเหล่านี้
สอดคล้องและเหมาะสมอย่างยิง่ ที่ผวู ้ จิ ยั เลือกใช้กระบวนการวิจยั ปฏิบตั ิการแบบมีส่วนร่ วมมาใช้ใน
การดาเนินการพัฒนารู ปแบบการพัฒนาครู ให้มีความสามารถในการจัดการเรี ยนรู้ที่เน้นการคิด
นอกจากนี้ จากการศึกษาผลงานวิจยั ที่ผา่ นมาของคนอื่น ๆ ได้ขอ้ ค้นพบที่สอดคล้องกันว่า
การพัฒนาครู โดยใช้การฝึ กอบรมตามแนวคิดทฤษฎีดงั กล่าวนี้ เป็ นรู ปแบบที่เหมาะสม สามารถ
พัฒนาครู ให้มีความรู้ ทักษะการปฏิบตั ิงานในประเด็นที่ตอ้ งการพัฒนาได้เป็ นอย่างดี รวมทั้งเกิด
เจตคติที่ดีต่อการปฏิบตั ิงานในเรื่ องนั้น ๆ ดังเช่น ผลงานวิจยั ของอนันต์ เพียรพานิชย์ (2550 :
ออนไลน์) เรื่ อง การพัฒนารู ปแบบการพัฒนาครู สู่การปฏิรูปการเรี ยนรู้ โดยใช้โรงเรี ยนเป็ นฐาน
ดาเนินการวิจยั เป็ น 2 ระยะ คือระยะที่ 1 การพัฒนารู ปแบบการพัฒนาครู สู่การปฏิรูปการเรี ยนรู ้โดย
ใช้โรงเรี ยนเป็ นฐาน ระยะที่ 2 เป็ นการประเมินรู ปแบบการพัฒนาครู สู่การปฏิรูปการเรี ยนรู ้โดยใช้
โรงเรี ยนเป็ นฐาน กลุ่มตัวอย่างในการทดลองใช้รูปแบบเป็ นครู ตน้ แบบการปฏิรูปเรี ยนรู้จาก
107
ข้ อเสนอแนะ
1. ข้ อเสนอแนะในการนาผลการวิจัยไปใช้
จากผลการวิจยั พบว่า รู ปแบบการพัฒนาครู ให้มีความสามารถในการจัดการเรี ยนรู้ ที่เน้น
การคิดที่พฒั นาขึ้น สามารถส่ งเสริ มให้ครู มีความสามารถในการจัดการเรี ยนรู้ที่เน้น การคิด อีกทั้งยัง
มีความพึงพอใจต่อการใช้รูปแบบดังกล่าว ดังนั้นจึงควรมีการนาผลการวิจยั ไปใช้ ดังนี้
1.1 ผูบ้ ริ หารและผูท้ ี่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการฝึ กอบรมและพัฒนาครู ในสานักงานเขต
พื้นที่การศึกษา ควรส่ งเสริ มให้มีการนารู ปแบบการพัฒนาครู ให้มีความสามารถในการจัดการเรี ยนรู้
ที่เน้นการคิด ซึ่งได้ผา่ นขั้นตอนการพัฒนาอย่างเป็ นระบบ ไปใช้ในการพัฒนาครู ให้มีความสามารถ
ทาหน้าที่จดั การเรี ยนการสอนเพื่อพัฒนาการคิดของนักเรี ยนได้อย่างมีประสิ ทธิ ภาพ
1.2 จากผลงานวิจยั ของประวิต เอราวรรณ์ และคณะ (2541 : บทคัดย่อ) ซึ่งได้ศึกษาปัจจัย
ที่ส่งผลต่อประสิ ทธิ ภาพการฝึ กอบรมครู โดยใช้โรงเรี ยนเป็ นฐาน พบว่า ปั จจัยหนึ่งที่มีความสาคัญ
อย่างมากต่อการบรรลุความสาเร็ จของพัฒนาครู คือ “ความพร้อมของโรงเรี ยน” อันได้แก่ ผูบ้ ริ หาร
และครู ตอ้ งมีความพร้อมที่จะพัฒนาตนเอง ดังนั้นในการนารู ปแบบการพัฒนาครู ให้มีความสามารถ
ในการจัดการเรี ยนรู้ที่เน้นการคิดที่พฒั นาขึ้นไปใช้ จะต้องคานึงถึงปั จจัยดังกล่าวด้วย
109
2. ข้ อเสนอแนะในการวิจัยต่ อไป
2.1 ควรมีการศึกษาผลการใช้รูปแบบการพัฒนาครู ให้มีความสามารถในการจัด
การเรี ยนรู้ที่เน้นการคิด ในบริ บทพื้นที่โรงเรี ยนอื่นๆ ต่อไป โดยให้เน้นกิจกรรมของการนิเทศ
ภายในอย่างเป็ นระบบ และมีการศึกษาความสามารถในการคิดของนักเรี ยนที่เปลี่ยนแปลงไป
ภายหลังที่ครู นาแผนการจัดการเรี ยนรู ้ที่เน้นการคิดไปใช้ในสถานการณ์จริ งอย่างจริ งจัง
2.2 ควรมีการศึกษาวิจยั ที่พฒั นารู ปแบบการพัฒนาครู ให้มีความสามารถในการจัด
การเรี ยนรู ้ที่เน้นการคิด ร่ วมกับตัวแปรอื่น ๆ เช่น ทักษะการอานวยความสะดวกในการเรี ยนรู้ ของครู
2.3 ควรนาแนวคิด การฝึ กอบรมครู โดยใช้โรงเรี ยนเป็ นฐาน การฝึ กอบรมแบบมี
ส่ วนร่ วม และการอบรมเพื่อแก้ไขปั ญหาแบบครบวงจร ไปพัฒนารู ปแบบการฝึ กอบรมครู ให้มี
ความรู้ ทักษะ และเจตคติที่ดีในประเด็นอื่น ๆ เช่น การจัดการเรี ยนรู ้ที่เน้นผูเ้ รี ยนเป็ นสาคัญ
การวิจยั เพื่อพัฒนาการเรี ยนรู้ของผูเ้ รี ยน เป็ นต้น
บรรณานุกรม
บรรณานุกรม (ต่ อ)
ภาคผนวก ก
เครื่ องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล
แบบทดสอบ
ความรู้ ความเข้ าใจเกีย่ วกับการจัดการเรียนรู้ ทเี่ น้ นการคิด
คาชี้แจง
1. แบบทดสอบนี้ วัดความรู ้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดการเรี ยนรู้ที่เน้นการคิด ซึ่งเป็ น
แบบทดสอบประเภทปรนัย 4 ตัวเลือก จานวน 40 ข้อ
2. ในแต่ละข้อคาถาม ให้ท่านเลือกคาตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคาตอบเดียว จากนั้นเขียน
เครื่ องหมายกากบาท () ลงในช่องตัวเลือก “ก ข ค หรื อ ง” ในกระดาษคาตอบที่
แจกให้เท่านั้น
29. ให้พิจารณาข้อความต่อไปนี้
(1) การประเมินตามสภาพจริ ง (Authentic Assessment) เป็ นการประเมินผลที่สอดคล้อง
กับกระบวนการเรี ยนการสอนที่เน้นผูเ้ รี ยนเป็ นสาคัญมากที่สุด และยังสอดคล้องกับการวัดและ
ประเมินผลตามหลักสู ตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2544
(2) แนวคิดและกระบวนการประเมินตามสภาพจริ ง เน้นการประเมินผลระหว่างเรี ยน
ของผูเ้ รี ยนแต่ละคน โดยคานึงถึงสภาพปั ญหาและผลการปฏิบตั ิจริ งทั้งในชั้นเรี ยนและใน
ชีวติ ประจาวัน
(3) วิธีการประเมินผลตามสภาพจริ ง มุ่งประเมิน 2 ด้านใหญ่ ๆ คือ ด้านทักษะ (Skills) ที่
ผูเ้ รี ยนได้ฝึกและลงมือปฏิบตั ิจริ ง และ (2) ด้านค่านิยมและเจตคติของผูเ้ รี ยน (Values and Attitude)
ต่อการเรี ยน รวมทั้งพฤติกรรมที่แสดงออก
ข้อใดกล่าวได้ถูกต้องเกี่ยวกับ 3 ข้อความข้างต้น
ก. ผิดข้อเดียวคือข้อ (1) ข. ผิดข้อเดียวคือข้อ (2)
ค. ผิดข้อเดียวคือข้อ (3) ง. ถูกทั้ง 3 ข้อ
30. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับแผนการจัดการเรี ยนรู ้
ก. แผนการจัดการเรี ยนรู ้แบบพิสดารเป็ นแผนที่เขียนแบบแปลกใหม่
ข. แผนการจัดการเรี ยนรู้แบบบรรยายเป็ นการจัดทาแผนโดยอธิ บายรายละเอียดแต่ละ
องค์ประกอบของแผนเป็ นความเรี ยงตามลาดับหัวข้อ
ค. แผนการจัดการเรี ยนรู้แบบตารางเป็ นแผนที่บรรจุองค์ประกอบสาคัญของแผนใน
รู ปแบบตาราง
ง. ผลการสอน ปัญหาอุปสรรค และข้อเสนอแนะในการจัดการเรี ยนการสอนเป็ น
ประเด็นที่สาคัญในการบันทึกผลหลังการสอน
31. ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับการวางแผนการจัดการเรี ยนรู ้ที่เน้นการคิด
ก. ครู จะต้องวิเคราะห์หลักสู ตรในส่ วนสาระการเรี ยนรู ้ มาตรฐานการเรี ยนรู ้ รวมทั้ง
ผลการเรี ยนรู้ที่คาดหวัง
ข. การสอนการคิดที่ดีที่สุดคือการทาหน่วยการเรี ยนรู ้เรื่ องการคิดขึ้นมาเพื่อสอน
นักเรี ยนโดยตรง
ค. การออกแบบการเรี ยนรู้ที่เน้นกระบวนการคิดจะต้องเลือกเทคนิควิธีการจัดการเรี ยนรู้
ให้เหมาะสมสอดคล้องกับกระบวนการคิดที่ตอ้ งการพัฒนา
ง. การออกแบบการเรี ยนรู้ที่เน้นกระบวนการคิดควรออกแบบวิธีวดั และประเมินผล
ไปพร้อม ๆ กัน
121
32. ข้อใดอธิบายความหมายของผังความคิดได้สมบูรณ์ที่สุด
ก. เป็ นผังที่แสดงความสัมพันธ์ของสาระ หรื อความคิดต่าง ๆ โดยจัดทาให้สวยงาม
