Professional Documents
Culture Documents
Teacher Script
วิทยาศาสตร์ ป. 5
ชั้นประถมศึกษาปที่ 5
ตามมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัด เล่ม 1
กลุมสาระการเรียนรูวิทยาศาสตร (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560)
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
ผูเรียบเรียงคูมือครู บรรณาธิการคูมือครู
นางสาวสุวิภา วงษแสง นายวันเฉลิม กลิ่นศรีสุข
นางสาวอภิญญา อินไรขิง
พิมพครั้งที่ 1
สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ
รหัสสินคา 1548040
1448047
คํ า แนะนํ า การใช้
คูมือครู รายวิ าพืน านวิ ยาศาสตร ป.5 จัดทําขึ้นสําหรั ห
ครู สู อน ชเปนแนวทางวางแ นการจัดการเรียนการสอน เพือ่ พั นา
ลสัม ทธิทางการเรียนและการประกันคุณภาพ ูเรียนตามนโย าย
ของสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สพฐ.
ิ่ม
เพ า นะนาการ ช ข นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
โซน 1
ขัน้ นา
1
กระ น าม น หนวยการเรียนรู ี
เพิ่ม า า รา ชา ข ข น้ ข
1. ครูทักทายกับนักเรียน แลวแจงจุดประสงค
การเรียนรูที่จะเรียนในวันนี้ใหนักเรียนทราบ
2. ครูใหนกั เรียนทําแบบทดสอบกอนเรียน เพือ่ วัด
àÃÕ¹ÃÙÇŒ ·Ô ÂÒÈÒʵÃ
น น ั ้ ั ั ความรูเดิมของนักเรียนกอนเขาสูบทเรียน
3. ครูสนทนากับนักเรียนเพื่อทบทวนความรูเดิม
น เกี่ ย วกั บ กระบวนการทางวิ ท ยาศาสตร ท่ี ไ ด
เรียนมาตั้งแตชั้น ป.4
4. ครูสมุ เลือกตัวแทนนักเรียน 3-4 คน ใหออกมา
ิ่ม หนาชั้นเรียน พรอมตั้งคําถามวา กระบวนการ
เพ ข น น ทางวิทยาศาสตรคืออะไร และมีความสําคัญ
ตอการเรียนวิทยาศาสตรของนักเรียนอยางไร
ั น น โดยใหตัวแทนนักเรียนตอบคําถามทีละคน
(แนวตอบ กระบวนการทางวิทยาศาสตร คือ
วิ ธี ก ารและขั้ น ตอนที่ ใ ช ดํ า เนิ น การค น คว า
หาความรูทางวิทยาศาสตรอยางเปนระบบ)
ิ่ม
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
เพ น ข แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล)
5. นั ก เรี ย นศึ ก ษาภาพและแนวคิ ด สํ า คั ญ ของ
ั น น ั้ ข น หนวยการเรียนรูที่ 1 เรียนรูวิทยาศาสตร จาก
หนังสือเรียนวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1 หนานี้
น
ิ่ม
เพ ข น ÇÔ·ÂÒÈÒʵà ໚¹¡ÒÃÈÖ¡ÉÒà¡ÕÂè ǡѺÊÔ§è µ‹Ò§ æ ·ÕÍè ÂÙË ͺµÑÇàÃÒ ÇÔ¸¡Õ ÒÃáÅÐ¢Ñ¹é µÍ¹·Õè 㪌à¾×Íè µÍº»˜ÞËÒ
·Õàè ÃÒʧÊÑ àÃÕÂ¡Ç‹Ò ÇÔ¸¡Õ Ò÷ҧÇÔ·ÂÒÈÒʵÃ
㹡ÒÃÊ׺àÊÒÐËÒ¤ÇÒÁÃٌ͋ҧ໚¹Ãкº àÃÒ¤Çýƒ¡½¹·Ñ¡ÉСÃкǹ¡Ò÷ҧÇÔ·ÂÒÈÒʵà ãËŒà¡Ô´
น น ั น น ¤ÇÒÁªíÒ¹ÒÞ à¾×Íè ãËŒÊÒÁÒö¤Œ¹ËÒ¤íҵͺáÅÐᡌ䢻˜ÞËÒ䴌͋ҧ¶Ù¡µŒÍ§àËÁÒÐÊÁ
àÁ×Íè àÃÒ·íÒ¡ÒÃÈÖ¡ÉÒáÅÐáÊǧËÒ¤ÇÒÁÃÙ⌠´Â㪌¡Ãкǹ¡Ò÷ҧÇÔ·ÂÒÈÒʵÃáÅŒÇ ¨Ðà¡Ô´¨ÔµÇÔ·ÂÒÈÒʵÃ
«Ö§è ·íÒãËŒàÃÒ໚¹¼ÙÁŒ ¤Õ ÇÒÁʹã¨ã½†Ãʌ٠§Ôè µ‹Ò§ æ ÁÕà˵ØÁ¼Õ Å ÁÕ¤ÇÒÁ«×Íè Êѵ áÅÐÁÕ¤ÇÒÁÃѺ¼Ô´ªÍº
ิ่ม
เพ น
น้ ั ข น น
เกร็ดแนะครู
ครูสามารถใชแบบทดสอบกอนเรียนที่แนบมาทายแผนการจัดการเรียนรู
ิ่ม
เพ นนการ น ของหนวยการเรียนรูที่ 1 เรียนรูวิทยาศาสตร เพื่อใชประเมินนักเรียนกอนเขาสู
บทเรียน
กอนเริ่มเขากิจกรรมการเรียนรูครูอาจใหความรูกับนักเรียนเบื้องตนวา
ข น นน ั วิทยาศาสตร เปนวิชาที่เนนการปลูกฝงใหนักเรียนรูจักสืบเสาะแสวงหาความรู
เกี่ยวกับประเด็นที่สงสัยโดยใชกระบวนการทางวิทยาศาสตรเขามาเกี่ยวของ
น ั น ั น
โซน 2
น
T4
ิ่ม
เพ ร าน ท าศา ร ั น
น ั
? ¤ÇÃÁÕÅѡɳÐ
Í‹ҧäúŒÒ§
นนการ น
ตัวอยางขอสอ ที่มุงเนนการคิดวิเคราะห และสอดคลองกั
3
แนวขอสอ มีทั้งปรนัย อัตนัย พรอมเฉลยอยาง
ขอสอบเนน การคิด นกเร นค รรู ละเอียด
า เ ตวา ุ ามเนอหยาบ น เ ยน วา า นักเรียนเรียนรูและฝกอานคําศัพทวิทยาศาสตร ดังนี้
า ม น า เ ต ุ า
1. ตา
า าอาน
ไ อีน ทิ ค เม็ ัด
าแ
วิ กี ารทางวิทยาศาสตร
ก กรรมทาทา
. จมูก
3. ผิวกาย
4. ตา หู จมูก
ไ อีน โพรเ ็ กิล ทักษะกระบวนการทาง
วิทยาศาสตร
เสนอแนะแนวทางการจัดกิจกรรม เพือ่ ตอยอดสําหรั นักเรียน
โซน 3
(วเ า ห าตอบ การสังเกตวา ุง ามีเนื้อหยาบเปนการใช
ประสาทสัม ัสของ ิวกาย ดังนั้น ขอ งเปนคําตอบที่ ูกตอง)
ไ อีน ทิ ค แอ็ททิทวิ ด จิตวิทยาศาสตร
ไ อีน ทิ ค อินสตรุ อุปกร วิทยาศาสตร
ทีเ่ รียนรูไ ดอยางรวดเร็ว และตองการทาทายความสามารถ น
มึนท
ละ บอระทริ หองป ิบัติการ
ระดั ที่สูงขึ้น
โซน 2
ก กรรม รา รม
T5
เสนอแนะแนวทางการจัดกิจกรรมซอมเสริมสําหรั นักเรียนที่
ควรไดรั การพั นาการเรียนรู
ป ั การ (วิทยาศาสตร) ่
การอธิ ายหรือขอเสนอแนะสิ่งที่ควรระมัดระวัง หรือขอควรป ิ ัติ การแนะนําแหลงเรียนรูแ ละแหลงคนควาจากสือ่ ตาง
ตามเนื้อหา น ทเรียน
น ทา การ ั ะประ มน
เสนอแนะแนวทางการ รรลุ ลสัม ทธิทางการเรียนของนักเรียน
ตามมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัดที่หลักสูตรกําหนด
คํ า อธิ บ ายรายวิ ช า
วิทยาศาสตร์ ก ุมสาร การเรียนรูวิ ยาศาสตร
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เว าเรียน 0 ัว มง ป
ตัว ีวั
ว . ป.5 รรยายโครงสรางและลักษณะของสิ่งมีชีวิตที่เหมาะสมกั การดํารงชีวิต ซึ่งเปน ลมาจากการ
ปรั ตัวของสิ่งมีชีวิต นแตละแหลงที่อยู
ว . ป.5 2 อธิ ายความสัมพันธระหวางสิ่งมีชีวิตกั สิ่งมีชีวิต และความสัมพันธระหวางสิ่งมีชีวิตกั สิ่งไมมีชีวิตเพื่อ
ประโยชนตอการดํารงชีวิต
ว . ป.5 เขียนโซอาหารและระ ุ ท าทหนาที่ของสิ่งมีชีวิตที่เปน ู ลิตและ ู ริโภค นโซอาหาร
ว . ป.5 ตระหนัก นคุณคาของสิง่ แวดลอมทีม่ ตี อ การดํารงชีวติ ของสิง่ มีชวี ติ โดยมีสว นรวม นการดูแลรักษาสิง่ แวดลอม
ว . ป.5 อธิ ายลักษณะทางพันธุกรรมที่มีการถายทอดจากพอแมสูลูกของพืช สัตว และมนุษย
ว . ป.5 2 แสดงความอยากรูอยากเห็น โดยการถามคําถามเกี่ยวกั ลักษณะที่คลายคลึงกันของตนเองกั พอแม
ว 2. ป.5 อธิ ายการเปลี่ยนสถานะของสสาร เมื่อทํา หสสารรอนขึ้นหรือเย็นลง โดย ชหลักฐานเชิงประจักษ
ว 2. ป.5 2 อธิ ายการละลายของสาร นนํา้ โดย ชหลักฐานเชิงประจักษ
ว 2. ป.5 วิเคราะหการเปลี่ยนแปลงของสารเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมี โดย ชหลักฐานเชิงประจักษ
ว 2. ป.5 วิเคราะหและระ ุการเปลี่ยนแปลงที่ ันกลั ไดและการเปลี่ยนแปลงที่ ันกลั ไมได
ว 2.2 ป.5 อธิ ายวิธีการหาแรงลัพธของแรงหลายแรง นแนวเดียวกันที่กระทําตอวัตถุ นกรณีที่วัตถุอยูนิ่งจากหลักฐาน
เชิงประจักษ
ว 2.2 ป.5 2เขียนแ นภาพแสดงแรงที่กระทําตอวัตถุที่อยู นแนวเดียวกันและแรงลัพธที่กระทําตอวัตถุ
ว 2.2 ป.5 ชเครื่องชั่งสปริง นการวัดแรงที่กระทําตอวัตถุ
ว 2.2 ป.5 ระ ุ ลของแรงเสียดทานที่มีตอการเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนที่ของวัตถุจากหลักฐานเชิงประจักษ
ว 2.2 ป.5 5เขียนแ นภาพแสดงแรงเสียดทานและแรงที่อยู นแนวเดียวกันที่กระทําตอวัตถุ
ว 2. ป.5 อธิ ายการไดยินเสียง านตัวกลางจากหลักฐานเชิงประจักษ
ว 2. ป.5 2 ระ ุตัวแปร ทดลอง และอธิ ายลักษณะและการเกิดเสียงสูง เสียงตํ่า
ว 2. ป.5 ออกแ การทดลองและอธิ ายลักษณะและการเกิดเสียงดัง เสียงคอย
ว 2. ป.5 วัดระดั เสียงโดย ชเครื่องมือวัดระดั เสียง
ว 2. ป.5 5 ตระหนัก นคุณคาของความรูเรื่องระดั เสียง โดยเสนอแนะแนวทาง นการหลีกเลี่ยงและลดมลพิษทางเสียง
ว . ป.5 เปรีย เทีย ความแตกตางของดาวเคราะหและดาว กษจากแ จําลอง
ว . ป.5 2 ชแ นทีด่ าวระ ตุ าํ แหนงและเสนทางการขึน้ และตกของกลุม ดาว กษ นทอง า และอธิ ายแ รูปเสนทาง
การขึ้นและตกของกลุมดาว กษ นทอง า นรอ ป
ว .2 ป.5 เปรีย เทีย ปริมาณนํา้ นแตละแหลง และระ ุปริมาณนํ้าที่มนุษยสามารถนํามา ชประโยชนได จากขอมูลที่
รว รวมได
ว .2 ป.5 2 ตระหนักถึงคุณคาของนํา้ โดยนําเสนอแนวทางการ ชนํ้าอยางประหยัดและการอนุรักษนํ้า
ว .2 ป.5 สรางแ จําลองที่อธิ ายการหมุนเวียนของนํ้า นวั จักรของนํ้า
ว .2 ป.5 เปรีย เทีย กระ วนการเกิดเม หมอก นํ้าคาง และนํ้าคางแข็ง จากแ จําลอง
ว .2 ป.5 5 เปรีย เทีย กระ วนการเกิด น หิมะ และลูกเห็ จากขอมูลที่รว รวมได
ดวยจุดประสงคของการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร เพื่อชวย
น าม น
ห ูเรียนไดพั นาวิธีคิด ทั้งความคิดเปนเหตุเปน ล คิดสรางสรรค กระ
คิดวิเคราะห วิจารณ มีทักษะสําคัญ นการคนควาหาความรู และมี Eenn ement
1
าร lo t on
ความสามารถ นการแกปญหาอยางเปนระ ูจัดทําจึงไดเลือก ช
eExp
n
eE lu t o
รูปแ การสอนแ สื เสาะหาความรู 5 2
ะ น า
5
ซึ่งเปนขั้นตอนการเรียนรูที่มุงเนน ห ูเรียนไดมีโอกาสสราง
5Es
ร
n
bo 4
El
to
พั นาทักษะกระ วนการทางวิทยาศาสตร และทักษะการเรียนรู n
ร
t on xpl
าม
E
า
แหงศตวรรษที่ 21 าม า า
จู ดั ทําเลือก ชเทคนิคการสอนทีห่ ลากหลายและเหมาะสมกั เรือ่ งทีเ่ รียน เพือ่ สงเสริมวิธสี อน หมปี ระสิทธิภาพมากขึน้
เชน การ ชคําถาม การเลนเกม การยกตัวอยาง ซึ่งเทคนิคการสอนตาง จะชวย ห ูเรียนเกิดการเรียนรูอยางมีความสุข
นขณะที่เรียนและสามารถป ิ ัติกิจกรรมไดอยางมีประสิทธิภาพ รวมทั้งไดพั นาทักษะ นศตวรรษที่ 21 อีกดวย
Teacher Guide Overview
วิ ท ยาศาสตร์ ป.5 เล่ ม 1
หน่วย
ตัวชี้วัด ทักษะที่ได้ เวลาทีใ่ ช้ การประเมิน สื่อที่ใช้
การเรียนรู้
Chapter
Chapter Teacher
Chapter Title Overview
Concept
Script
Overview
หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เรียนรู้วิทยาศาสตร์ T2 T3 T4
บ ี เสียงรอบตัวเรา T111-T133
บรรณานุกรม T136
Chapter Overview
นการ ั ักษ ะ
่ ที่ ช ประ น ประ มน ทักษะที่
การ ร นร ัน ึ ประ
น ที่ แ ทดสอ กอนเรียน 1. อธิ ายกระ วนการ แ สื เสาะ ตรวจแ ทดสอ กอนเรียน ทักษะการสังเกต มีวินัย
น หนังสือเรียนวิทยาศาสตร ทางวิทยาศาสตรได หาความรู ตรวจแ ทดสอ หลังเรียน ทักษะการตั้ง เรียนรู
ป.5 เลม 1 อยางถูกตอง 5 ตรวจกิจกรรม นสมุดหรือ สมมติฐาน มุงมัน่ น
3 แ กหัดวิทยาศาสตร 2. ก ชกระ วนการ
ป.5 เลม 1 ทางวิทยาศาสตรได
นแ กหัดวิทยาศาสตร
การนําเสนอ ลการทํา
ทักษะการระ ุ
ทักษะการสํารวจ
การทํางาน
ชั่วโมง
วัสดุ อุปกรณกิจกรรม อยางถูกตอง การเรียนรู กิจกรรม คนหา
สรางสรรค ลงาน . รั ิดชอ ตองานทีไ่ ด แ รวมมือ การนําเสนอชิ้นงาน ลงาน ทักษะการจําแนก
- PowerPoint รั มอ หมาย เทคนิคคูคิด ตรวจชิ้นงาน ลงาน ประเภท
การ ชวิธีการ แ จําลองการเจริญเติ โต ทักษะการทํางาน
ทางวิทยาศาสตร ของพืชหรือสัตว กลุม
ัตรขอความ สังเกตพ ติกรรม ทักษะการคิดอยาง
สมุดประจําตัวนักเรียน การทํางานราย ุคคล มีวิจารณญาณ
แ ทดสอ หลังเรียน สังเกตพ ติกรรม
การทํางานกลุม
สังเกตคุณลักษณะ
อันพึงประสงค
T2
Chapter Concept Overview
หน่วยการเรียนรู้ที่ 1
รี นร ท าศา ร
วิทยาศาสตร เปนการศึกษาเกี่ยวกั สิ่งที่อยูรอ ตัวเรา ซึ่งวิธีการและขั้นตอนที่นํามา ชเพื่อคนควาหาความรูอยางเปนระ เรียกวา
กร บวนการ างวิ ยาศาสตร
กร บวนการ างวิ ยาศาสตร (Scientific Process คือ วิธกี ารและขัน้ ตอนที่ ชดาํ เนินการคนควาหาความรูท างวิทยาศาสตร แ ง เปน
ประเภท ดังนี้
กระบวนการทาง
วิทยาศาสตร
จิตวิทยาศาสตร
วิธีการทางวิทยาศาสตร
เป น ลั ก ษณะนิสั ย ของบุ ค คลที่ เ กิ ด
หมายถึง ขั้นตอนในการคนควาหรื อ จากการเรียนรูผ า นกระบวนการทาง
การแสวงหาความรูท างวิทยาศาสตร วิทยาศาสตร เชน เปนคนมีเหตุมีผล
อย า งเป น ระบบ ประกอบด ว ย 5 มี ค วามสนใจใฝ รู มี ค วามซื่ อ สั ต ย
ขั้นตอน มี ค วามรั บ ผิ ด ชอบ มี ค วามอดทน
ทักษะกระบวนการ โดยสามารถนําความรูไ ปใชประโยชน
ทางวิทยาศาสตร ไดอยางถูกตองและเหมาะสม
? ระบุปญหา หมายถึ ง ความชํ า นาญและความ
สามารถในการคิดคนหรื อสืบเสาะ
เพื่อหาคําตอบ และการแกไขปญหา
ต า ง ๆ ได ถู ก ต อ งและเหมาะสม
ตั้งสมมติฐาน แบงออกเปน 2 ขั้น
?
?
รวบรวมขอมูล ทักษะขั้นพื้นฐาน ทักษะขั้นผสม
?
- การสังเกต - การตั้งสมมติฐาน
- การจําแนกประเภท - การทดลอง
วิเคราะหขอมูล - การวัด - การกําหนดนิยามเชิง
- การใชจํานวน ปฏิบัติการ
- การลงความเห็นจาก - การกําหนดและ
ขอมูล ควบคุมตัวแปร
สรุปผล - การจัดกระทําและสื่อ - การตีความหมายขอมูล
ความหมายขอมูล และลงขอสรุป
- การหาความสัมพันธ - การสรางแบบจําลอง
ของสเปซกับเวลา
- การพยากรณ
T3
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นา
1
กระ น าม น หนวยการเรียนรู ี
1. ครูทักทายกับนักเรียน แลวแจงจุดประสงค
การเรียนรูที่จะเรียนในวันนี้ใหนักเรียนทราบ
2. ครูใหนกั เรียนทําแบบทดสอบกอนเรียน เพือ่ วัด
àÃÕ¹ÃÙÇŒ ·Ô ÂÒÈÒʵÃ
ความรูเดิมของนักเรียนกอนเขาสูบทเรียน
3. ครูสนทนากับนักเรียนเพื่อทบทวนความรูเดิม
เกี่ ย วกั บ กระบวนการทางวิ ท ยาศาสตร ท่ี ไ ด
เรียนมาตั้งแตชั้น ป.4
4. ครูสมุ เลือกตัวแทนนักเรียน 3-4 คน ใหออกมา
หนาชั้นเรียน พรอมตั้งคําถามวา กระบวนการ
ทางวิทยาศาสตรคืออะไร และมีความสําคัญ
ตอการเรียนวิทยาศาสตรของนักเรียนอยางไร
โดยใหตัวแทนนักเรียนตอบคําถามทีละคน
(แนวตอบ กระบวนการทางวิทยาศาสตร คือ
วิ ธี ก ารและขั้ น ตอนที่ ใ ช ดํ า เนิ น การค น คว า
หาความรูทางวิทยาศาสตรอยางเปนระบบ)
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล)
5. นั ก เรี ย นศึ ก ษาภาพและแนวคิ ด สํ า คั ญ ของ
หนวยการเรียนรูที่ 1 เรียนรูวิทยาศาสตร จาก
หนังสือเรียนวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1 หนานี้
ÇÔ·ÂÒÈÒʵà ໚¹¡ÒÃÈÖ¡ÉÒà¡ÕÂè ǡѺÊÔ§è µ‹Ò§ æ ·ÕÍè ÂÙË ͺµÑÇàÃÒ ÇÔ¸¡Õ ÒÃáÅÐ¢Ñ¹é µÍ¹·Õè 㪌à¾×Íè µÍº»˜ÞËÒ
·Õàè ÃÒʧÊÑ àÃÕÂ¡Ç‹Ò ÇÔ¸¡Õ Ò÷ҧÇÔ·ÂÒÈÒʵÃ
㹡ÒÃÊ׺àÊÒÐËÒ¤ÇÒÁÃٌ͋ҧ໚¹Ãкº àÃÒ¤Çýƒ¡½¹·Ñ¡ÉСÃкǹ¡Ò÷ҧÇÔ·ÂÒÈÒʵà ãËŒà¡Ô´
¤ÇÒÁªíÒ¹ÒÞ à¾×Íè ãËŒÊÒÁÒö¤Œ¹ËÒ¤íҵͺáÅÐᡌ䢻˜ÞËÒ䴌͋ҧ¶Ù¡µŒÍ§àËÁÒÐÊÁ
àÁ×Íè àÃÒ·íÒ¡ÒÃÈÖ¡ÉÒáÅÐáÊǧËÒ¤ÇÒÁÃÙ⌠´Â㪌¡Ãкǹ¡Ò÷ҧÇÔ·ÂÒÈÒʵÃáÅŒÇ ¨Ðà¡Ô´¨ÔµÇÔ·ÂÒÈÒʵÃ
«Ö§è ·íÒãËŒàÃÒ໚¹¼ÙÁŒ ¤Õ ÇÒÁʹã¨ã½†Ãʌ٠§Ôè µ‹Ò§ æ ÁÕà˵ØÁ¼Õ Å ÁÕ¤ÇÒÁ«×Íè Êѵ áÅÐÁÕ¤ÇÒÁÃѺ¼Ô´ªÍº
เกร็ดแนะครู
ครูสามารถใชแบบทดสอบกอนเรียนที่แนบมาทายแผนการจัดการเรียนรู
ของหนวยการเรียนรูที่ 1 เรียนรูวิทยาศาสตร เพื่อใชประเมินนักเรียนกอนเขาสู
บทเรียน
กอนเริ่มเขากิจกรรมการเรียนรูครูอาจใหความรูกับนักเรียนเบื้องตนวา
วิทยาศาสตร เปนวิชาที่เนนการปลูกฝงใหนักเรียนรูจักสืบเสาะแสวงหาความรู
เกี่ยวกับประเด็นที่สงสัยโดยใชกระบวนการทางวิทยาศาสตรเขามาเกี่ยวของ
เพราะเปนกระบวนการที่เปนระบบและมีลําดับขั้นตอนในการทํางานที่แนนอน
นอกจากนี้ การเรียนวิทยาศาสตรยังชวยสงเสริมใหนักเรียนเปนคนที่มีเหตุผล
มีความอดทน และมีความรับผิดชอบอีกดวย
T4
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นา
กระ น าม น
? ¤ÇÃÁÕÅѡɳÐ
Í‹ҧäúŒÒ§
T5
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ น
าร น า
3. นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน จากนั้น กิจกรรม
แตละกลุมรวมกันทํากิจกรรมนําสูการเรียน
โดยดูภาพสถานการ จากหนังสือเรียนหนานี้
นําสูก ารเรียน
แลวชวยกันตอบคําถาม โดยเขียนคําตอบลง
ในสมุด หรือทําในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ´ÙÀÒ¾¡Ò÷íÒ¡Ô¨¡ÃÃÁ¢Í§¹Ñ¡àÃÕ¹ã¹ËŒÍ§·´ÅͧÇÔ·ÂÒÈÒʵà áŌǵͺ¤íÒ¶ÒÁ
ป.5 เลม 1 แลวใหนําเสนอคําตอบของกลุม
หนาชั้นเรียน เพื่ออภิปรายและสรุปคําตอบ
รวมกัน
4. ครูจดั กิจกรรมการนําเสนอคําตอบของนักเรียน ŒÍ§¹Õ ÁչѡàÃÕ¹ Ò ¤¹
ÁչѡàÃÕ¹¡Õ¤¹¹Ð ¹Ñ¡àÃÕ¹ Ô§ ¤¹
แตละกลุมใหนาสนใจ และใหนักเรียนรวมกัน
µŒ¹ ÑÇʧ ʧ
สรุปคําตอบที่ถูกตอง à·‹Òä Ë ÅŒÇ à ¹µÔàÁµÃ
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม)
Ê´§Ç‹ÒµŒ¹ ÑÇ
ʧ ¹¡Ç‹ÒÍÒ·ÔµÂ
·Õ ŌǹÐ
น ก กรรมนา การ รี น
ใชทัก ะการวัด ทัก ะการใช ํานวน ทัก ะ ¹Ñ¡àÃÕ¹¤Ô´Ç‹Ò à ͹ ÁÕ¡Òà Œ·Ñ¡ÉСÃкǹ¡Ò÷ҧÇÔ·ÂÒÈÒʵÃÍÐäúŒÒ§
การสรางแบบ าํ ลอง ทัก ะการ าํ แนกประเ ท ¹ ÕÇÔµ ÃÐ ÒÇѹ ¹Ñ¡àÃÕ¹䴌 Œ·Ñ¡ÉСÃкǹ¡Ò÷ҧÇÔ·ÂÒÈÒʵúŒÒ§ ÃÍäÁ‹ Í‹ҧäÃ
ทัก ะการ ัดกระทําและสื่อความหมายขอมูล
ทัก ะการหาความสัมพันธของสเป กับเวลา
4
ข้นอยูก บั คําตอบของนักเรียน ใหอยูใ นดุลยพินิ
ของครู ูสอน)
T6
นํา สอน สรุป ประเมิน
หนวยการเรียนรูที่ 1 ขัน้ น
àÃÕ¹ÃÙŒÇÔ·ÂÒÈÒʵà าร น า
T7
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ น
าร น า
7. ครูยกตัวอยางสถานการ วา “หากในเชาวัน 1
วิธีการทางวิ
างวิทยาศาสตร เปนวิธีที่นักวิทยาศาสตร ช นการคนหาคําตอ
หนึ่ง เมื่อนักเรียนมาถึงหองเรียน แลวพบวา
มี ข นมหนึ่ ง กล อ งวางอยู บ นโตะของตนเอง
ของปญหาหรือสิง่ ทีส่ งสัย ชสื เสาะหาความรูห รือคนหาความจริง รวมทัง้ แกไข
โดยที่นักเรียนไมรูวาเปนของใคร นักเรียน ปญหา นดานตาง วิธีการทางวิทยาศาสตรประกอ ดวย 5 ขัั้นตอน ดังนี้
คิ ด ว า ควรทํ า อย า งไร” จากนั้ น ให นั ก เรี ย น 1 ร บุป หา ?
ชวยกันตอบคําถามตามประเด็น ดังนี้ เปนการตั้งคําถาม ตั้งปญหา หรือตั้งขอสงสัย ที่เกิดจากการสังเกต
น เ ยน อยา บ เหน สิ่งตาง รอ ตัว การสังเกตควรทําอยางละเอียดรอ คอ โดย ช
(แนวตอบ รูส กแปลกใ และเกิดความสงสัย) ประสาทสัม ัสตาง เขามาชวย นการสังเกต
น เ ยน าอยา เ อ หหาย ย
(แนวตอบ คนหาคําตอบ เชน าม ากเพือ่ น 2 ตังสมมติ าน
วา เปนขนมของใคร และใครนํามาวาง ว เปนการคาดคะเนคําตอ ของคําถามหรือปญหาที่ตองการศึกษาไว
หรือ ปสังเกตกลองขนมใกล โดยสังเกต ลวงหนา โดยอาศัยขอมูลหรือความรูเดิม ซึ่งสามารถตรวจสอ ได
วาเปนขนมอะ ร และคาดเดาวานา ะเปน โดยการสังเกต การสํารวจ หรือการทดลอง
ขนมของใคร)
8. นักเรียนแตละกลุมไปศึกษาเนื้อหาเกี่ยวกับ 3 รวบรวม อมู
วิ ีการทางวิทยาศาสตรในหนังสือเรียน และ เปนการรว รวมขอมูลหรือคนหาคําตอ ของปญหาดวยวิธีการตาง
จากสื่อดิจิทัลในหนังสือเรียนหนานี้ โดยใช เชน สังเกต สํารวจ ทดลอง หรือสรางแ จําลอง เพื่อ หไดขอมูล
โทรศัพทมือถือสแกน เรื่อง การใช แลว ันทึก ลไว
วิ ีการทางวิทยาศาสตร
4 วิเครา ห อมู
เปนการนําขอมูลที่ไดจากการรว รวมขอมูลดวยวิธีการตาง มา
แปลความหมาย หรืออธิ ายความหมายของขอเท็จจริงที่มีอยู เพื่อนํา
ไปสูการสรุป ล
5 สรุปผ
เปนการสรุป ลของขอมูลทีไ่ ดศกึ ษาคนความา เพือ่ ตรวจสอ วาตรงกั
สมมติฐานที่ตั้งไวลวงหนาหรือไม จากนั้นนําความรูที่ไดไปประยุกต
ช นชีวิตประจําวัน หรือตั้งเปนก เกณ เพื่อ ช นการศึกษาตอไป
6 การใชวิธีการทางวิทยาศาสตร
T8
นํา สอน สรุป ประเมิน
หนวยการเรียนรูที่ 1 ขัน้ น
àÃÕ¹ÃÙŒÇÔ·ÂÒÈÒʵà าร น า
ตัวอยาง การศก าม ? ง ย วิธีการ างวิ ยาศาสตร 9. นั ก เรี ย นศึ ก ษาตั ว อย า งการใช วิ ี ก ารทาง
วิทยาศาสตรจากหนังสือเรียนหนานี้ จากนั้น
ตอมสังเกตวา เมื่อทําขนมหลนลงพื้นจะมีมดแดงมากินขนมเสมอ ตอมเกิด ใหสมาชิกแตละคนนําขอมูลที่ศึกษาไดมา
ความสงสัยวา มดแดงชอ กินของหวานหรือไม ตอมจึง ชวิธีการทางวิทยาศาสตร อภิปรายและรวมกันสรุปผลภายในกลุม
เพื่อคนหาคําตอ ของสิ่งที่สงสัย ดังนี้ (หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม)
? . ร บุป หา . วิเครา ห อมู 10. ครูสุมหยิบบัตรขอความที่เกี่ยวกับการใชวิ ี
มดแดงชอ กินของหวาน พ วา เมื่อทดลองวาง การทางวิทยาศาสตรทเี่ ตรียมไว แลวสุม เรียก
หรือไม ลูกอม ยาเม็ดแกปวด และ นั ก เรี ย นที ล ะคนให ต อบว า เป น วิ ี ก ารทาง
มะขามเปยกไว ริเวณที่มด วิทยาศาสตรในขั้นตอนใด
เดิน านหรือ กลรังมดแดง
? 11. ครูและนักเรียนรวมกันสรุปความรูเกี่ยวกับ
2. ตังสมมติ าน
มดแดงจะออกมากินลูกอม วิ ีการทางวิทยาศาสตร จากนั้นครูอ ิบาย
ถ า มดแดงชอ กิ น ของ
และขนลูกอมกลั เขารัง เพิ่มเติมใหนักเรียนเขาใจวา วิทยาศาสตร
หวาน ดังนั้น ถาวางลูกอม เปนการศึกษาเกี่ยวกับสิ่งตาง ที่อยูรอบตัว
ไวมดแดงนาจะมากินลูกอม ึ่งในการศึกษาสิ่งตาง รอบตัว เราตองใช
5. สรุปผ วิ ีการทางวิทยาศาสตรมาคนควาหาความรู
? สรุปไดวา มดแดงชอ กิน
. รวบรวม อมู หรือคนหาคําตอบของสิ่งที่เราสงสัย
วางแ นและทําการทดลอง ของหวาน
โดยนําลูกอม ยาเม็ดแกปวด
และมะขามเปยกไปวางไว
ริ เ วณที่ ม ดแดงเดิ น า น
หรือ กลรังมดแดง แลวเ า
สั ง เกตพร อ ม ั น ทึ ก ลไว
จากนัน้ หาขอมูลเพิม่ เติม
T9
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ น
าร น า
12. ครูตั้งคําถามเพื่อกระตุนความคิดนักเรียนวา
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรคืออะไร
2. · à ǹ ÒÃ·Ò ÇÔ·ÂÒÈÒʵÃ
นั ก เรี ย นรู จั ก หรื อ ไม จากนั้ น ให นั ก เรี ย น ั ก กร บวนการ างวิ ยาศาสตร หมายถึ ง ความสามารถและ
รวมกันแสดงความคิดเห็นไดอยางอิสระ ความชํานาญ นการคนหาคําตอ และการแกปญ หาตาง ไดอยางถูกตองเหมาะสม
(แนวตอบ ทัก ะกระบวนการทางวิทยาศาสตร ทักษะกระ วนการทางวิทยาศาสตร เปนทักษะสําคัญที่แสดงถึงการมี
คือ ทัก ะทางสติป าที่เปนความสามาร กระ วนการคิดอยางมีเหตุ ลตามกระ วนการทางวิทยาศาสตร จึงทํา ห ูเรียน
หรือความชํานา ที่นักวิทยาศาสตรนํามา มีความเขา จ นความรูทางวิทยาศาสตร และมี ลตอการพั นาการเรียนรูได
ใชในการสืบเสาะเพื่อคนหาความรู หรือการ
แก ขป หาตาง ดอยาง กู ตองเหมาะสม)
เปนอยางดี
13. ครู นํ า ดอกไม ม าให นั ก เรี ย นช ว ยกั น สั ง เกต การ อง การสังเกต
จากนั้นใหชวยกันบอกสิ่งที่สังเกตได โดยครู
เขียนสิง่ ทีน่ กั เรียนชวยกันตอบไวบนกระดาษ
14. ครูอ ิบายวาคําตอบของนักเรียนเกิดขึ้นจาก
การสังเกต ึ่งเปนทักษะกระบวนการทาง
วิทยาศาสตรที่สําคัญของนักวิทยาศาสตร
ทักษะหนึ่ง
การวั การ งความเหน
T10
นํา สอน สรุป ประเมิน
หนวยการเรียนรูที่ 1 ขัน้ น
àÃÕ¹ÃÙŒÇÔ·ÂÒÈÒʵà าร น า
นักวิทยาศาสตรแ งทักษะกระ วนการทางวิทยาศาสตร ออกเปน 2 ขั้น คือ 15. ครูสนทนากับนักเรียนเพือ่ ทบทวนความรูเ ดิม
ทักษะขั้นพื้นฐาน ทักษะ และทักษะขั้นสูงหรือขั้น สม ทักษะ ดังนี้ เกี่ยวกับทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร
ที่ นั ก เรี ย นได เ รี ย นมาตั้ ง แต ชั้ น ป.4 แล ว
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน มี 8 ทักษะ ประกอบด้วย
โดยตั้ ง คํ า ถามว า ทั ก ษะกระบวนการทาง
. ัก การสังเกต เปนการ ชประสาทสัม ัสอยาง ดอยางหนึ่ง 2. กั การจา นกปร เ เปนการแ งพวก จัดกลุมสิ่งที่สน จ
หรือ ชหลายอยางรวมกัน ไดแก ตา หู จมูก ลิ้น และ ิวกาย หรือการเรียงลําดั วัตถุหรือเหตุการณตา ง ออกเปนหมวดหมู วิ ท ยาศาสตร มี ค วามสํ า คั ญ ต อ การเรี ย น
เพื่อคนหาและ อกรายละเอียดของสิ่งตาง โดยไมควร ส โดย ชความเหมือนกันหรือความแตกตางกันมาเปนเกณ วิ ท ยาศาสตร อ ย า งไร จากนั้ น ให นั ก เรี ย น
ความคิดเห็นของ ูสังเกตลงไป นการจําแนกวัตถุ เหตุการณ หรือสิ่งตาง ออกจากกัน
. กั การวั เปนการเลือก ชเครือ่ งมือและการ ชเครือ่ งมือตาง . ั ก การ จานวน เปนการ ช ค วามรู สึ ก เชิ ง จํ า นวนและ
ทุกคนชวยกันแสดงความคิดเห็น
เพื่อวัดหาปริมาณของสิ่งตาง ออกมาเปนตัวเลขไดถูกตอง 12 การคํานวณ โดยการนั จํานวนหรือคิดคํานวณ เพื่อ รรยาย (แนวตอบ ทัก ะกระบวนการทางวิทยาศาสตร
และเหมาะสมกั สิง่ ทีต่ อ งการวัด รวมทัง้ อกหรือระ หุ นวยของ หรือระ ุรายละเอียดเชิงปริมาณของสิ่งที่สังเกตหรือทดลองได เปนทัก ะที่เราตองนํามาใชในการสืบเสาะ
ตัวเลขที่ทําการวัดไดอยางถูกตอง
5. ัก การหาความสัมพันธ องสเป กับเว า 6. กั การจั กร า สือความหมาย อมู เปนการนําขอมูล เพื่อคนหาความรู หรือการแก ขป หาตาง
การหาความสัมพันธระหวางสเปซกั สเปซ เปนการหาความ ที่รว รวมไดจากวิธีการตาง มาจัดกระทํา หอยู นรูปแ ที่มี ในการเรียนวิทยาศาสตร ดอยางเหมาะสม)
สัมพันธระหวางพืน้ ทีท่ วี่ ตั ถุตา ง ครอ ครอง ความหมายหรือมีความสัมพันธกันมากขึ้น รวมทั้งนําขอมูลมา (หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
การหาความสัมพันธระหวางสเปซกั เวลา เปนการหา จัดกระทํา นรูปแ ตาง เชน แ นภาพ แ นภูมิ ตาราง กรา
ความสัมพันธระหวางพืน้ ทีท่ วี่ ตั ถุครอ ครองเมือ่ เวลา า นไป สมการ วงจร เพื่อ ห ูอื่นเขา จความหมายไดงายขึ้น แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล)
. ัก การ งความเหนจาก อมู เปนการ ชความคิดเห็น . ัก การพยากรณ เปนการคาดคะเน ลของปราก การณ
จากความรู ห รื อ ประส การณ เ ดิ ม เพื่ อ อธิ ายข อ มู ล ที่ ไ ด สถานการณ การสังเกต หรือการทดลองไวลวงหนา โดยอาศัย
จากการสังเกตอยางมีเหตุ ล โดยอาศัยขอมูลหรือสารสนเทศ ขอมูลหรือประส การณของเรื่องนั้นที่เกิดซํ้า เปนแ รูปมา
ที่เคยเก็ รว รวมไว นอดีต ชวย นการคาดการณสิ่งที่จะเกิดขึ้น
T11
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ น
าร น า
16. ครูใหนักเรียนจับกลุมเดิมจากชั่วโมงที่แลว ตัวอยาง ทักษะกระ วนการทางวิทยาศาสตรสําคัญ ที่นักเรียนตองเรียนรู
จากนั้นใหรวมกันศึกษาขอมูลจากเกี่ยวกับ
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร จาก
และ ก น หเกิดความชํานาญสําหรั การเรียนวิทยาศาสตร มีดังนี้
หนังสือเรียน หนา -13 . ัก การหาความสัมพันธ องสเป กับเว า 1
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช คือ ความสามารถ นการหาความสัมพันธระหวางรูป 1 มิติ 2 มิติ และ
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม) มิติ รวมไปถึงการระ ุรูปทรง ขนาด ตําแหนง ทิศทางการเคลื่อนที่ของวัตถุ
ที่เวลาตาง
สเป องวัต ุ คือ ที่วางที่วัตถุนั้นครอ ครองอยู และมีรูปรางลักษณะ
เชนเดียวกั วัตถุนั้น โดยสเปซของวัตถุมีความสัมพันธ 2 ลักษณะ ไดแก
1) การหาความสัมพันธร หวางสเป กับสเป เปนการ อกชือ่ หรือวาดภาพของ
วัตถุ 2 มิติ และ มิติ หรือ อกความสัมพันธของตําแหนงวัตถุที่เปลี่ยนไป
กั อีกวัตถุหนึ่ง ดังนี้
• ความสัมพันธร หวางวัต ุ 2 มิติ กับวัต ุ มิติ
คือ ความสามารถ นการระ ุชื่อหรือวาดภาพของวัตถุ 2 มิติ มิติ เชน
2 3
วัต ุ รูป 2 มิติ รูป มิติ
รูปสี่เหลี่ยมมุมฉาก ทรงสี่เหลี่ยมมุมฉาก
3. 4.