ข. เป็ นผังที่แสดงให้เห็นโครงสร้างในภาพรวมโดยใช้เส้น คา ระยะห่างจากจุดศูนย์กลาง
สี เครื่ องหมาย รู ปทรงเรขาคณิ ต แสดงความหมายและความเชื่อมโยงของสาระนั้น ๆ
ค. เป็ นผังแสดงความสัมพันธ์ของสาระในภาพรวมโดยใช้เส้น คา ระยะห่างจาก
จุดศูนย์กลาง สี เครื่ องหมาย รู ปทรงเรขาคณิ ต แสดงความหมายและความเชื่อมโยง
ของสาระนั้น ๆ
ง. เป็ นผังแสดงความสัมพันธ์ของสาระในภาพรวมโดยใช้รูปทรงเรขาคณิ ต
แสดงความหมายและความเชื่อมโยงของสาระนั้น ๆ
33. ในกรณี ขอ้ มูลหรื อเนื้อหาสาระเป็ นปั ญหาที่มีสาเหตุของปั ญหาซับซ้อนมีสาเหตุหลัก
และสาเหตุยอ่ ยหลายประการ ควรใช้ผงั กราฟิ กชนิดใดในการแสดงข้อมูลจึงจะเหมาะสมที่สุด
ก. ผังความคิด ข. ผังมโนทัศน์
ค. ผังก้างปลา ง. ผังใยแมงมุม
34. เทคนิควิธีสอนใดต่อไปนี้เหมาะสมสาหรับการส่ งเสริ มความคิดสร้างสรรค์มากที่สุด
ก. การสร้างศรัทธาและโยนิโสมนสิ การ
ข. การสอนแบบอุปนัย
ค. การสอนแบบนิรนัย
ง. วิธีสอนแบบซินเนคติกส์
35. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับหลักวิธีคิดแบบโยนิโสมนสิ การ
ก. วิธีคิดแบบสื บสาวเหตุปัจจัยเป็ นวิธีคิดเพื่อให้รู้สภาวะที่เป็ นจริ ง
ข. วิธีคิดแบบอริ ยสัจ แบบวิธีคิดแบบแก้ปัญหา
ค. วิธีคิดแบบคุณโทษและทางออก เป็ นการคิดบนพื้นฐานความตระหนักว่าทุกสิ่ ง
ทุกอย่างมีท้ งั ส่ วนดีและส่ วนด้อย
ง. วิธีคิดแบบเร้าคุณธรรม เป็ นการคิดแบบแยกแยะว่าอะไรดีอะไรไม่ดีอย่างชัดเจน
36. ในการพัฒนาความสามารถทางการคิดของผูเ้ รี ยน ครู จะต้องคานึงถึงองค์ประกอบใน
ด้านใด
ก. ข้อมูลเนื้อหาที่ใช้ในการคิด
ข. คุณสมบัติที่เอื้อต่อการคิด
ค. กระบวนการคิด ลักษณะและทักษะการคิด
ง. ถูกทุกข้อ
122
ผลการวิเคราะห์ คุณภาพ
แบบทดสอบความรู้ ความเข้ าใจเกีย่ วกับการจัดการเรียนรู้ ทเี่ น้ นการคิด
ผลการวิเคราะห์คุณภาพของแบบทดสอบความรู ้ความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดการเรี ยนรู ้ที่เน้น
การคิด ปรากฏดังตาราง 15
ข้อที่ p r ข้อที่ p r
1 .71 .57 21 .54 .36
2 .64 .71 22 .57 .29
3 .57 .86 23 .46 .21
4 .70 .64 24 .71 .21
5 .46 .93 25 .68 .50
6 .64 .57 26 .68 .36
7 .61 .64 27 .50 .29
8 .57 .57 28 .61 .21
9 .68 .36 29 .57 .43
10 .75 .50 30 .61 .36
11 .71 .29 31 .61 .64
12 .71 .29 32 .61 .36
13 .61 .36 33 .61 .50
14 .50 .43 34 .39 .21
15 .64 .29 35 .46 .50
16 .75 .36 36 .54 .36
17 .71 .43 37 .57 .43
18 .43 .29 38 .64 .29
19 .75 .29 39 .71 .43
20 .43 .29 40 .61 .50
มีปานกลาง
มีนอ้ ยที่สุด
มีมากที่สุด
ปานกลาง
น้อยที่สุด
มากที่สุด
มีนอ้ ย
มีมาก
น้อย
มาก
1. ความรู ้เกี่ยวกับการคิดและ
การพัฒนาการคิด
2. ความรู ้เกี่ยวกับรู ปแบบการสอน
วิธีสอน และเทคนิคการสอน
ต่าง ๆ ที่ช่วยพัฒนาการคิด
ของนักเรี ยน
3. การออกแบบกิจกรรมการเรี ยนรู ้
เพื่อพัฒนาการคิดของนักเรี ยน
4. การเขียนแผนการจัดการเรี ยนรู้
ที่เน้นการคิด
5. ความรู ้เกี่ยวกับการออกแบบ
และสร้างนวัตกรรมต่าง ๆ
เพื่อพัฒนาการคิดของนักเรี ยน
6. ความรู ้เกี่ยวกับการวัดและ
ประเมินการคิดของนักเรี ยน
7. ความรู ้เกี่ยวกับการเขียนรายงาน
การใช้นวัตกรรมเพื่อพัฒนา
การคิดของนักเรี ยน
128
ขอขอบคุณที่ให้ความร่ วมมืออย่างดียงิ่
แบบประเมินความเหมาะสม
ของแผนการจัดการเรียนรู้ ที่เน้ นการคิด
(สาหรับผูท้ รงคุณวุฒิ)
คาชี้แจง
ขอความอนุเคราะห์ให้ท่านตรวจสอบความเหมาะสมของแผนการจัดการเรี ยนรู้ ที่เน้น
การคิดของครู โรงเรี ยนบ้านท่าวัด (คุรุราษฏร์บารุ งวิทย์) ซึ่ งเป็ นกลุ่มเป้ าหมายได้รับการพัฒนาตาม
รู ปแบบการพัฒนาครู ให้มีความสามารถในการจัดการเรี ยนรู้ ที่เน้นการคิดโดยทาเครื่ องหมาย “ ”
ลงในช่องระดับความเหมาะสม และให้ขอ้ เสนอแนะเพิ่มเติม เพื่อครู กลุ่มเป้ าหมายจะได้นาไป
พิจารณาปรับปรุ งแก้ไขให้สมบูรณ์ต่อไป
การให้คะแนนเป็ น 5,4,3,2 และ 1 เมื่อท่านเห็นว่าแผนการจัดการเรี ยนรู ้ตามรายการประเมิน
นั้น ๆ มีความเหมาะสมในระดับ มากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย และน้อยที่สุด ตามลาดับ
ระดับความเหมาะสม
รายการประเมิน ข้อเสนอแนะเพิม่ เติม
5 4 3 2 1
1. สาระสาคัญ
1.1 ครอบคลุมจุดประสงค์การเรี ยนรู้
1.2 ครอบคลุมขอบข่ายสาระการเรี ยนรู ้
/เนื้อหา
1.3 กะทัดรัดแต่ได้ใจความชัดเจนสมบูรณ์
2. จุดประสงค์ การเรียนรู้
2.1 สอดคล้องและครอบคลุมกับ
สาระการเรี ยนรู้ /เนื้อหา
2.2 ระบุพฤติกรรมสอดคล้องกับ
กระบวนการจัดการเรี ยนรู้
2.3 มีความเฉพาะเจาะจง
2.4 มีความเป็ นไปได้ที่จะบรรลุผล
2.5 สามารถวัดและประเมินผลได้
130
ระดับความเหมาะสม
รายการประเมิน ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม
5 4 3 2 1
3. สาระการเรียนรู้
3.1 ระบุขอบข่ายเรื่ องที่จะเรี ยนอย่างชัดเจน
3.2 สอดคล้องกับสาระสาคัญที่กาหนดไว้
3.3 น่าสนใจเหมาะสมกับระดับชั้น
ของผูเ้ รี ยน
3.4 เหมาะสมกับกระบวนการเรี ยนรู ้
และเวลา
4. กระบวนการจัดการเรียนรู้
/กิจกรรมการเรียนรู้
4.1 เป็ นลาดับขั้นตอนที่เหมาะสมกับ
ธรรมชาติของเนื้อหาวิชาที่สอน
4.2 สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรี ยนรู ้
และสามารถทาให้บรรลุจุดประสงค์
การเรี ยนรู้ได้
4.3 สอดคล้องกับสาระการเรี ยนรู ้
4.4 เหมาะสมกับวัย ธรรมชาติและ
ความสนใจของผูเ้ รี ยน
4.5 ใช้รูปแบบ/วิธี/เทคนิคการจัด
การเรี ยนรู ้ที่จะช่วยส่ งเสริ มให้ผเู ้ รี ยน
พัฒนาการคิด
4.6 ใช้เทคนิคการจัดการเรี ยนรู ้ที่จะช่วย
ให้ผเู้ รี ยนกระตือรื อร้นที่จะเรี ยนรู้
4.7 กิจกรรมการเรี ยนรู ้ส่งเสริ มให้ผเู ้ รี ยน
สร้างความรู้และสรุ ปความรู้ดว้ ยตนเอง
131
ระดับความเหมาะสม
รายการประเมิน ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม
5 4 3 2 1
5. สื่ อ/นวัตกรรม/แหล่ งเรียนรู้
5.1 สอดคล้องกับสาระการเรี ยนรู ้
5.2 สอดคล้องกับกิจกรรมการเรี ยนรู้
5.3 สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรี ยนรู ้
5.4 มีความน่าสนใจ กระตุน้ ให้เกิด
การเรี ยนรู้
5.5 ส่ งเสริ มให้ผเู ้ รี ยนได้ฝึกคิด
5.6 เหมาะสมกับวัยของผูเ้ รี ยน
6. การวัดและประเมินผล
6.1 มีการวัดและประเมินผลการเรี ยนรู้
ที่หลากหลาย
6.2 วิธีวดั และเครื่ องมือวัดสอดคล้อง
ตามจุดประสงค์และสามารถประเมิน
สิ่ งที่ตอ้ งการประเมินได้จริ ง
6.3 มีเกณฑ์การประเมินผลการเรี ยนรู้
ที่ชดั เจน
ข้ อเสนอแนะเพิม่ เติม
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................