รูปสามเหลี่ยม รูปสี่เหลี่ยม รูปวงกลม
3 มต คือ รูปที่มีความกวาง ความยาว และความสูงหรือความหนา
เชน กลองลัง
(แนวตอบ รูป มิติ คือ รูปที่มีความกวาง ความยาว และความ
สูงหรือความหนา ่งขอ เปน าพที่มีความกวาง ความยาว
และความสูง ความหนา) ดังนั้น ขอ งเปนคําตอบที่ ูกตอง)
ทรงสี่เหลี่ยม ทรงกระบอก
T12
นํา สอน สรุป ประเมิน
หนวยการเรียนรูที่ 1 ขัน้ น
àÃÕ¹ÃÙŒÇÔ·ÂÒÈÒʵà าร น า
นาที
นกเร นค รรู
1 า ห อมเห ว คือ การทีส่ สารมีอุ หภูมสิ งู จนถึงจุดหลอมเหลว
พอดี โดยสสารนั้นจะเปลี่ยนสถานะจากของแข็งกลายเปนของเหลว
2 นาแ คือ นํ้าที่เกิดการแข็งตัวโดยเปลี่ยนสถานะจากของเหลวกลายเปน
ของแข็ง เรียกวา การแข็งตัว
กร
à·¤¹Ô¤ ¤ÇÒÁ»ÅÍ´ÀÑÂ
ในการทํากิจกรรมเสริมทีค่ รูจดั เพิม่ (การทดลองจุดเทียนไข) ครูควรเนนยํา้
เรื่องความปลอดภัยในการจุดเทียนไขและความรอนที่จะเกิดขึ้น โดยหามไมให
นักเรียนเลนหยอกลอกันข ะทํากิจกรรม เพราะอาจทําใหเกิดอันตรายได
T13
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ น
า ามร
1. ครูจับสลากเลือกลําดับของแตละกลุมใหออก
มานําเสนอผลการทํากิจกรรม โดยใหนักเรียน
2. ัก การจั กร า สือความหมาย อมู
กลุม ทีถ่ กู เลือกเปนอันดับแรกสงตัวแทนออกมา คือ การนําขอมูลที่ไดมาจากการรว รวมดวยวิธีการตาง มาจัดกระทํา
นําเสนอผลการทดลองทีละกลุม จนครบ จากนัน้ หอยู นรูปแ ที่มีความหมายหรือมีความสัมพันธกันมากขึ้น รวมทั้งนําขอมูล
1 2 3
ใหนักเรียนทุกกลุมรวมกันอภิปรายผลการทํา มาจัดกระทํา นรูปแ ตาง เชน แ นภาพ แ นภูมิ ตาราง กรา สมการ
กิจกรรมจนไดขอสรุปวา เมื่อจุดเทียนไขทิ้งไว การเขียน รรยาย เพื่อทํา ห ูอื่นเขา จความหมายไดงายขึ้น ตัวอยางเชน
1 นาที ขนาดของเทียนไขเปลี่ยนแปลงไป
ธนดลและขนิษฐา รั มอ หมายงานจาก
โดยมีขนาดลดลง
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
คุณครู หไปสํารวจพืชชนิดหนึ่งภาย นโรงเรียนวา
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม) มีชื่อและมีลักษณะอยางไร นการสํารวจทั้งสองคน
2. ครูใหความรูความเขาใจกับนักเรียนเพิ่มเติม ได ชกระ วนการทางวิทยาศาสตรเขามาชวยทํา
วา การทํากิจกรรมจุดเทียนไข เปนการให กิจกรรมและ นั ทึกขอมูลไว แลวรวมกันลงความเห็น
นักเรียนไดใชวิ ีการทางวิทยาศาสตร และใช และสรุปขอมูล จากนั้นนําขอมูลมาจัดกระทํา หม
ทั ก ษะกระบวนการทางวิ ท ยาศาสตร คื อ โดยสรางเปนแ นภาพเพื่อนําเสนอหนาชั้นเรียน ภาพที่ 1.5 การสํารวจพืช
ทักษะการหาความสัมพัน ของสเป กับเวลา
ทักษะการจัดกระทําและสื่อความหมายขอมูล
ผน าพตนกุห าบ
และทั ก ษะการสร า งแบบจํ า ลอง ึ่ ง ในการ
ทํากิจกรรมการทดลองจะทําใหนักเรียนเกิด
ดอกตูม
จิตวิทยาศาสตรดวย
ดอกที่ านแลว
สูง เซนติเมตร
ดอกสีแดง มีกลิ่นหอม
ลําตนมีหนามแหลม
T14
นํา สอน สรุป ประเมิน
หนวยการเรียนรูที่ 1 ขัน้ น
àÃÕ¹ÃÙŒÇÔ·ÂÒÈÒʵà า ามร
¹Õ¤Í ºº ÒÅͧ
¡ÒÃÃÐàºÔ´ ͧ à Òä
ภาพจ
การเจริญลอเตงิ โต
ของพืช
แ จล
องระ
นิเวศ
13
T15
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ น
า าม า
1. ครูตั้งคําถามเพื่อเชื่อมโยงเรื่องที่ไดเรียนรูจาก
ชั่วโมงที่แลววา บุคคลที่มีจิตวิทยาศาสตรจะ
3. ÔµÇÔ·ÂÒÈÒʵÃ
มีลักษ ะอยางไรบาง จากนั้นใหนักเรียนชวย จิตวิ ยาศาสตร คือ ลักษณะนิสัยของ ุคคลที่เกิดจากการศึกษาหาความรู
กันเสนอคําตอบอยางอิสระ ทางวิทยาศาสตร โดย ชกระ วนการทางวิทยาศาสตร
(แนวตอบ เชน มีวินัย สนใ ใ เรียนรู มีระเบียบ จิตวิทยาศาสตรประกอ ดวยลักษณะตาง เชน ความละเอี
1
ยดรอ คอ 2
ละเอียดรอบคอบ มีความอดทน มีความใ ความมีเหตุ ล ความสน จ รู ความอดทน ความมีวินัย ความรั ิดชอ
กวาง งความเหนของ ูอื่น) ความซื่อสัตย จกวางและยอมรั งความคิดเห็นของ ูอื่น
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล) ยอมรับ งผูอืน ความรับผิ อบ
2. ครูใหนักเรียนจับคูกับเพื่อนโดยใชการเรียนรู
แบบรวมมือเทคนิคคูคิด - -
แลวใหศึกษาเนื้อหาเกี่ยวกับจิตวิทยาศาสตร
เพิ่มเติม จากหนังสือเรียน หนา 14-15
14
T16
นํา สอน สรุป ประเมิน
หนวยการเรียนรูที่ 1 ขัน้ น
àÃÕ¹ÃÙŒÇÔ·ÂÒÈÒʵà า าม า
¡ÅØ‹Á´
ÒÇ
ÔÂÐ
à ºÊØÃ
´ÒÃÒÈÒʵ Ãк
´ÒÇ ¡
15
T17
?
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ น
า าม า
5. นั ก เรี ย นเขี ย นสรุ ป ความรู เ กี่ ย วกั บ เรื่ อ งที่ ไ ด ÊÃØ» ÊÒÃ ÊÒ
»ÃШíÒº··Õè 1
เรี ย นผ า นมาจากบทที่ 1 ในรู ป แบบต า ง ?
มู ล
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช ตงั้ สมมต
ฐิ าน ลู ?
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล) ์ อ้ ม
วิเคราะหข
6. นักเรียนแตละคนศึกษาแผนผังความคิด ? ระบุปัญหา
ตร์
สรุปสาระสําคัญ ประจําบทที่ 1
ส รุป
าส
าศ
จากหนั ง สื อ เรี ย นหน า นี้ เพื่ อ ตรวจสอบกั บ ิทย
ผล
ง ว
ษะกระบวนการทาง วิธีการท า
การเขียนสรุปความรูที่นักเรียนทําไวในสมุด ทัก ยาศาสตร์
วท
ิ
¡Ãкǹ¡Ò÷ҧ
ÇÔ·ÂÒÈÒʵÃ
จต
กต
งั เ ิ ว
รส
กา ภ ทิ ยาศ
ท
เ
ระ าสตร์
ทกั
กป ั
ด
ะข ํ
า แน าร ว
ษ
้น รจ ก
ั พ กา
้น
ื ฐ าน นวน
ชจ้ าํ
การใ ู
ล ินยั
ทักษะข้ัน
ขอ้ ม
ว า ม เห ็ จาก
น ม ู
ล ความมีว
การลงค ยขอ้
หมา น
รู้
ื ความ
การจัดกระทาํ และส่อ
ั เวล
า
ฝ เ่ รีย
กบ ใ
นใจ
ซ
บ
์ องสเป
สูงห
การหาค
วามสัมพันธข
า มส
คอ
์ ค ว อบ
การพยากรณ ดร
รือข
อยี
ละเ
้นั ผ
สม ความ
าน
มตฐิ
การตงั้ สม
การกาํ ห ิ าร
ั ก
ิ ต
นดนิยามเชิงปฏบ
การก
กา าํ หนดแ
ละควบคุมตัวแปร
รต
คี ว
าม การทดลอง
หม
ายข
กา อ้ มล
ู และ
รสร ลงขอ้ สรุป
า้ งแ
บบจาํ
ลอง
16
T18
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ น
กิจกรรม º··Õè 1 า าม า
T19
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ น
า าม า
9. ครูมอบหมายงานใหนกั เรียนแบงกลุม กลุม ละ
3-4 คน จากนั้นศึกษากิจกรรมสรางสรรค . ู าพ วตอบวา าพ เปนรูป 2 มิติ าพ เปนรูป มิติ
ผลงานจากหนังสือเรียน หนา 1 แลวให
1 2 5
ป ิบัติกิจกรรมตามขั้นตอน โดยใหรวมกัน
ทํากิจกรรมนอกเวลาเรียน แลวนํามาสงเพื่อ
นําเสนอผลงานหนาชั้นเรียนตอไป
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช . ู าพ ีกาหน ห ววา ตอเติม าพ ง นสมุ หสมบูรณ ย กนสมมาตร
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม) 1 2
10. นักเรียนทําทบทวนทายหนวยการเรียนรูท่ี 1
เรื่อง เรียนรูวิทยาศาสตร จากในแบบฝกหัด
วิทยาศาสตร ป.5 เลม 1
11. ครูใหนักเรียนทําแบบทดสอบหลังเรียนของ
หนวยการเรียนรูที่ 1 เพื่อตรวจสอบความรู
ความเขาใจหลังเรียน
5. สังเกต าพ วตอบคา าม
ขัน้ รป
ร อาคารเรียน 1 อาคารเรียน
โรงอาหาร านพักครู
สระวายนํ้า
1. ครูสุมเลือกนักเรียน 4-5 คน ใหออกมาพูด อาคารเรียน 2
อาคารกี า
สรุปเกี่ยวกับกระบวนการทางวิทยาศาสตรท่ี
ไดเรียนผานมา แปลงเกษตร หองสมุด
2. ครูถามประเด็นคําถามเกี่ยวกับวิ ีการทาง นารี ลานกิจกรรม สนามกี า
วิ ท ยาศาสตร ทั ก ษะกระบวนการทาง
วิทยาศาสตร และจิตวิทยาศาสตร จากนั้น
ใหนกั เรียนตอบคําถามทีละคนเพือ่ ตรวจสอบ ภาพที่ 1. แ น ังของโรงเรียนแหงหนึ่ง
ความรูความเขาใจของนักเรียนแตละคน 1 โรงอาหารอยูทางดาน ดของเสาธง
2 ถานารีตองการไปที่สนามกี า นารีตองเดินไปทางดานซายหรือดานขวาของ
เสาธง
กิจกรรม ทาทายการคิดขัน้ สูง
18
เกร็ดแนะครู กิ กรร า า
ครูสามารถใชแบบทดสอบหลังเรียนที่แนบมาทายแผนการจัดการเรียนรู ใหนกั เรียนนําเมล็ดถัว่ เขียวแชในนํา้ 4 ชัว่ โมง ( วัน) จากนัน้
ของหนวยการเรียนรูที่ 1 เรียนรูวิทยาศาสตร ใหพยากร การงอกของเมล็ดถั่วเขียวที่แชในนํ้า โดยใหวาดภาพ
และเขียนอ ิบายลักษ ะการงอกของเมล็ดถั่วเขียวลงในกระดาษ
น ก กรรม กทักษะ พรอมตกแตงใหสวยงาม แลวนําเสนอหนาชัน้ เรียนเพือ่ เปรียบเทียบ
ขอ 3. ) รูป มิติ ) รูป มิติ กับเพื่อน
) รูป มิติ ) รูป มิติ
) รูป มิติ
ขอ 4. ) ) )
ขอ 5. ) ดานหลังเสาธง
) ดานขวา
T20
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ ประ มน
ร
·Ñ¡ÉÐáË‹§ÈµÇÃÃÉ·Õè
✓การสื่อสาร ✓ ความรวมมือ การแกปญหา
1. ครูประเมินผลจากการสังเกตพ ติกรรมการ
✓การสรางสรรค ✓ การคิดอยางมีวิจารณญาณ ตอบคําถาม พ ติกรรมการทํางานรายบุคคล
✓การ ชเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร พ ติกรรมการทํางานกลุม และจากการนํา
กิจกรรม เสนอผลการทํากิจกรรมหนาชั้นเรียน
ÊÌҧÊÃä¼Å§Ò¹ 2. ครูตรวจผลการทําแบบทดสอบกอนเรียนและ
แบบทดสอบหลังเรียนหนวยการเรียนรูที่ 1
แบงกลุม กลุมละ 3-4 คน จากนั้นใหแตละกลุมเลือกสืบคน เรียนรูวิทยาศาสตร
ขอมูลเกี่ยวกับระยะการเจริญเติบโตของพืชหรือสัตวมากลุมละ 3. ครูตรวจสอบผลการทํากิจกรรมนําสูการเรียน
1 ชนิด โดยใชเทคโนโลยีสารสนเทศตาง ๆ แลวนําขอมูลที่ ไดมา จากสมุดหรือในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5
สรางในรูปของแบบจําลองตาง ๆ เชน ภาพวาด แผนพับ เลม 1
หุนจําลอง เพื่อนําเสนอขอมูลหนาชั้นเรียน 4. ครูตรวจสอบผลการทํากิจกรรมการทดลอง
การจุ ด เที ย นไขจากสมุ ด และการนํ า เสนอ
µÑÇÍ‹ҧ ¼Å§Ò¹¢Í§ ѹ
แบบจําลอง
5. ครูตรวจผลการทํากิจกรรมสรุปความรูเ กีย่ วกับ
กระบวนการทางวิทยาศาสตรจากสมุด
6. ครูตรวจผลการทํากิจกรรมฝกฝนทักษะบทที่ 1
ในสมุด หรือในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5
˹͹¼ÕàÊ×éÍ เลม 1
¼ÕàÊ×éÍ 7. ครู ต รวจผลการทํ า กิ จ กรรมท า ทายการคิ ด
ขั้นสูงในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1
8. ครูตรวจชิ้นงาน ผลงานแบบจําลองการเจริญ
เติ บ โตของพื ช หรื อ สั ต ว และการนํ า เสนอ
䢋 ´Ñ¡á´Œ ชิ้นงาน ผลงาน หนาชั้นเรียน
9. ครูตรวจสอบผลการทํากิจกรรมทบทวนทาย
หนวยการเรียนรูที่ 1 เรื่อง เรียนรูวิทยาศาสตร
19
เลือกใช้วัสดุมาสร้าง
ชิ้นงานตาม ่กาหนด ด้
เลือกใช้วัสดุมาสร้าง
ชิ้นงาน ม่ตรงตาม ่
5 กาหนดเวลาส่งงาน ถูกต้อง แล วัสดุมความ ถูกต้อง แล วัสดุมความ กาหนด แต่วัสดุมความ
เหมา สมกับการสร้าง เหมา สมกับการสร้าง เหมา สมกับการสร้าง
รวม
ชิ้นงานดมาก ชิ้นงานด ชิ้นงาน
3. ความ ูกต้องของ าแนกกลุ่มพืชออกเ น าแนกกลุ่มพืชออกเ น าแนกกลุ่มพืชออกเ น
ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน เนื้อ า กลุ่มพืชดอก แล กลุ่มพืช กลุ่มพืชดอก แล กลุ่มพืช กลุ่มพืชดอก แล กลุ่มพืช
............./.................../.............. ม่มดอก ด้ถูกต้อง ม่มดอก ด้ถูกต้องบ้าง ม่มดอก ด้ถูกต้องน้อ
ครบถ้วน
4. การสร้างสรรค์ ตกแต่งชิ้นงาน ด้สว งาม ตกแต่งชิ้นงาน ด้สว งาม ตกแต่งชิ้นงาน ด้สว งาม
ชิ้นงาน ดมาก ด น้อ
5. กา นดเวลาสงงาน ส่งชิ้นงาน า ในเวลา ่ ส่งชิ้นงานช้ากว่ากาหนด ส่งชิ้นงานช้ากว่ากาหนด
กาหนด วัน เกิน 3 วันข้น
เกณ ์การตัดสินคุณภาพ
ชวงคะแนน ระดับคุณภาพ
14-15 ดีมาก
11-13 ดี
8-10 พอใช้
ต่ากวา 8 ปรับปรุง
T21
Chapter Overview
นการ ั ักษ ะ
่ ที่ ช ประ น ประ มน ทักษะที่
การ ร นร ัน ึ ประ
น ที่ แ ทดสอ กอนเรียน 1. รรยายโครงสรางหรือ แ สื เสาะ ตรวจแ ทดสอ กอนเรียน ทักษะการสังเกต มีวินัย
ั หนังสือเรียนวิทยาศาสตร ลักษณะของสิ่งมีชีวิตที่ หาความรู ตรวจกิจกรรม นสมุดหรือ ทักษะการ หเหตุ ล เรียนรู
ข ป.5 เลม 1 เหมาะสมตอการดํารง 5 นแ กหัดวิทยาศาสตร ทักษะการระ ุ มุงมัน่ น
แ กหัดวิทยาศาสตร ชีวติ นแหลงทีอ่ ยูไ ด การนําเสนอ ลการทํา ทักษะการทํางาน การทํางาน
3 ป.5 เลม 1 2. สํารวจและสื คนขอมูล กิจกรรม กลุม
ชั่วโมง วัสดุ อุปกรณการทดลอง เกี่ยวกั โครงสรางหรือ สังเกตพ ติกรรมการทํางาน ทักษะการตั้ง
กิจกรรมที่ 1 ลักษณะของสิ่งมีชีวิตที่ ราย ุคคล สมมติฐาน
- PowerPoint เหมาะสมตอการดํารง สังเกตพ ติกรรมการทํางาน ทักษะการทดสอ
สมุดประจําตัวนักเรียน ชีวติ นแหลงทีอ่ ยูไ ด กลุม สมมติฐาน
. แสดงความสน จ และ สังเกตคุณลักษณะ ทักษะการ
มีความกระตือรือรน น อันพึงประสงค เปรีย เทีย
การสื คนขอมูล
T22
นการ ั ักษ ะ
่ ที่ ช ประ น ประ มน ทักษะที่
การ ร นร ัน ึ ประ
น ที่ หนังสือเรียนวิทยาศาสตร 1. อธิ ายความสัมพันธ แ สื เสาะ ตรวจกิจกรรม นสมุดหรือ ทักษะการสังเกต มีวินัย
ป.5 เลม 1 ของสิ่งมีชีวิตกั หาความรู นแ กหัดวิทยาศาสตร ทักษะสํารวจคนหา เรียนรู
แ กหัดวิทยาศาสตร สิ่งมีชวี ิต นรูปแ 5 การนําเสนอ ลการทํา ทักษะการระ ุ มุงมัน่ น
3 ป.5 เลม 1 โซอาหารและสาย ย กิจกรรม ทักษะการสรุปอาง การทํางาน
ชั่วโมง
วัสดุ อุปกรณการทดลอง อาหารได สังเกตพ ติกรรมการทํางาน ทักษะการวิเคราะห
กิจกรรมที่ 2. เขียนโซอาหาร น ราย ุคคล ทักษะการเชื่อมโยง
- PowerPoint รูปแ แ นภาพได สังเกตพ ติกรรมการทํางาน ทักษะการ
สมุดประจําตัวนักเรียน . แสดงความสน จและ กลุม เปรีย เทีย
โซอาหาร มีความกระตือรือรน สังเกตคุณลักษณะ
นการสื คนขอมูล อันพึงประสงค
น ที่ 5 แ ทดสอ กอนเรียน 1. อธิ ายการดูแลรักษา แ สื เสาะ ตรวจแ ทดสอ กอนเรียน ทักษะการสังเกต มีวินัย
ั หนังสือเรียนวิทยาศาสตร สิ่งแวดลอมได หาความรู ตรวจกิจกรรม นสมุดหรือ ทักษะการสํารวจ เรียนรู
ข ป.5 เลม 1 2. มีสวนรวม นการดูแล 5 นแ กหัดวิทยาศาสตร คนหา มุงมัน่ น
2 แ กหัดวิทยาศาสตร
ป.5 เลม 1
รักษาสิง่ แวดลอม
. ตระหนัก นคุณคา
การนําเสนอ ลการทํา
กิจกรรม
ทักษะการรว รวม การทํางาน
ขอมูล
ชั่วโมง
- PowerPoint ของสิ่งแวดลอมที่มี ตรวจ งาน เรือ่ ง การจัดการ ทักษะการ หเหตุ ล
สมุดประจําตัวนักเรียน ตอการดํารงชีวติ ของ ขยะ นโรงเรียนของเรา ทักษะการจําแนก
งาน เรื่อง การจัดการ สิ่งแวดลอม ตรวจชิ้นงาน ลงาน ประเภท
ขยะ นโรงเรียนของเรา แ จําลองแหลงที่อยูของ ทักษะการ
วัสดุ อุปกรณกิจกรรม กลุมสิ่งมีชีวิต เปรีย เทีย
สรางสรรค ลงาน สังเกตพ ติกรรมการทํางาน ทักษะการเชื่อมโยง
ราย ุคคล ทักษะการนําความ
สังเกตพ ติกรรมการทํางาน รูไป ชประโยชน
กลุม
สังเกตคุณลักษณะ
อันพึงประสงค
T23
นการ ั ักษ ะ
่ ที่ ช ประ น ประ มน ทักษะที่
การ ร นร ัน ึ ประ
น ที่ หนังสือเรียนวิทยาศาสตร 1. อธิ ายลักษณะทาง แ สื เสาะ ตรวจกิจกรรม นสมุดหรือ ทักษะการสังเกต มีวินัย
ป.5 เลม 1 พันธุกรรมที่มีการ หาความรู นแ กหัดวิทยาศาสตร ทักษะการตั้ง เรียนรู
ั แ กหัดวิทยาศาสตร ถายทอดจากพอแม 5 การนําเสนอ ลการทํา สมมติฐาน มุงมัน่ น
ัน น ป.5 เลม 1 สูลูกของมนุษยได กิจกรรม ทักษะการทดสอ การทํางาน
ั
ข น - PowerPoint 2. สํารวจและเปรีย เทีย ตรวจ งานที่ 2.5 และ 2. สมมติฐาน
สมุดประจําตัวนักเรียน เกี่ยวกั การถายทอด สังเกตพ ติกรรมการทํางาน ทักษะการทํางาน
2 กระดาษแข็งแ น หญ ลักษณะทางพันธุกรรม ราย ุคคล กลุม
ชั่วโมง งานที่ 2.5 เรื่อง ของตนเองกั คน น สังเกตพ ติกรรมการทํางาน ทักษะการวิเคราะห
การสํารวจลักษณะ ครอ ครัวได กลุม
ทางพันธุกรรมของคน . หความรวมมือ นการ สังเกตคุณลักษณะ
นครอ ครัว เรียนรู อันพึงประสงค
งานที่ 2. เรื่อง
ครอ ครัวของตนเอง
น ที่ แ ทดสอ หลังเรียน 1. อธิ ายลักษณะทาง แ สื เสาะ ตรวจแ ทดสอ หลังเรียน ทักษะการสังเกต มีวินัย
หนังสือเรียนวิทยาศาสตร พันธุกรรมที่มีการ หาความรู ตรวจกิจกรรม นสมุดหรือ ทักษะการ หเหตุ ล เรียนรู
ั ป.5 เลม 1 ถายทอดจากพอแม 5 นแ กหัดวิทยาศาสตร ทักษะการระ ุ มุงมัน่ น
ัน แ กหัดวิทยาศาสตร สูลูกของพืชได การนําเสนอชิ้นงาน ลงาน ทักษะการทํางาน การทํางาน
ข
ป.5 เลม 1 2. สํารวจและสื คนขอมูล ตรวจชิ้นงาน ลงาน กลุม
2 วัสดุ อุปกรณกิจกรรม เกี่ยวกั การถายทอด โม ายแขวนแสดงการ ทักษะการตั้ง
ชั่วโมง สรางสรรค ลงาน ลักษณะทางพันธุกรรม ถายทอดลักษณะทาง สมมติฐาน
กระดาษแข็งแ น หญ ของพืชได พันธุกรรม ทักษะการทดสอ
สมุดประจําตัวนักเรียน . มีความสน จและ สังเกตพ ติกรรมการทํางาน สมมติฐาน
กระตือรือรน นการ ราย ุคคล
เรียนรู สังเกตพ ติกรรมการทํางาน
กลุม
สังเกตคุณลักษณะ
อันพึงประสงค
T24
Chapter Concept Overview
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2
ชี ัม ัน
. ครงสราง ัก ณ องสิงมี ีวิต น ห ง ีอยู
แหลงที่อยูหรือสิ่งแวดลอมที่สิ่งมีชีวิตตาง อาศัยอยูมีหลายลักษณะ เชน แมนํ้า ปาไม ทะเลทราย ชายหาด ปาชายเลน ขั้วโลกเหนือ
โดยแหลงที่อยู นแตละแหงอาจมีสภาพแวดลอมที่แตกตางกันไป สิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตวที่อาศัยอยู น ริเวณนั้นจึงตองปรั ตัวหรือ
ปรั โครงสรางและลักษณะ หเหมาะสมกั แหลงที่อยู เพื่อการดํารงชีวิตและการอยูรอดแตกตางกันไป เชน
ป าตีน กบ ผักกร เฉ เบาบับ
อาศัยอยูที่ปาชายเลน ปลาตีนมี เปนสัตวสะเทินนํ้าสะเทิน ก ก เปนพืชทีข่ นึ้ นนํา้ จะมีนวมคลาย เปนพืชที่ขึ้นอยูตามทะเลทราย
ครี อกทีแ่ ข็งแรง เพือ่ ชเคลือ่ นที่ มีพัง ืดที่เทา ลักษณะคลายกั องนํ้ า หุ ม ลํ า ต น อยู จึ ง ทํ า ห มีลําตนอว นํ้า เพราะกักเก็
นดินเลน และวายนํ้าไดอยาง พาย ซึ่งชวย นการเคลื่อนที่ ลอยนํ้าได นํ้ า ไว และมี ร ากที่ ย าวเพื่ อ หา
คลองแคลว นนํ้า แหลงนํ้า ตดินดูดนํ้าไดมาก
T25
. การ าย อ พ ังงาน องสิงมี ีวิต
สิ่งมีชีวิตตาง ตองการพลังงานเพื่อการดํารงชีวิต กลุมสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยูรวมกัน นแตละแหลงที่อยูตางมีความสัมพันธกัน นดาน
การกินกันเปนอาหาร และมีการถายทอดพลังงานตอกันเปนทอด นรูปของโซอาหาร
อาหาร Food Chain คือ ความสัมพันธของกลุมสิ่งมีชีวิตที่มีการกินตอกันเปนทอด จาก ู ลิตสู ู ริโภค ทํา หมีการถายทอด
พลังงาน นอาหารตอเนื่องกันเปนลําดั จากการกินตอกัน สวนสาย ยอาหาร Food Web คือ โซอาหารหลาย โซ ที่มีความคา เกี่ยว
หรือสัมพันธกัน
โซอาหารเริ่มตนจากแพลงกตอนพืช Phytoplankton สาหรายสีเขียว Green Algae และพืชชนิดตาง ที่ไดรั พลังงานแสงจาก
ดวงอาทิตยมา ช นกระ วนการสังเคราะหดวยแสงเพื่อสรางอาหาร แลวสะสมนํ้าตาลไว นรูปแปงตามสวนตาง สิ่งมีชีวิตเหลานี้จึงเปน
ผูผ ติ สวนสัตวตา ง ไมสามารถสรางอาหารเองได จึงตองกินพืชหรือสัตวอนื่ เปนอาหารเพือ่ หไดพลังงาน นการดํารงชีวติ เรียกวา ผูบ ริ ค
ตัวอยาง อาหาร
T26
ักษ ะทา ัน กรรม ่ มีชี
ลักษณะทางพันธุกรรม หมายถึง ลักษณะของสิ่งมีชีวิตที่ถายทอดจากพอแมไปสูลูกได และถายทอดจากรุนหนึ่งไปยังอีกรุนหนึ่งตอไป
เรื่อย โดยลักษณะทางพันธุกรรมตาง ของสิ่งมีชีวิตจะอยู นหนวยพันธุกรรมหรือยีน Gene) ยีนคว คุม
ยีน Gene คือ หนวยพันธุกรรมที่ทําหนาที่คว คุมและ ลักษณะสีตา
ยีนคว คุมลักษณะ หนา
ถายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของสิง่ มีชวี ติ ยีนจะอยู นโครโมโซม ยีน 1 คู
ซึ่งอยูภาย นเซลลของสิ่งมีชีวิต โดยโครโมโซมแทงหนึ่งจะมียีน
อยูเ ปนจํานวนมาก และเนือ่ งจากโครโมโซมอยูก นั เปนคู ยีนทีอ่ ยู น A a
โครโมโซมจึงมีเปนคูดวย B b
ยีนแตละคูจะคว คุมลักษณะทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต
C c
ลักษณะเดียวกัน เชน ลักษณะสีตา จะถูกคว คุมดวยยีน B น
โครโมโซมแทงหนึ่ง และยีน b นโครโมโซมอีกแทงหนึ่ง ลักษณะ
สีตาทีป่ ราก ออกมาจึงขึน้ อยูก ั ยีนทีอ่ ยู นโครโมโซมทัง้ สองแทงวา
เปนยีนที่กําหนด หมีลักษณะสีตาอยางไร ดํา นํ้าตาล า โครโมโซม 1 คู
ยีนคว คุมลักษณะ หู
ยีน 1 ยีน จะคว คุมลักษณะทางพันธุกรรมเพียงลักษณะเดียว โดยยีนที่คว คุมลักษณะทางพันธุกรรมมี 2 ชนิด ไดแก
• ยีนเ น คือ ยีนที่สามารถแสดงลักษณะนั้นออกมาได แมมียีนนั้นเพียงยีนเดียว เรียกวา ัก ณ เ น เขียนแทนดวยตัวอักษรภาษา
อังก ษตัวพิมพ หญ เชน AA, Aa
• ยีน อย คือ ยีนที่สามารถแสดงลักษณะนั้นออกมาไดก็ตอเมื่อตองเขาคูกั ยีนดอยดวยกัน เรียกวา ัก ณ อย เขียนแทนดวย
ตัวอักษรภาษาอังก ษตัวพิมพเล็ก เชน aa
เราเรียกการจั คูก นั ของยีนทีค่ ว คุมการปราก ลักษณะทางพันธุกรรมวา จี น ป Genotype จะเขียนแทนดวยตัวอักษรภาษาอังก ษ
สองตัวคูกัน เชน AA, Bb, dd และเรียกการปราก ของลักษณะทางพันธุกรรมวา น ป Phenotype เชน ลักษณะการมีติ่งหู ลักษณะ
ขนสีขาว ลักษณะลําตนเปนหนาม
การถายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต สามารถสรุปได ลักษณะ ดังนี้
1 ลักษณะเดน คือ ลักษณะที่แสดงหรือปราก นทุกรุนของสิ่งมีชีวิต
2 ลักษณะดอย คือ ลักษณะที่แสดงหรือปราก น างรุนเทานั้น เพราะถูกลักษณะเดนขมไว
ลักษณะที่แปร ัน คือ ลักษณะที่แตกตางจากลักษณะของสมาชิก นครอ ครัว และสามารถถายทอดไปยังรุนตอ ไปได
เกรเกอร ย นั น เมนเ เปนนักวิทยาศาสตรคนสําคัญทีท่ าํ การศึกษาเกีย่ วกั ลักษณะทางพันธุกรรมเปนคนแรก จนไดรั การยกยอง
หเปน บิ า หงวิ าพันธุศาสตร
µÑÇÍ‹ҧ µÑÇÍ‹ҧ µÑÇÍ‹ҧ
Åѡɳзҧ¾Ñ¹¸Ø¡ÃÃÁ Åѡɳзҧ¾Ñ¹¸Ø¡ÃÃÁ Åѡɳзҧ¾Ñ¹¸Ø¡ÃÃÁ
¢Í§¤¹ ¢Í§ÊÑµÇ ¢Í§¾×ª
ÊÕ¼Á ãºËÙ ÅíÒµŒ¹
T27
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นา
2
กระ น าม น หนวยการเรียนรู ี
1. ครูใหนกั เรียนทําแบบทดสอบกอนเรียน เพือ่ วัด
ความรูเดิมของนักเรียนกอนเขาสูบทเรียน
2. ครูกระตุนความสนใจ โดยนําภาพชางที่อาศัย
สิง่ มีชวี ติ กับสิง่ แวดล้อม
อยูในปา และปลาที่อาศัยอยูตามแนวปะการัง ÊÔè§ÁÕªÕÇÔµ·Ñ駾תáÅÐÊѵǵ‹Ò§ æ ¨ÐÁÕâ¤Ã§ÊÌҧ
มาใหนักเรียนดู áÅÐÅÑ¡É Ð·Õàè ËÁÒÐÊÁã¹áµ‹ÅÐáËÅ‹§·ÕÍè ÂÙ‹ à¾×Íè ãËŒ
3. ครูตงั้ คําถามเพือ่ กระตุน ความคิดนักเรียน เชน ´íÒçªÕÇÔµáÅÐÍÂÙ‹ÃÍ´ä´Œ «Öè§ã¹áËÅ‹§·ÕèÍÂً˹Öè§ æ
ÊÔ§è ÁÕªÇÕ µÔ ¨ÐÁÕ¤ÇÒÁÊÑÁ¾Ñ¹¸«§Öè ¡Ñ¹áÅСѹ áÅÐÊÑÁ¾Ñ¹¸
าแ อ าแ าเ น ¡ÑºÊÔ§è äÁ‹ÁªÕ ÇÕ µÔ à¾×Íè »ÃÐ⪹µÍ‹ ¡ÒôíÒçªÕÇµÔ ÍÂÙ‹
อยา ÊÔ§è ÁÕªÇÕ µÔ ·Ñ§é ¾×ª ÊÑµÇ áÅÐÁ¹ØÉ àÁ×Íè à¨ÃÔÞàµÔºâµ
• าแ าม แต ตา นห อ ม àµÁ·ÕèáÅŒÇ ¨ÐÁÕ¡ÒÃÊ׺¾Ñ¹¸Øà¾×èÍà¾ÔèÁ¨íҹǹáÅÐ
´íÒçªÕÇµÔ «Ö§è ÅÙ¡·Õàè ¡Ô´ÁÒ¨Ðä´ŒÃºÑ ¡Òö‹Ò·ʹÅÑ¡É Ð
อยา ·Ò§¾Ñ¹¸Ø¡ÃÃÁ¨Ò¡¾‹ÍáÁ‹ ¨Ö§·íÒãËŒÁÅÕ ¡Ñ É Ð·Õ¤è ÅŒÒÂ
(แนวตอบ แตกตางกัน ชางอาศัยอยูบนบก ¡Ñº¾‹ÍáÁ‹ ᵋ¨Ðᵡµ‹Ò§¨Ò¡ÊÔ§è ÁÕªÇÕ µÔ ª¹Ô´Í×¹è
ใชขาในการวิ่งหรือเดิน แตปลาอาศัยในนํ้า
ใชครีบในการวายนํ้าและเคลื่อนที่)
4. ครูอ ิบายเพิ่มเติมวา จากสิ่งที่นักเรียนสังเกต
เห็น คือ โครงสรางและลักษ ะของสิ่งมีชีวิต
ที่แตกตางกันตามแหลงที่อาศัยอยู
5. ครู ถ ามคํ า ถามเพิ่ ม เติ ม ว า สาเหตุ ท่ี ทํ า ให
โครงสรางของสิ่งมีชีวิตแตกตางกัน คืออะไร
แล ว ให นั ก เรี ย นช ว ยกั น ระดมความคิ ด และ
แสดงความคิดเห็นรวมกันในการตอบคําถาม
6. ครูสุมเลือกตัวแทนนักเรียนประมา -3 คน
เพื่อตอบคําถาม เมื่อนักเรียนตอบคําถามแลว
ครูสรุปเพิ่มเติมวา สาเหตุที่ทําใหโครงสราง
และลักษ ะของสิ่งมีชีวิตแตกตางกันเปนผล
มาจากสภาพแหลงที่อยูอาศัย
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช ตัวชี้วัด
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล) 1. รรยายโครงสรางและลักษณะของสิ่งมีชีวิตที่เหมาะสมกั การดํารงชีวิตซึ่งเปน ลมาจากการปรั ตัวของสิ่งมีชีวิต นแตละแหลงที่อยู
(ม . ว . ป.5 )
2. อธิ ายความสัมพันธระหวางสิ่งมีชีวิตกั สิ่งมีชีวิต และความสัมพันธระหวางสิ่งมีชีวิตกั สิ่งไมมีชีวิต เพื่อประโยชนตอการดํารงชีวิต
(ม . ว . ป.5 2)
3. เขียนโซอาหารและระ ุ ท าทหนาที่ของสิ่งมีชีวิตที่เปน ู ลิตและ ู ริโภค นโซอาหาร (ม . ว . ป.5 )
4. ตระหนัก นคุณคาของสิ่งแวดลอมที่มีตอการดํารงชีวิตของสิ่งมีชีวิต โดยมีสวนรวม นการดูแลรักษาสิ่งแวดลอม (ม . ว . ป.5 )
5. อธิ ายลักษณะทางพันธุกรรมที่มีการถายทอดจากพอแมสูลูกของพืช สัตว และมนุษย (ม . ว . ป.5 )
6. แสดงความอยากรูอยากเห็น โดยการถามคําถามเกี่ยวกั ลักษณะที่คลายคลึงกันของตนเองกั พอแม (ม . ว . ป.5 2)
เกร็ดแนะครู
กอนเขาสูบทเรียนครูสามารถใชแบบทดสอบกอนเรียน หนวยการเรียนรู
ที่ สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดลอม จากทายแผนการจัดการเรียนรูของหนวยการเรียน
รูที่ ได เพื่อวัดความรูความเขาใจของนักเรียนกอนเรียน ดังภาพตัวอยาง
แบบทดสอบก่อนเรียน
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2
คาชี้แจง : ให้นักเรียนเลือกคาตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว
1. พืชชนิดใดมีการปรับโครงสร้างโคนก้านใบ 6. สัตว์ชนิดใดจัดเป็นผู้บริโภคพืชและสัตว์ทั้งหมด
ให้พองออกและมีโพรงอากาศจานวนมาก ก. หมี และวัว
ก. โกงกาง ข. หมู และหนู
ข. ผักตบชวา ค. หมี และจระเข้
ค. ตะบองเพชร ง. กระต่าย และเต่า
ง. บัว 7. ข้อใดกล่าวถึงหน้าที่ของเห็ดได้ถูกต้อง
2. ข้อใดกล่าวถึงหน้าที่ของหนอกอูฐได้ ก. เป็นผู้ผลิต
ถูกต้อง ข. เป็นผู้บริโภคซากสัตว์
ก. สะสมน้า ค. เป็นผู้บริโภคลาดับสุดท้าย
ข. สะสมเกลือแร่ ง. เป็นผู้ย่อยสลายซากพืชซากสัตว์
ค. สะสมโปรตีน 8. ปัญหาสิ่งแวดล้อมใดไม่ได้เกิดจากมนุษย์
ง. สะสมไขมัน ก. น้าเน่าเสีย
3. ผึ้งกับดอกบัวมีความสัมพันธ์กันแบบใด ข. ไฟไหม้ป่า
ก. แหล่งที่อยู่อาศัย ค. ภูเขาไฟระเบิด
ข. เลี้ยงดูตัวอ่อน ง. ขยะมูลฝอย
ค. แหล่งอาหาร 9. ประชากรเพิ่มขึ้นส่งผลต่อป่าไม้อย่างไร
ง. แหล่งหลบภัย ก. พื้นที่ป่าลดลง
4. ปัจจัยใดที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของสัตว์ ข. พื้นที่ป่าเพิ่มขึ้น
ก. แสง ค. การปลูกป่ามากขึ้น
ข. น้า ง. การเฝ้าระวังผู้บุกรุกป่าลดลง
ค. อากาศ 10. ปัญหาสิ่งแวดล้อมในชุมชนที่พบมากที่สุด คือ ปัญหาใด
ง. ดินและแร่ธาตุ ก. เสียงดัง
5. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับผู้ผลิตในโซ่ ข. น้าเน่าเสีย
อาหาร ค. ขยะมูลฝอย
ก. ผู้ผลิต คือ พืช และจุลินทรีย์ต่างๆ ง. การตัดไม้ทาลายป่า
ข. สร้างอาหารโดยการสังเคราะห์แสง
ค. รับพลังงานจากดวงอาทิตย์
ง. สามารถสร้างอาหารได้เอง
เฉลย 1. ข 2. ง 3. ค 4. ก 5. ก 6. ข 7. ง 8. ค 9. ก 10. ค
T28
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ น
าร น า
21
T29
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ น
าร น า
4. นักเรียนแตละคนทํากิจกรรมนําสูก ารเรียนจาก กิจกรรม
หนังสือเรียนหนานี้ แลวบันทึกลงในสมุดหรือ
ทําในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1
นําสูก ารเรียน
ÊѧࡵÀÒ¾ áŌǵͺ¤íÒ¶ÒÁ
1 2
มากับห า เตากับ ห ง นา
3 4
ผีเสือกับ อก ม ม กับ ิน
5 6
T30
นํา สอน สรุป ประเมิน
หนวยการเรียนรูที่ 2 ขัน้ น
ÊÔè§ÁÕªÕÇÔµ¡ÑºÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ าร น า
23
เกร็ดแนะครู
กอนเขาสูการทํากิจกรรมที่ 1 ครูอาจใชเกมเพื่อแบงกลุมนักเรียน โดยครู
อ ิบายใหนักเรียน งวา เกมนี้เปนเกมที่ใหนักเรียนทําตามคําสั่งที่อยูในเนื้อรอง
ของเพลง ถานักเรียนคนใดไมสามารถทําตามคําสัง่ ในเนือ้ เพลงได จะถูกลงโทษ
ดวยวิ ีการตาง กันไป เชน การเตนตามเพลง การรองเพลง หรืออื่น ตาม
ความเหมาะสม หากนักเรียนกลุมใดที่จับกลุมครบตามคําสั่งเรียบรอยแลวให
นั่งลง โดยเนื้อเพลงที่ใช มีดังนี้
มอ ายย น มอ วา เบา /มอ ายย น มอ วา
เบา /เ แ วหมุน อบตวเ า/เ แ วหมุน อบตวเ า/ อ มอ บเ า ห
บ ุม...... น
ตวอยา า ออ า อ เชน
• ใหจับกลุม คน
• ใหจับกลุม 5 คน
• ใหจับกลุม 4 คน
T31
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ น
าร น า
8. ครูเปด เรื่อง โครงสรางและลักษ ะของ
สิ่งมีชีวิตในแหลงที่อยูใหนักเรียนดู จากนั้น
Ô ÃÃ ·Õ 1 ัก กร บวนการ
างวิ ยาศาสตร ี
ถามคําถามกระตุนความคิดโดยใหนักเรียน การปรับ รงสร้างของสิงมี ีวิต 1. การสังเกต
2. การทดลอง
แตละกลุม อภิปรายและหาคําตอบรวมกัน เชน . การลงความเห็นจากขอมูล
• ห อ ตว น ม า บ า ดประสง ์ . การตีความหมายขอมูลและลงขอสรุป
5. การจัดกระทําและสื่อความหมายขอมูล
หเหมา ม บแห อยอา ย แ บ สํารวจและสื คนขอมูลเพือ่ รรยายโครงสรางหรือลักษณะของ
า อยา สิ่งมีชีวิตที่เหมาะสมกั การดํารงชีวิต นแหลงที่อยู
(แนวตอบ เชน ักตบชวาปรับโครงสรางให
ต้อง ตรียมต้อง ้
ลําตนเปนโพรง ทําใหนาํ้ หนักเบา งลอยนํา้ 2
ดดี ปลาอาศัยอยูในนํ้า งพั นาครีบแทน 1. สีไม 1 กลอง 5. ตนถั่ว หรือพืช กชนิดอื่น 1 ตน
ขา เพื่อชวยในการเคลื่อนที่ในนํ้า) 2. ตูเลี้ยงปลา หรือกะละมัง 1 1. กระดาษแข็งขนาด แ น
9. นักเรียนเขากลุมที่แบงไว จากนั้นใหรวมกัน . ตน ัก ุง ตน ักกระเฉด หรือตน ักต ชวา 1 ตน
ทํากิจกรรมที่ 1 เรื่อง การปรับโครงสรางของ . แหลงขอมูล เชน หนังสือ อินเทอรเน็ต
สิ่งมีชีวิต ตอนที่ 1- โดยศึกษาขั้นตอนการ
ทํ า กิ จ กรรมจากหนั ง สื อ เรี ย น หน า 4- 5 องทาดู µÍ¹·Õè
แลวป ิบัติกิจกรรมตามขั้นตอนใหครบถวน 1. แ งกลุม กลุมละ คน จากนั้นสังเกตลักษณะของตน ัก ุงและตนถั่ววา มีลักษณะ
จากนั้นบันทึกผลลงในสมุด หรือแบบฝกหัด แตกตางกันอยางไร แลว ันทึก ลลง นสมุด
วิทยาศาสตร ป.5 เลม 1 2. เติมนํ้าลง นภาชนะที่เตรียมไวประมาณ น สวนของความจุภาชนะ
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช . นําตน กั งุ ไปแชลง นนํา้ จากนัน้ ชมอื
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม) กดตน ัก ุง หจม นนํ้าแลวปลอยมือ
ทําซํ้า 2 ครั้ง สังเกตการเปลี่ยนแปลง
และ ันทึก ล
. หทดลองซํ้าขอ . โดยเปลี่ยนจาก
ต น ั ก ุ ง เปนต น ถั่ ว จากนั้ น สั ง เกต
การเปลีย่ นแปลงและ นั ทึก ล
T32
นํา สอน สรุป ประเมิน
หนวยการเรียนรูที่ 2 ขัน้ น
ÊÔè§ÁÕªÕÇÔµ¡ÑºÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ า ามร
1. สมาชิกแตละกลุม รวมกันอภิปรายและสรุปผล
จากการทํากิจกรรมภายในกลุม
2. นักเรียนแตละกลุมสงตัวแทนออกมานําเสนอ
µÍ¹·Õè
ผลงานของกลุมหนาชั้นเรียน โดยครูสุมจับ
1. ชวยกันสํารวจและสื คนขอมูลเกี่ยวกั สิ่งมีชีวิตที่มีโครงสรางหรือมีลักษณะที่เหมาะสม สลากเลือกหมายเลขกลุมนักเรียนทีละกลุม
กั แหลงที่อยูตาง แลว ันทึกขอมูลที่ไดจากการสื คนลง นสมุด 3. นักเรียนแตละกลุม ออกมานําเสนอผลงานหนา
2. แต ล ะกลุ ม เลื อ กสิ่ ง มี ชี วิ ต ที่ เ ปนพื ช และสั ต ว ที่ ไ ด จ ากการสื ค น มาอย า งละ 2 ชนิ ด ชั้นเรียน จากนั้นรวมกันอภิปรายและสรุปผล
โดยวาดภาพและเขียนอธิ ายลง นกระดาษแข็ง แลวตกแตง หสวยงาม เกี่ ย วกั บ การปรั บ โครงสร า งของสิ่ ง มี ชี วิ ต ที่
. นําเสนอ ลงานเพื่อแลกเปลี่ยนขอมูลภาย นชั้นเรียน เหมาะสมตอการดํารงชีวิตในแหลงที่อยู
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม)
หนูตอบ ด้
. ยกตัวอยางสิง่ มีชวี ติ นทองถิน่ ทีม่ กี ารปรั โครงสรางหรือลักษณะ หเหมาะสมกั แหลงทีอ่ ยู น น
มา 2 ชนิด พรอมอธิ ายพอสังเขป ขอ 3.
2. นักเรียนคิดวา หากพืชและสัตว างชนิดมีโครงสรางหรือลักษณะไมเหมาะสมกั แหลงทีอ่ ยู เปด เพราะเทาของเปดมีพัง ืดระหวางนิ้ว
จะเกิด ลอยางไร ขนาดให ก วาเทาของกบ ทําหนาทีโ่ บกพัดนํา้
. นักเรียนคิดวา ระหวางเปดกั ก สัตวชนิด ดสามารถวายนํ้าไดดีกวากัน เพราะอะไร ทําใหวายนํ้า ดดี
(หมายเหตุ คํา ามขอสุดทายของหนูตอบ ด เปนคํา ามที่ออกแบบให ูเรียน กใชทัก ะการคิดขั้นสูง 25 กบ เพราะเทาของกบมีพัง ืดระหวางนิ้ว โดย
คือ การคิดแบบใหเหตุ ล และการคิดแบบโตแยง ่ง ูเรียนอา เลือกตอบอยางใดอยางหน่งก ด ใหครู ทําหนาทีโ่ บกพัดนํา้ ชวยในการวายนํา้ ด และ
พิ าร า ากเหตุ ลสนับสนุน) กบมีขนาดลําตัวเลก งทําใหวายนํ้า ดดีกวา
ก กรรมที่ กร
ตา า บันทึกผลการทํากิจกรรม (ตอน ) à·¤¹Ô¤ ¤ÇÒÁ»ÅÍ´ÀÑÂ
ตัวอยาง ผลการทําขึ้นอยูกับขอมูลของสิ่งมีชีวิตที่นักเรียนสํารวจพบ
ในการทํากิจกรรมตอนที่ 1 ครูควรชี้แนะใหนักเรียนเขาใจวา หากตองการ
ม วต า ว บ เหมา มตอ า า วต สังเกตพืชเมื่อกดลงในนํ้าไดชัดเจนมากขึ้น ควรใชภาชนะใสนํ้าที่ทําใหมองเห็น
1. บัว ลําตนมีโพรงอากาศเพื่อใหลอยนํ้าได สิ่งที่อยูใตนํ้าไดรอบดาน เชน ตูปลาใส หรือโหลแกวใส จึงจะทําใหสังเกตพืช
. จิ้งจก มีสีของลําตัวกลมกลืนกับสีของผนังบาน เมื่อกดลงใตนํ้าไดชัดเจนขึ้น
3. ตนตําลึง มีมือเกาะเพื่อชวยยึดลําตน
4. ผักตบชวา ลําตนมีโพรงอากาศเพื่อใหลอยนํ้าได
5. ตักแตน มีลําตัวสีเขียวเหมือนตนหญา ใบไม
T33
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ น
า าม า
1. สมาชิกภายในแตละกลุมรวมกันศึกษาขอมูล สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู นแหลงที่อยู ด ก็ตาม จะมีการปรั โครงสรางหรือ
เกี่ยวกับโครงสรางพืชและสัตวที่เหมาะสมตอ
การดํารงชีวิตในแหลงที่อยูจากหนังสือเรียน
มีลักษณะที่เหมาะสมตอการดํารงชีวิต นแหลงที่อยูอาศัยนั้น เพื่อ หสามารถมี
หนา - จากนั้นครูสุมเลือกตัวแทนกลุม ชีวิตอยูรอดได ซึ่งพืชและสัตวตาง อาจมีโครงสรางหรือมีลักษณะที่เหมาะสม
ทุกกลุม กลุมละ 1 คน ใหออกมาสรุปเนื้อหา กั แหลงที่อยูที่แตกตางกันไป ดังนี้
ใหเพื่อนในหอง ง
ครงสราง องพื ีเหมา สมตอการ ารง ีวิต น ห ง ีอยู
แหลงที่อยูของพืชแตละแหลง มีลักษณะแตกตางกัน เชน นนํ้า น ก
ทะเลทราย ชายหาด ดังนั้น พืชที่เกิดขึ้น นแหลงที่อยูแตกตางกัน จึงมี
โครงสรางหรือมีลักษณะแตกตางกันไป เพื่อ หเหมาะสมตอการดํารงชีวิต น
แหลงที่อยูนั้น ตัวอยางเชน
ผักตบ วา กร บองเพ ร
เปนพืชที่ขึ้น นนํ้า มีโคนกาน เปนพืชที่ขึ้นตามทะเลทราย
พองออก ภาย นมีโพรง มีลําตนหนาเพื่อกักเก็ นํ้า
อากาศมาก ทํา หลําตน เปลี่ยนเปนหนามเพื่อลด
มีนํ้าหนักเ าและลอยนํ้า การคายนํ้า และมีรากแ
ไดดี กระจายไปไกลเพื่อดูดซึม
นํ้าไดมาก
ภาพที่ 2. ักต ชวา ภาพที่ 2.5 กระ องเพชร
กงกาง บัว
เปนพืชที่ขึ้นอยูตามปาชายเลน เปนพืชนํ้าที่ขึ้นอยู นดินเหนียว
มีรากคํ้าจุนตนเพื่อปองกัน และมีนํ้าทวมขังตลอดเวลา
ไม หลําตนโคนลมไดงาย มีลําตนเปนโพรงอากาศ
เมื่อมีนํ้าทะเลซัดชาย ง เพื่อ หลําตนเ าและ
หรือเมื่อนํ้าทะเลขึ้น ลง ลอยนํ้าได
T34
นํา สอน สรุป ประเมิน
หนวยการเรียนรูที่ 2 ขัน้ น
ÊÔè§ÁÕªÕÇÔµ¡ÑºÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ า าม า
2. ครูขออาสามาสมัครนักเรียน คน ใหยก
ครงสราง องสัตว ีเหมา สมตอการ ารง ีวิต น ห ง ีอยู
ตัวอยางสิ่งมีชีวิตที่มีการปรับโครงสรางและ
สัตวตา ง ทีอ่ าศัยอยู นแหลงทีอ่ ยูแ ตกตางกัน จะมีโครงสรางหรือลักษณะ ลักษ ะที่เหมาะสมตอการดํารงชีวิตในแหลง
แตกตางกัน เพื่อ หเหมาะสมตอการดํารงชีวิต นแหลงที่อยูนั้น ตัวอยางเชน ที่อยู ดังนี้
ตัก ตน บ ม • คนที่ 1 ใหยกตัวอยางพืช ตัวอยาง
เปนแมลงชนิดหนึ่งที่อาศัยอยู นตนไมและ • คนที่ ใหยกตัวอยางสัตว ตัวอยาง
ไม มีลําตัวสีเขียวและมีรูปรางเหมือน ไมท่ี 3. ครูและนักเรียนรวมกันสรุปสาระสําคัญเกีย่ วกับ
เกาะอยู การปรั บ โครงสร า งของสิ่ ง มี ชี วิ ต ให มี ค วาม
เหมาะสมตอการดํารงชีวิตในแหลงที่อยูอาศัย
ภาพที่ 2. ตักแตนพรางตัวที่ ไม เพื่อเสริมความรูที่ยังบกพรองใหมีความเขาใจ
หมี ัว ก มากขึ้น
เปนสัตวที่อาศัยอยู ริเวณขั้วโลกเหนือ ซึ่งมี 4. นักเรียนแตละคนทํากิจกรรมหนูตอบไดจาก
อากาศหนาวเย็นมาก จึงมีขนหนา ู อุงเทาหนา หนังสือเรียน หนา 5 ลงในสมุดหรือทําในแบบ
และมี ไ ขมั น สะสมอยู ต ชั้ น ิ ว หนั ง มาก ทํ า ห ฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1
ทนทานตอสภาพอากาศหนาวเย็นไดดี 5. ครูมอบหมายใหนักเรียนแตละคนนํากิจกรรม
ภาพที่ 2. หมีขาวหรือหมีขั้วโลกมีขนหนา ู พั นาการเรียนรูท ี่ 1 จากหนังสือเรียน หนา
อู ไปทําเปนการบาน โดยใหทําลงในสมุดหรือ
เปนสัตวที่อาศัย น ริเวณทะเลทราย มีขนตา ใหทําในใบงาน เรื่อง การปรับโครงสรางของ
ยาวทํา หทรายเขาตาไดยาก มีหนอกไวสะสม สิง่ มีชวี ติ ทีค่ รูแจกใหแลวนํามาสงครูในชัว่ โมง
ไขมันเพื่อดึงมา ชเวลาไมมีอาหาร มีขายาวสูง ถัดไป
จากพื้นและกี เทาแ นออกเหมาะสําหรั เดิน น (หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
ทราย และมีขนเกรียนทํา หระ ายความรอนไดดี แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล)
ภาพที่ 2.1 อูฐมีหนอกไวสะสมไขมัน
ปา
ปลาอาศัยอยู นนํ้า มีทั้งปลานํ้าจืดและปลานํ้าเค็ม
ปลามี รู ป ร า งเรี ย วยาว ลํ า ตั ว แ น เพื่ อ ห เ หมาะสม
กั การเคลื่อนที่ นนํ้า ปลาตาง ชครี และกลามเนื้อ
ลําตัว นการเคลื่อนที่ นนํ้า ครี ของปลามี 5 ชนิด คือ
ครี อก ครี ทอง ครี หลัง ครี กน และครี หาง
ภาพที่ 2.11 ปลามีครี ช นการเคลื่อนที่
2
กิ กรร st
y เกร็ดแนะครู
1. ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน แลวใหสมาชิกแตละกลุม ครูใหความรูความเขาใจนักเรียนเพิ่มเติมวา สิ่งแวดลอมที่มีความอุดม
สืบคนขอมูลสัตวเ พาะถิ่นของประเทศในกลุมสมาชิกอาเ ียน สมบูร จ ะมีสงิ่ มีชวี ติ อาศัยอยูม ากมาย เนือ่ งจากบริเว ทีม่ คี วามอุดมสมบูร จ ะ
มากลุมละ 1 ชนิด โดยมีหัวขอในการสืบคน ดังนี้ ประกอบดวยปจจัยที่ทําใหสิ่งมีชีวิตสามารถดํารงชีวิตอยูได ไดแก แหลงอาหาร
• ลักษ ะรูปรางของสัตวชนิดนั้น แหลงที่อยูอาศัย แหลงสืบพัน ุ และแหลงหลบภัย
• แหลงที่อยูอาศัยของสัตวชนิดนั้น
• โครงสรางหรือลักษ ะที่เหมาะสมกับแหลงที่อยูอาศัย
. นําขอมูลมาจัดกระทําในรูปแบบตาง ทีน่ า สนใจ พรอมตกแตง
ใหสวยงาม จากนั้นสงตัวแทนนําเสนอผลงานหนาชั้นเรียน
T35
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ รป
ร
นั ก เรี ย นแต ล ะคนสรุ ป ความรู จ ากการเรี ย น นอกจากนี้ แ ล ว นสั ต ว างชนิ ด ยั ง มี
หัวขอเรือ่ ง โครงสรางและลักษ ะของสิง่ มีชวี ติ ใน การปรั ตัว หกลมกลืนกั สิ่งแวดลอม เรียกวา
แหลงทีอ่ ยูต ามทีต่ นเขาใจ จนไดขอ สรุปรวมกันวา การพรางตัว เพื่อหลีกเลี่ยง
สิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตวมีโครงสรางและลักษ ะ
ที่เหมาะสมในแตละแหลงที่อยู ึ่งเปนผลมาจาก
การโจมตีจากศัตรู หรืออาจเปนการหลอกลอ
การปรับตัวของสิง่ มีชวี ติ เพือ่ ดํารงชีวติ และอยูร อด
หเหยื่อตาย จ เชน กิ้งกาคาเมเลียนสามารถ
ไดในแตละแหลงที่อยู
เปลี่ยนสี ิวหนังเปนสีตาง เพื่อการสื่อสาร
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใชแบบ เกี้ยวพาราสี หรือการตอสู ภาพที่ 2.12 กิง้ กาคาเมเลียน
สังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล) สวนสัตว างชนิดสามารถทําตัวเลียนแ หมีรูปรางหรือ
มีลักษณะสีสันเหมือนกั สิ่งมีชีวิตชนิดอื่น เพื่อหลอกลอ หสัตวตาง ที่เปน
ขัน้ ประ มน ูลา หเขา จ ิด เชน ีเสื้อกะทกรกธรรมดาเปน ีเสื้อที่ไมมีพิษ จึงเลียนแ
ร ลวดลายปก หคลายกั ีเสื้อหนอน รักธรรมดาที่มีพิษ เพื่อปองกันไม ห
1. ครูตรวจสอบผลการทําแบบทดสอบกอนเรียน ถูก ูลาจั กินเปนอาหาร
เพื่อตรวจสอบความเขาใจกอนเรียน
2. ครูตรวจสอบผลการทํากิจกรรมนําสูการเรียน
ในสมุดหรือในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5
เลม 1
3. ครูตรวจสอบผลการทํากิจกรรมที่ 1 เรื่อง การ
ปรับโครงสรางของสิ่งมีชีวิต ในสมุดหรือใน
แบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1 ภาพที่ 2.1 ีเสื้อหนอน รักธรรมดา ภาพที่ 2.1 ีเสื้อกะทกรกธรรมดา
ที่ า า )
4. ครู ต รวจสอบผลการทํ า กิ จ กรรมหนู ต อบได
ในสมุด หรือในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5
Ô Ãà ¹Ò ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õ 1
เลม 1 บงก ุม ก ุม 2 คน วป ิบัติ ังนี
ต ิ าพ)
5. ครูตรวจผลการทํากิจกรรมพั นาการเรียนรู 1. สื คนขอมูลเกีย่ วกั โครงสรางของพืชและสัตวที่ าพหร
อื
ที่ 1 จากในสมุดหรือในใบงาน เรื่อง การปรับ เหมาะสมตอการดํารงชีวติ นแหลงทีอ่ ยูม าอยางละ (วา
โครงสรางของสิ่งมีชีวิต 2 ชนิด ไมซํ้ากั น ทเรียน ภาพนี้ คือ.............................................................................
2. นําขอมูลมาจัดทําเปน ตั รภาพความรูด งั ตัวอยาง สิ่งมีชีวิตชนิดนี้มีโครงสรางที่เหมาะสม
กั ที่อยูอาศัย ดังนี้
. สงตัวแทนออกมานําเสนอ ลงานหนาชั้นเรียน .........................................................................................................
ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
การสื่อสาร การเกี้ยวพาราสี หรือการตอสู ดังนั้น ขอ งเปน
เกณฑ์การให้คะแนน
............./.................../..............
คําตอบที่ ูกตอง)
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 3 คะแนน ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน ............./.................../..............
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน
เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 3 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
14-15 ดีมาก
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
11-13 ดี
14-15 ดีมาก
8-10 พอใช้
11-13 ดี
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง 8-10 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
T36
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
หนวยการเรียนรูที่ 2 ขัน้ นา
ÊÔè§ÁÕªÕÇÔµ¡ÑºÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ กระ น าม น
ขัน้ น
าร น า
1. นักเรียนศึกษาเนื้อหาหัวขอความสัมพัน ใน
สิง่ แวดลอมและดูภาพ จากหนังสือเรียนหนานี้
ภาพที่ 2.15 ตัวอยางความสัมพันธ นสิ่งแวดลอม จากนัน้ ชวยกันตอบคําถามสําคัญประจําบทวา
นก ารังบนตน ม สิ่งมีชีวิตกับสิ่งไมมีชีวิตในสิ่งแวดลอมมีความ
สัมพัน กันอยางไรบาง โดยใหครูอ ิบายเสริม
ในสวนที่บกพรอง
ÊÔè § ÁÕ ªÕ ÇÔ µ áÅÐÊÔè § äÁ‹ ÁÕ ªÕ ÇÔ µ ÁÕ ( แนวตอบ สิ่ ง มี ชี วิ ต และสิ่ ง ม มี ชี วิ ต ที่ อ ยู ใ น
¤ÇÒÁÊÑ Á Ñ ¹ ¡Ñ º ÊÔ § Ç´ÅŒ Í Á สิ่งแวดลอม ะมีความสัมพันธกันในหลาย
Í‹ҧäúŒÒ§ ดาน เชน ความสัมพันธดานแหลงที่อยูอาศัย
ดานแหลงหลบ ัย และดานแหลงอาหาร)
2
ขัน้ น
าร น า
2. นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน จากนั้นครู
ทบทวนสาระสําคัญเกี่ยวกับความสัมพัน ของ
Ô ÃÃ ·Õ 2 ัก กร บวนการ
างวิ ยาศาสตร ี
สิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตใหนักเรียน งอีกครั้ง ศกษา วามสัมพัน ์ นสิง วด ้อม 1. การสังเกต
2. การลงความเห็นจากขอมูล
3. ครู เ ปด เรื่ อ ง ความสั ม พั น ร ะหว า ง . การตีความหมายขอมูลและลงขอสรุป
สิ่ ง มี ชี วิ ต กั บ สิ่ ง มี ชี วิ ต ให นั ก เรี ย นดู จากนั้ น ดประสง ์ . การจัดกระทําและสื่อความหมายขอมูล
หนวยการเรียนรูที่ 2 ขัน้ น
ÊÔè§ÁÕªÕÇÔµ¡ÑºÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ า ามร
1. นักเรียนแตละกลุม รวมกันอภิปรายและสรุปผล
จากการทํากิจกรรมภายในกลุม จากนั้นสง
ตัวแทนออกมานําเสนอผลงานของกลุมหนา
. รวมกันแสดงความคิดเห็นและสรุป ล จากนั้นนําเสนอ ลการทํากิจกรรมหนาชั้นเรียน ชั้นเรียน
เกี่ยวกั ความสัมพันธระหวางสิ่งมีชีวิตกั สิ่งมีชีวิตภาย นชั้นเรียน เพื่อเปรีย เทีย กั 2. ตั ว แทนนั ก เรี ย นแต ล ะกลุ ม ออกมานํ า เสนอ
กลุมอื่น ผลงานหนาชั้นเรียน จากนั้นรวมกันอภิปราย
และสรุปผลเกีย่ วกับความสัมพัน ข องสิง่ มีชวี ติ
µÍ¹·Õè กับสิ่งมีชีวิตในสิ่งแวดลอม
1. สื คนขอมูลเกีย่ วกั ความสัมพันธระหวางสิง่ มีชวี ติ กั สิง่ ไมมชี วี ติ แลว นั ทึก ลลง นสมุด (หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
2. สํารวจ ริเวณโรงเรียน เพื่อสังเกตความสัมพันธระหวางสิ่งมีชีวิตกั สิ่งไมมีชีวิต แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม)
. รวมกันแสดงความคิดเห็นวา ริเวณทีไ่ ดออกไปสํารวจมีความสัมพันธระหวางสิง่ มีชวี ติ กั า าม า
สิ่งไมมีชีวิตหรือไม อะไร าง จากนั้น
ชวยกัน ันทึก ล 1. สมาชิกภายในแตละกลุมชวยกันศึกษาขอมูล
. นําขอมูลที่ไดมาเขียนเปนแ น ังหรือ ความสั ม พั น ร ะหว า งสิ่ ง มี ชี วิ ต กั บ สิ่ ง มี ชี วิ ต
จากหนังสือเรียน หนา 3 -33 จากนั้นครูขอ
แ นภาพลง นกระดาษแข็ ง จากนั้ น
อาสาสมัครตัวแทนนักเรียนแตละกลุม กลุม ละ
ตกแตง หสวยงาม
1 คน ออกมาสรุปเนื้อหาที่ศึกษาใหเพื่อนใน
5. นําเสนอ ลการทํากิจกรรมหนาชั้นเรียน
หอง ง
แลวรวมกันอภิปรายและสรุป ลภาย น
2. ครูอาจสรุปความสัมพัน ระหวางสิ่งมีชีวิตกับ
ชั้นเรียน
สิ่งมีชีวิตใหนักเรียน งอีกครั้ง เพื่อใหนักเรียน
มีความเขาใจมากขึ้น
ภาพที่ 2.1 การสื คนขอมูล
หนูตอบ ด้
. สิ่งมีชีวิตกั สิ่งมีชีวิตมีความสัมพันธกันหรือไม อยางไร
2. นักเรียนคิดวา สิ่งไมมีชีวิตมีความสําคัญตอสิ่งมีชีวิตหรือไม อยางไร
. แหลงนํ้าเปนทรัพยากรธรรมชาติที่มีประโยชนตอสิ่งมีชีวิตมาก นักเรียนคิดวา แหลงนํ้า
เหมาะสําหรั ที่จะเปนแหลงอาหาร หรือเปนแหลงที่อยูของสิ่งมีชีวิต เพราะอะไร
ก กรรมที่ น น
ตา า บันทึกผลการทํากิจกรรม (ตอน ) ขอ 3.