ลงชื่อ.....................................ผูป้ ระเมิน
( )
ตาแหน่ง ...........................................................
132
คาชี้แจง
ข้อมูลจากการตอบแบบสอบถามนี้ เป็ นประโยชน์อย่างยิง่ ในการประเมินและปรับ
รู ปแบบการพัฒนาครู ให้มีความสามารถในการจัดการเรี ยนรู้ที่เน้น การคิด ดังนั้นขอให้ท่านตอบ
แบบสอบถามทุกข้อตามความเป็ นจริ ง โดยการเขียนเครื่ องหมาย “ ” ลงในช่องคาตอบที่ตอ้ งการ
หรื อเขียนคาตอบลงในช่องว่างที่กาหนดให้
ระดับความพึงพอใจ
รายการ มาก มาก ปาน น้อย น้อย
ที่สุด กลาง ที่สุด
1. ท่านมีส่วนร่ วมในการกาหนดรู ปแบบการพัฒนาครู ให้มี
ความสามารถในการจัดการเรี ยนรู้ที่เน้นการคิด
2. รู ปแบบการพัฒนาครู ให้มีความสามารถในการจัด
การเรี ยนรู ้ที่เน้นการคิดสอดคล้องกับความต้องการของท่าน
133
ระดับความพึงพอใจ
รายการ มาก มาก ปาน น้อย น้อย
ที่สุด กลาง ที่สุด
3. การพัฒนาครู โดยใช้โรงเรี ยนเป็ นฐานเป็ นรู ปแบบที่ดี
เพราะช่วยส่ งเสริ มให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาไปใน
ทิศทางเดียวกันทั้งโรงเรี ยน
4. บุคลากรทุกคนในโรงเรี ยนรับรู้ เข้าใจ ต้องการและยินดี
เข้าร่ วมกิจกรรม โดยเฉพาะผูอ้ านวยการโรงเรี ยน
เห็นความสาคัญและให้การสนับสนุน
5. กระบวนการพัฒนาครู ให้มีความสามารถในการจัด
การเรี ยนรู้ที่เน้นการคิด มีความเหมาะสม
6. กิจกรรมต่าง ๆ ของกระบวนการพัฒนาครู ให้มี
ความสามารถในการจัดการเรี ยนรู้ที่เน้นการคิด ส่ งเสริ มให้
ท่านมีความรู ้ ความสามารถในการจัดการเรี ยนรู้ที่เน้น
การคิดมากยิง่ ขึ้น
7. การได้เข้าร่ วมกิจกรรมครั้งนี้ มีผลทาให้ท่านมีเจตคติที่ดี
ยิง่ ขึ้นต่อการจัดการเรี ยนรู ้ที่เน้นการคิดของนักเรี ยน
8. เมื่อเสร็ จสิ้ นการเข้าร่ วมกิจกรรมครั้งนี้ ท่านมีความมัน่ ใจ
มากยิง่ ขึ้นในการเขียนแผนการจัดการเรี ยนรู ้ที่เน้นการคิด
9. จากการทดลองสอนโดยใช้แผนการจัดการเรี ยนรู้ที่เน้น
การคิดที่ท่านสร้างขึ้น พบว่านักเรี ยนกระตือรื อร้นมาก
ในการทากิจกรรมส่ งเสริ มการคิด
10. นักเรี ยนพอใจที่ครู จดั กิจกรรมต่าง ๆ เพื่อส่ งเสริ มให้
พวกเขาได้คิด ได้แสดงความคิดเห็น และลงมือปฏิบตั ิจริ ง
ร่ วมกับเพื่อน ๆ
11. นักเรี ยนกล้าคิด กล้าแสดงความคิดเห็นมากขึ้น เมื่อท่าน
กระตุน้ โดยกิจกรรมต่าง ๆ ในแผนการจัดการเรี ยนรู้
ที่เน้นการคิด
134
ขอขอบคุณที่ให้ความร่ วมมืออย่างดียงิ่
ภาคผนวก ข
ชุดการเรียนรู้ ที่ 1
ความรูเ้ บื้องต้นเกี่ยวกับ
การคิดวิเคราะห์
เอกสารประกอบโครงการพัฒนาครู
ให้ มีความสามารถในการจัดการเรียนรู้ ที่เน้ นกระบวนการคิดของผู้เรียน
137
คานา
เอกสาร “ชุดการเรี ยนรู้ที่ 1: ความรู ้เบื้องต้นเกี่ยวกับการคิดวิเคราะห์ ” จัดทาขึ้นโดยมี
วัตถุประสงค์ เพื่อให้ครู ที่เข้าร่ วม “โครงการพัฒนาความสามารถของครู ในการจัดการเรี ยนรู้ที่เน้น
กระบวนการคิดของนักเรี ยน” ได้ศึกษา ทบทวน และทาความเข้าใจเกี่ยวกับการคิดวิเคราะห์ดว้ ย
ตนเอง ซึ่ งเนื้อหาสาระต่าง ๆ ในเอกสารชุดนี้ ประกอบด้วย
1. ความหมายของการคิดวิเคราะห์
2. องค์ประกอบของการคิดวิเคราะห์
3. กระบวนการคิดวิเคราะห์
4. ลักษณะของการคิดวิเคราะห์
5. ทักษะย่อยของการคิดวิเคราะห์
หลังจากศึกษาเอกสารชุดนี้เสร็ จสิ้ น ขอให้ตรวจสอบความรู ้ ความเข้าใจของท่าน
โดยการทาแบบฝึ กหัดท้ายบทด้วยความตั้งใจ
สาราญ กาจัดภัย
138
การคิดวิเคราะห์
ความหมายของการคิดวิเคราะห์
การวิเคราะห์ และการคิดวิเคราะห์ มีความหมายดังแสดงในภาพต่อไปนี้
การวิเคราะห์ การคิดวิเคราะห์
หมายถึง การจาแนก แยกแยะ หมายถึง ความสามารถใน
องค์ประกอบของสิ่ งใดสิ่ งหนึ่ง การจาแนก แยกแยะองค์ประกอบ
ออกเป็ นส่ วนๆ เพื่อค้นหาว่ามี ของสิ่ งใดสิ่ งหนึ่ง ซึ่ งอาจเป็ นวัตถุ
องค์ประกอบย่อย ๆ อะไรบ้าง สิ่ งของ เรื่ องราว หรื อเหตุการณ์
ทามาจากอะไร ประกอบขึ้นมา และหาความสัมพันธ์เชิงเหตุผล
ได้อย่างไร และมีความสัมพันธ์ ระหว่างองค์ประกอบนั้น เพื่อ
เชื่อมโยงกันอย่างไร ค้นหาสภาพความเป็ นจริ ง
หรื อสิ่ งสาคัญของสิ่ งที่กาหนดให้
องค์ ประกอบของการคิดวิเคราะห์
การคิดวิเคราะห์ มีองค์ประกอบสาคัญ 3 ประการ คือ 1) สิ่ งที่กาหนดให้ 2) หลักการหรื อ
กฎเกณฑ์ และ 3) การค้นหาความจริ งหรื อความสาคัญ (สุ วทิ ย์ มูลคา. 2547 : 17) เพื่อให้เข้าใจและ
สามารถนาไปใช้ได้อย่างถูกต้อง ขออธิ บายเพิ่มเติม ดังนี้
1. สิ่ งทีก่ าหนดให้ วเิ คราะห์ อาจเป็ นวัตถุ สิ่ งของ เรื่ องราว เหตุการณ์ หรื อปรากฏการณ์
ต่าง ๆ
2. หลักการหรือเกณฑ์ ทใี่ ช้ ในการวิเคราะห์ มีหลากหลายสาหรับนามาใช้ในการพิจารณา
สิ่ งต่าง ๆ ที่กาหนดให้ ซึ่ งในการเลือกหลักการหรื อเกณฑ์ในการฝึ กคิดวิเคราะห์แต่ละครั้ง ครู อาจ
เป็ นผูก้ าหนด หรื อให้นกั เรี ยนเป็ นคนกาหนดเอง ยกตัวอย่างเช่น
139
การค้ นหาความจริงหรือความสาคัญ
(เป็ นการพิจารณาส่ วนประกอบของสิ่ งที่กาหนดให้ตามหลักเกณฑ์
แล้วทาการรวบรวมประเด็นที่สาคัญ เพื่อหาข้อสรุ ป)
องค์ ประกอบ
ของการคิดวิเคราะห์
กระบวนการคิดวิเคราะห์
กระบวนการคิดวิเคราะห์ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน ดังภาพประกอบต่อไปนี้
ลักษณะของการคิดวิเคราะห์
ไสว เลี่ยมแก้ว (เข้าถึงใน http://gotoknow.org/blog/mind/81919, 15 พ.ค. 2551) แบ่ง
การคิดวิเคราะห์ ออกเป็ น 3 ลักษณะ ได้แก่ การคิดวิเคราะห์ความสาคัญ (Analysis of Elements)
การคิดวิเคราะห์ความสัมพันธ์ (Analysis of Relation) และ การคิดวิเคราะห์หลักการ (Analysis of