ตัวอยาง ผลการสํารวจจะแตกตางกัน ขึ้นอยูกับบริเว ที่นักเรียนแตละกลุมสํารวจ เปนแหลงอาหาร เพราะแหลงนํา้ มีสงิ่ มีชวี ติ ทัง้ พืชและสัตวอาศัยอยูร ว มกัน
าว บ เปน าํ นวนมาก งเปนแหลงอาหารทีอ่ ดุ มสมบูร แ ละมีความหลากหลายสําหรับ
บ เว าว วาม ม น สิ่งมีชีวิตชนิดตาง
ม วต มม วต
บอบัว ตนบัว นํ้า ดิน นํ้าและดินเปนแหลงที่อยูอาศัย เปนแหลงที่อยูอาศัย เพราะพืช เชน บัว ักตบชวา หรือสัตว เชน ปลา
และแหลงอาหารของบัว หอย ลวนแตใชแหลงนํ้าเพื่อการอยูอาศัย
สระนํ้า ปลา นํ้า นํ้ า เป น แหล ง ที่ อ ยู อ าศั ย และ
แหลงอาหารของปลา
สวนผัก ผักสวนครัว แสงแดด แสงแดดใหพลังงานแกผกั ตาง
เพื่อใชสรางอาหาร
ใตดิน ไสเดือนดิน ดิน ดิ น เป น แหล ง ที่ อ ยู อ าศั ย และ
แหลงอาหารของไสเดือนดิน
ุ จากการทํากิจกรรม พบวา สิง่ มีชวี ติ กับสิง่ ไมมชี วี ติ ทีอ่ าศัยอยูร ว มกันใน
แหลงที่อยูจะมีความสัมพัน กัน โดยสิ่งมีชีวิตพึ่งพาสิ่งไมมีชีวิตเปนแหลงที่อยู
อาศัย แหลงอาหาร แหลงสืบพัน ุ และแหลงเลี้ยงดูลูกออน เพื่อการดํารงชีวิต
T39
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ น
า าม า
3. นักเรียนแตละคนทํากิจกรรมเสริมการเรียนรู 2. ความสัมพันธร หวางสิงมี ีวิตกับสิงมี ีวิต
จากใบงาน เรือ่ ง ความสัมพัน ร ะหวางสิง่ มีชวี ติ
กับสิ่งมีชีวิต จากนั้นครูและนักเรียนรวมกัน หากมีสิ่งมีชีวิตชนิดตาง ตั้งแต 2 ชนิดขึ้นไป อาศัยอยูรวมกัน นแตละ
เ ลยคําตอบในใบงานนี้ แหลงที่อยู เราเรียกวา ก ุมสิงมี ีวิต ซึ่งสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยูรวมกัน นแหลงที่อยู
4. ครูมอบหมายใหนักเรียนทุกคนไปทํากิจกรรม เดียวกันจะมีความสัมพันธกัน นหลาย ลักษณะ เพื่อประโยชนตอการดํารงชีวิต
เสริมการเรียนรูจ ากใบงาน เรือ่ ง ความสัมพัน โดยสามารถสรุปความสัมพันธได ดาน ดังนี้
ระหว า งสิ่ ง มี ชี วิ ต กั บ สิ่ ง มี ชี วิ ต ที่ บ า นของ ั น
เปนการบานและนํามาสงในชั่วโมงถัดไป
) ความสัมพันธ าน ห ง ีอยูอาศัย
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช ริเวณปาไมเปนแหลงที่อยูอาศัยของพืชตาง เชน เต็ง รัง สัก และ
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล) สัตวปาตาง เชน เสือ ชาง กวาง ลิง สวน นตนไมเปนที่อยูอาศัยของสัตว
างชนิด เชน กระรอก นก มด ึ้ง งู และยังเปนแหลงที่อยูของพืช างชนิด
ขัน้ รป เชน กา าก พลูดาง
ร
นักเรียนรวมกันสรุปความรูจากการเรียนจน
ไดขอสรุปรวมกันวา สิ่งมีชีวิตจะมีความสัมพัน
ึ่งกันและกัน เพื่อเปนประโยชนตอการดํารงชีวิต
โดยแบงความสัมพัน เปน 4 ดาน คือ ดานแหลง
ที่อยูอาศัย ดานแหลงอาหาร ดานแหลงสืบพัน ุ
ภาพที่ 2.1 กวางอาศัย นปา ภาพที่ 2.1 กระรอกเจาะ ภาพที่ 2.2 พลูดาง ชรากยึด
และเลี้ยงลูกออน และดานแหลงหลบภัย โพรงอาศัย นตนไม เกาะที่เปลือกของตนไม
ขัน้ ประ มน 2) ความสัมพันธ าน ห งอาหาร
ร แหลงอาหารของสิ่งมีชีวิตมีอยู
1. ครูตรวจสอบผลการทํากิจกรรมที่ เรือ่ ง ศึกษา ทั่วไปตามธรรมชาติ เชน ทุงหญาเปน
ความสัมพัน ในสิ่งแวดลอม ตอนที่ 1 ในสมุด แหล ง อาหารของวั ว แม นํ้ า เปนแหล ง
หรือในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1 อาหารของนกชนิดตาง กวางเปนแหลง
2. ครูตรวจผลการทํากิจกรรมในใบงาน เรื่อง อาหารของเสือ ทุงขาวโพดเปนแหลง
ความสั ม พั น ร ะหว า งสิ่ ง มี ชี วิ ต กั บ สิ่ ง มี ชี วิ ต
และใบงาน เรือ่ ง ความสัมพัน ร ะหวางสิง่ มีชวี ติ
อาหารของตักแตน
กับสิ่งมีชีวิตที่บานของ ัน ภาพที่ 2.21 วัวกินหญา นทุงหญาเปนอาหาร
32
ให้นักเรียนตอบคาถามดังนี้
1) สิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตมีความสัมพันธ์กันหรือไม่ เพื่ออะไร
ให้นักเรียน ิบัติกิ กรรม ดังนี้
1) สารว สิ่งมีชีวิตในบริเว บ้าน องนักเรียน
(วเ า ห าตอบ ากขอ สัตวใชสิ่งแวดลอมเปนแหลงเลี้ยงดู
ลูกออน ขอ สัตวหาอาหารในสิง่ แวดลอม ขอ สัตวใชสงิ่ แวดลอม
2) ให้นักเรียนบัน กชื่อ องสิ่งมีชีวิต ี่สารว ได้ งในตาราง ี่ ในใบงาน ี่
3) พิ าร า ัก ะความสัมพันธ์ องสิ่งมีชีวิต ี่สารว พบแ ะ าแนกสิ่งมีชีวิตตามความสัมพันธ์
4) นาเสนอ งานหน้าชั้นเรียน
3) ภาพนี้ คือ
ด้านแห ่ง ี่อย่อา ัย ได้แก่
ขอ งเปนคําตอบที่ ูกตอง)
มีความสัมพันธ์กันแบบใด อย่างไร
ด้านแห ่งอาหาร ได้แก่
ผีเสื้อกับดอกไม้
T40
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
หนวยการเรียนรูที่ 2 ขัน้ นา
สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม กระ น าม น
ขัน้ น
าร น า
1. นักเรียนแบงกลุม กลุม ละ 4 คน จากนัน้ รวมกัน
ภาพที่ 2.2 ปลาการตูน ภาพที่ 2.2 ปะการังเปนที่ ภาพที่ 2.25 ปารกทึ เปนที่ สนทนาแลกเปลี่ยนเรียนรูในหัวขอ สิ่งมีชีวิต
ซอนตัว นดอกไมทะเล หล ภัยของสัตวนํ้า หล ภัยจากศัตรูของสัตวปา และสิ่งไมมีชีวิตที่บานของ ัน
2. นักเรียนทํากิจกรรมเพื่อศึกษาความสัมพัน
2.2 ความสัมพันธร หวางสิงมี ีวิตกับสิง มมี ีวิต ของสิ่ ง มี ชี วิ ต กั บ สิ่ ง ไม มี ชี วิ ต ในสิ่ ง แวดล อ ม
นการดํารงชีวิตของสิ่งมีชีวิตจําเปนตองอาศัยสิ่งแวดลอมตาง ที่เปน จากกิจกรรมที่ ตอนที่ โดยศึกษาขั้นตอน
สิ่งไมมีชีวิตเพื่อการดํารงชีวิต เชน ชอากาศ นการหาย จ ชดินและหินเปน การทํ า กิ จ กรรมจากหนั ง สื อ เรี ย น หน า 31
ที่อยูอาศัยหรือเปนแหลงหล ภัย ซึ่งกลุมสิ่งมีชีวิตตาง ที่อาศัยอยูรวมกัน แลวป ิบัติกิจกรรมตามขั้นตอนใหครบถวน
นแหลงที่อยูเดียวกัน นอกจากจะมีความสัมพันธกั แหลงที่อยูอาศัยแลว ยังมี จากนั้นบันทึกผลลงในสมุด หรือแบบฝกหัด
วิทยาศาสตร ป.5 เลม 1
ความสัมพันธกั สภาพแวดลอมทางกายภาพ ดังนี้
33
กิ กรร st
y เกร็ดแนะครู
ใหนักเรียนแบงกลุมตามความสมัครใจ กลุมละ 3-5 คน แลว ครูอ ิบายวิ ีการเลนเกมบก นํ้า อากาศ ใหนักเรียน ง จากนั้นใหเลนเกม
ชวยกันระดมความคิดเกี่ยวกับความสัมพัน ระหวางสิ่งมีชีวิตกับ ประมา 4-5 ครั้ง โดยมีวิ ีการเลนเกม ดังนี้
สิ่งมีชีวิต จากนั้นวาดภาพแสดงความสัมพัน ลงในกระดาษแข็ง • ครูใหนักเรียนนั่งเปนวงกลม แลวใหรองวา บ นา อา า พรอมทั้ง
แลวชวยกันติดลงใน วเจอรบอรดและตกแตงใหสวยงาม พรอม ปรบมือเปนจังหวะไปเรื่อย
นําเสนอที่หนาชั้นเรียน โดยใหครูและเพื่อน ชวยกันเลือกกลุมที่ดี • ครูชี้นิ้วไปที่นักเรียนหนึ่งคน จากนั้นใหนักเรียนหยุดรองเพลง
ที่สุด 3 กลุม เพื่อนําไปติดโชวที่ปายนิเทศในชั้นเรียน • ครูกําหนดแหลงที่อยูอาศัย 1 แหลง เชน บก และนักเรียนที่ถูกครูชี้
ตองบอกชื่อพืชหรือสัตวที่อาศัยอยูในแหลงอาศัยที่ครูกําหนดมา 1 ชนิด
• หากนักเรียนตอบชา หรือตอบผิด ใหแยกนักเรียนคนนั้นออกมา จากนั้น
เลนเกมวนไปประมา 4-5 ครั้ง
• สําหรับนักเรียนที่ตอบชา หรือตอบผิดจะถูกลงโทษดวยวิ ีตาง ที่
สนุกสนาน เชน เตนตามเพลง หรืออื่น ตามความเหมาะสม
T41
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ น
า ามร
นักเรียนทุกกลุมรวมกันอภิปรายและสรุปผล สง
เกีย่ วกับความสัมพัน ข องสิง่ มีชวี ติ กับสิง่ ไมมชี วี ติ เปนปจจัยสําคัญ นการสรางอาหารของพืช ชวยทํา หพืชเจริญ
ในสิ่งแวดลอม เติ โตขึ้น นอกจากนี้ แสงยังมีอิทธิพลตอพ ติกรรมของสัตวตาง
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใชแบบ เชน คางคาวออกหากินตอนกลางคืนเพื่อหลีกเลี่ยงแสงและศัตรู
สังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม)
ภาพที่ 2.2 พืช ชแสงอาทิตยสรางอาหาร
า าม า ภาพที่ 2.2 สิ่งมีชีวิต ชอากาศหาย จ
1. ให นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ ม ช ว ยกั น ศึ ก ษาข อ มู ล อากาศ
ความสัมพัน ระหวางสิ่งมีชีวิตกับสิ่งไมมีชีวิต อากาศเปนปจจัยสําคัญทีม่ อี ทิ ธิพลตอการดํารงชีวติ ของสิง่ มีชวี ติ
จากหนังสือเรียน หนา 33-34 โดยเฉพาะแกสออกซิเจนที่ชวย นการหาย จของคนและสัตว สวน
2. นั ก เรี ย นทํ า กิ จ กรรมหนู ต อบได จ ากหนั ง สื อ แกสคาร อนไดออกไซดเปนปจจัย นการสรางอาหารของพืช
เรียน หนา 31 ลงในสมุดหรือทําในแบบฝกหัด
วิทยาศาสตร ป.5 เลม 1 อุณห ูมิ
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช เปนปจจัยสําคัญ นการดํารงชีวิตของสิ่งมีชีวิต ซึ่ง ริเวณที่มี
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล) อุณหภูมิเหมาะสมจะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยูมาก และอุณหภูมิยังมี
อิทธิพลตอโครงสรางหรือลักษณะของสิ่งมีชีวิต นแตละพื้นที่อีกดวย
ขัน้ รป
ร ภาพที่ 2.2 หมีขั้วโลกปรั ตัว หเหมาะสมกั แหลงที่อยู
ครูใหนักเรียนสรุปความรูจากการเรียนจนได ภาพที่ 2.2 ปลาตาง อาศัยอยู นนํ้า
ขอสรุปรวมกันวา สิ่งมีชีวิตจะมีความสัมพัน กับ
นา
สิ่งไมมีชีวิตเพื่อประโยชนตอการดํารงชีวิตดาน
เปนปจจัยสําคัญ นการดํารงชีวติ ของสิง่ มีชวี ติ ตาง รวมทัง้ เปน
แหลงที่อยูอาศัย แหลงหลบภัย และเปนปจจัยที่
แหลงที่อยูอาศัยและเปนแหลงอาหารของสัตวนํ้าและพืชนํ้าตาง
สงผลใหเกิดการปรับโครงสรางของสิ่งมีชีวิต
T42
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
หนวยการเรียนรูที่ 2 ขัน้ นา
ÊÔè§ÁÕªÕÇÔµ¡ÑºÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ กระ น าม น
ขัน้ น
าร น า
1. นักเรียนศึกษาเนื้อหา ในหัวขอการถายทอด
หมี พน ากิน ผ นกกินป า พลังงานของสิ่งมีชีวิต จากหนังสือเรียนหนานี้
2. ครูตั้งคําถามเพื่อกระตุนนักเรียน จากนั้นให
นักเรียนชวยกันอ ิบายคําตอบ โดยครูคอย
อ ิบายเพิ่มเติมในสวนที่บกพรอง เชน
า าย อ าน อ ม วต
น แว อมเ น า อ
ตุนปากเป กินหนอน ภาพที่ 2. 1 ตัวอยางการกินอาหารของสิ่งมีชีวิต (แนวตอบ เกิด ากการกินตอกันเปนทอด
าก ู ลิตสู ูบริโ ค)
อ อบ อ อาหา มอ บา
(แนวตอบ องคประกอบของหวงโ อ าหาร คือ
ู ลิตและ ูบริโ ค)
¡Òà ‹Ò·ʹ Åѧ§Ò¹ ͧÊÔ§ÁÕ ÕÇÔµ
¹ÊÔ§ Ç´ÅŒÍÁà¡Ô´ ¹ Ò¡ÍÐäÃ
35
ขัน้ น
าร น า
3. ครูใหนักเรียนดูภาพจากหนังสือเรียน หนา 35
และใหนักเรียนจําแนกสิ่งมีชีวิตในภาพออก
Ô ÃÃ ·Õ 3 ัก กร บวนการ
างวิ ยาศาสตร ี
เปน กลุมตามองคประกอบของโ อาหาร อาหาร นสิง วด ้อม 1. การสังเกต
2. การลงความเห็นจากขอมูล
คือ กลุมผูผลิตและกลุมผูบริโภค ลงในสมุด . การตีความหมายขอมูลและลงขอสรุป
(แนวตอบ กลุม ู ลิต ดแก ใบพืช ใบหมอน ดประสง ์ . การจัดกระทําและสื่อความหมายขอมูล
และ สําหรับกลุม ูบริโ ค ดแก กระตาย เขียนโซอาหารและระ ุ ท าทหนาทีข่ องสิง่ มีชวี ติ ทีเ่ ปน ู ลิต
หนอน หม หมีแพนดา ตุนปากเปด) และ ู ริโภค นโซอาหาร
4. ครูเปด เรื่อง โ อาหาร ใหนักเรียนดู
จากนั้ น ถามคํ า ถามกระตุ น ความคิ ด โดยให ต้อง ตรียมต้อง ้
นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ ม อภิ ป รายและหาคํ า ตอบ 1. สีไม 1 กลอง
รวมกัน เชน
2. แวนขยาย 1 อัน
• อาหา ม วาม า ตอ ม วตอยา
. กระดาษแข็งแ น หญ 2 แ น
(แนวตอบ โ อ าหารมีความ าํ เปนตอสิง่ มีชวี ติ
. แหลงขอมูล เชน หนังสือ อินเทอรเน็ต
เพราะโ อาหาร ะทําใหเกิดการ ายทอด
พลังงาน ากสิ่งมีชีวิตหน่ง ปยังอีกสิ่งมีชีวิต
องทาดู µÍ¹·Õè
หน่ง งทําใหสิ่งมีชีวิตมีพลังงานใชสําหรับ
การดํารงชีวิตตอ ป) 1. แ งกลุม กลุมละ คน เลือกสํารวจ ริเวณ ด ริเวณหนึ่ง นโรงเรียน โดยศึกษาวา
5. นักเรียนแบงกลุม เพื่อทํากิจกรรมที่ 3 เรื่อง มีสภาพเปนอยางไร มีสิ่ง ดอยู าง และมีปริมาณเทา ด
โ อาหารในสิ่งแวดลอม โดยศึกษาขั้นตอน 2. ันทึกชื่อ ปริมาณ และตําแหนงของ
การทํากิจกรรมจากหนังสือเรียน หนา 3 -3 สิ่งที่พ ลง นสมุด
ริเวณที่สํารวจ สวนหยอม
แลวป ิบัติกิจกรรมตามขั้นตอนใหครบถวน . วาดแ น ัง ริเวณที่ทําการสํารวจลง น
จากนั้นบันทึกผลลงในสมุด หรือแบบฝกหัด กระดาษแข็งแ น หญ โดยชวยกันวาดรูป
วิทยาศาสตร ป.5 เลม 1 หรือ ชสัญลักษณแทนสิ่งที่พ และระ ุ
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช ตําแหนงของสิ่งนั้น ดวย
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม) . นํา ลการสํารวจมานําเสนอหนาชัน้ เรียน
เกี่ยวกั สิ่งที่สํารวจพ เพื่อเปรีย เทีย
กั กลุมอื่น และสรุป ล
เกร็ดแนะครู ก กรรมที่
ตา า บันทึกผลการทํากิจกรรม (ตอน )
กอนทํากิจกรรมที่ 3 ตอนที่ 1 ครูอาจเนนยํ้าใหนักเรียนระมัดระวังไมไป ตัวอยาง ผลการสํารวจอาจแตกตางกัน ขึ้นอยูกับบริเว ที่นักเรียนสํารวจ
สํารวจบริเว ที่มีสภาพไมเหมาะสม เชน พื้นที่ปา หรือบริเว ที่หญาขึ้นรกชั
เพราะอาจไดรับอันตรายจากสัตวมีพิษได โดยครูควรดูแลนักเรียนทุกกลุมใน ม วต บ
บ เว าว
ระหวางทํากิจกรรมอยางใกลชิด เพื่อไมใหเกิดอันตรายกับนักเรียน น มา ตาแหน บ
สระนํ้า กบ ตัว บนใบบัว
สระนํ้า ปลา ตัว ในนํ้า
ขางสระนํ้า มด ตัว พื้นดินขางสระนํ้า
สระนํ้า สาหราย 3 ตัว ในนํ้า
สระนํ้า ลูกออด 1 ตัว ในนํ้า
ุ ในแตละแหลงที่อยูจะพบสิ่งมีชีวิตและสิ่งไมมีชีวิตอยูรวมกัน และในแตละ
แหลงที่อยูจะพบกลุมสิ่งมีชีวิตที่แตกตางกัน
T44
นํา สอน สรุป ประเมิน
หนวยการเรียนรูที่ 2 ขัน้ น
ÊÔè§ÁÕªÕÇÔµ¡ÑºÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ า ามร
1. นักเรียนแตละกลุม รวมกันอภิปรายและสรุปผล
จากการทํากิจกรรมภายในกลุม
2. นักเรียนแตละกลุมสงตัวแทนออกมานําเสนอ
µÍ¹·Õè
ผลงานของกลุมหนาชั้นเรียน โดยครูสุมจับ
1. สื คนขอมูลเกี่ยวกั ความสัมพันธของสิ่งมีชีวิตกั สิ่งมีชีวิต นรูปแ ของโซอาหาร แลว สลากเลือกนักเรียนทีละกลุม
รวมกันสรุปขอมูลภาย นกลุม 3. นักเรียนแตละกลุม ออกมานําเสนอผลงานหนา
2. นําขอมูลของสิ่งมีชีวิตที่สํารวจพ จากกิจกรรมตอนที่ 1 มาเขียนเปนโซอาหารแสดง ชั้นเรียน จากนั้นรวมกันอภิปรายและสรุปผล
ความสัมพันธระหวางสิ่งมีชีวิตที่อาศัย น ริเวณเดียวกันลง นกระดาษแข็งแ น หญ เกี่ยวกับโ อาหารในสิ่งแวดลอม
พรอมระ ุ ท าทหนาที่ของสิ่งมีชีวิตที่เปน ู ลิตและ ู ริโภค นโซอาหาร จากนั้น (หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
ตกแตง หสวยงาม แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม)
. นําเสนอแ นภาพโซอาหารทีเ่ ขียนไว นขอ 2. หนาชัน้ เรียน แลวรวมกันแสดงความคิดเห็น
. จัดประกวด ลงานภาย นชั้นเรียน แลวนํา ลงานไปติดที่ อรด นหองเรียนหรือ น ริเวณ
โรงเรียน เพื่อทํา หเปนแหลงการเรียนรู
¤ÇÒÁÊÑÁ¾Ñ¹¸¢Í§ÊÔè§ÁÕªÕÇÔµ¡ÑºÊÔè§ÁÕªÕÇÔµ
¢ŒÒÇâ¾´ µÑ¡áµ¹ ¹¡
ก กรรมที่ เกร็ดแนะครู
ตา า บันทึกผลการทํากิจกรรม (ตอน )
กอนทํากิจกรรมที่ ตอนที่ ครูอาจจัดกิจกรรมเสริมกอนเพื่อปูพื้น านให
หว อ า บ น อม บ น นักเรียนมีความรูความเขาใจมากขึ้นเกี่ยวกับโ อาหาร โดยใหนักเรียนเลนเกม
ความสัมพัน ของสิ่งมีชีวิต “ใครกินใคร” โดยครูเขียนชื่อสิ่งมีชีวิตบนกระดาน เชน ไก หนอน คน ตนหญา
กับสิ่งมีชีวิตในรูปของโ ผลขึ้นอยูกับขอมูลที่นักเรียนสืบคนได แลวใหนักเรียนชวยกันเรียงลําดับวาใครกินใคร แลวใหเขียนผูถูกกินไวขางหนา
อาหาร ผูกินไวขางหลัง
ตัวอยางโ อาหาร ขึ้นอยูกับดุลยพินิจของครูผูสอน
T45
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ น
า าม า
1. นักเรียนแตละกลุม รวมกันศึกษาขอมูลเกีย่ วกับ อ าหาร คือ ความสัมพันธของกลุมสิ่งมีชีวิตที่มีการกินตอกันเปนทอด
การถายทอดพลังงานของสิ่งมีชีวิตในรูปแบบ
โ อาหาร จากหนังสือเรียน หนา 3 -4 จาก ู ลิตสู ู ริโภค ทํา หมีการถายทอดพลังงาน นอาหารตอเนื่องเปนลําดั
2. ครูขออาสาสมัครนักเรียน -3 คน เพื่อออกมา จากการกินตอเนื่องกัน
ยกตัวอยางโ อาหารที่พบในบริเว บานของ
ตนเองวามีไรบาง ห า กวางกินห า สิง ตกินกวาง
3. นักเรียนแตละคนทํากิจกรรมหนูตอบไดจาก
หนังสือเรียน หนา 3 ลงในสมุดแบบฝกหัด
วิทยาศาสตร ป.5 เลม 1
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช ภาพที่ 2. ตัวอยางการกินตอเนื่องกันของสิ่งมีชีวิต นโซอาหาร
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล) นโซอาหารประกอ ดวยสิ่งมีชีวิตที่ทําหนาที่เปน ู ลิตและ ู ริโภค ดังนี้
ผูผ ิต คือ สิ่งมีชีวิตที่สรางอาหารไดเอง โดยไดรั พลังงานแสงจาก
ดวงอาทิตย แลวนําไป ช นกระ วนการสั 1
งเคราะหดวยแสงเพื่อสรางอาหารไว ช
นการดํารงชีวิต ู ลิต ไดแก สาหรายและพืชตาง เชน ขาว หญา
ผูบริ ค คือ สิ่งมีชีวิตที่ไมสามารถสรางอาหารไดเอง จึงตองกินพืชหรือ
กินสัตวอื่นเปนอาหาร เพื่อ หไดพลังงาน นการดํารงชีวิต ู ริโภคแ งออกเปน
ประเภท ไดแก
1 ู ริโภคพืช หรือสัตวกินพืช เชน หนอน ตักแตน วัว กระตาย 2
2 ู ริโภคสัตว หรือสัตวที่กินสัตวอื่น เชน สิงโต งู เสือ จระเข เหยี่ยว
ู ริโภคพืชและสัตว หรือสัตวที่กินทั้งพืชและสัตว เชน ไก เปด หมู
หนู หมี ลิง เตา คน
กร ตาย สิง ต ิง
T46
นํา สอน สรุป ประเมิน
หนวยการเรียนรูที่ 2 ขัน้ น
ÊÔè§ÁÕªÕÇÔµ¡ÑºÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ า าม า
4. ครูมอบหมายใหนักเรียนแตละคนนํากิจกรรม
การเขียนโซอาหารเพื่อแสดงการถายทอดพลังงานของสิ่งมีชีวิตจะเริ่ม
พั นาการเรียนรูที่ จากหนังสือเรียนหนานี้
โดยเขียน ู ลิตอยูขางหนาและ ู ริโภคอยูขางหลังตอกันไปเรื่อย เริ่มจาก ไปทํ า เป น การบ า น โดยให ทํ า ลงในสมุ ด
ู ริโภคลําดั ที่ 1 และตอไปเรือ่ ย จนถึง ู ริโภคลําดั สุดทาย นโซอาหารนัน้ แลวนํามาสงในชั่วโมงถัดไป
ซึ่งจะเขียนหัวลูกศรชี้ไปทาง ู ริโภคและหางลูกศรอยูทาง ูถูก ริโภคเสมอ เชน (หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล)
อาหารสาย ี
ขัน้ รป
ร
นั ก เรี ย นแต ล ะคนสรุ ป ความรู จ ากการเรี ย น
ไม ู ลิต กวาง ู ริโภคลําดั ที่ 1 เสือ ู ริโภคลําดั สุดทาย จนไดขอสรุปรวมกันวา โ อาหารมีความสําคัญ
อยางมากตอสิ่งมีชีวิต เพราะโ อาหารทําใหเกิด
อาหารสาย ี 2
การถายทอดพลังงานที่จําเปนตอการดํารงชีวิต
ของสิง่ มีชวี ติ จากสิง่ มีชวี ติ หนึง่ ไปอีกสิง่ มีชวี ติ หนึง่
อาหารสาย ี
อาหารสาย ี 2
า าร
T47
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ ประ มน
ร
1. ครู ต รวจสอบผลการทํ า กิ จ กรรมที่ 3 เรื่ อ ง
นักเรียนจะเห็นวา นโซอาหารไมวา จะสายสัน้ หรือยาว ทุก หวงโซอาหาร
โ อ าหารในสิ่ ง แวดล อ ม ในสมุ ด หรื อ ใน
แบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1 ตองมีสิ่งที่เหมือนกัน คือ ตองเริ่มตนจาก ู ลิต พืช เสมอ แลวจึงถายทอด
2. ครูตรวจสอบผลการทํากิจกรรมหนูตอบไดใน พลังงานจาก ู ลิตไปสู ู ริโภคตอเนื่องกันไปเปนลําดั
สมุ ด หรื อ ในแบบฝกหั ด วิ ท ยาศาสตร ป.5 นอกจากนี้แลว นโซอาหารยังมีสิ่งมีชีวิตที่เปน ู ริโภคซากสัตว ซึ่งเปน
เลม 1 สัตวที่กินสัตวท่ีตายแลวเปนอาหาร เชน แรง ไสเดือนดิน กิ้งกือ และยังมี
3. ครู ต รวจสอบผลการทํ า กิ จ กรรมพั นาการ สิ่ ง มี ชี วิ ต ขนาดเล็ ก ซึ่ ง ทํ า หน า ที่ ย อ ยสลายซากพื ช ซากสั ต ว ที่ ต ายแล ว ห
เรียนรูที่ ในสมุด
กลายเปนแรธาตุคืนสูดิน เรียกวา ผูยอยส าย เชน แ คทีเรีย เห็ด รา
วันนี้อิ่มทอง
แลวเรา
เจาหนอน อยากหมํ่า
เสร็จฉันแน นกจังเลย
ไมนากินจัง
ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
บทบาทเปน ูยอยสลายในโ อาหาร ดังนั้น ขอ งเปนคําตอบ
เกณฑ์การให้คะแนน
............./.................../..............
ที่ ูกตอง)
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 3 คะแนน ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน ............./.................../..............
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน
เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 3 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
14-15 ดีมาก
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
11-13 ดี
14-15 ดีมาก
8-10 พอใช้
11-13 ดี
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง 8-10 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
T48
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
หนวยการเรียนรูที่ 2 ขัน้ นา
ÊÔè§ÁÕªÕÇÔµ¡ÑºÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ กระ น าม น
41
T49
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ น
าร น า
1. ครูใหนักเรียนแตละกลุมสนทนาแลกเปลี่ยน มนุษยเปนสวนหนึ่งของสิ่งแวดลอม โดยมนุษยตองพึ่งพาสิ่งแวดลอม
เรียนรูในหัวขอ ปญหาสิ่งแวดลอมในทองถิ่น
นการดํารงชีวิต เพราะสิ่งที่มนุษยนํามา ชสําหรั การดํารงชีวิตลวนมาจาก
ของเรา โดยใหบันทึกขอมูลลงสมุด จากนั้น
อภิปรายและสรุปรวมกัน
ทรัพยากรธรรมชาติและสิง่ แวดลอมทัง้ สิน้ เมือ่ จํานวนประชากรเพิม่ มากขึน้ ความ
2. ครูใหตัวแทนแตละกลุมนําเสนอผลสรุปของ ตองการ นการ ชทรัพยากรก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นตามไปดวย
กิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรูใหนักเรียนคนอื่น Ô Ãà ¹Ò ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õ 3
ง เมื่อครบทุกกลุมครูตั้งคําถามวา ปญหา ห บงก ุม ก ุม คน ว ห ต ก ุมพิจารณาปร ากร ย
สิ่งแวดลอมที่พบในทองถิ่นสวนใหญจะเปน พืน ีปา ยเปรียบเ ียบกัน วรวมกันอ ิปราย สรุปผ วา นว นมจานวน
ปญหาเกี่ยวกับอะไร โดยใหนักเรียนชวยกัน
อภิปรายและสรุปรวมกัน
ปร ากร ยกับพืน ีปา ม อง ยเปนอยาง ร เพรา เหตุ จงเปนเ นนัน
(แนวตอบ ป หาสิ่งแวดลอมที่พบสวนให คือ ป (พ.ศ.) จานวนปร ากร ย (คน) พืน ีปา (ตร.กม.) คิ เปน
ขยะ นํ้าเสีย และการตัดตน ม) 2551 1 2 1 1.25 1.5
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช 255 5 12 1 1 22 5 . 31.62
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม) 255 5 2 1 2 2 1. 1.
3. ครูอ ิบายเสริมเพิ่มเติมวา ปญหาสิ่งแวดลอม 255 5 1 55 1 2 1 5. 1.5
ในโรงเรี ย นจะมี ลั ก ษ ะที่ ค ล า ยกั บ ป ญ หา ีมา ขอมูลจํานวนประชากรไทย จากสํานักทะเ ยี นกลาง กรมการปกครอง ณ วันที่ 1 ธ.ค. พ.ศ. 255 กระทรวงมหาดไทย
สิ่งแวดลอมในทองถิ่นของนักเรียน คือ ปญหา ขอมูลพื้นที่ปาไม จากกรมปาไม . . .