Organizational Principles) ซึ่ง ไสว เลี่ยมแก้ว ได้อธิ บายเพิ่มเติม ดังนี้
ลักษณะที่ 1 การคิดวิเคราะห์ ความสาคัญ เป็ นการคิดแยกหน่วยใหญ่ออกมาเป็ นหน่วย
ย่อย ๆ เพื่อค้นหาว่าหน่วยย่อยใดสาคัญที่สุด ซึ่งการวิเคราะห์ความสาคัญ นักการศึกษาบางท่าน
เรี ยกว่า “การวิเคราะห์ส่วนประกอบ” ยกตัวอย่าง เช่น
ในการเรี ยนวิชาวิทยาศาสตร์ ครู ให้เด็กถอนต้นไม้เล็ก ๆ มาต้นหนึ่ง แล้วให้ช่วยกัน
แยกแยะส่ วนประกอบของต้นไม้ออกเป็ นส่ วนๆ เช่น ใบ ลาต้น กิ่ง รากแก้ว รากฝอย ยอด ดอก
ผล ฯลฯ ถ้าครู ให้เด็กทุกคนบันทึกไว้ และให้ท่องจาไว้ ก็เรี ยกว่า "ครู สอนให้ท่องจา" ไม่ใช่
คิดวิเคราะห์ตามความหมายนี้ แต่ถา้ ครู ถามต่อว่า "ส่ วนต่าง ๆ ที่นกั เรี ยนแยกออกมานั้น
ส่ วนใดสาคัญที่สุด"ในลักษณะนี้จึงจะเรี ยกว่า "สอนให้เด็กคิดวิเคราะห์ความสาคัญ"
ในเรื่ องพระอภัยมณี ตัวละครใดที่สาคัญที่สุด
ลักษณะที่ 2 การคิดวิเคราะห์ ความสั มพันธ์ (ไสว เลี่ยมแก้ว. เข้าถึงใน
http://gotoknow.org/blog/mind/82534, 15 พ.ค. 2551) ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างสิ่ งต่าง ๆ รอบตัวเรา
อย่างน้อยมี ๓ แบบ คือ
1. ความสัมพันธ์เชิงสาเหตุและผล เช่น "ฝนตก" (สาเหตุ) ทาให้ "ถนนเปี ยก" (ผล)
2. ความสัมพันธ์เชิงสหสัมพันธ์ เช่น "เขาเก่งภาษาไทย" ในขณะเดียวกัน"เขาก็เก่ง
ภาษาอังกฤษด้วย" คือ "ถ้าเก่งไทยแล้วจะเก่งอังกฤษด้วย" โดยที่การเก่งภาษาไทย"ไม่ได้" เป็ น
"สาเหตุ" ให้เขาต้องเก่งอังกฤษด้วย ความสัมพันธ์แบบนี้ เป็ นสหสัมพันธ์แบบตามกัน หรื อ
เป็ นบวก แต่ถา้ "เก่งไทย แล้ว อ่อนเลข" ก็เรี ยกว่า สหสัมพันธ์แบบกลับกัน หรื อสหสัมพันธ์
ทางลบ
3. ความสัมพันธ์แบบธรรมดา เช่น แดงแก่กว่าดา แม่รักลูก นายเหลืองสู งกว่า
นายเขียว แมวเล็กกว่าเสื อ เป็ นต้น
การคิดวิเคราะห์ความสัมพันธ์ เป็ นการแยกแยะออกเป็ นหน่วย ๆ เพื่อดูวา่ "หน่วยใด
สัมพันธ์กบั หน่วยใด" ยกตัวอย่าง เช่น
143
ถ้าครู ถามให้นกั เรี ยนคิดว่า "ส่ วนต่าง ๆ ของต้นไม้ที่นกั เรี ยนแยกออกมาเป็ นส่ วน ๆ
คือ ใบ ดอก ลาต้น กิ่ง ราก เปลือก นั้น ส่ วนใดสัมพันธ์กนั มากที่สุด” ซึ่งนักเรี ยนก็อาจจะตอบว่า
“เปลือกกับลาต้น เพราะว่า เปลือกช่วยห่อหุ ม้ ลาต้น ” หรื ออาจตอบว่า "รากกับเปลือก เพราะว่า ราก
ดูดอาหารแล้วส่ งผ่านขึ้นไปทางเปลือก”
อะไรเป็ นสาเหตุให้เกิดลม
พระนเรศวร กับ พระเจ้าตากสิ น เหมือนกันตรงไหน
อะไรต่อไปนี้ ทางานสัมพันธ์กนั มากที่สุด ก. ปอด - หัวใจ ข. หัวใจ - สมอง
ค. ปอด - จมูก ง. สาไส้ - อาหาร จ. หัวใจ - ตับ
ลักษณะที่ 3 การคิดวิเคราะห์ หลักการ (ไสว เลี่ยมแก้ว. เข้าถึงใน
http://gotoknow.org/blog/mind/84109 , 15 พ.ค. 2551) โดยที่ "หลักการ" เป็ นสิ่ งที่ยดึ ส่ วนย่อยให้
รวมกันเป็ นกลุ่มก้อน หรื อ ยึดสิ่ งต่าง ๆ เข้าเป็ นหน่วยระบบ หรื อ ยึดถือสาหรับปฏิบตั ิ ดังนั้น การคิด
วิเคราะห์หลักการ จึงหมายถึง การคิดเพื่อค้นหาว่า "หลักอะไรที่ทาให้สิ่งต่าง ๆ เกาะกลุ่มรวมกันเป็ น
หน่วยหรื อยึดถือปฏิบตั ิ ยกตัวอย่างเช่น
ครู มกั จัดวิชาเลขไว้ตอนเช้าในตารางสอน เพราะยึดหลักว่าตอนเช้าสมองนักเรี ยน
ปลอดโปร่ ง
เราสร้างเขื่อนกั้นน้ าเพื่อทาให้น้ าเกิดการต่างระดับมาก ๆ เพราะยึดหลักว่า น้ ายิง่ ระดับ
ต่างกันมาก ๆ จะยิง่ ทาให้การไหลของน้ ายิง่ มีแรงมาก
กลุ่มต่าง ๆ ยังคงรวมกันเป็ นกลุ่มได้ เพราะหลักผลประโยชน์ร่วมกัน
กลุ่มแตกสลาย เพราะหลักผลประโยชน์ขดั กัน
ในการติดตาพืชนั้น เรายึดหลักการใด ก. การขยายตัวของเซลล์
ข. กลุ่มเซลล์พวกเดียวกัน ค. อาหารผ่านผนังเซลได้
"ใครราญใครรุ กด้าว แดนไทย ไทยรบจนสุ ดใจ ขาดดิ้น" ผูเ้ ขียนคาประพันธ์น้ ี
ใช้กลวิธีใด ก. ปลุกให้ตื่น ข. เกลี้ยกล่อม
ทักษะย่ อยของการคิดวิเคราะห์
ในการฝึ กการคิดวิเคราะห์ ครู อาจเริ่ มต้นด้วยฝึ กทักษะย่อยต่าง ๆ ต่อไปนี้
(คณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ. 2540: 44)
1. การรวบรวมข้อมูลทั้งหมดมาจัดระบบหรื อเรี ยบเรี ยงให้ง่ายแก่การทาความเข้าใจ
2. การกาหนดมิติหรื อแง่มุมที่จะวิเคราะห์ โดย
144
บทสรุป
1. การคิดวิเคราะห์ หมายถึง ความสามารถในการจาแนก แยกแยะองค์ประกอบของสิ่ งใด
สิ่ งหนึ่ง ซึ่ งอาจเป็ นวัตถุ สิ่ งของ เรื่ องราว หรื อเหตุการณ์และหาความสัมพันธ์เชิงเหตุผลระหว่าง
องค์ประกอบนั้น เพื่อค้นหาสภาพความเป็ นจริ ง
2. การคิดวิเคราะห์ มีองค์ประกอบสาคัญ 3 ประการ คือ 1) สิ่ งที่กาหนดให้ 2) หลักการ
หรื อกฎเกณฑ์ และ 3) การค้นหาความจริ งหรื อความสาคัญ
3. กระบวนการคิดวิเคราะห์ ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน คือ ขั้นที่ 1 กาหนดสิ่ งที่ตอ้ งการ
วิเคราะห์ ขั้นที่ 2 กาหนดปั ญหาหรื อวัตถุประสงค์ ขั้นที่ 3 กาหนดหลักการหรื อกฎเกณฑ์
ขั้นที่ 4 พิจารณาแยกแยะ และ ขั้นที่ 5 สรุ ปคาตอบ
4. การคิดวิเคราะห์ แบ่งออกเป็ น 3 ลักษณะ ได้แก่ การคิดวิเคราะห์ความสาคัญ การคิด
วิเคราะห์ความสัมพันธ์ และ การคิดวิเคราะห์หลักการ
5. ทักษะย่อยของการคิดวิเคราะห์ ได้แก่ 1) การรวบรวมข้อมูลทั้งหมดมาจัดระบบหรื อ
เรี ยบเรี ยงให้ง่ายแก่การทาความเข้าใจ 2) การกาหนดมิติหรื อแง่มุมที่จะวิเคราะห์ 3) การกาหนด
หมวดหมู่ในมิติหรื อแง่มุมที่จะวิเคราะห์ 4) การแจกแจงข้อมูลที่มีอยูล่ งในแต่ละหมวดหมู่ และ
5) การนาข้อมูลที่แจกแจงเสร็ จแล้วในแต่ละหมวดหมู่มาจัดลาดับเรี ยงอันดับ หรื อจัดระบบให้ง่าย
แก่การกระทาความเข้าใจ
145
แบบฝึ กหัด
ตอนที่ 1 จงตอบประเด็นคาถามต่อไปนี้
1. จงอธิบายความหมายของการคิดวิเคราะห์
2. องค์ประกอบสาคัญของการคิดวิเคราะห์ มีกี่องค์ประกอบ อะไรบ้าง และจงอธิบาย
แต่ละองค์ประกอบพอสังเขป
3. จงอธิ บายขั้นตอนของกระบวนการคิดวิเคราะห์
4. การคิดวิเคราะห์แบ่งออกเป็ นกี่ลกั ษณะ อะไรบ้าง และจงอธิ บายแต่ลกั ษณะพอสังเขป
5. ทักษะย่อยของการคิดวิเคราะห์มีอะไรบ้าง
ตอนที่ 2 จงเลือกคาตอบที่ถูกต้องที่สุด
เอกสารอ้ างอิง
คณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ, สานักงาน สานักนายกรัฐมนตรี . ทฤษฎีการเรี ยนรู้เพื่อพัฒนา
กระบวนการคิด. กรุ งเทพฯ : 2540.
วีระ สุ ดสังข์. การคิดวิเคราะห์ คิดอย่างมีวจิ ารณญาณ และคิดสร้างสรรค์ . กรุ งเทพฯ :
ชมรมเด็ก, 2550.
สุ วทิ ย์ มูลคา. กลยุทธ์การสอนคิดวิเคราะห์ . กรุ งเทพฯ : ภาพพิมพ์, 2547.
ไสว เลี่ยมแก้ว. “คิดวิเคราะห์ความสัมพันธ์” เข้าถึงใน http://gotoknow.org/blog/mind/82534,
วันที่ 15 พฤษภาคม 2551
. “คิดวิเคราะห์ความสาคัญ” เข้าถึงใน http://gotoknow.org/blog/mind/81919,
วันที่ 15 พฤษภาคม 2551
. “คิดวิเคราะห์หลักการ” เข้าถึงใน http://gotoknow.org/blog/mind/84109,
วันที่ 15 พฤษภาคม 2551
147
ชุดการเรียนรู้ ที่ 2
ไตร่ตรอง
ให้รอบคอบ
อย่าด่วนสร ุป
หรือตัดสินใจ
ความรูเ้ บื้องต้นเกี่ยวกับ
การคิดอย่างมีวิจารณญาณ
เอกสารประกอบโครงการพัฒนาครู
ให้ มีความสามารถในการจัดการเรียนรู้ ที่เน้ นกระบวนการคิดของผู้เรียน
148
คานา
เอกสาร “ชุดการเรี ยนรู้ที่ 2: ความรู ้เบื้องต้นเกี่ยวกับการคิดอย่างมีวจิ ารณญาณ” จัดทาขึ้น
โดยมีวตั ถุประสงค์ เพื่อให้ครู ที่เข้าร่ วม “โครงการพัฒนาความสามารถของครู ในการจัดการเรี ยนรู้ที่
เน้นกระบวนการคิดของนักเรี ยน” ได้ศึกษา ทบทวน และทาความเข้าใจเกี่ยวกับการคิดอย่างมี
วิจารณญาณด้วยตนเอง ซึ่ งเนื้อหาสาระต่าง ๆ ในเอกสารชุดนี้ ประกอบด้วย
6. ความหมายของการคิดอย่างมีวจิ ารณญาณ
7. องค์ประกอบของการคิดอย่างมีวจิ ารณญาณ
8. กระบวนการคิดอย่างมีวจิ ารณญาณ
9. ทักษะความสามารถในการคิดย่างมีวจิ ารณญาณ
หลังจากศึกษาเอกสารชุดนี้เสร็ จสิ้ น ขอให้ตรวจสอบความรู ้ ความเข้าใจของท่าน
โดยการทาแบบฝึ กหัดท้ายบทด้วยความตั้งใจ
สาราญ กาจัดภัย
149
การคิดอย่างมีวิจารณญาณ
การคิดอย่างมีวจิ ารณญาณ (Critical thinking) เป็ นกระบวนการคิดที่มีความสาคัญและ
จาเป็ นสาหรับผูเ้ รี ยนทุกระดับ เนื่องจากกระบวนการคิดอย่างมีวจิ ารณญาณนี้ มีเป้ าหมายเพื่อให้ได้
ความคิดที่ผา่ นการพิจารณาถึงข้อมูล หลักฐาน และเหตุผลมาอย่างรอบคอบแล้ว ซึ่ งความคิดที่ได้น้ ี
จะสามารถนาไปใช้ได้อย่างกว้างขวางในทุก ๆ สถานการณ์ เพราะการกระทาใด ๆ ก็ตามควรต้อง
ผ่านการคิดอย่างรอบคอบก่อน ดังนั้นการคิดอย่างมีวจิ ารณญาณจึงเป็ นพื้นฐานของการคิดทั้งปวง
(ทิศนา แขมมณี . 2544 : 149-150)
2. ประเด็นคาถาม
1. จุดมุ่งหมาย
3. สารสนเทศ
7. การนาไปใช้และ 4. ข้อมูลเชิงประจักษ์
เหตุผลตามมา
5. แนวคิดอย่างมีเหตุผล
6. ข้อสันนิษฐาน
ไม่สมเหตุสมผล
7. ประเมินข้อสรุ ป
6. ลงข้อสรุ ป
5. ตั้งสมมติฐาน
4. ระบุลกั ษณะของข้อมูล
2. รวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องจากแหล่งต่าง ๆ
บทสรุป
1. การคิดอย่างมีวจิ ารณญาณ หมายถึงกระบวนการพิจารณาไตร่ ตรองข้อมูลหรื อ
สถานการณ์ที่ปรากฏอย่างรอบคอบ มีเหตุผล มีหลักเกณฑ์ มีหลักฐานที่เชื่อถือได้ เพื่อนาไปสู่
การสรุ ปที่สมเหตุสมผล รวมทั้งการตัดสิ นใจที่มีประสิ ทธิ ภาพ ว่าสิ่ งใดถูกต้อง สิ่ งใดควรเชื่อ สิ่ งใด
ควรเลือก หรื อสิ่ งใดควรทา
2. เป้ าหมายสาคัญของการคิดอย่างมีวจิ ารณญาณ เพื่อประเมินหรื อทาให้ได้ความคิดที่
ชัดเจนและสมเหตุสมผล ผ่านการพิจารณากลัน่ กรองอย่างรอบคอบ อันจะนาไปสู่ การตัดสิ นว่า
ควรทา หรื อควรเชื่อสิ่ งใด
3. องค์ประกอบสาคัญของการคิดอย่างมีวจิ ารณญาณ ได้แก่ 1) จุดมุ่งหมายในการคิด
2) ประเด็นปัญหาหรื อคาถามที่ตอ้ งการรู้ 3) สารสนเทศ หรื อข้อมูล ข้อความรู ้ต่าง ๆ เพื่อใช้
ประกอบการคิด 4) ข้อมูลเชิงประจักษ์ 5) แนวคิดอย่างมีเหตุผล 6) ข้อสันนิษฐาน และ
7) การนาไปใช้ประโยชน์และผลที่ตามมา
4. ขั้นตอนกระบวนการคิดอย่างมีวจิ ารณญาณ ประกอบด้วย ขั้นที่ 1 ระบุหรื อทาความเข้าใจ
กับประเด็นปั ญหา หรื อข้อโต้แย้ง ขั้นที่ 2 รวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องจากแหล่งต่าง ๆ ขั้นที่ 3
พิจารณาความน่าเชื่อถือ และความพอเพียงของข้อมูล ขั้นที่ 4 ระบุลกั ษณะของข้อมูล ขั้นที่ 5
ตั้งสมมติฐาน ขั้นที่ 6 ลงข้อสรุ ป และขั้นที่ 7 ประเมินข้อสรุ ป
5. ทักษะความสามารถในการคิดอย่างมีวจิ ารณญาณ ได้แก่ 1) สามารถกาหนดเป้ าหมายใน
การคิดได้อย่างถูกทาง 2) สามารถระบุประเด็นในการคิดได้อย่างชัดเจน 3) สามารถประมวลข้อมูล
ทั้งทางด้านข้อเท็จจริ ง และความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นที่คิดทั้งทางกว้าง ทางลึก และทางไกล
4) สามารถวิเคราะห์ขอ้ มูล และเลือกข้อมูลที่จะใช้ในการคิดได้ 5) สามารถประเมินข้อมูลได้
6) สามารถใช้หลักเหตุผลในการพิจารณาข้อมูลและเสนอคาตอบ หรื อทางเลือกที่สมเหตุสมผลได้
และ 7) สามารถเลือกทางเลือก หรื อลงความเห็นในประเด็นที่คิดได้
155
แบบฝึ กหัด
ตอนที่ 1 จงตอบประเด็นคาถามต่อไปนี้
ตอนที่ 2 จงเลือกคาตอบที่ถูกต้องที่สุด
เอกสารอ้ างอิง
ชวนวล คณานุกลู . เข้าถึงใน http://seashore.buu.ac.th/~chawanua/Human%
20Thinking%20System%2007/HM%20index .html, 24 พฤษภาคม 2551.