เกี่ยวกับขยะ ดังนั้น เราจึงควรทํากิจกรรม จากการทํากิจกรรมจะพ วา จากอดีตถึงปจจุ ันประชากรไทยมีจํานวน
ที่เกี่ยวกับการจัดการปญหาขยะในโรงเรียน เพิ่มมากขึ้นทุกป ขณะเดียวกันพื้นที่ปาไมของเมืองไทยแตละปกลั ลดนอยลง
ของเราเชนกัน
แสดง หเห็นวา เมื่อมีประชากรเพิ่มมากขึ้นตองมีการ ชทรัพยากรมากขึ้น
4. นักเรียนแตละกลุมรวมกันทํากิจกรรมพั นา
การเรียนรูที่ 3 จากนั้นบันทึกผลลงในสมุด
จึ ง มี ลทํ า ห พื้ น ที่ ป าลดลง
1 เพราะพื้ น ที่ ส ว น หญ ถู ก นํ า ไป ช ส ร า งอาคาร
แลวสรุปผลรวมกันภายในกลุม านเรือน ถนน เขื่อน และอื่น ปาไมจึงถูกทําลายไป นอกจากนี้ยังมี
5. ครูมอบหมายใหนกั เรียนแตละกลุม ทํากิจกรรม การนําตนไมไป ชประโยชน นครัวเรือนและอุตสาหกรรมมากขึ้น จึงทํา ห
การจัดการขยะในโรงเรียน จากใบงาน เรื่อง สิ่งแวดลอมเสื่อมโทรม และสง ลกระท ตอการดํารงชีวิตของสิ่งมีชีวิตตาง
การจัดการขยะภายในโรงเรียนของเรา
T50
นํา สอน สรุป ประเมิน
หนวยการเรียนรูที่ 2 ขัน้ น
สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม าร น า
ทรัพยากรธรรมชาติและสิง่ แวดลอม 6. ครูเปด เรื่อง การอนุรักษสิ่งแวดลอม ให
นแตละทองถิ่นอาจมีลักษณะแตกตาง นักเรียนดู แลวใหนกั เรียนศึกษาเนือ้ หาเพิม่ เติม
จากหนังสือเรียนหนานี้ จากนั้นใหนักเรียน
กันไป โดยขึ้นอยูกั ปจจัยหลายประการ
รวมกันสรุปความรูเ รือ่ งการอนุรกั ษสงิ่ แวดลอม
ซึ่ ง ทรั พ ยากรธรรมชาติ มี ด ว ยกั น หลาย 7. ครูมอบหมายใหนักเรียนแตละกลุมรวมกันทํา
ประเภท ถึงแมวา างอยางจะสามารถ กิจกรรมพั นาการเรียนรูท ี่ 4 จากหนังสือเรียน
หมุนเวียนกลั มา ช หมไดอีก แตตอง หนา 44
ชระยะเวลาที่นานมาก หากมนุษยตางมี (หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
ความตองการที่จะนําทรัพยากรเหลานั้น ภาพที่ 2. ทรัพยากรปาไมและแมนํ้า แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม)
มา ชประโยชนแตขาดความระมัดระวัง ก็อาจจะสง ลเสียตามมาได
จากกิจกรรมการเรียนรูที่ านมาทํา หเราทรา วา ทรัพยากรธรรมชาติ
และสิ่งแวดลอมมีประโยชนตอการดํารงชีวิตของสิ่งมีชีวิตมากมาย ดังนั้น
เราทุกคนจึงตองชวยกันสรางจิตสํานึกที่ดี นการรักษาทรัพยากรธรรมชาติและ
สิ่งแวดลอม นทองถิ่น ซึ่งสามารถป ิ ัติได เชน
1 สรางจิตสํานึกของคน นชุมชน หรักและหวงแหนทรัพยากรธรรมชาติ และ
ตระหนักถึงความสําคัญของทรัพยากรวา มีความสัมพันธกั สิ่งแวดลอม นทองถิ่น
2 ชวยกันเ าระวังและคอยดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม นทองถิ่น
อยา ห ครมาทําลาย เชน ชวยกันสอดสองไม ห ครมา ุกรุกปา
ชวยกันรักษาและไม ุกรุกพื้นที่ปาไม ตลอดจนชวยกันปลูกปาเพื่อทํา หเกิด
ความสมดุลของธรรมชาติ
T51
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ น
า ามร
1. ครูจับสลากเลือกหมายเลขกลุมใหออกมานํา Ô Ãà ¹Ò ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õ 4
เสนอผลการทํากิจกรรมพั นาการเรียนรูท่ี 3
และ 4 โดยให นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ ม เลื อ กส ง บงก มุ ว ห ต ก มุ รวมกันคิ โครงการ .....................................................................................................
ตัวแทนออกมานําเสนอ 1- คน ครงการ ู รัก า รัพยากรธรรม าติ จุดประสงคของโครงการ ............................................................
2. นักเรียนแตละกลุมออกมานําเสนอผลการทํา สิง ว อม น อง ิน องตนเอง .............................................................................................................................
กิจกรรมหนาชั้นเรียนตามลําดับ โดยครูคอย มาก ุม ครงการ (สามาร ป ิบัติ ระยะเวลา นการป ิ ัติ ................................................................
.............................................................................................................................
เสริมในสวนที่บกพรอง จริง) วบัน ก อมู ตามตัวอยาง .............................................................................................................................
3. นักเรียนทุกกลุม รวมกันสรุปผลการทํากิจกรรม จากนันผ ั กันนาเสนอ ครงการ ลที่คาดวาจะไดรั .........................................................................
T52
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ น
ÊÃØ» ÊÒÃ ÊÒ
»ÃШíÒº··Õè 1 า าม า
3. นั ก เรี ย นเขี ย นสรุ ป ความรู เ กี่ ย วกั บ เรื่ อ งที่ ไ ด
ม้ เชน พืช
บนต้น ใช
สร้างอา ้แสงแ เรียนมาจากบทที่ 1 ในรูปแบบตาง เชน
ํารัง
เ ป น ห นาม กท หาร ด
ล่ียน
ใบ รอ หญ้า ด แผนผังความคิด แผนภาพ ลงในสมุด
รเป ้า ในทุง
วัว กระ
พช หญ สัตว์ใช้ออก
ซิเจน (หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
งเ กิน ต้น ม้
เช น
หา
ูกบน
้ี ย ง ล
บอ
างมีรา
ก ค้ํา จุ น แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล)
กงก เล
ยใ
กระ
ปลาอาศัยอย
มให้ล้มงาย 4. นักเรียนแตละคนศึกษาแผนผังความคิด
จ
ูใ น น
นก
ง กั น ในปะการัง ้ ํา
ปอ นตัว มดทํารังอย
ซอ ูใ น ด สรุปสาระสําคัญ ประจําบทที่ 1
า ิน
ปล
จากหนังสือเรียนหนานี้ เพื่อตรวจสอบกับการ
สิ่งมีชีวิตกับส เขียนสรุปความรูที่นักเรียนทําไวในสมุด
่ิงมี ช ส่ิงมีชีวิตกับ
พืช
้
ส ั ต ว์ ตก ั แตนพรางตวั ท่ี ใบ
ม ีวิ ต
ส่ิง มมีชีวิต
อฐู
มี
คร หน
ก วส
งส
ั ธ์
้ ะสม ขมนั
ลอ้ ม
รา้ ง วด น
มพ
ชีว และล สั
ส่งิ
าม
มี
ิต ใ กั
นแ ษณะขอ คว สงิ่ แ
หลง ง ใน
ท่อ
ี ยู
มฐ ว ป ป
สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม
ควา ั ของ
สง่ิ แวมสาํ คญ
าน ดล้อม แ น ว
การ ายทอดพลงั ง
ิ
ี วี ต
ของสิง่ มช
ทา
มีประ ยชน์ตอก
ง กา
ของสิ่งมีชีวิตตา ารดําร
ง ง
รดูแล
คว ซอาหาร คอื
ชี ว
ยก ามสม
คญ
ิ
ี วี ต
ั ั ธ์ของส่งิ มช
ารกน พน สาํ
ิต
ั
ด
แู
เชน สร รด
า้ งจิตสาํ นกในกา
ขาว ตั๊กแตน ไก งู
แทน
ปลก
ู ตน ู ปา่ ทด
้ ม้ ปลก
45
T53
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ น
า าม า
กิจกรรม ··Õ 1
5. นั ก เรี ย นทํ า กิ จ กรรมฝกทั ก ษะบทที่ 1 จาก
หนังสือเรียน หนา 4 -4 ขอ 1- ลงในสมุด
ฝกทักษะ
หรือทําในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1 . เ ือกสังเกตสิงมี ีวิต น าพ 5 นิ วสืบคนวาสิงมี ีวิต นิ นันมี ครงสราง
6. ใหนกั เรียนแตละคนทํากิจกรรมทาทายการคิด หรือ ัก ณ ีเหมา สมกับ ห ง ีอยูอ าศัยอยาง ร
ขั้นสูง จากแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล)
น ก กรรม กทักษะ
ขอ 1. เชน
) อู อาศัยในทะเลทราย มีขายาว มีหนอก
สะสม ขมัน มีขนตายาวปองกัน ุนทรายเขาตา เตา ก เตาทะเล
) ปลา อาศัยในนํ้า มีครีบ ชนิด ชวยใน
เคลื่อนที่และวายนํ้า 1 โครงสรางของเตา กและเตาทะเลมีความแตกตางกันอยางไร
) บัว อาศัยในนํ้า ลําตน ะกลวงและมีโพรง 2 เตา กและเตาทะเลมีโครงสรางที่เหมาะสมกั แหลงที่อยูของตนเองอยางไร
อากาศ ทําใหลอยนํ้า ด
) เสื อ อาศั ย ในป า มี ล วดลายของสี ข นที่ . พิจารณา าพความสัมพันธ องสิงมี วี ติ กับสิงมี วี ติ ว ร บุวา เปนความสัมพันธ
กลมกลืนกับบริเว ที่อยูอาศัย ร หวางสิงมี ีวิต เปนความสัมพันธ น าน
) เปด อยูบนบกและในนํ้า มีพัง ืดที่เทา ทําให 1 2 3
วายนํ้า ด
ขอ 2.
) เตาบก มีกระดองขนาดให โคง และมี
นํ้าหนักมาก รวมทั้งมีเทาที่ มมีพัง ืดระหวางนิ้ว
สวนเตาทะเลมีกระดองเปนเกลดรูปทรงรีหรือรูป
46
หัวใ ปกคลุมรางกาย ขาทั้งสี่ขางมีลัก ะแบน
คลายพาย
st
) เตาบก มีกระดองขนาดให โคง และมีนํ้าหนักมาก รวมทั้งมีเทาที่ มมี กิ กรร y
พัง ืดระหวางนิ้ว ง มสามาร ใชวายนํ้า ด หัวและขาสามาร หดเขา ปใน 1. ครูแบงกลุมใหนักเรียน กลุมละ 3-5 คน
กระดอง ด สวนเตาทะเลมีกระดองเปนเกลดปกคลุมรางกายทําใหเหมาะกับการ . ใหนกั เรียนแตละกลุม ชวยกันออกแบบและสรางแบบจําลองความ
วายนํ้า แตทั้งหัวและขาของเตาทะเล มสามาร ที่ ะหดเขา ปในกระดอง และ สัมพัน ของสิ่งมีชีวิตกับสิ่งไมมีชีวิต โดยเลือกใชวัสดุอุปกร ใด
ขาทั้งสี่ขางมีลัก ะแบนคลายพายเพื่อชวยในการวายนํ้าใหดียิ่งข้น โดยขาคู ก็ไดที่กลุมชวยกันพิจาร า
หนาใชในการ ลักดันและพุยนํ้า สวนคูหลังใชกําหนดทิศทาง 3. นักเรียนแตละกลุมชวยกันนําเสนอผลงานที่หนาชั้นเรียน แลว
ขอ 3. รวมกันสรุปความสัมพัน ข องสิง่ มีชวี ติ กับสิง่ ไมมชี วี ติ ในชัน้ เรียน
) ้งกับตน ม เปนความสัมพันธดานที่อยูอาศัย
) วัวกับห า เปนความสัมพันธดานแหลงอาหาร
) ปลาการตูนกับดอก มทะเล เปความสัมพันธดานที่อยูอาศัยและแหลง
หลบ ัย
T54
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ น
า าม า
7. นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน จากนั้น
ศึกษากิจกรรมสรางสรรคผลงานจากหนังสือ
. ู าพความสัมพันธร หวางสิงมี ีวิตกับสิง มมี ีวิต วตอบวาสิง คือสิงมี ีวิต เรียน หนา 4 โดยครูมอบหมายใหไปทํานอก
สิง คือสิง มมี ีวิต มีความสัมพันธกันอยาง ร ชั่วโมงเรียน แลวนํามาสงในชั่วโมงเรียนตอไป
พรอมนําเสนอหนาชั้นเรียน
1 2 3 (หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม)
ขัน้ รป
ร
1. ครูใหนักเรียนสรุปความรูจากการเรียนจนได
5. สังเกต าพสิงมี ีวิต ีกาหน ห วเ ียน อาหารมา 5 สาย ขอสรุปรวมกันวา สิ่งแวดลอมมีความสําคัญ
เปนอยางมากตอการดํารงชีวิตของสิ่งมีชีวิต
เมื่ อ สิ่ ง แวดล อ มเกิ ด การเปลี่ ย นแปลงจึ ง ส ง
ผลกระทบต อ สิ่ ง มี ชี วิ ต โดยสาเหตุ ที่ ทํ า ให
ก งู เหยี่ยว
สิ่งแวดลอมเกิดการเปลี่ยนแปลงนั้นสวนใหญ
มาจากมนุษย ดังนั้น เราจึงควรดูแลรักษา
สิง่ แวดลอมเพือ่ ใหเกิดความสมดุลใน รรมชาติ
T55
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ รป
ร
·Ñ¡ÉÐáË‹§ÈµÇÃÃÉ·Õè
2. นักเรียนดูตารางตรวจสอบตนเอง จากหนังสือ ✓การสื่อสาร ✓ ความรวมมือ การแกปญหา
เรี ย นวิ ท ยาศาสตร หน า 44 จากนั้ น ถาม ✓การสรางสรรค ✓ การคิดอยางมีวิจารณญาณ
นักเรียนเปนรายบุคคลตามรายการขอ 1-5 ✓การ ชเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
แน ก ร ดแ ะ ระเ น กิ กรร า า
ครูสามารถวัดและประเมินผลชิ้นงาน/ผลงานแบบจําลองแหลงที่อยูอาศัย 1. ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4-5 คน แลวชวยกันเลือก
ของกลุมสิ่งมีชีวิตที่สรางขึ้น โดยศึกษาเก ประเมินผลงานจากแบบประเมิน สิ่งมีชีวิต จากนั้นทําเปน โ อาหารและสายใยอาหาร
ผลงาน/ชิ้นงานที่แนบมาทายแผนการจัดการเรียนรูของหนวยการเรียนรูที่ ลงในกระดาษแข็ง ขนาด 4 คนละ 3 ชิ้น แลวตกแตงให
สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดลอม ดังภาพตัวอยาง สวยงาม
. สมาชิกแตละคนในกลุมนํา ของตนเองมารวมกัน
การประเมินชิ้นงาน/ภาระงาน (รวบยอด) (แผนฯ ที่ 5)
ฉ)
แบบประเมินผลงานแบบจาลองที่อยู่อาศัยของกลุ่มสิ่งมีชีวิต
เกณ การประเมินผลงานแบบจาลองที่อยู่อาศัยของกลุ่มสิง่ มีชีวิต (แผนฯ ที่ 5)
คาอ ิบายระดับคุณภาพ/ระดับคะแนน
แลวจัดทําเปน
รายการประเมิน
วันวิทยาศาสตรของโรงเรียน
รวม เหมา สมกับการสร้าง เหมา สมกับการสร้าง เหมา สมกับการสร้าง
ชิ้นงานดมาก ชิ้นงานด ชิ้นงาน
ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน 3. ความ ูกต้องของ าแนกกลุ่มพืชออกเ น าแนกกลุ่มพืชออกเ น าแนกกลุ่มพืชออกเ น
............./.................../.............. เนื้อ า กลุ่มพืชดอก แล กลุ่มพืช กลุ่มพืชดอก แล กลุ่มพืช กลุ่มพืชดอก แล กลุ่มพืช
ม่มดอก ด้ถูกต้อง ม่มดอก ด้ถูกต้องบ้าง ม่มดอก ด้ถูกต้องน้อ
ครบถ้วน
4. การสร้างสรรค ตกแต่งชิ้นงาน ด้สว งาม ตกแต่งชิ้นงาน ด้สว งาม ตกแต่งชิ้นงาน ด้สว งาม
ชิ้นงาน ดมาก ด น้อ
5. กา นดเวลาส่งงาน ส่งชิ้นงาน า ในเวลา ่ ส่งชิ้นงานช้ากว่ากาหนด ส่งชิ้นงานช้ากว่ากาหนด
กาหนด วัน เกิน 3 วันข้น
เกณ การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14-15 ดีมาก
11-13 ดี
8-10 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
T56
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นา
กระ น าม น
1. นักเรียนสังเกตภาพหนาบทที่ ลักษ ะทาง
º··Õè ·Ò ¹ ÃÃ ÊÔ Õ ÕÇÔµ พั น ุ ก รรมของสิ่ ง มี ชี วิ ต จากหนั ง สื อ เรี ย น
ศัพทนารู วิทยาศาสตร ป.5 เลม 1 หนานี้ จากนัน้ นักเรียน
คําศัพท คําอาน คําแปล แสดงความคิดเห็นรวมกันวา ภาพนี้เกี่ยวของ
heredity ฮิ'เร็ด-ดิทิ พันธุกรรม กับลักษ ะทางพัน ุกรรมอยางไร โดยใหครู
hair color แฮ 'คัลเลอ สีผม คอยเสริมขอมูลในสวนที่บกพรอง
heredity skin color สกิน 'คัลเลอ สีผิว 2. ครูถามนักเรียนเพื่อกระตุนความคิดวา
• น า นม บา เหมอน บ อ
แ แม
(แนวตอบ เชน ลัก ะเสน ม สี ม เหมือน
skin color พอแม ลัก ะหนังตาบนเหมือนแม ลัก ะ
มูกเหมือนพอ)
3. นักเรียนรวมกันเรียนรูคําศัพทที่เกี่ยวของกับ
การเรี ย นในบทที่ โดยครู ข ออาสาสมั ค ร
นักเรียน 1 คน เปนผูอานนําและใหนักเรียน
hair color ทั้งหองอานตาม
¨Ò¡ÀÒ¾
Å¡ÁÕÅѡɳР´ºŒÒ§
·Õà Á͹¡Ñº
? ¾‹ÍáÅÐáÁ‹
นกเร นค รรู
นักเรียนเรียนรูและฝกอานคําศัพทวิทยาศาสตร ดังนี้
า าอาน าแ
ิ เร็ด-ดิทิ พัน ุกรรม
กิน คัลเลอ สีผิว
แ คัลเลอ เสนผม
T57
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นา
กระ น าม น
4. นักเรียนแบงกลุม กลุมละ -3 คน จากนั้น กิจกรรม
แตละกลุมรวมกันทํากิจกรรมนําสูการเรียน
โดยอานสถานการ จากหนังสือเรียนหนานี้
นําสูก ารเรียน
แล ว ทํ า กิ จ กรรมโดยให ว าดภาพลงในสมุ ด ÊÔ§ÁÕ ÕÇÔµ·ÕÍ‹º¹ Å¡¹ÕÁÕ ÅÒ ¹Ô´ §ÊÔ§ÁÕ ÕÇÔµ µ‹ÅÐ ¹Ô´ ÐÁÕÅѡɳРµ¡µ‹Ò§¡Ñ¹ÍÍ¡ä
พรอมเขียนบรรยายลักษ ะที่มีการถายทอด ÁŒÊÔ§ÁÕ ÕÇÔµ ¹Ô´¹Ñ¹ Ðà ¹ÊÔ§ÁÕ ÕÇÔµ ¹Ô´à´ÕÂǡѹ¡µÒÁ ·Ñ§¹Õ à ¹ ÅÁÒ Ò¡¡Òà ‹Ò·ʹÅѡɳзҧ
จากพอแมสูรุนลูก หรือทําลงในแบบฝกหัด ѹ ¡ÃÃÁ ͧÊÔ§ÁÕ ÕÇÔµ µ‹ÅÐ ¹Ô´
วิทยาศาสตร ป.5 เลม 1 เพื่อนํามาอภิปราย
และสรุปคําตอบรวมกันในชั้นเรียน ¨ÃÔ§ æ ´ŒÇÂ
·ÒäÁ §ÁÕÊÕà´ÕÂÇ
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช ¡Ñ¹à ÃÍ à ÃÒÐ ÅÒ´¡ÁÕ¡Òà ‹Ò·ʹ
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม) ÅÒ´¡ §¹Ñ¹ÁÕÊÕ Åѡɳзҧ ѹ ¡ÃÃÁ ҡ˹
ÅÐà Ëҧ¤ÅŒÒ¡ѹ ‹Í Á‹Ê‹Ã‹¹Å¡Âѧä§Å‹Ð
·¡µÑÇàÅÂ
ʹÑ
1
ÅÒ´¡
´Í¡ºÑÇ
2
´Í¡´ÒÇ¡ÃШÒÂ
T58
นํา สอน สรุป ประเมิน
หนวยการเรียนรูที่ 2 ขัน้ น
ÊÔè§ÁÕªÕÇÔµ¡ÑºÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ าร น า
1
1. Òà Ò· ·Ò ¹ Ãà ÊÔ Õ ÕÇÔµ 1. ครูนาํ ภาพสุนขั พัน ตุ า ง มาใหนกั เรียนสังเกต
แลวรวมกันอภิปราย ดังนี้
สิ่งมีชีวิตทั้งพืช สัตว และมนุษย เมื่อเจริญเติ โตเต็มที่จะมีการสื พันธุ า า นุ ตว เ น อ นุ ตว
เพื่อเพิ่มจํานวนและดํารงพันธุ โดยลูกที่เกิดมาจะไดรั การถายทอดลักษณะทาง น เ ยน เ ต า วา ุน ตวนน
พันธุกรรมจากพอและแม ทํา หมีลักษณะทางพันธุกรรมที่เฉพาะแตกตางจาก เ น อ ุน ตว
สิ่งมีช2ีวิตชนิดอื่น3ไดชัดเจน เชน คน นแตละครอ ครัว สุนัขที่ตางสายพันธุ 2. ครูอ บิ ายใหนกั เรียน ง วา สิง่ มีชวี ติ แตละชนิด
มดดํากั มดแดง ดอกมะลิกั ดอกพุด มีลกั ษ ะเ พาะทีท่ าํ ใหมองเห็นความแตกตาง
ระหวางพวกหรือกลุมไดชัดเจน เชน คนใน
ครอบครัวมนุ ย ครอบครัว มว แตละครอบครัว มากับวัว เปดกับปลา
3. ครูใหนกั เรียนศึกษาขอมูลและดูภาพในหนังสือ
เรียนหนานี้ จากนั้นครูใหนักเรียนตอบคําถาม
วา
• น เ ยนม เหมอนห อแต ตา
า อ บแมบา
(แนวตอบ ข้นอยูกับคําตอบของนักเรียน ให
กุห าบตนเ ียวกัน ครอบครัวสุนั อยูในดุลยพินิ ของครู ูสอน)
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล)
51
T59
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ น
าร น า
4. ครูใหนกั เรียนแบงกลุม กลุม ละ 3-4 คน จากนัน้
ชวยกันศึกษากิจกรรมที่ 1 เรื่อง ลักษ ะทาง
Ô ÃÃ ·Õ 1 ัก กร บวนการ
างวิ ยาศาสตร ี
พัน ุกรรม จากหนังสือเรียน หนา 5 -53 โดย ักษ ะทางพัน กรรม 1. การสังเกต
2. ลงความเห็นจากขอมูล
ใหศึกษาขั้นตอนการทํากิจกรรม แลวป ิบัติ . การตีความหมายขอมูลและลงขอสรุป
กิจกรรมตามลําดับใหครบถวน จากนั้นบันทึก ดประสง ์ . การจัดกระทําและสื่อความหมายขอมูล
พอ แม
ลูก
ลักษณะทีล่ กู ไดรั จากพอและแม คือ
……………………………………………..
ภาพที่ 2. การนําเสนอหนาชั้นเรียน
52
เกร็ดแนะครู ก กรรมที่
ตา า บันทึกผลการทํากิจกรรม (ตอน )
ครูอาจใหความรูความเขาใจกับนักเรียนเพิ่มเติมกอนการทํากิจกรรมวา
ลักษ ะที่คลายคลึงพอแม คือ ลักษ ะของนักเรียนที่เกือบเหมือนหรือละมาย หว อ า บ น อม บ น
กับพอแม เชน รูปรางหนาตา สีผิว สีผม หนังตาบน สันจมูก 1. ขอมูลการถายทอด
ลักษ ะทางพัน ุกรรม ผลขึ้นอยูกับขอมูลที่นักเรียนสืบคนได
ของมนุษย
. ลักษ ะของตนเองที่ ลักษ ะที่คลายคลึงกับพอ ไดแก .......................
คลายคลึงกับพอแม
ลักษ ะที่คลายคลึงกับแม ไดแก .......................
ลักษ ะที่คลายคลึงกับพอและแม ไดแก .........
T60
นํา สอน สรุป ประเมิน
หนวยการเรียนรูที่ 2 ขัน้ น
ÊÔè§ÁÕªÕÇÔµ¡ÑºÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ า ามร
1. นักเรียนแตละกลุม รวมกันอภิปรายและสรุปผล
จากการทํากิจกรรมภายในกลุม
µÍ¹·Õè 2. ครูจบั สลากสุม เลือกตัวแทนนักเรียนแตละกลุม
1. หแตละกลุมสื คนขอมูลเกี่ยวกั การถายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของสัตว จากนั้น ออกมานําเสนอผลงานของกลุมหนาชั้นเรียน
รวมกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกั การถายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของสัตวจาก ทีละกลุม
3. นักเรียนแตละกลุม ออกมานําเสนอผลงานหนา
รุนพอแมสูรุนลูกและรุนหลาน แลว ันทึก ล
ชัน้ เรียนจนครบ จากนัน้ นักเรียนทุกคนรวมกัน
2. สังเกต ัตรภาพรุนพอแมของสัตว แลวนําความรูที่ไดจากการสื คนขอมูลมาเขียน
อภิ ป รายและสรุ ป ผลเกี่ ย วกั บ การถ า ยทอด
แ นภาพแสดงการถายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของสัตว น ัตรภาพจากรุนพอแมถึง
ลักษ ะทางพัน ุกรรมของสิ่งมีชีวิต
รุนหลานลง นกระดาษแข็งแ น หญ พรอมตกแตง หสวยงาม
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
. นําเสนอ ลงานหนาชัน้ เรียน จากนัน้ รวมกันอภิปรายและสรุป ลการทํากิจกรรมหนาชัน้ เรียน
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม)
า าม า
การ าย อ ัก ณ างพันธุกรรมจากเ สืบพันธุ องสุนั
รุนพอแม
AA
X
aa
ยีนคว คุมสีขนของสุนัข
มี 2 แอลลีล คือ
แทน แอลลีลของขนสุนัขสีนํ้าตาล
1. สมาชิกแตละกลุม ชวยกันศึกษาเนือ้ หาเพิม่ เติม
เกี่ยวกับการถายทอดลักษ ะทางพัน ุกรรม
แทน แอลลีลของขนสุนัขสีดํา
เซลลสื พันธุ A A a a
รุนลูก
ของสิ่งมีชีวิตจากหนังสือเรียน หนา 54
Aa Aa Aa Aa
เซลลสื พันธุ A a A a
รุนหลาน
AA Aa Aa aa 2. ครู อ ิ บ ายความรู เ พิ่ ม เติ ม ให นั ก เรี ย น ง ว า
ลักษ ะทางพัน ุกรรมของสิ่งมีชีวิตจะอยูใน
ยีน ึ่งยีน คือ หนวยพัน ุกรรมที่ทําหนาที่
ควบคุมและถายทอดลักษ ะทางพัน ุกรรม
ของสิ่งมีชีวิต ยีนจะอยูบนโครโมโ ม ึ่งอยู
ภาพที่ 2.5 การนําเสนอแ นภาพแสดงการถายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของสัตว ภายในเ ลลของสิ่งมีชีวิต โดยโครโมโ มแทง
หนูตอบ ด้ หนึ่ง จะมียีนอยูเปนจํานวน และเนื่องจาก
โครโมโ มอยูกันเปนคู ยีนที่อยูบนโครโมโ ม
. ยกตัวอยางลักษณะทางพันธุกรรมของมนุษยที่สามารถถายทอดจากพอแมมาสูลูกได
จึงมีเปนคูดวย
5 ลักษณะ
3. ครูใหนักเรียนแตละคนทํากิจกรรมหนูตอบได
2. นักเรียนมีลักษณะทางพันธุกรรม างอยางที่แตกตางจากพอและแมไดหรือไม อยางไร จากหนังสือเรียนหนานี้ ลงในสมุดหรือทําใน
. ยกตัวอยางลักษณะทางพันธุกรรมของสัตวที่ถายทอดจากพอแมมาสูลูกได ลักษณะ แบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1
. นักเรียนคิดวา พี่นองที่เกิดจากพอแมเดียวกันจะตองมีหนาตาที่คลายคลึงกันหรือไม (หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
เพราะเหตุ ด แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล)
(หมายเหตุ คํา ามขอสุดทายของหนูตอบ ด เปนคํา ามที่ออกแบบให ูเรียน กใชทัก ะการคิดขั้นสูง 53
คือ การคิดแบบใหเหตุ ล และการคิดแบบโตแยง ่ง ูเรียนอา เลือกตอบอยางใดอยางหน่งก ด ใหครู
พิ าร า ากเหตุ ลสนับสนุน)
ก กรรมที่ น น
ตา า บันทึกผลการทํากิจกรรม (ตอน ) ขอ 4.
หว อ า บ น อม บ น มีหนาตาคลายคลงกัน เพราะ ดรบั การ า ยทอดลัก ะทางพันธุกรรมมา
ากพอและแมคนเดียวกัน
การถายทอดลักษ ะทาง มีหนาตา มคลายคลงกัน เพราะพีน่ อ งคนใดคนหน่งอา ดรบั การ า ยทอด
ผลขึ้นอยูกับขอมูลที่นักเรียนสืบคนได
พัน ุกรรมของสัตว ลัก ะทางพันธุกรรมบางลัก ะมา ากรุนปู ยา ตา ยาย ด
T61
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ รป
ร
ครูสุมนักเรียนตามเลขที่ 5- คน ใหออกมา ัก ณ างพันธุกรรม หมายถึง ลักษณะของสิ่งมีชีวิตที่ถายทอดจาก
อ บิ ายความรูเ กีย่ วกับลักษ ะทางพัน กุ รรมของ
สิ่งมีชีวิต จากนั้นใหนักเรียนทั้งหองรวมกันสรุป พอแมไปสูลูกได และถายทอดจากรุนหนึ่งไปยังอีกรุนหนึ่งตอไปเรื่อย เชน
ความรูจนไดขอสรุปวา ลักษ ะทางพัน ุกรรม ลักษณะหนังตา นของมนุษย ลักษณะสีดอกของพืช ลักษณะ หูของสัตว
คือ ลักษ ะของสิ่งมีชีวิตที่สามารถถายทอดจาก สิ่งมีชีวิตตาง สามารถถายทอดลักษณะทางพันธุก1รรมไปสูลูกหลานได
พอแมไปสูลูกได และถายทอดจากรุนหนึ่งไปสูอีก ลักษณะทางพันธุกรรมทีส่ ง า นจากพอแมไปสูล กู จะอยู นยีน ซึง่ เปนสารประกอ
รุนหนึ่งตอไปเรื่อย เชน ลักษ ะสีผิวของมนุษย ที่คว คุมการถายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต ทํา หลูกที่เกิดมา
ลักษ ะขอบใบของพืช ลักษ ะใบหูของสัตว
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใชแบบ
มีลักษณะ างอยางเหมือนกั พอแม โดยสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันจะมีลักษณะที่
สังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล) เหมือนกันหรือคลายคลึงกัน ตัวอยางเชน
ขัน้ ประ มน
ร
ครูตรวจสอบการทํากิจกรรมนําสูการเรียนใน
สมุด หรือตรวจผลการทํากิจกรรมนําสูก ารเรียน 2
ภาพที่ 2.51 พี่นอง าแ ด ภาพที่ 2.52 เปด ภาพที่ 2.5 ตนกลวยหอม
ในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1
ครู ต รวจสอบผลการทํ า กิ จ กรรมที่ 1 เรื่ อ ง
ลักษ ะทางพัน ุกรรม ในสมุดประจําตัวหรือ
ในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1
ครู ต รวจสอบผลการทํ า กิ จ กรรมหนู ต อบได
ในสมุดประจําตัวหรือแบบฝกหัดวิทยาศาสตร
ภาพที่ 2.5 พี่นอง ภาพที่ 2.55 หมีโคอาลา ภาพที่ 2.5 ตน ีเสื้อ
ป.5 เลม 1
การถายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต สรุปได ลักษณะ ดังนี้
1) ัก ณ เ น คือ ลักษณะที่ปราก นทุกรุนของสิ่งมีชีวิต
2) ัก ณ อย คือ ลักษณะที่ปราก หเห็นเฉพาะ างรุนเทานั้น เพราะถูก
ลักษณะเดนขมเอาไว
3) กั ณ ี ปรผัน คือ ลักษณะทีแ่ ตกตางจากลักษณะของสมาชิก นครอ ครัว
และสามารถถายทอดไปยังรุนตอ ไปได
54 ที่ า า )
T62
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
หนวยการเรียนรูที่ 2 ขัน้ นา
ÊÔè§ÁÕªÕÇÔµ¡ÑºÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ กระ น าม น
1. ครูสมุ เลือกนักเรียนชายและหญิง อยางละ 1 คู
. การ าย อ ัก ณ างพันธุกรรม องมนุ ย ใหออกมาหนาชั้นเรียน จากนั้นใหนักเรียน
ถาเราสังเกตลักษณะของคนรอ ตัว จะเห็นวามีลักษณะ างอยาง รวมกันสังเกตเพื่อนที่ยืนอยูหนาหอง
คลายคลึงกันและมีลักษณะ างอยางแตกตางกัน จึงทํา หคนแตละคนนั้น 2. ครูกระตุน ความสนใจของนักเรียนกอนทีจ่ ะเขา
มีลักษณะเฉพาะที่ไมเหมือนกั คร ซึ่งลักษณะที่แตกตางกันของคนแตละคน สูบ ทเรียน โดยตัง้ คําถามกระตุน ความคิด ดังนี้
เปนลักษณะที่ไดรั การถายทอดมาจาก รรพ ุรุษ โดยลูกจะไดรั การถายทอด น เ ยน วา เ อน ยนอยหนา นม า
หนาตา าย นห อ ม เ า เหตุ
ลักษณะจากพอแม ซึ่งพอไดรั การถายทอดลักษณะมาจากปูและยา สวนแม
(แนวตอบ มคลายคลงกัน เพราะเพื่อน มใช
ไดรั การถายทอดลักษณะมาจากตาและยาย ลูกที่มีพอแมเดียวกัน)
การถายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของมนุษย ทํา หเราและคนอื่น าเ อน ยนอยหอ ม อแม นเ ยว น
สามารถทรา ไดวาเราเปนลูกของพอแม เพราะเรามีลักษณะ างอยางเหมือน เ อน ยนอยหนาหอ ม า หนาตา
พอแม เชน มี หนาเหมือนแม มี ิวคลํ้าและมีรูปรางสูงเหมือนพอ าย นห อ ม
(แนวตอบ เหมือนกัน)
ครอ ครัวสุขสอน ครอ ครัวสีเมือง า นอ ม อแม นเ ยว น ม า
หนาตาแต ตา น ห อ ม เ า อ
(แนวตอบ ด เพราะอา ดรับลัก ะทาง
พันธุกรรมบางอยางมา ากปู ยา ตา ยาย
ปูเอก ยานิด ตาตูน ยายเล็ก หรือคนในรุนอื่น )
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล)
ขัน้ น
าร น า
พอเดน อาแตว ปาเกด แมแกว นาไก
1. ครูอ ิบายเพิ่มเติมใหนักเรียนเขาใจวา มนุษย
เมื่ อ เติ บ โตเข า สู วั ย เจริ ญ พั น ุ จะสามารถ
สืบพัน ุออกลูกหลานได ลูกหลานที่ดํารงพัน ุ
ตอไปจะไดรับการถายทอดลักษ ะจากพอ
นองเกง แมและบรรพบุรุษ เชน ลักษ ะเสนผม สีผม
ภาพที่ 2.5 แ นภาพแสดงการถายทอดลักษณะทางพันธุกรรม างอยางของครอ ครัวนองเกง ลักษ ะหนังตาบน ความสูง สีผิว สีตา
เชน นองเกงมีลักษณะจมูกและหนังตา นคลายแมแกว แตมีลักษณะ หูคลายพอเดน 55
ขัน้ น
าร น า
2. นักเรียนทําใบงาน เรื่อง การสํารวจลักษ ะ
ทางพัน กุ รรมของคนในครอบครัว โดยสํารวจ
ตัวอยาง การถายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของมนุษย
ตนเองวา มีลกั ษ ะใดบางทีเ่ หมือนกับสมาชิก
คนอื่น ในครอบครัว แลวบันทึกผลลงใน
ใบงาน
า ามร มหยิกหยักศก มเหยียดตรง หนังตา นชั้นเดียว หนังตา นสองชั้น
1. ครูใหนักเรียนแตละคนออกมานําผลการทํา
ใบงาน เรือ่ ง การสํารวจลักษ ะทางพัน กุ รรม
ของคนในครอบครัวที่หนาชั้นเรียนตามลําดับ
เลขที่จนครบทุกคน
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช หอลิ้นได หอลิ้นไมได มีติ่งหู ไมมีติ่งหู
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล)
2. ครูอ ิบายเพิ่มเติมใหนักเรียนเขาใจวา แมวา
เรากับสมาชิกในครอบครัวของเราจะมีลกั ษ ะ
บางอยางเหมือนกัน แตทุกคนก็จะมีลักษ ะ
เ พาะตัวที่แตกตางจากคนอื่นที่ทําใหเรารูวา 1
เราเปนใคร และมีลักษ ะอยางไร เชน ตัวเรา มีลักยิ้ม ไมมีลักยิ้ม หัวแมมืองอน หัวแมมือไมงอน
และพี่นองของเรามีลักษ ะบางอยางที่คลาย
กับพอแม แตจะมีบางอยางทีแ่ ตกตางกัน ทัง้
ที่เปนพี่นองจากพอแมเดียวกัน ความแตกตาง
นี้เรียกวา ความแปรผันทางพัน ุกรรม
มีขวัญเดียว มีสองขวัญ แนว มทีห่ นา ากแหลม แนว มที่หนา ากตรง
ภาพที่ 2.5 ตัวอยางลักษณะทางพันธุกรรมของมนุษย
àà ÇԷ¹ÒÃÙŒ
2
โรคบางโรคสามารถถ่
3 ายทอดทางพันธุกรรมได้ เช่น โลหิตจาง เบาหวาน ตาบอดสี
ชักกระตุก ฮีโมฟเลีย (โรคเลือดไม่แข็งตัว) มะเร็งบางชนิด
56
T64
นํา สอน สรุป ประเมิน
หนวยการเรียนรูที่ 2 ขัน้ น
ÊÔè§ÁÕªÕÇÔµ¡ÑºÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ า าม า
นกเร นค รรู
1 เ เ อ ย นน เมนเ เปนนักบวชชาวออสเตรีย ึ่งไดทําการศึกษา
เกีย่ วกับการถายทอดลักษ ะทางพัน กุ รรมเปนคนแรกของโลก จนไดรบั ยกยอง
วาเปน บ าแห ว า น ุ า ต
2 แอ คือ รูปแบบของยีนทีแ่ สดงออกในแบบตาง ของลักษ ะ
ทางพัน ุกรรมหนึ่ง เชน ยีนควบคุมลักษ ะทางพัน ุกรรมสีตาของแมวชนิด
หนึ่งมียีนที่เปนแอลลีลกัน รูปแบบ คือ แอลลีลที่แสดงตาสีนํ้าตาลกับแอลลีล
ที่แสดงตาสีดําในดวงตาของแมวชนิดนั้น
แน ก ร ดแ ะ ระเ น
ครูสามารถสังเกตพ ติกรรมของนักเรียนจากการตอบคําถาม การทํางาน
รายบุคคล การทํางานกลุม และการนําเสนอผลการทํากิจกรรมหนาชั้นเรียนได
โดยศึกษาเก การวัดและประเมินผลที่แนบทายแผนการจัดการเรียนรูของ
หนวยการเรียนรูที่ สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดลอม
T65
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นา
กระ น าม น
ครูนาํ ภาพตัวอยางครอบครัวสัตว 1 ชนิด มาให
นักเรียนสังเกต เชน ครอบครัวสุนัข โดยมีพอ แม
.2 การ าย อ ัก ณ างพันธุกรรม องสัตว
และลูกสุนัข จากนั้นสุมเลือกนักเรียนเพื่อตอบ การถายทอดลักษณะทางพันธุกรรมนอกจากจะมี นมนุษยแลว สิ่งมีชีวิต
คําถาม ดังนี้ ชนิดอื่น เชน พืช สัตว ก็มีการถายทอดลักษณะทางพันธุกรรมเชนเดียวกัน
บา ุน บ า าย อ ซึ่งสัตวแตละชนิดยอมเกิดมาจากสัตวชนิดเดียวกัน และลูกของสัตวเหลานั้น
า น ุ ม า อ ุน ก็จะมีลักษณะหลาย อยางที่คลายคลึงกั พอและแมของมัน
บา ุน บ า าย อ
สัตวชนิดเดียวกันจะมีลักษณะทางพันธุกรรมคลายคลึงกัน เชน สีขน
า น ุ ม า แม ุน
บา ุน มแต ตา า อ ลักษณะของขน หู เทา สีตา ทั้งนี้ เนื่องจากลักษณะเหลานี้มีการถายทอด
แ แม ุน จาก รรพ ุรุษสูรุนลูกรุนหลาน ตัวอยางเชน
(แนวตอบ ข้นอยูกับดุลยพินิ ของครู ูสอน) การ าย อ ัก ณ างพันธุกรรมจากเ สืบพันธุ องกร ตาย
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
ยีนคว คุมสีขนของกระตาย
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล) มี 2 แอลลีล คือ
รุนพอแม X
แทน แอลลีลของขนกระตายสีดํา
แทน แอลลีลของขนกระตายสีขาว
ขัน้ น เซลลสื พันธุ
าร น า
1. นักเรียนศึกษาขอมูลในหัวขอ การถายทอด รุนลูก
ลักษ ะทางพัน ุกรรมของสัตว จากหนังสือ
เรียน ป.5 เลม 1 หนา 5 -5 เซลลสื พันธุ
2. ครูใหนกั เรียนแบงกลุม แบบคละความสามารถ
เกง คอนขางเกง ปานกลาง ออน จากนั้น
รุนหลาน
มอบหมายให นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ ม ไปสื บ ค น
ข อ มู ล การถ า ยทอดลั ก ษ ะทางพั น ุ ก รรม
จากเ ลลสืบพัน ุของสัตวมากลุมละ 1 ชนิด
จากแหลงขอมูลตาง
• นรุนลูก หากกระตายมีลูก ตัว รุนลูกจะปราก ลักษณะเดนทุกตัว
3. นักเรียนแตละกลุมรวมกันสรุปขอมูล จากนั้น ซึ่งขนสีดํา คือ ลักษณะเดน
นําขอมูลมาเขียนเปนแผนผังแสดงลักษ ะ • หากกระตาย นรุนลูก สมกัน กระตายรุนหลานจะปราก เปนสัดสวนของ
การถายทอดลักษ ะทางพัน ุกรรมจากเ ลล ลักษณะเดนตอลักษณะดอย 1 นกรณีนี้ คือ ขนสีดํา ตัว และขนสีขาว 1 ตัว
สืบพัน ุของสัตวลงในกระดาษแข็งแผนใหญ 5
พรอมตกแตงใหสวยงาม
T66
นํา สอน สรุป ประเมิน
หนวยการเรียนรูที่ 2 ขัน้ น
สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม า ามร
นักเรียนแตละกลุม ออกมานําเสนอผลงานหนา
จากแ นภาพตัวอยาง ทํา หทรา วา กระตาย นรุนลูกจะปราก ลักษณะ
ชั้นเรียนจนครบ จากนั้นใหนักเรียนทุกคนรวมกัน
ขนสีดําที่เปนลักษณะเดนทั้งหมด สวน นรุนหลานจะปราก กระตายขนสีดํา อภิปรายและสรุปผลเกีย่ วกับลักษ ะการถายทอด
ลักษณะเดน ตัว และกระตายขนสีขาว ลักษณะดอย 1 ตัว ซึง่ ลักษณะเหลานี้ ทางพัน ุกรรมจากเ ลลสืบพัน ุของสัตวตาง ที่
ถายทอดมาจากยีน ทีม่ แี อลลีลแสดงรูปแ ของยีนนัน้ อยู นเซลลสื พันธุ แตละกลุมเลือกสืบคนมา
ของพอกระตายและแมกระตายนั่นเอง (หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใชแบบ
สังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม)
ตัวอยาง การถายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของสัตวชนิดตาง
า าม า
1. สมาชิกในแตละกลุมชวยกันศึกษาตัวอยาง
การถายทอดลักษ ะทางพัน ุกรรมของพืช
ชนิดตาง จากหนังสือเรียนหนานี้
2. ครูใหนักเรียนศึกษาการถายทอดลักษ ะทาง
พัน ุกรรมของสัตวเพิ่มเติมจากสื่อ
โดยใหนักเรียนใชโทรศัพทสอง ที่
ภาพที่ 2. นกฮูก ภาพที่ 2. 1 แกะ
หนังสือเรียน หนา 5 จากนั้นใหรวมกันสรุป
ความรูที่ศึกษารวมกัน
ขัน้ รป
ร
ครูใหนักเรียนรวมกันสรุปความรูเกี่ยวกับการ
ถายทอดลักษ ะทางพัน ุกรรมของสัตว โดยให
ภาพที่ 2. 2 โลมา ภาพที่ 2. กระตาย ยกตัวอยางลักษ ะที่สัตวสามารถถายทอดได
àà ÇԷ¹ÒÃÙŒ คนละ 1 ลักษ ะ
1
การโคลน ( ) คือ การสร้างสิงมีชีวิตขนมา หม่ โดยการนาเอาตัวกาหนด
ขัน้ ประ มน
ลัก ะทางพันธุกรรม นเ ลลจากสิงมีชีวิตต้นแบบมากระตุ้น ห้เจริ พันธุ เพือสร้าง ร
สิงมีชีวิต หม่ขนมา งสิงมีชีวิต หม่นีจะมีลัก ะทางพันธุกรรมเหมือนสิงมีชีวิตทีเ น
ต้นแบบทุก ระการ 1. ครูตรวจสอบผลการเขียนแผนผังแสดงลักษ ะ
การถายทอดลักษ ะทางพัน ุกรรมจากเ ลล
สืบพัน ุของสัตวจากกระดาษแข็งแผนใหญ
การ ายท ก ทาง ธกรร งสตว 5 2. ครูตรวจผลการทําใบงาน เรื่อง การถายทอด
ลักษ ะทางพัน ุกรรมของสัตว
T67
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นา
กระ น าม น
1. ครูสนทนากับนักเรียนเกี่ยวกับการถายทอด
ลักษ ะทางพัน กุ รรมของมนุษยและสัตวทไี่ ด
. การ าย อ ัก ณ างพันธุกรรม องพื
เรียนผานมาจากชั่วโมงที่ผานมา พืชเปนสิง่ มีชวี ติ ทีม่ กี ารถายทอดลักษณะทางพันธุกรรมเชนเดียวกั มนุษย
2. ครูกระตุนความสนใจของนักเรียน โดยนํา และสัตว โดยลักษณะทางพันธุกรรมของพืชแตละชนิดที่ไดรั 1 ถายทอดมาจาก
ตัวอยางตนกุหลาบและดาวเรืองมาใหนกั เรียน รุน รรพ ุรุษ เชน โครงสรางลําตน สีของดอก รูปรางของ ความสูงของตน
สั ง เกต จากนั้ น สุ ม เลื อ กนั ก เรี ย นเพื่ อ ตอบ จะมีการถายทอดจากรุนพอแมไปสูรุนลูกและรุนหลานตอไปเรื่อย ตัวอยางเชน
คําถาม ดังนี้
ุห าบ บ าวเ อ ม ายนอ เ า การ าย อ ัก ณ างพันธุกรรมจากเ สืบพันธุ องพื
เ ต เหมอน นห อแต ตา น อยา ยีนคว คุมความสูงของพืช
(แนวตอบ แตกตางกัน เชน กุหลาบมีลําตน รุนพอแม X มี 2 แอลลีล คือ
เปนหนาม มีใบกวาง และมีดอกสีแดง แต T แทน แอลลีลความสูงของพืช
ดาวเรืองลําตน มเปนหนาม ใบมีลัก ะ TT แทน แอลลีลความเตีย้ ของพืช
เปนแขนงเลก และมีดอกสีเหลือง) เซลลสื พันธุ T T
า น ุ ม ุ ห าบ ามา
าย อ ห บ ุน ุนห านนา มอ
บา ลูกรุนที่ 1
(แนวตอบ ลําตนเปนหนาม มีใบกวาง และ
ดอกมีกลิ่นหอม)
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช เซลลสื พันธุ T T
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล)
3. ครูใหคาํ ชมเชยนักเรียนทีต่ อบคําถาม แลวมอบ
ลูกรุนที่ 2
รางวัลหรือของขวัญใหเปนกําลังใจ
TT
T68
นํา สอน สรุป ประเมิน
หนวยการเรียนรูที่ 2 ขัน้ น
สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม าร น า
1. นักเรียนศึกษาขอมูลในหัวขอ การถายทอด
จากแ นภาพตัวอยาง ทํา หทรา วา พืช นลูกรุนที่ 1 จะปราก ลักษณะ
ลั ก ษ ะทางพั น ุ ก รรมของพื ช และแผนผั ง
ตนสูงโดยเปนลักษณะเดนทั้งหมด สวน นลูกรุนที่ 2 จะปราก ตนสูงที่เปน การถายทอดลักษ ะทางพัน ุกรรมจากเ ลล
ลักษณะเดน ตน และตนเตี้ยที่เปนลักษณะดอย 1 ตน ซึ่งลักษณะเหลานี้ถูก สืบพัน ุของพืช จากหนังสือเรียน ป.5 เลม 1
ถายทอดมาจากยีนที่อยู นเซลลสื พันธุของรุนพอแมของพืชชนิดนั้น หนา - 1
2. นักเรียนจับกลุมเดิม จากนั้นครูมอบหมายให
ตัวอยาง การถายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของพืชชนิดตาง นักเรียนแตละกลุมไปสืบคนขอมูลเกี่ยวกับ
การถายทอดลักษ ะทางพัน ุกรรมจากเ ลล
สืบพัน ุของพืช 1 ชนิด จากแหลงขอมูลตาง
3. นักเรียนแตละกลุมรวมกันสรุปขอมูล จากนั้น
นําขอมูลมาเขียนเปนแผนผังแสดงลักษ ะ
ภาพที่ 2. กะหลํ่าปลี ภาพที่ 2. 5 ขาวโพด ภาพที่ 2. ดาวเรือง การถายทอดลักษ ะทางพัน ุกรรมจากเ ลล
สืบพัน ุของพืชลงในกระดาษแข็งแผนใหญ
พรอมตกแตงใหสวยงาม
า าม า
1
ภาพที่ 2. ัก ุง ภาพที่ 2. กลวยไม ภาพที่ 2. กุหลา 1. นักเรียนแตละกลุม รวมกันอภิปรายและสรุปผล
จากการทํากิจกรรมภายในกลุม
กิจกรรม สรุปความรูป ระจําบทที่ 2 2. ครูจบั สลากสุม เลือกตัวแทนนักเรียนแตละกลุม
ตรวจสอบตนเอง ออกมานําเสนอผลงานของกลุมหนาชั้นเรียน
หลังเรียนจ ทนี้แลว หนักเรียน อกสัญลักษณที่ตรงกั ระดั ความสามารถของตนเอง ทีละกลุม
3. นักเรียนแตละกลุม ออกนําเสนอผลงานหนาชัน้
เกณ
รายการ ี พอ ควรปรับปรุง
เรียนจนครบ จากนั้นใหนักเรียนทุกคนรวมกัน
อภิ ป รายและสรุ ป ผลเกี่ ย วกั บ ลั ก ษ ะการ
1. เขา จเนือ้ หาเกีย่ วกั ลักษณะทางพันธุกรรมของสิง่ มีชวี ติ ถายทอดทางพัน ุกรรมของพืช
2. สามารถทํากิจกรรมและอธิ าย ลการทํากิจกรรมได (หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
. สามารถตอ คําถามจากกิจกรรมหนูตอ ไดได แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม)
. ทํางานกลุมรวมกั เพื่อนไดดี
5. นําความรูไป ชประโยชน นชีวิตประจําวันได
61
T69
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ น
า าม า
1. นักเรียนแตละกลุมชวยกันศึกษาตัวอยางการ ÊÃ ÊÒÃ ÊÒ
»ÃШíÒº··Õè 2
ถายทอดลักษ ะทางพัน ุกรรมของพืชตาง มลี
จากหนังสือเรียน หนา 1 กั ย้ม
ิ
ลักย้ิม
2. ครูขออาสามาสมัครนักเรียนกลุมละ 1 คน ให มมล ี ก ั ยิ้ม
ยกตัวอยางพืช 1 ชนิด พรอมบอกลักษ ะทาง ตั ว อ
สงู ย
พัน ุกรรมที่พืชสามารถถายทอดได มสูง
ควา
าง
3. ครู ส นทนากั บ นั ก เรี ย นเพื่ อ ทบทวนความรู เตย
ี้
ความเขาใจเกี่ยวกับเนื้อหาที่ไดเรียนผานมา สีผม
จากหนวยการเรียนรูที่ บทที่ ลักษ ะ สีดาํ ล้ิ
น
ารหอ
ทางพัน ุกรรมของสิ่งมีชีวิต โดยสุมเรียกชื่อ ก
ล หอลิ้น ด้
นักเรียน 4-5 คน ใหออกมาเลาวาตนเองไดรับ ี ้ าํ ตา
สน
ะ ด้
ิ ม
ความรูอะไรบาง ลกั ษณ ษุ ย์
หอล้น
ทอด ของมน
4. นั ก เรี ย นเขี ย นสรุ ป ความรู เ กี่ ย วกั บ เรื่ อ งที่ ไ ด การ ายก รม
เรียนมาจากบทที่ ในรูปแบบตาง เชน ทางพน ั ธุ ร
การ ายทอด
แผนผังความคิด แผนภาพ ลงในสมุด ะ ลกั
5. นักเรียนทุกคนศึกษาแผนผังความคิด ลกั ษณต
ั ว์
มฐ ว ป ป ทางพน ั ธก ุ รร ษณ
ท อด ของส การ ายทอด มข
าย กรรม
ะ พืช
สรุปสาระสําคัญ ประจําบทที่ ลักษณะทาง
อง
จากหนังสือเรียนหนานี้ เพื่อตรวจสอบกับการ พันธุกรรมของสิ่งมีชวี ต
ิ
ทาง การ
ธุ
พนั
เขียนสรุปความรูที่นักเรียนทําไวในสมุด
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช หู สั้น
ตวั อยาง
หู
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล) ะใบ
ษณ หย
ู าว
ลัก
ตวั อยาง
ื
พช
ี อกของ
ช
สด
้ พ
ื
ตน
สขี
อง
น สีชมพู ข
มสงู
สข
ี าว า
ตน คว
้ี
้ เตย
สแี ด
ง
าล งู
ี ้ าํ ต
สน ้ ส
ตน
62
T70
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ น
กิจกรรม ··Õ 2 า าม า
63
T71
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ รป
ร
นักเรียนดูตารางตรวจสอบตนเอง จากหนังสือ
เรียน หนา 1 จากนั้นถามนักเรียนเปนรายบุคคล . สังเกต าพการ าย อ ัก ณ างพันธุกรรม องสุนั วตอบคา าม
ตามรายการขอ 1-5 จากตาราง เพื่อตรวจสอบ
ความรูความเขาใจของนักเรียนหลังจากการเรียน
หากนักเรียนคนใดตรวจสอบตนเองโดยใหอยูใน
เก ควรปรับปรุง ใหครูทบทวนบทเรียนหรือ
หากิจกรรมอื่น อมเสริม เพื่อใหนักเรียนมีความรู
ความเขาใจในบทเรียนมากขึ้น
พอบุ เติม มนว นิ
ูก า ี
ขอสอบเนน การคิด
อ ม เ า า าย อ า นุ ม
1. ผมมีสีดํา
. มีลักยิ้ม
3. วิ่งไดเร็ว
4. ติ่งหูยาว
(วเ า ห าตอบ การวิ่ง ดเรวเปนทัก ะเ พาะบุคคลที่ ดรับ
การ ก น ่ง มเกี่ยวของกับการ ายทอดลัก ะทางพันธุกรรม
ดังนั้น ขอ งเปนคําตอบที่ ูกตอง)
T72
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ ประ มน
ร
·Ñ¡ÉÐáË‹§ÈµÇÃÃÉ·Õè
✓การสื่อสาร ✓ ความรวมมือ ✓ การแกปญหา
1. ครูประเมินผลจากการสังเกตพ ติกรรมการ
✓การสรางสรรค การคิดอยางมีวิจารณญาณ ตอบคําถาม พ ติกรรมการทํางานรายบุคคล
✓การ ชเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร พ ติกรรมการทํางานกลุม และจากการนํา
กิจกรรม เสนอผลการทํากิจกรรมหนาชั้นเรียน
ÊÌҧÊÃä¼Å§Ò¹ 2. ครูตรวจสอบผลการเขียนแผนผังแสดงลักษ ะ
การถายทอดลักษ ะทางพัน ุกรรมจากเ ลล
แบงกลุม กลุมละ 3-4 คน จากนั้นชวยกันออกแบบและ สืบพัน ุของพืชจากกระดาษแข็งแผนใหญ
ประดิษฐโมบายแขวนแสดงการถายทอดลักษณะทางพันธุกรรม 3. ครู ต รวจผลการสรุ ป ความรู เ กี่ ย วกั บ การ
ของสมาชิกในกลุม 1 คน จากรุนปู ยา ตา ยาย รุนพอ แม และ ถายทอดลักษ ะทางพัน ุกรรมของสิ่งมีชีวิต
รุนตนเองมากลุมละ 1 ชิ้นงาน พรอมตกแตงใหสวยงาม จากสมุด
จากนั้นนําเสนอผลงานภายในชั้นเรียน 4. ครูตรวจผลการทํากิจกรรมฝกฝนทักษะบทที่
ในสมุดประจําตัวหรือแบบฝกหัดวิทยาศาสตร
ป.5 เลม 1
µÑÇÍ‹ҧ ¼Å§Ò¹¢Í§ ѹ
5. ครูตรวจสอบผลการทํากิจกรรมทาทายการคิด
ขั้นสูงในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1
6. ครู ต รวจชิ้ น งาน ผลงานโมบายแขวนแสดง
การถ า ยทอดลั ก ษ ะทางพั น ุ ก รรมใน
ครอบครัวของสมาชิกในกลุม และการนําเสนอ
ชิ้นงาน ผลงาน หนาชั้นเรียน
7. ครูตรวจสอบผลการทํากิจกรรมทบทวนทาย
หน ว ยการเรี ย นรู ที่ เรื่ อ ง สิ่ ง มี ชี วิ ต กั บ
สิ่งแวดลอม จากในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร
ป.5 เลม 1
8. ครูตรวจสอบผลการทําแบบทดสอบหลังเรียน
ของหนวยการเรียนรูที่
65
คาอธิบายระดับคุณภาพ/ระดับคะแนน
รายการประเมิน
เหมา สม รู แบบ
พอใช้ (2)
ชิ้นงานมความถูกต้อง
เหมา สม รู แบบ
ปรับปรุง (1)
ชิ้นงานมความถูกต้อง
ตาม ่ออกแบบ ว้ มขนาด ตาม ่ออกแบบ ว้ มขนาด ตาม ่ออกแบบ ว้ มขนาด
เหมา สม รู แบบ
ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
............./.................../..............
3. ความถูก ้องของ
เนื้อ า
ชิ้นงานดมาก
าแนกกลุ่มพืชออกเ น
ม่มดอก ด้ถูกต้อง
ชิ้นงานด
าแนกกลุ่มพืชออกเ น
ม่มดอก ด้ถูกต้องบ้าง
ชิ้นงาน
าแนกกลุ่มพืชออกเ น
กลุ่มพืชดอก แล กลุ่มพืช กลุ่มพืชดอก แล กลุ่มพืช กลุ่มพืชดอก แล กลุ่มพืช
ม่มดอก ด้ถูกต้องน้อ
นการ ั ักษ ะ
่ ที่ ช ประ น ประ มน ทักษะที่
การ ร นร ัน ึ ประ
น ที่ แ ทดสอ กอนเรียน 1. อธิ ายการหาแรงลัพธ แ สื เสาะ ตรวจแ ทดสอ กอนเรียน ทักษะการสังเกต มีวินัย
ั หนังสือเรียนวิทยาศาสตร ของแรงหลายแรง น หาความรู ตรวจการทํากิจกรรม น ทักษะการทดสอ เรียนรู
ป.5 เลม 1 แนวเดียวกันที่กระทํา 5 สมุดหรือ นแ กหัด สมมติฐาน มุงมัน่ น
3 แ กหัดวิทยาศาสตร ตอวัตถุได วิทยาศาสตร ทักษะการสรุป การทํางาน
ชั่วโมง ป.5 เลม 1 2. ทําการทดลองเกี่ยวกั การนําเสนอ ลการ อางอิง
วัสดุ อุปกรณการทดลอง การหาแรงลัพธของ การเรียนรู ทํากิจกรรม ทักษะการทํางาน
กิจกรรมที่ 1 แรงหลายแรง นแนว แ รวมมือ การนําเสนอชิน้ งาน ลงาน กลุม
วัสดุ อุปกรณกิจกรรม เดียวกันที่กระทําตอ เทคนิคเรียน ตรวจชิ้นงาน ลงาน ทักษะการเชื่อมโยง
สรางสรรค ลงาน วัตถุได รวมกัน กระถางแขวนสําหรั ทักษะการ ห
- PowerPoint . เขียนแ นภาพแสดง ปลูกพืช เหตุ ล
การหาแรงลัพธ แรงที่กระทําตอวัตถุท่ี สังเกตพ ติกรรม
สมุดประจําตัวนักเรียน อยู นแนวเดียวกันได .. การทํางานราย ุคคล
. เขียนแ นภาพแสดง สังเกตพ ติกรรม
แรงลัพธที่กระทําตอ การทํางานกลุม
วัตถุได สังเกตคุณลักษณะ
5. มุงมั่น นการเรียนรู อันพึงประสงค
และการทํางานที่ไดรั
มอ หมายตลอดเวลา
T74
Chapter Concept Overview
หน่วยการเรียนรู้ที่ 3
ร ั
รง ัพธ คือ ลรวมของแรงตั้งแต 2 แรงขึ้นไป ที่รวมกันกระทําตอวัตถุเดียวกัน แลวมี ลทํา หวัตถุเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนที่ไปตาม
ลของแรงลัพธ ซึ่ง นการหาแรงลัพธจะตองพิจารณาจากขนาดและทิศทางของแรงที่มากระทําตอวัตถุนั้น โดยมี กรณี ดังนี้
1. แรงลัพธที่เกิดจากแรง 2 แรงขึ้นไป มากระทําตอวัตถุที่อยูนิ่ง นแนวเดียวกัน และมี แรง 1 แรงลัพธ
ทิศทางเดียวกัน คาของแรงลัพธจะเทากั ลรวมของแรงทั้งหมด และแรงลัพธจะมี แรง 2 วัตถุ
ทิศทางเดียวกั แรงที่มากระทํา
แรงลัพธ
2. แรงลัพธที่เกิดจากแรง 2 แรง ที่มีขนาดไมเทากัน มากระทําตอวัตถุที่อยูนิ่ง นแนว
แรง 1 วัตถุ แรง 2
เดียวกัน แตทิศทางตรงขามกัน คาของแรงลัพธจะไดจากการหักลางกันของแรงทั้ง
สอง างสวน และแรงลัพธทเี่ กิดขึน้ จะมีทศิ ทางเดียวกันกั ทิศทางของแรงทีม่ ากกวา
ร ี ทาน
รงเสีย าน คือ แรงที่เกิดขึ้นระหวาง ิวสัม ัสของวัตถุสองชนิด โดยเปนแรงที่ ิววัตถุหนึ่งตานการเคลื่อนที่ของ ิววัตถุอีก ิวหนึ่ง