ทิศนา แขมมณี และคณะ. วิทยาการด้านการคิด . กรุ งเทพฯ : บริ ษทั เดอะมาสเตอร์กรู๊ ป
แมเนจเม้นท์ จากัด, 2544.
วิชาการ,กรม. การสังเคราะห์รูปแบบการพัฒนาศักยภาพของเด็กไทยด้านทักษะการคิด .
กรุ งเทพฯ : กองวิจยั ทางการศึกษา กรมวิชาการ กระทวงศึกษาธิการ, 2542.
วีระ สุ ดสังข์. การคิดวิเคราะห์ คิดอย่างมีวจิ ารณญาณ และคิดสร้างสรรค์. กรุ งเทพฯ :
ชมรมเด็ก, 2550.
สุ วทิ ย์ มูลคา และคณะ. การเขียนแผนการจัดการเรี ยนรู้ที่เน้นการคิด . พิมพ์ครั้งที่ 2 . กรุ งเทพฯ:
ภาพพิมพ์, 2549.
157
ภาคผนวก ค
3. เมื่อคลิกจะปรากฏภาพ ดังนี้
รายละเอียดปรากฏดังภาพข้างล่าง
คลิกเพือ
่
Download
เอกสารแต่ละบท
ภาคผนวก ง
ภาพกิจกรรมการอบรมเชิงปฏิบัตกิ าร
164
ภาคผนวก จ
ตัวอย่ างที่ 1
1. สาระสาคัญ
ประชากรส่ วนใหญ่ในบ้านท่าวัดมีอาชีพเกษตรกรรม ได้แก่ การทาไร่ ทานา และทาการประมง
น้ าจืด เนื่องจากหมู่บา้ นตั้งอยูร่ ิ มหนองหาร ซึ่ งเป็ นแหล่งน้ าจืดที่มีปลาชุกชุมมาก เมื่อจับปลาได้
บริ โภคไม่หมดจึงนามาถนอมอาหาร และแปรรู ปอาหารไว้บริ โภคในครัวเรื อน
3. จุดประสงค์ การเรียนรู้
3.1 นักเรี ยนบอกอาชีพหลักในท้องถิ่นได้ถูกต้อง
3.2 นักเรี ยนบอกประโยชน์ของการประกอบอาชีพในท้องถิ่นได้
3.3 นักเรี ยนสารวจการประกอบอาชีพที่สาคัญในท้องถิ่นได้
3.4 นักเรี ยนแสดงความคิดเห็นต่อการประกอบอาชีพในท้องถิ่นได้
4. สาระการเรียนรู้
4.1 อาชีพสาคัญในท้องถิ่น
4.2 ประโยชน์ของการประกอบอาชีพในท้องถิ่น
5. กระบวนการจัดการเรียนรู้
5.1 ขั้นนาเข้ าสู่ บทเรียน
5.1.1 นักเรี ยนทาแบบทดสอบก่อนเรี ยน
5.1.2 ครู สนทนากับนักเรี ยนเกี่ยวกับงานที่ครู มอบหมายในชัว่ โมงก่อนเรี ยน ให้นกั เรี ยนไป
สารวจสภาพทัว่ ไปของบ้านท่าวัด ว่ามีสภาพทาเลที่ต้ งั เป็ นอย่างไร ประชากรประกอบอาชีพอะไร
และแหล่งทรัพยากรที่เกี่ยวข้องในการนาวัตถุดิบมาทาน้ าปลาจากปลาร้ามีที่ไหนบ้าง โดยให้ไป
171
7. การวัดและประเมินผล
7.1 สิ่ งที่จะวัด
7.1.1 ด้านความรู้
7.1.1.1 การตรวจใบงาน
7.1.1.2 สังเกตจากการตอบคาถาม
7.1.1.3 การรายงานหน้าชั้นเรี ยน
172
7.1.2 ด้านทักษะปฏิบตั ิ
7.1.2.1 สังเกตจากการทางานกลุ่มของนักเรี ยน
7.1.2.2 การตรวจผลงาน
7.1.3 ด้านเจตคติ
ประเมินพฤติกรรมนักเรี ยนขณะปฏิบตั ิกิจกรรม
7.2 เครื่องมือวัด
7.2.1 แบบประเมินการตรวจใบงาน
7.2.2 แบบประเมินผลงานกลุ่ม
7.2.3 แบบประเมินการเสนอผลงานหน้าชั้นเรี ยน
7.2.4 แบบประเมินพฤติกรรมนักเรี ยนขณะปฏิบตั ิกิจกรรม
7.2.5 แบบทดสอบก่อนเรี ยนและหลังเรี ยน / เฉลยแบบทดสอบ
8. ข้ อเสนอแนะเพิม่ เติม
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................
ลงชื่อ
(..........................................................)
ตาแหน่ง............................................................
...................../.................../................
9. ความคิดเห็นของหัวหน้ าสถานศึกษา
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................
ลงชื่อ
(..........................................................)
ตาแหน่ง............................................................
...................../..................../................
173
10. บันทึกผลหลังการเรียนรู้
10.1 ผลที่เกิดกับผูเ้ รี ยน................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
10.2 ปัญหา / อุปสรรค.................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
10.3 ข้อเสนอแนะ / วิธีแก้ไข.......................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
ลงชื่อ
(..........................................................)
ตาแหน่ง............................................................
...................../..................../................
174
ใบความรู้ที่ 1.1
ใบความรู้ที่ 1.2
อาชีพทานา
อาชีพทาสวนมะเขือเทศ
อาชีพประมงน้ าจืด
177
อาชีพการทาปลาร้า
อาชีพทาปลาร้า
179
ประโยชน์ ของการทาปลาร้ า
1. เป็ นการประหยัด
2. เป็ นการถนอมอาหารไว้รับประทานยามขาดแคลน
3. รักษาคุณลักษณะที่ดีและคุณค่าทางโภชนาการของอาหารไว้
4. เป็ นการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์
5. เป็ นการเพิ่มรายได้
6. สนับสนุนอาชีพในท้องถิ่น
7. ได้ปลาร้าที่สะอาดเพราะผลิตด้วยตนเอง
8. เป็ นการส่ งเสริ ม พัฒนา ปรับปรุ งการผลิตเพื่อให้ได้ปลาร้าที่มีคุณภาพยิง่ ขึ้น
9. เกิดความภาคภูมิใจในท้องถิ่นของตน
สรุ ป
อาชีพที่สาคัญในท้องถิ่น ได้แก่ อาชีพเกษตรกรรม เช่น ทานา ทาสวนมะเขือเทศ
เลี้ยงสัตว์ และอาชีพประมงน้ าจืด ซึ่ งจับปลาในน้ าหนองหาร ถ้ามีปริ มาณมากขายได้ราคาต่าก็
นามาทาปลาร้า ซึ่ งก่อให้เกิดรายได้เป็ นจานวนมากและเมื่อนาปลาร้ามาแปรรู ปเป็ นน้ าปลาก็จะช่วย
เพิม่ พูนรายได้สูงขึ้นไปอีก ทาให้เป็ นสิ นค้าที่เป็ นเอกลักษณ์ของชุมชนเป็ นอย่างดียงิ่
180
ใบงานที่ 1.1
ใบงานที่ 1.2
แบบประเมินการตรวจใบงาน
ประกอบแผนการสอนที่ 1 เรื่ อง สารวจอาชีพหลักที่สาคัญในท้องถิ่น ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 6
ชื่อ...................................................................................เลขที่......................
คาชี้แจง ผูส้ อนตรวจผลงานในใบงานกิจกรรมของนักเรี ยนในรายการต่อไปนี้
รายการทีป่ ระเมิน
ส่ งผลงานตามเวลาที่
เลขที่ ชื่อ - สกุล หมาย
ความเป็ นระเบียบ
ความตั้งใจในการ
เหตุ
เรียบร้ อย (2)
กาหนด (2)
ทางาน (2)
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
เกณฑ์การประเมิน
8 – 10 คะแนน อยูใ่ นเกณฑ์ ดี
5–7 คะแนน อยูใ่ นเกณฑ์ พอใช้
ต่ากว่า 5 คะแนน อยูใ่ นเกณฑ์ ต้องปรับปรุ ง
ลงชื่อ...............................................................ผูป้ ระเมิน
183
แบบประเมินผลงานกลุ่ม
แผนการเรียนรู้ ที่ 1 การประกอบอาชีพในท้องถิ่น
กลุ่มที่.................สมาชิก 1...................................................... 2...................................................
3...................................................... 4...................................................
5...................................................... 6...................................................
คะแนนที่ได้
รายการประเมิน หมายเหตุ
3 2 1
1. บทบาทหน้าที่ในกลุ่ม
2. ความร่ วมมือของสมาชิก
3. รับฟังความคิดเห็นซึ่ งกันและกัน
4. สรุ ปข้อมูลถูกต้องชัดเจน
5. ทางานเสร็ จตามเวลาที่กาหนด
คะแนนรวม (15 คะแนน)
ระดับคะแนนที่ได้
ลงชื่อ..............................................ผูป้ ระเมิน
(นายนาวา ศรี ษะเนตร)
เกณฑ์ การประเมิน
1. บทบาทหน้ าทีใ่ นกลุ่ม
3 ปฏิบตั ิหน้าที่ตามบทบาทที่ได้รับมอบหมายได้อย่างดีเยีย่ ม
2 ปฏิบตั ิหน้าที่ตามบทบาทที่ได้รับมอบหมายได้เป็ นบางส่ วน
1 ปฏิบตั ิหน้าที่ตามบทบาทที่ได้รับมอบหมายได้นอ้ ยมาก
2. ความร่ วมมือของสมาชิก
3 สมาชิกในกลุ่มทุกคนให้ความร่ วมมือในการทางานกลุ่มเป็ นอย่างดี
2 สมาชิกในกลุ่มให้ความร่ วมมือในทางานเพียงบางส่ วน
1 สมาชิกในกลุ่มส่ วนใหญ่ไม่ให้ความร่ วมมือในการทางาน และมีความขัดแย้งกัน
ในกลุ่ม
184
3. รับฟังความคิดเห็นซึ่งกันและกัน
3 รับฟังความคิดเห็นของสมาชิกภายในกลุ่ม ยอมรับเสี ยงข้างมาก ไม่แสดงท่าทาง
ไม่พอใจเมื่อสมาชิกคนอื่นไม่เห็นด้วย
2 รับฟังความคิดเห็นของสมาชิกภายในกลุ่ม ยอมรับเสี ยงข้างมาก แต่แสดงท่าทาง
ไม่พอใจเมื่อสมาชิกคนอื่นไม่เห็นด้วย
1 รับฟังความคิดเห็นของสมาชิกภายในกลุ่มเป็ นบางครั้ง ไม่ยอมรับเสี ยงข้างมาก
4. สรุ ปข้ อมูลถูกต้ องชั ดเจน
3 สรุ ปข้อมูลถูกต้อง ชัดเจน เข้าใจง่าย
2 สรุ ปข้อมูลถูกต้องบางส่ วน
1 สรุ ปเนื้อหายังไม่ชดั เจน
5. ทางานเสร็จตามเวลาทีก่ าหนด
3 ผลงานดีเยีย่ ม ครอบคลุมเนื้อหา ทางานเสร็ จทันเวลาที่กาหนด
2 ผลงานพอใช้ ครอบคลุมเนื้อหาบางส่ วน ทางานเสร็ จทันเวลาที่กาหนด
1 ผลงานต้องปรับปรุ ง เนื้อหาไม่ครบ ทางานเสร็ จไม่ทนั เวลา
ระดับคุณภาพ
คะแนนรวม 15 – 12 คะแนน ได้ระดับดีเยีย่ ม
คะแนนรวม 11 – 8 คะแนน ได้ระดับดี
คะแนนรวม 7 – 4 คะแนน ได้ระดับพอใช้
185
แบบประเมินการเสนอผลงานหน้ าชั้นเรียน
แผนการเรียนรู้ ที่ 1 เรื่อง การประกอบอาชีพในท้องถิ่น
กลุ่มที่.................สมาชิก 1...................................................... 2...................................................
3...................................................... 4...................................................
5...................................................... 6...................................................
คะแนนที่ได้
รายการประเมิน หมายเหตุ
3 2 1
1. การเตรี ยมพร้อมที่จะรายงาน
2. คาพูดและน้ าเสี ยงการรายงานชัดเจน
3. ความสมบูรณ์ถูกต้องของเนื้อหา
4. ตอบข้อซักถามได้ถูกต้องชัดเจน
5. การรักษาเวลาในการรายงาน
คะแนนรวม (15 คะแนน)
ระดับคะแนนที่ได้
ลงชื่อ..............................................ผูป้ ระเมิน
(นายนาวา ศรี ษะเนตร)
เกณฑ์ การประเมิน
1. การเตรียมพร้ อมทีจ่ ะรายงาน
3 มีการเตรี ยมตัวที่จะรายงานมาเป็ นอย่างดี สมาชิกทุกคนในกลุ่มมีส่วนร่ วมใน
การแสดงความคิดเห็น ผูร้ ายงานมีความมัน่ ใจในตัวเองสู ง
2 มีการเตรี ยมตัวที่จะรายงานมาเป็ นอย่างดี สมาชิกในกลุ่มมีส่วนร่ วมในการ
แสดงความคิดเห็นเพียงบางส่ วน ผูร้ ายงานมีความมัน่ ใจในตัวเองสู ง
1 มีการเตรี ยมตัวที่จะรายงานมาเป็ นอย่างดี สมาชิกในกลุ่มมีส่วนร่ วมในการ
แสดงความคิดเห็นเพียงบางส่ วน ผูร้ ายงานไม่มีความมัน่ ใจในตัวเอง
186
แบบประเมินพฤติกรรมนักเรียนขณะปฏิบัติกจิ กรรมการเรียนรู้
กลุ่มสาระการงานอาชีพและเทคโนโลยี เรื่องการประกอบอาชีพในท้องถิ่น
ที่ ชื่อ – นามสกุล รายการ ระดับคะแนน
รวม ผ่าน ไม่ ผ่าน
รับฟังความคิดเห็นของ
การช่วยเหลือในกลุ่ม
ความรับผิดชอบใน
สมาชิกในกลุ่ม
การมีส่วนร่ วม
การทางาน
5 5 5 5 20
เกณฑ์ การประเมิน
16 – 20 คะแนน อยูใ่ นเกณฑ์ ดีเยีย่ ม
11 – 15 คะแนน ” ดี
6 – 10 คะแนน ” พอใช้
0 – 5 คะแนน ” ควรปรับปรุ ง
ลงชื่อ …………………………………………ผูป้ ระเมิน
(………………………………………..)
….….......... / ……………/ …………..
188
แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน
กลุ่มสาระการเรียนรู้ การงานอาชี พและเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 6
ใช้ ประกอบแผนการจัดการเรียนรู้ ที่ 1 เรื่อง การประกอบอาชีพในท้องถิ่น
จานวน 10 ข้ อ เวลา 10 นาที
8. ข้อใดไม่ใช่อุปกรณ์ที่ใช้ในการจับปลาของ
ชาวบ้านท่าวัด
ก. สุ่ ม 10. ชาวบ้านจะตาหรื อโขลกปลาร้าโดยใช้
ข. ไซ เครื่ องมือชนิดใด
ค. ลอบ ก. ใช้คอ้ นทุบ
ง. อวน ข. ครกกระเดื่อง
9. อัตราส่ วนในการทาปลาร้าของชาวบ้านระหว่าง ค. ครกหิน
ปลา : เกลือ : รา ที่นิยมใช้คือข้อใด ง. เครื่ องบด
ก. 5 : 3 : 3
ข. 5 : 2 : 2
ค. 6 : 3 : 3
ง. 6 : 2 : 2
………………………………………………………………………………………………………..