แรงเสียดทานเปนแรงที่มีทิศทางตรงขามกั ทิศทางการเคลื่อนที่ของวัตถุ ซึ่งสามารถเขียนแ นภาพแสดงแรงเสียดทานที่ตานทาน
การเคลื่อนที่ของวัตถุได ดังนี้
ทิศทางการเคลื่อนที่ของวัตถุ
วัตถุ
แรงเสียดทานที่เกิดขึ้น
T75
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นา
3
กระ น าม น หนวยการเรียนรู ี
1. ครูทักทายกับนักเรียน จากนั้นแจงจุดประสงค
การเรียนรูใหนักเรียนทราบ
2. ครูยกตัวอยางสถานการ ใหนักเรียน งวา
áç㹪ÕÇµÔ »ÃШíÒÇѹ
“หากมีตู 1 หลังอยูในหองเรียน และตองการ áçÅѾ¸ ¤×Í ¼ÅÃÇÁ¢Í§áçËÅÒÂáç·Õ¡è ÃзíÒ
เคลือ่ นยายตูอ อกจากหอง นักเรียนจะมีวิ กี าร µ‹ÍÇѵ¶Øà´ÕÂǡѹ㹷ÔÈ·Ò§à´ÕÂǡѹ ËÃ×ͼŵ‹Ò§¢Í§
เคลือ่ นยายอยางไรใหสะดวกและรวดเร็วทีส่ ดุ ” áçÊͧáç·Õ¡è ÃзíÒµ‹ÍÇѵ¶Øã¹·ÔÈ·Ò§µÃ§¢ŒÒÁ¡Ñ¹
ÊíÒËÃѺÇѵ¶Ø·ÍÕè ÂÙ¹‹ §Ôè áçÅѾ¸¨ÐÁÕ¤Ò‹ ໚¹ÈÙ¹Â
จากนั้นใหนักเรียนรวมกันแสดงความคิดเห็น áçàÊÕ´·Ò¹ ¤×Í áç·Õàè ¡Ô´¢Ö¹é ÃÐËÇ‹Ò§¼ÔÇÊÑÁ¼ÑÊ
โดยครูตั้งคําถาม ดังนี้ ¢Í§Çѵ¶Ø ª¹Ô´ à¾×Íè µŒÒ¹¡ÒÃà¤Å×Íè ¹·Õ¢è ͧÇѵ¶Ø¹¹Ñé æ
าน เ ยน าเ อน ยายต น เ ยน áÅÐÁÕ·ÈÔ ·Ò§µÃ§¢ŒÒÁ¡Ñº¡ÒÃà¤Å×Íè ¹·Õ¢è ͧÇѵ¶Ø¹¹Ñé æ
หเ อน วย าเนน า อยา
(แนวตอบ ชวยกันออกแรง ลัก ดัน หรือดง
ตูใหเคลื่อนที่)
น เ ยน มว า ออ แ อยา ห
เ อนยายต เ ว น
(แนวตอบ ชวยกันออกแรง ลักหรือดง ปใน
ทางเดียวกัน)
น เ ยน เ ตเหน า ออ แ แ า
เ อน อ ตนนเ นอยา
( แนวตอบ แรงที่ ก ระทํ า และทิ ศ ทางการ
เคลื่อนที่ของตู ปในทิศทางเดียวกัน)
3. ครูใหนักเรียนทําแบบทดสอบกอนเรียนหนวย
การเรียนรูที่ 3 เรื่อง แรงในชีวิตประจําวัน
4. ครูใหนักเรียนอานสาระสําคัญและดูภาพ จาก
หนังสือเรียนวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1 หนานี้
จากนัน้ ถามนักเรียนวา ภาพนีเ้ กีย่ วของกับแรง
อยางไรบาง แลวใหนกั เรียนแสดงความคิดเห็น
รวมกัน µÑǪÕéÇÑ´
(แนวตอบ เกี่ยวของกับแรงเสียดทาน ทําใหมี 1. อธิ ายวิธีการหาแรงลัพธของแรงหลายแรง นแนวเดียวกันที่กระทําตอวัตถุ นกรณีที่วัตถุอยูนิ่งจากหลักฐานเชิงประจักษ
(ม . ว 2.2 ป.5 )
การเคลื่อนที่เรวข้นหรือชาลง) 2. เขียนแ นภาพแสดงแรงที่กระทําตอวัตถุที่อยู นแนวเดียวกันและแรงลัพธที่กระทําตอวัตถุ (ม . ว 2.2 ป.5 2)
3. ชเครื่องชั่งสปริง นการวัดแรงที่กระทําตอวัตถุ (ม . ว 2.2 ป.5 )
4. ระ ุ ลของแรงเสียดทานที่มีตอการเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนที่ของวัตถุจากหลักฐานเชิงประจักษ (ม . ว 2.2 ป.5 )
5. เขียนแ นภาพแสดงแรงเสียดทานและแรงที่อยู นแนวเดียวกันที่กระทําตอวัตถุ (ม . ว 2.2 ป.5 5)
เกร็ดแนะครู
ในการเรียนรูหนวยการเรียนรูที่ 3 นี้ ครูควรจัดกระบวนการเรียนรูโดยให
นักเรียนป ิบัติกิจกรรมรวมกัน ดังนี้
• ทดลองเกี่ยวกับการหาแรงลัพ ของแรงสองแรงในแนวเดียวกัน
• ทดลองและอ ิบายผลของแรงเสียดทานที่มีตอการเคลื่อนที่ของวัตถุ
โดยครูควรใหนกั เรียนไดลงมือป บิ ตั กิ จิ กรรมดวยตนเอง จนเกิดเปนความรู
ความเขาใจที่ถูกตอง รวมทั้งสามารถนําวิ ีการทางวิทยาศาสตรและทักษะ
กระบวนการทางวิทยาศาสตรมาใชคนหาคําตอบเกี่ยวกับประเด็นที่สงสัยได
T76
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นา
กระ น าม น
ศัพทนารู
º··Õè 1 Ã คําศัพท
resultant force
คําอาน
ริ'ซัลทันท ฟอซ
คําแปล
แรงลัพธ
5. ครูใหนักเรียนแตละคนคิดกิจกรรมคนละ 1
กิจกรรม เกี่ยวกับการใชแรงในชีวิตประจําวัน
force ฟอซ แรง และครูสุมนักเรียน 3-4 คน ออกมาเขียน
push พุช ผลัก กิจกรรมที่คิดไวบนกระดาน จากนั้นครูและ
pull พุล ดึง นักเรียนรวมกันแสดงความคิดเห็นวากิจกรรม
ที่เพื่อนเขียนบนกระดานใชแรงอะไรบาง
6. นักเรียนดูภาพในหนาบทที่ 1 แรงลัพ จาก
หนังสือเรียนหนานี้ แลวชวยกันตอบคําถาม
force สําคัญประจําบทวา
•แ ออ แ ม อยา
resultant force (แนวตอบ แรงลัพธ คือ ลรวมของแรงตั้งแต
แรงข้น ป ทีร่ ว มกันกระทําตอวัต เุ ดียวกัน
งมี ลทํ า ให วั ต ุ นั้ น เปลี่ ย นแปลงการ
pull เคลื่อนที่ ปตาม ลของแรงลัพธ)
7. นั ก เรี ย นร ว มกั น อ า นคํ า ศั พ ท ที่ เ กี่ ย วข อ งกั บ
แรงลัพ จากหนังสือเรียนหนานี้
çÅÑ ¤ÍÍÐäÃ
? ÅÐÁÕÅѡɳÐ
Í‹ҧäÃ
67
นกเร นค รรู
นักเรียนเรียนรูและฝกอานคําศัพทวิทยาศาสตร ดังนี้
า าอาน าแ
resultant force ริ ลั ทันท อ แรงลัพ
force อ แรง
push พุช ผลัก
pull พุล ดึง
T77
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นา
กระ น าม น
8. นักเรียนแบงกลุม กลุมละ -3 คน จากนั้น
กิจกรรม
ใหแตละกลุมรวมกันทํากิจกรรมนําสูการเรียน
โดยอานสถานการ จากหนังสือเรียนหนานี้
นําสูก ารเรียน
È¡ Ò¢ŒÍÁÙŨҡÀÒ¾ áŌǵͺ¤íÒ¶ÒÁ
แลวชวยกันตอบคําถามทั้ง 3 ขอ โดยเขียน
คํ า ตอบลงในสมุ ด หรื อ ทํ า ลงในแบบฝกหั ด ¹§Ò¹¡Õ ÒÊÕ ÃÐ Ò Í§ çàÃÕ¹ ‹§ ¹§ ÁÕ¡Òà ‹§ ѹ Ñ¡à‹Í
วิทยาศาสตร ป.5 เลม 1 และนําเสนอคําตอบ ÃÐ Ç‹Ò§·ÕÁÊÕ ŒÒ¡Ñº·ÕÁÊÕ ´§ §ÁÕÊÁÒ Ô¡ Ò ¹·ÕÁ ·ÕÁÅÐ ¤¹
ของกลุมหนาชั้นเรียน เพื่ออภิปรายและสรุป ´ÂÊÁÒ Ô¡ µ‹ÅФ¹ Ò ¹·ÕÁä´ŒÍÍ¡ ç ¹¡Òô§à Í¡à·‹Ò ¡Ñ¹
คําตอบรวมกัน
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม)
Ç¡àÃÒÍ‹ÒÂÍÁ Œ
Ç¡àÃÒ ‹Ç¡ѹÍÍ¡ ç Í‹ÒÂÍÁ Œ
ÊŒ ŒÁÒ¡ ¹ ¹‹Í äÁ‹ÂÍÁ ÊŒ
ÂàÅ Â
ีมสี า ีมสี ง
น ก กรรมนา การ รี น
เคลื่อนที่ ม ดเพราะ ามีการกระทําตอวัต ุใน
ทิศทางตรงขาม โดยคาของแรงเทากัน ะทําให
Ò¡·ÕÁÊÕ ŒÒ ÅзÕÁÊÕ ´§´§à Í¡´ŒÇ ç·Õ෋ҡѹ à Í¡ Ðà¤Å͹·Õ ÃÍäÁ‹ à ÃÒÐÍÐäÃ
เชือก มเคลื่อนที่หรือเคลื่อนที่ ดนอย Ò¡¡ÃÃÁ¡Òà Œ·ÕÁÊÕ ´§à ÔÁÊÁÒ Ô¡ä´ŒÍÕ¡ ¤¹ ÅÅÑ Ðà ¹Í‹ҧäà à ÃÒÐÍÐäÃ
เชือก ะเคลือ่ นทีม่ าทางทีมสีแดง เพราะทีมสีแดง
มี ลรวมหลายแรงที่ ก ระทํ า ต อ วั ต ุ เ ดี ย วกั น Ò¡µŒÍ§¡ÒÃ·Ò Œà Í¡ÁÕ¡ÒÃà¤Å͹·Õä ·Ò§ ่§·ÕÁÊÕ ŒÒ ¹Ñ¡àÃÕ¹¤Ô´Ç‹ÒµŒÍ§·ÒÍ‹ҧäÃ
มากกวาทีมสี า
เพิ่ ม สมาชิ ก ให กั บ ที ม สี ามากกว า ที ม สี แ ดง
เพราะทีมสี ามีแรงมากระทําตอวัต ุเพิ่มมาก 68
ข้น งทําใหมี ลรวมของแรงที่กระทําตอวัต ุ
เดียวกันมากกวาทีมสีแดง
T78
นํา สอน สรุป ประเมิน
หนวยการเรียนรูที่ 3 ขัน้ น
áç㹪ÕÇÔµ»ÃШíÒÇѹ าร น า
1
1. Ã 1. นักเรียนทุกคนรวมกันศึกษาขอมูลและภาพ
เกี่ยวกับแรงและแรงลัพ จากหนังสือเรียน
นชีวิตประจําวันของเรา มีกิจกรรมหลายอยางที่เราตองออกแรงกระทํา
หนานี้ จากนั้นชวยกันตอบคําถามวา กิจกรรม
ตอวัตถุตาง เชน เปด ปดประตู หยิ สิ่งของ ยกกลองลัง ตีปงปอง ดึงเชือก ใดบางที่ตองมีการออกแรงหลายแรงรวมกัน
รง หมายถึง การกระทําที่ทํา หวัตถุที่หยุดนิ่งเปลี่ยนเปนเคลื่อนที่ หรือ เพื่อทําใหวัตถุเคลื่อนที่
ทํา หวัตถุที่กําลังเคลื่อนที่มีความเร็วเพิ่มขึ้น ชาลง หยุดนิ่ง หรือเปลี่ยนแปลง 2. ครูขออาสาสมัครนักเรียนมาตอบคําถาม -3
ทิศทางไป การออกแรงกระทําตอวัตถุอาจมีแรงหลายแรงมากระทําตอวัตถุ คน
รวมกัน โดย ลรวมของแรงหลายแรงนี้ เราเรียกวา รง ัพธ (แนวตอบ เชน ลากร และเขนร เลนกับสุนัข
เลนชักเยอ)
เ นกับสุนั เ น กั เยอ 3. ครูอ ิบายใหนักเรียน งเพื่อขยายความเขาใจ
วา การออกแรงหลายแรงกระทําตอวัตถุใน
ทิศทางเดียวกัน จะมีคาเทากับแรงเพียงแรง
เดียว ผลลัพ ของแรงหลายแรงนี้ เรียกวา
แรงลัพ
2
กว ิง า เ นร
69
( วเ า ห าตอบ าก าพ ทิ ศ ทางของแรงแสดงแทนด ว ย
่งในขอ - ทิศทางของแรงเปน ปในทิศทางเดียวกัน
ทําใหแรงลัพธรวมกัน สวนขอ ทิศทางของแรงตรงขามกัน
งหักลางกัน ดังนั้น ขอ งเปนคําตอบที่ ูกตอง)
T79
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ น
าร น า
4. นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน ใหแตละ
กลุมศึกษาขั้นตอนการทํากิจกรรมที่ 1 เรื่อง
¡Ô¨¡ÃÃÁ·Õè 1 ัก กร บวนการ
างวิ ยาศาสตร ี
การหาแรงลัพ ตอนที่ 1- โดยศึกษาขัน้ ตอน การหา รง ัพ ์ 1. การวัด
2. การสังเกต
การทํากิจกรรมจากหนังสือเรียน หนา - 1 . การทดลอง
5. ในชั่วโมงนี้ครูใชรูปแบบการสอนแบบรวมมือ ดประสง ์ . การพยากรณ
5. การ ชจํานวน
เทคนิค . . หรือ มาจัด 1. ทดลองเพื่ออธิ ายวิธีการหาแรงลัพธของแรงหลายแรง . การตีความหมายขอมูลและลงขอสรุป
. การจัดกระทําและสื่อความหมายขอมูล
กิจกรรมการเรียนรู เพื่อกําหนดใหสมาชิกของ นแนวเดียวกันที่กระทําตอวัตถุ นกรณีที่วัตถุอยูนิ่ง
นักเรียนแตละกลุมมีหนาที่ของตนเอง และให 2. เขียนแ นภาพแสดงแรงทีก่ ระทําตอวัตถุทอี่ ยู นแนวเดียวกัน
ทํางานรวมกัน และแรงลัพธที่กระทําตอวัตถุ
6. สมาชิกของแตละกลุมรวมกันทํากิจกรรมที่ 1 . ชเครื่องชั่งสปริง นการวัดแรงที่กระทําตอวัตถุตาง
ตอนที่ 1- แลวบันทึกผลลงในสมุดหรือใน
แบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1 ต้อง ตรียมต้อง ้
7. ครูใหตวั แทนแตละกลุม ออกมานําเสนอผลงาน 1. โตะเรียน 1 ตัว 5. ดินนํ้ามัน 2 กอน
ที่หนาชั้นเรียน โดยจับสลากหมายเลขกลุม 2. กระดาษแข็งแ น หญ 1 แ น . ถุงพลาสติกหูหิ้ว 1
จากนั้นใหแตละกลุมสงตัวแทนออกนําเสนอ . เครื่องชั่งสปริงแ แขวน 2 เครื่อง
ตามลําดับ . แหลงขอมูล เชน หนังสือ อินเทอรเน็ต
องทาดู µÍ¹·Õè
1. แ งกลุม กลุมละ คน แลวชวยกัน
นําดินนํ้ามัน 2 กอน สถุงพลาสติกหูหิ้ว
2. หรวมกันคาดคะเนและ ันทึกวา เมื่อนํา
ถุ ง พลาสติ ก หู หิ้ ว ที่ มี ก อ นดิ น นํ้ า มั น มา
เกี่ยวที่ตะขอของเครื่องชั่งสปริงแ แขวน
และถือเครือ่ งชัง่ นแนวดิง่ ลจะเปนอยางไร
. ทําการทดลองเพือ่ ตรวจสอ ลการคาดคะเน
แลวอานคาของแรงและ ันทึก ลลง นสมุด
ภาพที่ .2 ทดลองหาแรงลัพธโดย ช
เครื่องชั่งสปริง 1 เครื่อง
70
เกร็ดแนะครู ก กรรมที่
ตา า บันทึกผลการทํากิจกรรม (ตอน )
เ น L.T. หรือ Learning Together คือ กระบวนการสอนหนึ่งของ
า า
รูปแบบการเรียนรูแบบรวมมือ โดยมีขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู ดังนี้ ( เ อ เ อ) ( เ อ เ อ)
1. นักเรียนแบงกลุม กลุมละเทา กัน จากนั้นครูและนักเรียนทบทวน วต ุ นามา เ อ เ อ
เนื้อหาเดิมหรือความรูพื้น านที่เกี่ยวของ า อ แ (นวตน) า อแ า อแ วม
. ครูแจกแบบฝกหัด ใบงาน หรือโจทย ใหนักเรียนทุกกลุม กลุมละ 1 ชุด (นวตน) (นวตน)
เหมือนกัน จากนั้นใหนักเรียนแบงหนาในการทํางาน นนามน (ผลขึ้นอยูกับดินนํ้ามันที่นํามาทํากิจกรรม)
3. นักเรียนทํากิจกรรม แลวนําเสนอผลงาน จากนั้นใหครูประเมินผลงาน อน
ของกลุม โดยเนนกระบวนการทํางานกลุม
ุ จากการทํากิจกรรม พบวา คาของแรงที่อานไดจากเครื่องชั่งสปริง เครื่อง
รวมกันมีคาเทากับคาของแรงที่อานไดจากเครื่องชั่งสปริง 1 เครื่อง
T80
นํา สอน สรุป ประเมิน
หนวยการเรียนรูที่ 3 ขัน้ น
áç㹪ÕÇÔµ»ÃШíÒÇѹ า ามร
1. นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ ม ส ง ตั ว แทนกลุ ม ออกมา
นําเสนอผลการทํากิจกรรม ตอนที่ 1- ที่หนา
ชั้นเรียน โดยครูจับสลากเลือกหมายเลขกลุม
. ชั่งนํ้าหนักดินนํ้ามัน 2 กอน อีกครั้งหนึ่ง จากนั้นใหแตละกลุมสงตัวแทนออกนําเสนอ
แตครั้งนี้ ห ชเครื่องชั่งสปริง 2 เครื่อง ตามลําดับ
โดยนําหูหิ้วของถุงพลาสติกเกี่ยวตะขอ 2. ครูและนักเรียนรวมกันสรุปความรูท ไี่ ดจากการ
ของเครือ่ งชัง่ ขางละหูและ หถอื เครือ่ งชัง่ ทดลอง จนไดขอสรุปวา การใชเครื่องชั่งสปริง
นแนวดิง่ เพือ่ อานคาของแรงจากเครือ่ ง 1 เครื่อง ชั่งสิ่งของจะเทากับหรือใกลเคียงกับ
ชั่งทั้ง 2 เครื่อง ผลรวมคาของแรงทีอ่ า นไดจากการใชเครือ่ งชัง่
5. ันทึก ลคาของแรงที่อานได จากนั้น สปริง เครื่อง ชั่งสิ่งของ ดังนั้น แรง แรง
นําขอมูลมาเขียนแ นภาพแสดงแรงที่ ทีม่ ที ศิ ทางเดียวกันจะมีแรงลัพ เ พียงแรงเดียว
อยู นแนวเดียวกันและแรงลัพธลง นสมุด ึ่งเปนผลรวมของแรงทั้งสองแรงนั่นเอง
. นําเสนอ ลการทดลอง จากนั้นรวมกัน ภาพที่ . ทดลองหาแรงลัพธโดย ช
อภิปรายและสรุป ลภาย นชั้นเรียน เครื่องชั่งสปริง 2 เครื่อง
µÍ¹·Õè
1. แตละกลุมสงตัวแทนทํากิจกรรมกลุมละ 2 คน โดย หออกแรง ลักโตะเรียนตัวเดียวกันไป
นทิศทางเดียวกัน พรอม กัน และ หสมาชิกที่เหลือชวยกันสังเกตและ ันทึก ล
2. รวมกันสรุป ลการทํากิจกรรม แลวนําขอมูลมาเขียนแ นภาพแสดงแรงลัพธของแรง
หลายแรง นแนวเดียวกันที่กระทําตอวัตถุ นกรณีที่วัตถุอยูนิ่ง ลง นกระดาษแข็งแ น หญ
และตกแตง หสวยงาม
. แตละกลุมนําเสนอ ลงานหนาชั้นเรียน เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกั เพื่อนกลุมอื่น
หนูตอบ ด้
. แรงลัพธคืออะไร จงอธิ ายมาพอสังเขป น น
2. การออกแรงดันโตะ 1 แรง กั การออกแรงดันโตะ 2 แรง จะมีความแตกตางกันหรือไม ขอ 3.
เพราะอะไร • ออกแรง ลั ก ร คนเดี ย ว เพราะหากเรา
. หากมีรถยนตจอดหนาประตู า นของนที แลวนทีตอ งการเลือ่ นรถออกไปดวยความเรงดวน เรียกคนอื่นมาชวยอา ทําใหเสียเวลามากข้นใน
นักเรียนคิดวา นทีควรเลือกออกแรง ลักรถคนเดียว หรือเรียก หคนอืน่ มาชวย เพราะเหตุ ด ส านการ ที่เรงดวน
• เรียกใหคนอื่นมาชวย เพราะ ะทําใหมีแรง
(หมายเหตุ คํา ามขอสุดทายของหนูตอบ ด เปนคํา ามที่ออกแบบให ูเรียน กใชทัก ะการคิดขั้นสูง 71
คือ การคิดแบบใหเหตุ ล และการคิดแบบโตแยง ่ง ูเรียนอา เลือกตอบอยางใดอยางหน่งก ด ใหครู มากระทําตอวัต ุเพิ่มข้น แรงลัพธ งมีคามากข้น
พิ าร า ากเหตุ ลสนับสนุน) ดวย งทําใหร เคลื่อนที่ ดเรวข้น
ก กรรมที่ กร
ตา า บันทึกผลการทํากิจกรรม (ตอน )
à·¤¹Ô¤ ¤ÇÒÁ»ÅÍ´ÀÑÂ
า อ า อ แ น า แ แ
แรงกระทํา แรงลัพ
ในการจับเครื่องชั่งสปริงควรจับที่หวงโลหะ ไมควรจับบนตัวสปริง และใน
น เ ยน น ออ แ โตะเรียนเคลื่อนที่ไป
ต เ ยน น ขางหนาในทิศทาง การอานคาบนเครื่องชั่งสปริง ข ะอานคาแรงดึงจากเครื่องชั่งสปริง ควรจัดให
โตะเรียน
า เ ยว น เดียวกัน สปริงทั้ง เครื่อง อยูในแนวระดับ
อม น
ุ ากการทํากิ กรรม พบวา เมื่อแรง แรงกระทําตอวัต ุเดียวกัน โตะเรียน)
ในทิศทางเดียวกัน คาของแรงลัพธ ะเทากับ ลรวมของแรง แรงรวมกัน แรงลัพธ
ะมีทิศทางเดียวกับแรงที่มากระทําตอวัต ุ วัต ุ งเคลื่อนที่ ปในทิศทางนั้นดวย
T81
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ น
า าม า
1. นักเรียนทุกคนศึกษาเนื้อหาเกี่ยวกับแรงลัพ
รง ัพธ คือ ลรวมของแรงตั้งแต 2 แรงขึ้นไปที่รวมกันกระทําตอวัตถุ
วิ ีการหาแรงลัพ และการใชประโยชนจาก
แรงลัพ จากหนังสือเรียน หนา - เดียวกัน แลวมี ลทํา หวัตถุเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนที่ไปตาม ลของแรงลัพธ
2. ครูใหนกั เรียนจับคูก บั เพือ่ นแลวใหศกึ ษาขอมูล
เกี่ยวกับปจจัยที่มีผลตอแรงเสียดทานเพิ่มเติม
จากสื่อดิจิทัลจากในหนังสือเรียน หนา 3
โดยใชโทรศัพทมือถือสแกน เรื่อง
การหาแรงลัพ
ภาพที่ . ตัวอยางการออกแรงกระทําตอวัตถุ
จากตัวอยาง เด็ก 1 คน เข็นรถ กั เด็ก 2 คน เข็นรถ แรงที่ทํา หรถ
เคลื่อนที่จะแตกตางกัน เนื่องจากเด็ก 2 คน ชวยกันเข็นรถยอมมีแรงกระทําตอ
รถมากกวา จึงทํา หรถเคลื่อนที่ไดงายกวา เพราะแรงของเด็ก 2 คน ที่กระทํา
นทิศทางเดียวกันจะเทากั ลรวมของแรงทั้งสองแรงนั้น
รง มีหนวยเปนนิวตัน และเพื่อทํา หเกิดความเขา จ นการหา
แรงลัพธ เราจะเขียนแ นภาพแสดงแรงที่กระทําตอวัตถุดวยการเขียนลูกศร
โดยเขียนหัวลูกศรแสดงทิศทางของแรง และเขียนความยาวลูกศรแสดงคาหรือ
ขนาดของแรงที่กระทําตอวัตถุ ถาออกแรงมากลูกศรจะยาว ถาออกแรงนอย
ลูกศรจะสั้น
2
T82
ตอน ี นวคิ สาคั วยกันสรุป ใหนักเรีย
●ครูให้นักเรียนช่วยกันพูดสรุปเกี่ยวกับลักษณะของแรงลัพธ์ และเขียนลงในสมุด รวบยอด
ขอสอบ O-NET
ขอสอบป ’ 53 ออกเกี่ยวกับเรื่อง แรงลัขพอสอบเน
น การคิด น O-NET เกร็ดแนะครู
ภาพการแข
า า แ นงขัา นวต
ลากวั ตถุที่มีนแ ํ้าหนันากและขนาดเท
ุ มนาหน เ า น อ แ ากันของผู
ม แขงขัน ทีม
ครูอ ิบายเพิ่มเติมใหนักเรียนเขาใจวา แรง
ทีมที่ 2 D
วัตถุ วัตถุที่ถูกแรงมากระทําจะเคลื่อนที่หรือเปลี่ยน
C
นําไปใชประโยชนในชีวิตประจําวันได เชน กา
ทีมที่ 1
A
B
วัตถุ การเคลื่อนยายสิ่งของตาง เปนตน
ขัน้ น
า าม า
4. ครูอ บิ ายเสริมใหนกั เรียนเขาใจเพิม่ เติมวา ใน 2. เมื่อมีแรง 2 แรง ที่มีขนาดไมเทากันมากระทําตอวัตถุที่อยูนิ่ง นแนวเดียวกัน
การวัดแรงนั้น นักเรียนสามารถใชเครื่องชั่ง
สปริงวัดคาของแรงลัพ ท เี่ กิดขึน้ ได งึ่ มีหนวย
แตมีทิศทางตรงขามกัน คาของแรงลัพธจะไดจากการหักลางกันของแรงทั้งสอง
เปนนิวตัน โดยเรียกตามชื่อของ เ อร ไอแ ก างสวน และแรงลัพธจะมีทิศทางเดียวกันกั ทิศทางของแรงที่มากกวา วัตถุจึง
นิวตัน เคลืี่อนที่ไปทางนั้นดวย ตัวอยางเชน
5. นักเรียนแตละคนทํากิจกรรมหนูตอบไดจาก เด็กชาย 2 คน ลักตูไม แรงลัพธเทากั
หนังสือเรียน หนา 1 ลงในสมุดหรือทําใน นทิศตรงขามกัน ลตางของแรงทั้งสอง
แบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1
แรง 1 แรง 2 2 แรงลัพธ 2
74
T84
นํา สอน สรุป ประเมิน
หนวยการเรียนรูที่ 3 ขัน้ รป
áç㹪ÕÇÔµ»ÃШíÒÇѹ า าม า
วิธีหา รง ัพธ
ขนาดแรง 1 ขนาดแรง 2 ขนาดแรงลัพธ แรง 1
แรง 2
แรงลัพธมีคาเปนศูนย
นกเร นค รรู
1 เ อ คือ เครือ่ งชัง่ ทีใ่ ชวดั ปริมา นํา้ หนักของวัตถุ มีหลายรูปแบบ
แตกตางกันออกไป ขึ้นอยูกับประโยชนของการใชงาน
T85
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ น
า าม า
8. ครู ส นทนากั บ นั ก เรี ย นเพื่ อ ทบทวนความรู นการทํากิจกรรมตาง ของแตละวัน เราทุกคนตองออกแรงกระทําตอ
ความเขาใจเกี่ยวกับเนื้อหาที่ไดเรียนผานมา วัตถุตาง ดวยตนเอง แตอาจมี างกิจกรรมที่ตอง ชแรงมาก จึงจําเปนตอง
จากหนวยการเรียนรูที่ 3 บทที่ 1 แรงลัพ อาศัยแรงจากหลาย คน เขามาชวย เพือ่ เคลือ่ นยายวัตถุหรือทํา หวตั ถุเคลือ่ นที่
โดยสุ ม เรี ย กชื่ อ นั ก เรี ย นให อ อกมาเล า ว า
ตนเองไดรับความรูอะไรบาง
ไปได เชน การพายเรือแคนู นนํ้า การปนจักรยานพวง นอกจากนี้ เรายังนํา
9. นักเรียนเขียนสรุปความรูเกี่ยวกับเรื่องที่ได ประโยชนจากแรงลัพธไป ชไดหลายอยาง เชน
เรียนมาจากบทที่ 1 ในรูปแบบตาง เชน 1. การประดิ ษ ฐ ก ระถางแขวนโดย ช ล วด เส น
แผนผังความคิด แผนภาพ ลงในสมุด ชวยยึดกระถางเอาไว ลวด เสน ชแทนแรง แรง
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
ทํา หเกิดแรงลัพธ 1 แรง นแนวเดียวกั ตะขอที่ ชแขวน
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล)
นั ก เรี ย นแต ล ะคนศึ ก ษาแผนผั ง ความคิ ด
จึงทํา หเกิดความสมดุล กระถางแขวนจึงไมเอียง
สรุปสาระสําคัญ ประจํา ภาพที่ .1 กระถางแขวน
บทที่ 1 จากหนังสือเรียน หนา เพื่อตรวจ
สอบกับการเขียนสรุปความรูที่นักเรียนทําไว ภาพที่ .11 การ ชวัวลากเกวียน
ในสมุด 2. การคมนาคม นสมัยกอนจะ ชสัตวตาง เชน
วัว ควาย ตั้งแต 1 ตัวขึ้นไป มาชวยกันออกแรงลาก
เกวี ย น ห เ คลื่ อ นที่ ไ ปข า งหน า ได ทํ า ห ก ารเดิ น ทาง
หรือขนสงสิ่งของทําไดงายมากขึ้น
ที่ า า
กิจกรรม สรุปความรูป ระจําบทที่ 1
ตรวจสอบตนเอง
หลังเรียนจ ทนี้แลว หนักเรียน อกสัญลักษณที่ตรงกั ระดั ความสามารถของตนเอง
เกณ
รายการ ี พอ ควรปรับปรุง
T86
ตอน ี นวคิ สาคั วยกันสรุป ใหนักเรีย
●ครูให้นักเรียนช่วยกันพูดสรุปเกี่ยวกับลักษณะของแรงลัพธ์ และเขียนลงในสมุด รวบยอด
ธ์
นาด แตทิศท
และ รวมขอ
งท างเ
่ ี ม ี ข ั น ง ข น า ด แรงที่มีทิศตรงกัน
ะท งท อ ข้าม (หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
วก กันข
ก่ี ร
ทศ
ผล
าํ ต แร วเดีย หักล้าง
ิ ท
อวต
ดยี
วก
ั
ใุ นแ แ น การ
ใน ้ จาก แรงที่มีขนาดเ แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล) ใบบันทึก
นา ตอน ี คา ามวิ ยคิ สนุก
น
ั ข
นวเดย ี วกัน ด ท าก
งข
นาด ัน
ดแ
รงท แรงล จ ะ ใ น นวเดียวกัน แตท กระทํ
แ 13. ครูมอบหมายงานใหนกั เรียนแบงกลุม กลุม ละ บัตรภาพ
งั้ หม พั ธ จ
์ ะเทากับ ข น า ด แรง ิ ศ ทา ง า ตอว
ตอบคา ามตอ ปนี ง นสมุ
ด ดย
มท ี ศิ ทางเดียวกัน
ผล
ลัพธ
์ จ ะ ม ต รงข ัต ุ
ี คาเ ้า
ปน มกัน
3-4 คน จากนั้นศึกษากิจกรรมสรางสรรค
ศูน ผลงาน จากในหนั ง สื อ เรี ย น หน า
๑) จากภาพ มีแรงลัพธ์เกิดขึ้นกี่แรง ย์
ขอ
เป
นแ
รงทเี่ ก กการรวมห รง
รอื ควา ม ห ๒) ถ้ามีเลื่อน ๒ คัน เลื่อนคันหนึ่ง ร ว มมื อ กั น ทํ า กิ จ กรรมนี้ น อกเวลาเรี ย น
การเ
รง
หก ิ
ด จา ยแ ม
ั ลา้ งก า
ั ของแรงหล
น มีสุนัขลาก ๕ ตัว ส่วนเลื่อนอีกคัน แลวนํามาสงเพื่อนําเสนอหนาชั้นเรียนตอไป
ลน
าย
เย
ชกั
กา แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม)
ั้วด รใช
ใช ว้ วั ลา แตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร
ผลลั พ ธ์ กเกวียน
ที่
มฐ ว ป ป
๓) ถ้าเลื่อนคันที่มีสุนัขลาก ๗ ตัว
เครื่องมือ
ยน
ขี
ย
แผ
นว
ห นภ
าพแส ลาก ๕ ตัว สุนัขจะต้องออกแรง
ดงแรง
เครื่องชัง่ สปรงิ
อย่างน้อยตัวละกีน่ วิ ตัน จึงจะท�าให้
นวิ ต ะสนั้
น
ั (N) ออกแรงน้อย ลก ู ศรจเลื่อนเคลื่อนที่ได้
ย
าว
ลกู ศรจะ
ออกแรงมาก
101
77
ขอสอบ O-NET
ขอสอบป ’ 53 ออกเกี่ยวกับเรื่อง แรงลัขพอสอบเน
น การคิด น O-NET เกร็ดแนะครู
าภาพการแข
า แ นงขัา นวต
ลากวั ตถุที่มแีนํ้าหนันากและขนาดเท
ุ มนาหน เ า น อ แ ากันนของผู
ม แขงขัน ทีม
ครูอ ิบายเพิ่มเติมใหนักเรียนเขาใจวา แรง
ทีมที่ 2 D
วัตถุ วัตถุที่ถูกแรงมากระทําจะเคลื่อนที่หรือเปลี่ยน
C
นําไปใชประโยชนในชีวิตประจําวันได เชน กา
ทีมที่ 1
A
B
วัตถุ การเคลื่อนยายสิ่งของตาง เปนตน
ขัน้ รป
ร
กิจกรรม º··Õè 1
1. ครูใหนักเรียนชวยกันสรุปความรูเกี่ยวกับเรื่อง
แรงลัพ จนไดขอสรุป ดังนี้
ฝกทักษะ
• แรงลัพ คือ ผลรวมของแรงตั้งแต แรง . ตอบคา ามตอ ปนี
ขึ้นไปที่รวมกันกระทําตอวัตถุเดียวกัน จึงมี 1 แรงหลายแรงที่มากระทําตอวัตถุชิ้นเดียวกัน นทิศทางตรงขามกัน แรงลัพธ
ผลทําใหวัตถุนั้นเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนที่ จะเปนอยางไร
ไปตามผลของแรงลัพ 2 โสภาออกแรงดันโตะไมไปทางซายดวยแรง 2 ธานีออกแรงดันโตะไม
• เรามีการนําแรงลัพ ม าใชประโยชนมากมาย ไปทิศทางตรงขามกั โสภาดวยแรง โตะไมตัวนี้จะเคลื่อนที่ไปทาง ด
เชน การปนจักรยานพวง การใชสุนัขลาก เพราะอะไร
เลื่อน หากมีคน 5 คน ชวยกัน ลักรถยนตที่หยุดนิ่ง หเคลื่อนที่ดวยแรงที่เทากัน
น ก กรรม กทักษะ นทิศทางเดียวกัน แรงลัพธจะเปนอยางไร
ขอ 1. หากแรงลัพธทกี่ ระทําตอวัตถุมคี า เปนศูนย วัตถุจะเคลือ่ นทีห่ รือไม เพราะอะไร
) คาของแรงลัพธ ะ ด ากการหักลางกัน 5 นักเรียนคิดวา แรงลัพธมีประโยชนตอชีวิตประจําวันของเราหรือไม อยางไร
ของแรงทั้งหมดบางสวน ่งแรงลัพธ ะมีทิศทาง 2. ู าพ วเ ียน ผน าพ ส ง รง ีกร าตอวัต ุ รง ัพธ ีเกิ กับวัต ุ
เดียวกันกับทิศทางของแรงที่มากกวา
) โตะเคลือ่ นที่ ปทางขวา ดวยแรงลัพธ เอกออกแรง 1 เอกออกแรง พ ออกแรง 1
1 2
เพราะธานีออกแรงกระทําตอโตะมากกวาโส า
) แรงลัพธ ะเทากับ ลรวมของแรงทั้งหมด
ของคน คน แรงลัพธ งมีทศิ ทางเดียวกับแรงทีม่ า
กระทํา
) วัต ุ มเคลื่อนที่ เพราะแรงที่มากระทําตอ ออกแรงดึงตูไม ออกแรง ลักตูเสื้อ า
วัต ุ ะหักลาง ่งกันและกัน นหมด
) มีประโยชน โดยสามาร นํามาใชในการ . ติ าพการเกิ รง ัพธ ง นสมุ าพ วบัน ก อมู ตามตัวอยาง
เคลือ่ นยายวัต หุ รือทําใหวตั เุ คลือ่ นที่ ป ดงา ยข้น
ะ จ ําตัว
ภาพนี้ คือ ............................................................................................................................
ขอ 2. าพ) ปร
(ติ น สมุด
ลักษณะแรงลัพธที่เกิดขึ้น .....................................................................................
) ึกลง
แรงกระทํา การนําไป ชประโยชน ...............................................................................................
ันท
แรงกระทํา ) แรงกระทํา )
T88
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ รป
ร
·Ñ¡ÉÐáË‹§ÈµÇÃÃÉ·Õè
✓การสื่อสาร ✓ ความรวมมือ ✓ การแกปญหา
2. ให นั ก เรี ย นดู ต ารางตรวจสอบตนเอง จาก
✓การสรางสรรค การคิดอยางมีวิจารณญาณ หนังสือเรียน หนา จากนั้นถามนักเรียน
✓การ ชเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร รายบุคคลตามรายการขอ 1-5 จากตาราง
กิจกรรม เพื่อตรวจสอบความรูความเขาใจของนักเรียน
ÊÌҧÊÃä¼Å§Ò¹ หลังจากเรียน หากนักเรียนคนใดตรวจสอบ
ตนเองโดยให อ ยู ใ นเก ที่ ค วรปรั บ ปรุ ง
แบงกลุม กลุมละ 3-4 คน จากนั้นชวยกันออกแบบและ ให ค รู ท บทวนบทเรี ย นหรื อ หากิ จ กรรมอื่ น
ประดิษฐกระถางแขวนสําหรับปลูกพืช โดยใหสมาชิกกลุมชวยกัน อมเสริม เพื่อใหนักเรียนมีความรูความใจใน
เลือกวัสดุอปุ กรณตามความเหมาะสม แลวนําเสนอแนวคิดในการ บทเรียนมากขึ้น
ออกแบบทีเ่ กีย่ วของกับแรงลัพธหนาชัน้ เรียน
ขัน้ ประ มน
ร
µÑÇÍ‹ҧ ¼Å§Ò¹¢Í§ ѹ 1. ครู ป ระเมิ น ผลจากการสั ง เกตพ ติ ก รรม
การตอบคําถาม พ ติกรรมการทํางานราย
บุคคล พ ติกรรมการทํางานกลุม และจาก
การนําเสนอผลการทํากิจกรรมหนาชั้นเรียน
2. ครูตรวจสอบผลการทําแบบทดสอบกอนเรียน
3. ครู ต รวจสอบผลการทํ า กิ จ กรรมที่ 1 เรื่ อ ง
การหาแรงลัพ จากในสมุดหรือแบบฝกหัด
วิทยาศาสตร ป.5 เลม 1
4. ครูตรวจผลการทํากิจกรรมหนูตอบไดในสมุด
ภาพที่ .12 ตัวอยางกระถางแ ที่ 1 ภาพที่ .1 ตัวอยางกระถางแ ที่ 2
หรือในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1
5. ครูตรวจผลการสรุปความรูเกี่ยวกับแรงลัพ
จากสมุด
6. ครูตรวจผลการทํากิจกรรมฝกทักษะบทที่ 1
ในสมุด หรือในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5
เลม 1
ภาพที่ .1 ตัวอยางกระถางแ ที่ 7. ครูตรวจสอบผลการทํากิจกรรมทาทายการคิด
ที่ า า ขั้นสูงในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1
79 8. ครูตรวจชิ้นงาน ผลงานกระถางแขวนสําหรับ
ปลู ก พื ช และการนํ า เสนอชิ้ น งาน ผลงาน
หนาชั้นเรียน
1 การออกแบบชิ้นงาน
รายการประเมิน 4
(ดีมาก)
ระดับคุณภาพ
3
(ดี)
2
(พอใช้)
1
(ปรับปรุง)
ประเมิน
การออกแบบ
ชิ้นงาน
ดีมาก (4)
ชิ้นงานมความ ูก ้อง าม ่
ออกแบบ ว้ มขนาด
เหมา สม รู แบบน่าสนใ
แ ลก า แล สร้างสรรค์ด
ดี (3)
ชิ้นงานมความ ูก ้อง าม ่
ออกแบบ ว้ มขนาด
เหมา สม รู แบบน่าสนใ
แล สร้างสรรค์
พอใช้ ( )
ชิ้นงานมความ ูก ้อง าม ่
ออกแบบ ว้ มขนาดเหมา สม
รู แบบน่าสนใ
ปรับปรุง ( )
ชิ้นงาน ม่ ูก ้อง าม ่
ออกแบบ ว้ มขนาด
ม่เหมา สม รู แบบ ม่
น่าสนใ
4. ไมทราบขนาดของแรงที่มากระทํา จึงสรุปไมได
2 การเลือกใช้วัสดุเพื่อสร้างชิ้นงาน การเลือกใช้วัสดุ เลือกใช้วัสดุมาสร้างชิ้นงาน เลือกใช้วัสดุมาสร้างชิ้นงาน เลือกใช้วัสดุมาสร้างชิ้นงาน เลือกใช้วัสดุมาสร้างชิ้นงาน
3 ความสมบูรณ์ของชิ้นงาน เพื่อสร้าง าม ่กาหนด ด้ ูก ้อง แล าม ่กาหนด ด้ ูก ้อง แล รง าม ่กาหนด แ ่วัสดุ ม่ม ม่ รง าม ่กาหนด แล
ชิ้นงาน วัสดุมความเหมา สมกับการ วัสดุมความเหมา สมกับการ ความเหมา สมกับการสร้าง วัสดุ ม่มความเหมา สมกับ
4 การสร้างสรรค์ชิ้นงาน สร้างชิ้นงานดมาก สร้างชิ้นงานด ชิ้นงาน ่ออกแบบ ว้ ชิ้นงาน ่ออกแบบ ว้
5 กาหนดเวลาส่งงาน ความสมบูรณ์ ชิ้นงานมความแขงแรง ชิ้นงานมความแขงแรง ชิ้นงาน ม่มความแขงแรง แ ่ ชิ้นงาน ม่มความแขงแรง
รวม ของชิน้ งาน น าน สามาร นา ใช้ น าน สามาร นา ใช้ สามาร นา ใช้งาน ด้บา้ ง แล ม่สามาร นา ใช้งาน
งาน ด้ ริงแล ใช้ ด้ดมาก งาน ด้ ริงแล ใช้ ด้ด ด้
กาหนดเวลาสง
งาน
กแ ่งชิ้นงาน ด้สว งามด
มาก
ส่งชิ้นงาน า ในเวลา ่
กาหนด
กแ ่งชิ้นงาน ด้สว งามด
ส่งชิ้นงานช้ากว่ากาหนด
วัน
กแ ่งชิ้นงาน ด้สว งามน้อ
ส่งชิ้นงานช้ากว่ากาหนดเกิน
3 วันข้น
ชิ้นงาน ม่มความสว งาม
ส่งชิ้นงานช้ากว่ากาหนดเกิน
5 วันข้น
ระดับคุณภาพ
อยูน งิ่ ในแนวเดียวกัน แตมที ศิ ทางมากระทําตรงขามกัน แรงทัง้ สอง ดีมาก ดี พอใช้ ปรับปรุง
T89
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นา
กระ น าม น
1. ครู ทั ก ทายกั บ นั ก เรี ย น จากนั้ น ถามคํ า ถาม
กระตุนความคิดวา ในชีวิตประจําวันนักเรียน º··Õè áçàÊÕ´·Ò¹
คิดวากิจกรรมใดบางที่จะทําใหเกิดแรงเสียด- ศัพทนารู
ทาน แลวใหนกั เรียนรวมกันแสดงความคิดเห็น คําศัพท คําอาน คําแปล
อยางอิสระ friction force 'ฟริคชัน ฟอซ แรงเสียดทาน
(แนวตอบ เชน การเขนร การเดิน) movement 'มูฟวมึนท การเคลื่อนที่
2. ครูขออาสาสมัครนักเรียน คน ออกมาทํา surface 'เซอเฟส พื้นผิว
กิจกรรม โดยใหนกั เรียนคนที่ 1 โยนลูก ตุ บอล
ใหกลิง้ ไปบนพืน้ ทีเ่ ปนสนามหญา และนักเรียน ¹ ÕÇÔµ ÃÐ ÒÇѹ
คนที่ โยนลูก ุตบอลใหกลิ้งไปบนพื้นที่เปน ¡Ô ¡ÃÃÁ ´ºŒÒ§
สนามปูน เี มนตเรียบ ดวยแรงเทา กัน แลว
ครูตั้งคําถามใหนักเรียนรวมกันอภิปราย ดังนี้
ุตบอ บ น เ น นามห า
? ·Õà¡Ô´
çàÊÕ´·Ò¹
แ น น เมนตแต ตา นอยา
ุตบอ หยุ อน เ า เหตุ
เ นเ นนน
3. ใหนกั เรียนรวมกันอภิปรายเกีย่ วกับคําถามและ
ตอบคําถามตามความเขาใจของนักเรียน โดย
ครูคอยชวยเสริมคําตอบของนักเรียนเพื่อให
นักเรียนมีความรูความเขาใจเพิ่มขึ้น movement
4. ครูแจงชื่อเรื่องที่จะเรียนรู และจุดประสงค
การเรียนรูใหนักเรียนทราบ
ขัน้ น
าร น า
1. นักเรียนชวยกันสังเกตภาพ จากหนังสือเรียน
surface friction force
หนานี้ แลวใหรวมกันแสดงความคิดเห็นวา
การปนจักรยานนั้นเกี่ยวของกับแรงเสียดทาน
หรือไม อยางไร ใหนกั เรียนแสดงความคิดเห็น
ตามความเขาใจของตนเอง 80
เกร็ดแนะครู
ในขั้นกระตุนความสนใจ ครูอาจจะใหนักเรียนใชหนังสือเรียน เลม
ทีม่ คี วามหนาและมีขนาดเทา กันมาเปดหนาหนังสือแตละเลมทับกันสลับไปมา
ที่ละหนาจนครบทั้งเลม แลวจึงใหนักเรียนคอย ดึงหนังสือออกจากกัน
นกเร นค รรู
นักเรียนเรียนรูและฝกอานคําศัพทวิทยาศาสตร ดังนี้
า าอาน าแ
ริคชัน อ แรงเสียดทาน
มู วมึนท การเคลื่อนที่
เ อเ ส พื้นผิว
เท็ค เชอ ผิวสัมผัส
T90
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ น
าร น า
กิจกรรม 2. นักเรียนเรียนรูคําศัพทที่เกี่ยวของกับการเรียน
นําสูก ารเรียน ในบทที่ จากภาพในหนังสือเรียน หนา
โดยครู สุ ม เลื อ กตั ว แทนหรื อ ขออาสาสมั ค ร
È¡ Òʶҹ¡Òà ·Õ¡íÒ˹´ãËŒ áŌǵͺ¤íÒ¶ÒÁ นักเรียน 1 คน ออกมาหนาชั้นเรียนเพื่อเปน
ผูอานนําและใหเพื่อนคนอื่น อานตาม
ºŒÒ¹ ͧ Á¹ àÅ¡ ÅÐ ºÍ‹ ¹ Á‹ºŒÒ¹à´ÕÂǡѹ (หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
Çѹ¹Õ·Ñ§ ¤¹ ¹Ñ´¡Ñ¹ è¹ Ñ¡ÃÂÒ¹à Íä àÅ‹¹·ÕÊǹ แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล)
ÊÒ ÒóРͧ Á‹ºŒÒ¹ §ÃÐ Ç‹Ò§·Ò§ÁÕºŒÒ¹ Åѧ ¹§ 3. ครูแบงกลุมนักเรียนกลุมละ 3-4 คน เกง
¡ÒÅѧµ‹ÍàµÔÁÃÑǺŒÒ¹ §ÁÕ´Ô¹·ÃÒºҧʋǹ¡ÃÐ ÒÂÍ‹º¹ Á¹Åͧ è¹ Ñ¡ÃÂÒ¹
º¹ ¹¤Í¹¡ÃÕµ คอนขางเกง ปานกลาง และออน จากนั้น
¹ ¹¹ ·Ò Œ¡ÒÃà´Ô¹·Ò§ ¹Çѹ¹Õà¡Ô´¤ÇÒÁÅÒºÒ¡ ºº Ç¡àÃÒÊÔ ใหแตละกลุมรวมมือกันศึกษาสถานการ ที่
àÃÒ è¹ä´ŒÊºÒÂàÅ กําหนดใหในกิจกรรมนําสูก ารเรียนจากหนังสือ
เรียนหนานี้ แลวชวยกันตอบคําถามโดยเขียน
คําตอบลงในสมุดและนําเสนอคําตอบของกลุม
à ͹ ‹ÇÂàÃÒ´ŒÇ หนาชั้น เพื่ออภิปรายและสรุปคําตอบรวมกัน
àÃÒ è¹ Ñ¡ÃÂÒ¹ ‹Ò¹
¹·ÃÒÂä´ŒÅÒºÒ¡ÁÒ¡ 4. นักเรียนแตละกลุม นําเสนอคําตอบ จากนัน้ รวม
กันสรุปคําตอบที่ถูกตอง
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม)
น ก กรรมนา การ รี น
เพราะพื้นทรายมีลัก ะของ ิวสัม ัสหยาบ
ขรุขระ ทําใหเกิดแรงเสียดทานระหวางลอร
ักรยานกับพื้นทราย งทําใหแมนปน ักรยาน
านพื้นทราย ดอยางยากลําบาก
¹Ñ¡àÃÕ¹¤Ô´Ç‹Ò à ÃÒÐà µ ´ Á¹ § ¹ Ñ¡ÃÂÒ¹ ‹Ò¹ ¹·ÃÒÂä´ŒÂÒ¡ÅÒºÒ¡ เกิดเหตุการ เชนเดียวกับแมน เพราะการปน
ักรยานบนพื้นทรายที่มี ิวสัม ัสที่หยาบ ง
Ò¡¹Ñ¡àÃÕ¹ÁÕ Í¡ÒÊä´Œ ¹ Ñ¡ÃÂÒ¹ ‹Ò¹ ¹·ÃÒ Ðà¡Ô´à µ¡ÒÃ³à ‹¹à´ÕÂǡѺ Á¹
ทําใหเกิดแรงตานทานการเคลื่อนที่ของลอร
ÃÍäÁ‹ à ÃÒÐÍÐäà ักรยาน
¡Òà ¹ Ñ¡ÃÂÒ¹ ‹Ò¹ ¹¤Í¹¡ÃÕµ¡Ñº ¹·ÃÒÂÁÕ¤ÇÒÁ µ¡µ‹Ò§¡Ñ¹Í‹ҧäà พื้นทรายเปนพื้น ิวที่มีลัก ะขรุขระ งทําให
81 เกิดแรงเสียดทานมากกวากวาพื้นคอนกรีตที่มี
ลัก ะเรียบกวา การปน ักรยาน านพื้น ิว
คอนกรีต งงายกวาพื้นทราย
T91
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ น
าร น า
5. ครูถามนักเรียนวา มีนกั เรียนคนใดเคยลากของ
บนพืน้ ถนนทีข่ รุขระบางหรือไม ถามีใหนกั เรียน
1. áçàÊÕ´·Ò¹
คนนัน้ กลาวความรูส กึ วาข ะทีล่ ากของวารูส กึ เมือ่ นักเรียนดันกลองหรือวัตถุอนื่ หเคลือ่ นทีไ่ ปตามพืน้ คอนกรีต เราจะ
อยางไร รูส กึ วาการเคลือ่ นทีข่ องกลองหรือวัตถุไมลนื่ ไหลคลายกั มีแรงชนิดหนึง่ ตานทาน
6. ครูอ ิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับแรงเสียดทานวา การเคลื่อนที่ของวัตถุไว ทํา หวัตถุเคลื่อนที่ไปไดยาก แรงตานทานนี้ เรียกวา
แรงเสียดทานเกิดจากการสัมผัสกันระหวางวัตถุ รงเสีย าน
ชนิด ดังนี้ แรงเสียดทานเกิดจากการสัม ัสกันระหวาง ิวของวัตถุกั พื้น ิวที่วัตถุ
ถาผิวสัมผัสของวัตถุทงั้ ชนิด เรียบ จะเกิด
แรงเสียดทานนอย วัตถุเคลื่อนที่ไดมาก
เคลือ่ นทีไ่ ป โดยทิศทางของแรงเสียดทานจะตรงขามกั ทิศทางการเคลือ่ นทีข่ อง
• ถาผิวสัมผัสของวัตถุทั้ง ชนิด ไมเรียบ จะ วัตถุ เชน การเข็นโตะ นพื้น ทิศทางของแรงเสียดทาน นพื้นจะตรงขามกั
เกิดแรงเสียดทานมาก วัตถุเคลื่อนที่ไดนอย ทิศทางการเคลื่อนที่ของโตะ จึงทํา หโตะเคลื่อนที่ชาลงจนกระทั่งหยุดนิ่งเมื่อเรา
7. นักเรียนศึกษาขอมูลและดูภาพในหนังสือเรียน หยุดออกแรงเข็น
หนานี้ จากนั้นครูใหนักเรียนตอบคําถามลงใน
เต กู ตุ บอ เ นร องเ น
สมุด ดังนี้
• า า ตา เ นเหตุ า บา
(แนวตอบ เดกเตะ ุตบอล เดกเขนร ของ
เลน เดกเลนส ลเดอร เดกเลนสเกตบอรด
เดกเลนสกี)
• น เ ยน วา ม น า เ ยว อ บ
แ เ ย านห อ ม เ น ส เ อร เ น สเกตบอร
(แนวตอบ เกี่ยวของ เพราะแรงเสียดทานเกิด
ากการสัม สั ระหวาง วิ ของวัต กุ บั พืน้ วิ
ที่วัต ุเคลื่อนที่ ป โดยมีทิศทางของแรงตรง
กันขามกับทิศทางการเคลือ่ นทีข่ องวัต ุ และ
ทุกกิ กรรมกเกิดแรงเสียดทานข้น) ภาพที่ .15 ตัวอยางกิจกรรมที่ทํา หเกิด
• น เ ยน วา ม น วต าอเา เ น สกี แรงเสียดทาน
เ ยว อ บแ เ ย านห อ ม อยา ¡Ô ¡ÃÃÁ ¹ ÕÇÔµ ÃÐ ÒÇѹ ͧàÃÒ
(แนวตอบ เกี่ยวของ เพราะการทํากิ กรรม à¡ÕÂÇ ŒÍ§¡Ñº çàÊÕ´·Ò¹
ตาง ของเรามักแรงเสียดทานเกี่ยวกับการ ÃÍäÁ‹ Í‹ҧäÃ
เคลือ่ น หวรางกายในการทํากิ กรรมตาง )
82
(หมายเหตุ : ครูเริม่ ประเมินนักเรียน โดยใช
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล)
T92
นํา สอน สรุป ประเมิน
หนวยการเรียนรูที่ 3 ขัน้ น
áç㹪ÕÇÔµ»ÃШíÒÇѹ าร น า
¡Ô¨¡ÃÃÁ·Õè 1 ัก กร บวนการ
างวิ ยาศาสตร ี
8. ครูแบงกลุมนักเรียนกลุมละ 3-4 คน เกง
คอนขางเกง ปานกลาง และออน โดยครู
ักษ ะของ รง สียดทาน 1. การวัด เป น ผู เ ลื อ กนั ก เรี ย นเข า กลุ ม จากนั้ น ให
2. การสังเกต
. การทดลอง แต ล ะกลุ ม ศึ ก ษาขั้ น ตอนการทํ า กิ จ กรรม
ดประสง ์ . การ ชจํานวน
ที่ 1 ลักษ ะของแรงเสียดทาน จากหนังสือ
5. การตั้งสมมติฐาน
1. ทดลองและอธิ าย ลของแรงเสียดทาน นพืน้ วิ ชนิดตาง . การกําหนดและคว คุมตัวแปร เรียนหนานี้
2. ระ ุ ลของแรงเสียดทานทีม่ ตี อ การเปลีย่ นแปลงการเคลือ่ นที่ .
.
การตีความหมายขอมูลและลงขอสรุป
การจัดกระทําและสื่อความหมายขอมูล 9. ครูใชวิ สี อนโดยใชการทดลอง
ของวัตถุ มาจัดกิจกรรมการเรียนรูในชั่วโมงนี้ จากนั้น
. เขียนแ นภาพแสดงแรงเสียดทานและแรงทีอ่ ยู นแนวเดียวกัน อ ิบายจุดประสงคของการทํากิจกรรม และ
ต้อง ตรียมต้อง ้ ขั้นตอนในการทํากิจกรรม ตอนที่ 1- และ
1. โตะเรียน 1 ตัว 5. หนังยาง เสน ระบุปญ หาทีเ่ กีย่ วของกับการทดลองวา ชนิด
2. าขนหนู 1 ืน . ลูกปงปอง 1 ลูก ของผิวสัมผัสมีผลตอขนาดของแรงเสียดทาน
. า ิวเรีย ืน . กระดาษแข็ง 1 แ น หรือไม
. ตลั เมตร 1 ตลั . หนังสือ 1 15 เลม นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ ม ช ว ยกั น ตั้ ง สมมติ าน
องทาดู µÍ¹·Õè แล ว บั น ทึ ก ลงในสมุ ด หรื อ ในแบบฝ กหั ด
1. แ งกลุม แลวรวมกันตั้งสมมติฐานวา ชนิดของ ิวสัม ัสมี ลตอขนาดของแรงเสียดทาน วิทยาศาสตร ป.5 เลม 1
หรือไม จากนั้นกําหนดตัวแปรที่เกี่ยวของกั การทดลองและ ันทึก ลลง นสมุด 11. นักเรียนแตละกลุมชวยกันทํากิจกรรมที่ 1
2. ทดลองเพื่อตรวจสอ สมมติฐาน โดยนําหนังสือมาวางซอนกัน นพื้นหอง หสูง 1 ตอนที่ 1 ตามขั้นตอนตาง ในหนังสือเรียน
เซนติเมตร แลวนําปลายแ นกระดาษแข็งดานหนึ่งวางพาด นกองหนังสือ แลวบันทึกผลลงในสมุด หรือในแบบฝกหัด
. วางลูกปงปองที่ปลายแ นกระดาษแข็งดาน น จากนั้นปลอย หลูกปงปองกลิ้งลงมา วิทยาศาสตร ป.5 เลม 1
ตามแ นกระดาษแข็ง และกลิ้งตอไป นพื้นหองจนกระทั่งหยุดนิ่ง 12. ครูคอยสังเกตการทํากิจกรรมของนักเรียน
. ชตลั เมตรวัดระยะทางที่ลูกปงปองกลิ้ง านไป โดย หเริ่มวัดจากปลายดานลางของแ น แตละกลุมอยางใกลชิด พรอมทั้งคอยให
กระดาษแข็งถึงจุดที่ลูกปงปองหยุดนิ่ง แลว ันทึก ล คําแนะนํากับนักเรียนที่มีขอสงสัย
ภาพที่ .1 การจัดเตรียมวัสดุอุปกรณ
สําหรั การทดลอง
83
T93
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ น
าร น า
13. นั ก เรี ย นแต ก ลุ ม ร ว มกั น ทํ า กิ จ กรรมที่ 1
ตอนที่ โดยศึกษาขั้นตอนการทํากิจกรรม
ในหนังสือเรียนหนานี้ และป ิบัติกิจกรรม
ตามขั้นตอนใหครบถวน แลวบันทึกผลลง 5. นํา าขนหนูมาวางตอจากปลายดานลางของแ นกระดาษแข็ง แลวปลอย หลูกปงปอง
ในสมุ ด หรื อ ในแบบฝกหั ด วิ ท ยาศาสตร กลิ้งมาตามแ นกระดาษแข็ง และกลิ้งตอไป น าขนหนูจนกระทั่งหยุดนิ่ง
ป.5 เลม 1 . ชตลั เมตรวัดระยะที่ลูกปงปองกลิ้ง านไปไดแลว ันทึก ล จากนั้นเปรีย เทีย ล
การทดลองทั้ง 2 ครั้ง
า ามร
. นําขอมูล ลการทดลองทั้ง 2 มาเขียนแ นภาพแสดงแรงเสียดทานและแรงที่อยู นแนว
1. ครูสุมเรียกตัวแทนนักเรียนทุกกลุมออกเสนอ เดียวกันที่กระทําตอวัตถุลง นสมุด จากนั้นรวมกันอภิปรายและสรุป ลภาย นชั้นเรียน
ผลการทํ า กิ จ กรรมที่ ห น า ชั้ น เรี ย น จากนั้ น
ครูและนักเรียนรวมกันสรุปความรูที่ไดจาก µÍ¹·Õè
การทํากิจกรรมจนไดขอสรุป ดังนี้ 1. หสมาชิกของกลุม 2 คน ชวยกันลาก
เมื่ อ ปล อ ยลู ก ปงปองกลิ้ ง ลงมาตามแผ น โตะเรียนจากจุดหนึง่ ไปอีกจุดหนึง่ แลว ห
กระดาษแข็งและบนพืน้ หอง ลูกแกวจะกลิง้ สังเกตการเคลือ่ นทีข่ องโตะและ นั ทึก ล
ไดระยะทางไกลกวาการปลอยลูกปงปองกลิง้ 2. นํา ามาวาง ตขาโตะทั้ง ขา แลว ช
ลงมาตามแผนกระดาษแข็งและผาขนหนู หนังยางมัด ากั ขาโตะ หแนน
แสดงวาขนาดของแรงเสียดทานที่เกิดขึ้น . ทดลองลากโตะอีกครั้ง แลว หสังเกต
มากหรือนอยนัน้ ขึน้ อยูก บั ผิวสัมผัสของวัตถุ การเคลื่อนที่ของโตะและ ันทึก ล
ทั้ง ชิ้น . แตละกลุม รวมกันอภิปราย ลการทดลอง
2. ครูสรุปความรูเพิ่มเติมใหนักเรียน งวา ถา และสรุป ลภาย นกลุม
ผิวสัมผัสของวัตถุทั้ง ชนิดเรียบ จะเกิด
แรงเสียดทานนอยทําใหวัตถุเคลื่อนที่ไดมาก ภาพที่ .1 ชหนังยางมัด ากั ขาโตะ ขา
แตถาผิวสัมผัสของวัตถุทั้ง ชนิดไมเรียบ
จะเกิดแรงเสียดทานมากทําใหวัตถุเคลื่อนที่ หนูตอบ ด้
ไดนอย . แรงเสียดทานจะมีมากหรือมีนอยขึ้นอยูกั สิ่ง ด เพราะอะไร
3. นั ก เรี ย นทุ ก กลุ ม ร ว มกั น อภิ ป รายผลการทํ า 2. ยกตัวอยางกิจกรรมที่ทํา หเกิดแรงเสียดทานมา 2 กิจกรรม
กิจกรรมจนไดขอสรุปวา แรงเสียดทานเปน . การเคลื่อนที่ของวัตถุมีความสัมพันธกั พื้น ิวสัม ัสหรือไม อยางไร
แรงที่ตานทานการเคลื่อนที่ของวัตถุ จึงมีผล . นักเรียนคิดวา การเตะลูก อลดวยแรงที่เทากัน นพื้นซีเมนตที่แหงกั สนามหญาที่เปยก
ตอการเคลื่อนที่ของวัตถุ แรงเสียดทานจะเกิด การเตะลูก อลที่ ริเวณ ดจะทํา หลูก อลเคลื่อนที่ไปไดไกลที่สุด เพราะอะไร
ขึน้ มากหรือนอยขึน้ อยูก บั นํา้ หนักของวัตถุและ
(หมายเหตุ คํา ามขอสุดทายของหนูตอบ ด เปนคํา ามที่ออกแบบให ูเรียน กใชทัก ะการคิดขั้นสูง
พื้นผิวสัมผัสของวัตถุ 84 คือ การคิดแบบใหเหตุ ล และการคิดแบบโตแยง ่ง ูเรียนอา เลือกตอบอยางใดอยางหน่งก ด ใหครู
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช พิ าร า ากเหตุ ลสนับสนุน)
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม)
น น การทาก กรรมที่
ขอ 4. ตา า บันทึกผลการทํากิจกรรม ตอน
• พื้น ีเมนตที่แหง เพราะมีลัก ะ ิวเรียบกวาพื้นสนามห า ทําให า อ า อ
ิวสัม ัสระหวางลูก ุตบอลกับพื้น ีเมนตมีแรงเสียดทานนอย ลูก ุตบอล า ต มม าหุม า ต บ น เกิดเสียงดัง โตะเคลื่อนที่ไดชา
งเคลื่อนที่ ด กล ออกแรงลากโตะมาก
• สนามห า ที่ เ ปยก เพราะมี ลั ก ะหยาบแต เ มื่ อ พื้ น ห า เปยกนํ้ า า ต ม าหุม า ต บ น ไมเกิดเสียงหรือเกิดเสียงนอย โตะจะ
ะทําใหลื่น งมีแรงเสียดทานกับลูก ุตบอลนอย เมื่อเตะลูก ุตบอล งทําให เคลื่อนที่ไดเร็ว ออกแรงลากโตะนอย
เคลื่อนที่ ด กล
ุ จากการทดลอง พบวา การเคลื่อนยายโตะที่ไมมีผาหุมขาโตะโดย
ลากไปกับพื้น ทําใหเคลื่อนยายโตะไดลําบากกวาการเคลื่อนยายโตะที่มีผาหุม
ขาโตะ แสดงวาการใชผาหุมขาโตะเปนการชวยลดแรงเสียดทาน จึงทําให
เคลื่อนยายโตะไดสะดวกและเร็วขึ้น
T94
นํา สอน สรุป ประเมิน
หนวยการเรียนรูที่ 3 ขัน้ น
áç㹪ÕÇÔµ»ÃШíÒÇѹ า าม า
แรงเสียดทาน
ภาพที่ .1 ตัวอยางแ นภาพแสดงการเกิดแรงเสียดทานระหวาง ิวของลูก ุต อลกั พื้นสนาม
แรงตานการเคลือ่ นทีข่ องวัตถุ ทีม่ ที ศิ ทางตรงขามกั การเคลือ่ นทีข่ องวัตถุ
จะมี ลตอการเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนที่ของวัตถุที่อยูนิ่ง นพื้น หรือวัตถุที่กําลัง
เคลื่อนที่ ดังนี้
ถาออกแรงกระทําตอวัตถุ ดที่อยูนิ่ง นพื้น ิวชนิดหนึ่ง หมีการเคลื่อนที่ไป
แรงเสียดทานจะตานการเคลื่อนที่ของวัตถุนั้น จึงมี ลทํา หวัตถุนั้นเคลื่อนที่ไดยาก
เชน การเข็นรถยนตที่จอดเสียอยู นถนนลูกรัง หเคลื่อนที่
ถาออกแรงกระทําตอวัตถุ ดที่กําลังเคลื่อนที่ แรงเสียดทานจะทํา หวัตถุนั้น
เคลื่อนที่ไดชาลงหรือหยุดเคลื่อนที่ เชน การเตะรั ลูก ุต อล นสนาม
85
T95
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ น
า าม า
4. ครู อ ิ บ ายเพิ่ ม เติ ม เกี่ ย วกั บ ป จ จั ย ที่ มี ผ ลต อ แรงเสียดทานเปนแรงตานทานการเคลื่อนที่ของวัตถุ ซึ่งแรงเสียดทานที่
แรงเสียดทานเพิ่มเติมจากสื่อดิจิทัล ดังนี้ เกิดขึ้นกั วัตถุจะมีคามากหรือมีคานอยขึ้นอยูกั ปจจัย ดังนี้
• นํ้าหนักหรือแรงกดของวัตถุที่กดลงบนพื้น ) นาหนัก รงก องวัต ุ
ถานํ้าหนักหรือแรงกดของวัตถุมาก จะเกิด • วัต ุมีนาหนักนอย แรงกดของวัตถุที่กระทําตอพื้น ิวจะมีนอย ทํา หมี
แรงเสียดทานมาก ถานํ้าหนักหรือแรงกด แรงเสียดทานนอย
ของวัตถุนอย จะเกิดแรงเสียดทานนอย
• ลักษ ะของพื้นผิวสัมผัส ถาพื้นผิวเรียบก็
จะเกิดแรงเสียดทานนอย ถาพืน้ ผิวไมเรียบก็
จะเกิดแรงเสียดทานมาก
แรงกด
นอย
ทิศทางที่วัตถุเคลื่อนที่ไป
แรงเสียดทานนอย
แรงกด
แรงกด มาก
มาก
ทิศทางที่วัตถุเคลื่อนที่ไป
แรงเสียดทานมาก
86 ยที ี ต รง สีย ทา
T96
นํา สอน สรุป ประเมิน
หนวยการเรียนรูที่ 3 ขัน้ น
áç㹪ÕÇÔµ»ÃШíÒÇѹ า าม า
2) นิ องพืนผิวสัมผัส 5. นักเรียนนําขอมูลที่ศึกษาเพิ่มเติม มาอภิปราย
พื นผิ ว เรี ย บ หากพื้ น ิ ว สั ม ั ส ของวั ต ถุ เกี่ยวกับลักษ ะของแรงเสียดทาน ผลของ
ทั้ง 2 ชนิด เรีย จะเกิดแรงเสียดทานนอย แรงเสี ย ดทานที่ มี ต อ วั ต ถุ และร ว มกั น สรุ ป
วัตถุจึงเคลื่อนที่ไดงาย ภายในชั้นเรียน โดยใหครูคอยอ ิบายเพิ่มเติม
ในสวนที่บกพรอง
6. นักเรียนแตละคนทํากิจกรรมหนูตอบไดจาก
ตัวอยาง พื้นผิวเรียบ เชน หนังสือเรียนหนา 4 ลงในสมุดหรือในแบบ
ฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล)
พื้นไมขัดมัน พื้นหินออน
สนามหญา พื้นคอนกรีตหยา
87
T97
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ น
า าม า
7. ครูกระตุนนักเรียนโดยตั้งคําถามใหนักเรียน
รวมกันแสดงความคิดเห็นวา หากไมมีแรง
.2 ผ อง รงเสีย าน
เสียดทาน จะมีผลตอการดําเนินชีวิตของเรา แรงเสียดทานที่เกิดขึ้นกั วัตถุ มี ลทํา หวัตถุเคลื่อนที่ชาลงหรือหยุดนิ่ง
หรือไม อยางไร ซึ่งอาจจะสง ลดีหรือ ลเสียตอการดํารงชีวิตของเราได เชน
8. นักเรียนใชความรูเ รือ่ ง แรงเสียดทานในการให
เหตุผลประกอบการอ ิบาย ผ ี อง รงเสีย าน ผ เสีย อง รงเสีย าน
1. แรงเสียดทานทีเ่ กิดขึน้ ระหวางพืน้ รองเทากั 1. แรงเสียดทานทํา หพื้นรองเทาสึกกรอนได
ขัน้ รป พืน้ ถนนขณะทีเ่ ราเดิน ทํา หเราไมลนื่ หกลม เมื่อ ชไปนาน
ร 2. แรงเสียดทานทีเ่ กิดขึน้ ระหวางมือของเรากั 2. แรงเสียดทานอาจทํา หเราเคลื่อนยายวัตถุ
ครูสุมนักเรียนตามเลขที่ 5- คน ใหออกมา วัตถุที่เราถือ ทํา หวัตถุไมลื่นและหลนจาก หรือสิ่งของ างอยางไดยากลํา ากมากขึ้น
อ บิ ายความรูเ กีย่ วกับผลของแรงเสียดทานทีม่ ตี อ มือของเรา เพราะตองออกแรงมากขึ้น
วัตถุ จากนัน้ ใหนกั เรียนทัง้ หองสรุปความรูร ว มกัน . แรงเสียดทานที่เกิดขึ้นระหวางลอรถตาง . แรงเสียดทานทํา หเกิดการสึกของดอกยาง
กั พื้น ิวถนน ทํา หลอรถตาง เกาะติด ลอรถตาง เมื่อ ชไปนาน
พื้น ิวถนนไดดี
ขัน้ ประ มน
ร
1. ครู ต รวจสอบการทํ า กิ จ กรรมนํ า สู ก ารเรี ย น
ในสมุด หรือในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5
เลม 1
2. ครู ต รวจสอบผลการทํ า กิ จ กรรมที่ 1 เรื่ อ ง
ลักษ ะของแรงเสียดทาน ในสมุดหรือในแบบ
ฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1
3. ครู ต รวจสอบผลการทํ า กิ จ กรรมหนู ต อบได
ในสมุดหรือในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 ภาพที่ .1 แรงเสียดทานระหวาง ิวของยางรถยนตกั พื้น ิวถนน
เลม 1 à¡Ãç´ ÇԷ¹ÒÃÙŒ
นข ะทีมีการเล่นสเกตนาแข็ง พืนรองเท้าสเกตของ ้เล่นจะละลายพืน ิวนาแข็ง
ทีตัด ่าน นาแข็งทีละลายจะกลายเ นแ ่นฟลมบาง ระหว่างพืนรองเท้าสเกตและ
พืนนาแข็ง ทา ห้แรงเสียดทานบนพืน ิวลดลง พืนนาแข็งจงลืนและทา ห้ ้เล่นไถลไ มา
บนพืนนาแข็งได้อย่างสะดวก
88
ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
............./.................../.............. ............./.................../..............
เกณฑ์การให้คะแนน
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินสมบูรณ์ชัดเจน
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินเป็นส่วนใหญ่
ให้
ให้
3 คะแนน
2 คะแนน
เกณฑ์การให้คะแนน
ป ิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ
ป ิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง
ป ิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง
ให้
ให้
ให้
คะแนน
คะแนน
คะแนน
ระหวางมือและเทาของเรากับพื้น ิว ูเขา ง ะทําใหปนเขา ด
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินบางส่วน ให้ 1 คะแนน
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
งายและเรวข้น ดังนั้น ขอ งเปนคําตอบที่ ูกตอง)
14-15 ดีมาก 14-15 ดีมาก
11-13 ดี 11-13 ดี
8-10 พอใช้ 8-10 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
T98
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
หนวยการเรียนรูที่ 3 ขัน้ นา
áç㹪ÕÇÔµ»ÃШíÒÇѹ กระ น าม น
T99
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ น
าร น า
2. นักเรียนศึกษาความรูเรื่องการใชประโยชน นอกจากนี้ นการทํากิจกรรม างอยางหากมีแรงเสียดทานเกิดขึ้นนอย
จากแรงเสี ย ดทาน จากหนั ง สื อ เรี ย น หน า
- แล ว ให ทุ ก คนแสดงความคิ ด เห็ น
อาจจะทํา หลื่นเกินไปและอาจทํา หเกิดอันตรายได จึงตองเพิ่มแรงเสียดทาน
เพิ่มเติมจากขอมูลที่ไดศึกษาเพื่อเตรียมตัว โดยการทํา หพื้น ิวทั้งสองสัม ัสกันมากขึ้น
ทํากิจกรรม ตัวอยางการเพิ่มแรงเสียดทาน
3. ครูใหนักเรียนเลนเกมการแขงขันตอบคําถาม
และแบงกลุมนักเรียนกลุมละ 3-4 คน เพื่อ การออก บบ อกยาง ว าย ี อร ตาง
ทํากิจกรรมการแขงขัน โดยใหนักเรียนแตละ เพื่อชวยทํา ห ิวสัม ัสระหวางลอรถกั พื้น ิวถนน
กลุมเขียนกิจกรรมตาง ในชีวิตประจําวันให เกิดแรงเสียดทานมากขึ้น ทํา หลอรถยึดเกาะถนนไดดี
ตรงกับหัวขอ โดยครูใหเวลาแตละกลุมระดม
ความคิดตามเวลาที่เหมาะสม ดังนี้
การลดแรงเสียดทาน
การเพิ่มแรงเสียดทาน
(แนวตอบ ใสรองเทาเตะ ุตบอลเปนการเพิ่ม
แรงเสียดทาน หยอดนํ้ามันประตูเปนการลด
แรงเสียดทาน)
4. นักเรียนสงตัวแทนกลุมออกมาเขียนคําตอบ
ของกลุมตัวเองบนกระดานหนาชั้นเรียน
5. ครูใหนักเรียนทุกคนชวยกันอภิปรายคําตอบ
ของเพื่อน และสรุปคําตอบที่ถูกตองรวมกัน
โดยมี ค รู ค อยตรวจสอบความถู ก ต อ งของ
คําตอบ ภาพที่ .21 ตัวอยางการเพิ่มแรงเสียดทาน
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม) การออก บบพืนรองเ ากี า การ เบรก องร จักรยาน
6. ครูอ ิบายเพิ่มเติมวา กิจกรรมตาง ตองการ เชน รองเทาของนักกี า ุต อลจะ เมื่อเรา ี คันเ รก กามปูหามลอจะ
แรงเสี ย ดทานไม เ ท า กั น บางกิ จ กรรมต อ ง มีพนื้ รองเทาเปนปุมหลาย ปุม เพือ่ เปน กดสัม ัสวงลอของรถจักรยานและเกิด
อาศัยแรงเสียดทานมาก เชน การเลนชักเยอ การเพิม่ แรงเสียดทานระหวางพืน้ รองเทา แรงเสียดทานเพิ่มขึ้น ทํา หรถจักรยาน
การเล น ุ ต บอล การขั บ ขี่ ร ถยนต และใน กั พื้นสนาม และชวยปองกันการลื่น ชะลอความเร็วหรือหยุดเคลื่อนที่ได
บางกิจกรรมตองการแรงเสียดทานนอย เชน หกลม นขณะวิ่ง
การเลนกระดานลื่น การเคลื่อนยายสิ่งของไป
90
บนพื้นผิวตาง ดังนั้น จึงตองมีการเพิ่มหรือ
ลดแรงเสี ย ดทานให เ หมาะสมกั บ กิ จ กรรม
ตาง
ขอสอบเนน การคิด น O-NET
น า อ า อ บเ ยว นบน น ว ตา วยตา น
ตา า แ นา อ แ า เมอ อ เ มเ อน บน น ว ตา
อ น ว นา อ แ า