เฉลยแบบทดสอบก่อนเรี ยนและหลังเรี ยน
1. ก 2. ง 3. ข 4. ก 5. ก 6. ง 7. ค 8. ง 9. ค 10. ข
190
ตัวอย่ างที่ 2
สาระการเรียนรู้
การอ่านในใจผูอ้ ่านต้องสามารถจับใจความสาคัญของเรื่ อง และลาดับเหตุการณ์ของเรื่ องได้
อย่างรวดเร็ วและถูกต้อง
เนือ้ หาสาระ
อ่านในใจ เกี่ยวกับเรื่ อง “หมู่บา้ นแห่งความรัก” จากหนังสื อเรี ยนภาษาไทย
ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 6 เล่ม 1
กิจกรรมการเรียนรู้
ขั้นที่ 1 ขั้นนา (20 นาที)
1. ครู สนทนากับนักเรี ยนเกี่ยวกับเรื่ องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในหมู่บา้ นของนักเรี ยน
จากนั้นให้ทุกคนเขียนเล่าเรื่ องที่ตนเองยังพอจาได้คนละ 1 เรื่ อง ส่ งครู
ขั้นที่ 2 ขั้นเปรียบเทียบสิ่ งทีค่ ้ ุนเคย (60 นาที)
2. ให้นกั เรี ยนอ่านในใจเกี่ยวกับเรื่ อง “หมู่บา้ นแห่งความรัก” จากหนังสื อเรี ยนภาษาไทย
ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 6 เล่ม 1
3. แบ่งกลุ่มนักเรี ยนตามความเหมาะสม เพื่อแลกเปลี่ยนสิ่ งที่ได้จากการอ่าน แล้วสรุ ป
ประเด็นสาระสาคัญของเรื่ อง เช่น เหตุการณ์น้ าท่วม การรณรงค์ต่อต้านการตั้งบ่อนการพนัน เป็ นต้น
191
สื่ อการเรียนรู้
1. บทอ่านเรื่ อง “หมู่บา้ นแห่งความรัก” จากหนังสื อเรี ยนภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 6
เล่ม 1
2. ประวัติหมู่บา้ น และเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เคยเกิดขึ้นในหมู่บา้ นของนักเรี ยน
3. รู ปภาพเหตุการณ์ ต่าง ๆ เช่น รู ปภาพเกิดพายุ น้ าท่วม ไฟไหม้ เป็ นต้น
192
การวัดและประเมินผล
บันทึกหลังสอน
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………..
ลงชื่อ ………………………………………………..
ครู ผสู้ อน
193
ตัวอย่ างที่ 3
3. สาระการเรียนรู้
1. ทักษะการตั้งคาถาม
2. ทักษะการคาดคะเน
4. กิจกรรมการเรียนการสอน
1. แจ้งจุดประสงค์ให้นกั เรี ยนทราบว่า เมื่อเรี ยนจบหน่วยย่อย 1.1 “ฝึ กทักษะการตั้งคาถาม
และทักษะการคาดคะเน” แล้ว นักเรี ยนจะมีความรู ้ความเข้าใจและทักษะในเรื่ องการตั้งคาถามและ
สามารถคาดคะเน ทานายล่วงหน้า โดยอาศัยการเชื่อมโยงความรู ้เดิมกับสาระที่อ่านได้
2. ครู แนะนากลวิธีการตั้งคาถามแก่นกั เรี ยน ด้วยการถามนักเรี ยนว่านักเรี ยนเคยตั้งคาถาม
เพื่อหาคาตอบในเรื่ องที่อ่านหรื อไม่
3. ครู อธิ บายถึงประโยชน์ของการตั้งคาถาม ได้แก่
1) การตั้งคาถามช่วยให้นกั เรี ยนทราบว่าเนื้อหาสาระที่อ่านครอบคลุมเรื่ องอะไรบ้าง
2) การตั้งคาถามจะช่วยให้นกั เรี ยนสามารถจากัดขอบเขตของเนื้อหาที่จะเรี ยน
3) การตั้งคาถามจะช่วยนักเรี ยนในการเตรี ยมตัวสอบหรื อการอ่านเรื่ องต่าง ๆ
194
5. สื่ อการเรียนรู้
ชุดกิจกรรมฝึ กทักษะการอ่าน ประกอบด้วย
1. ใบความรู้ที่ 1เรื่ อง The Bathroom
2. ใบความรู้ที่ 2 เรื่ อง Tina’s House
3. ใบความรู้ที่ 3 เรื่ อง Happy Birthday
4. ใบความรู้ที่ 4 เรื่ อง Merry Christmas
6. การวัดผลและการประเมินผล
1. สิ่ งทีต่ ้ องการประเมินและวิธีวดั ผล
ความเข้าใจและทักษะเกี่ยวกับการตั้งคาถาม และการคาดคะเน ประเมินจาก
การสังเกตผลงานการตั้งคาถาม และการคาดคะเนของนักเรี ยนขณะทากิจกรรมในระหว่างเรี ยน
2. เครื่องมือทีใ่ ช้ วดั ผล
แบบบันทึกผลการสังเกต
196
7. กิจกรรมเสนอแนะ
ให้นกั เรี ยนศึกษาเนื้อเรื่ องอื่นๆในห้องสมุดแล้วฝึ กทักษะการตั้งคาถามและการคาดคะเนให้
เกิดความชานาญ
8. บันทึกหลังการสอน
1. ผลการสอน
1) บันทึกผลขณะทีก่ าลังสอน
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
2) บันทึกผลหลังสอน
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
2. ปัญหาและอุปสรรค
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
3. ข้ อเสนอแนะและแนวทางแก้ไข
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
ลงชื่อ .............................................................................
ครู ผสู้ อน
197
ใบความรู้ ที่ 1
THE BATHROOM
ใบความรู้ ที่ 2
Tony’s House
Tony lives in a house in Leeds. There are seven rooms in his house.
Downstairs there are a kitchen, a living room where he watches television
and a dining room where he eats. There is also a porch outside the front
door and a hall. Upstairs there are three bedrooms, a bathroom and a
toilet. There is also a garage and a front and back garden. In the back
garden there is a fish pond.
199
ใบความรู้ ที่ 3
บทสนทนาเรื่อง Happy Birthday
**********************************
Happy Birthday
ใบความรู้ ที่ 4
Merry Christmas
Children love Christmas and wait eagerly for it. Every child believes in
Santa Claus, a fat jolly man with a long white beard, dressed in a red suit. On
Christmas Eve, at his home at the north Pole, Santa climbs into his sleigh, which
is pulled through the sky by eight reindeer. All through the night, he flies from
house to house around the world, carrying a big bag with a gift for every child.
Children hang up long stockings because they believe that Santa Claus will come
and put gifts in the stockings.
201
3. สาระการเรียนรู้
1. ทักษะการสรุ ป
2. ทักษะการอธิบายขยายความ
4. กิจกรรมการเรียนการสอน
1. แจ้งจุดประสงค์ให้นกั เรี ยนทราบว่าเมื่อเรี ยนจบหน่วยย่อย 1.2 “ ฝึ กทักษะการสรุ ป
การอธิบายขยายความ” แล้ว นักเรี ยนจะมีความรู้ความเข้าใจและมีทกั ษะในการสรุ ปความหมาย
ของเนื้อเรื่ อง สามารถจับใจความสาคัญของเรื่ อ งที่อ่านและสามารถอธิ บายขยายความ คาศัพท์หรื อ
ข้อความที่อ่านให้เกิดความเข้าใจยิง่ ขึ้นได้
2. ครู ให้นกั เรี ยนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 5 คน เล่นเกมต่อชิ้นส่ วนภาพเกี่ยวกับวันคริ สต์มาสและ
บอกว่าเป็ นภาพเกี่ยวกับอะไร และควรตั้งชื่อนั้นว่าอะไร
3. ครู อธิบายวิธีการสรุ ปใจความสาคัญของเรื่ องที่อ่าน โดยนาคาตอบจากคาถามที่ฝึกถาม
และฝึ กตอบมาเป็ นประเด็นสาคัญที่สรุ ปได้
4. ครู แจกใบความรู้ที่ 1 เรื่ อง The Bathroom ให้นกั เรี ยนอ่านแล้วสรุ ปใจความสาคัญจาก
บทอ่านตามวิธีการสรุ ปที่ได้ศึกษามาและให้นกั เรี ยนตั้งชื่อเรื่ อง
202
5. สื่ อการเรียนรู้
ชุดกิจกรรมฝึ กทักษะการอ่าน ประกอบด้วย
1. ชิ้นส่ วนต่อภาพเกี่ยวกับวันคริ สต์มาส
2. แบบฝึ กอ่านเรื่ องที่ 1 เรื่ อง Tony’s House
3. แบบฝึ กอ่านเรื่ องที่ 2 เรื่ อง The Bathroom
6. การวัดผลและการประเมินผล
1. วิธีวดั ผล
1) ประเมินจากการทาแบบทดสอบเรื่ องที่ 1 Tony’s House
2) ประเมินจากการทาแบบทดสอบเรื่ องที่ 2 The Bathroom
2 .เครื่องมือทีใ่ ช้ วดั ผล
1) แบบทดสอบเรื่ องที่ 1 Tony’s House
203
8. บันทึกหลังการสอน
1. ผลการสอน
1) บันทึกผลขณะทีก่ าลังสอน
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
2) บันทึกผลหลังสอน
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
2. ปัญหาและอุปสรรค
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
3. ข้ อเสนอแนะและแนวทางแก้ไข
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
ลงชื่อ .................................................................
ครู ผสู้ อน
204
แบบทดสอบเรื่องที่ 1
Tony’s House
Mr. Johnson’s favorite room is the bathroom. There are magazines, a stereo and
TV. There is a comfortable bathtub. On Saturdays and Sundays, he is in the bathroom all
morning. He is happy in the bathroom, but his wife and children are not happy. As a matter
of fact, they are very annoyed.
แบบทดสอบเรื่องที่ 2
The Bathroom
Tony lives in a house in Leeds. There are seven rooms in his house. Downstairs
there are a kitchen, a living room where he watches television and a dining room where he
eats. There is also a porch outside the front door and a hall. Upstairs there are three
bedrooms, a bathroom and a toilet. There is also a garage and a front and back garden. In
the back garden there is a fish pond.
ข้ อมูลทีมนักวิจยั
จากมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร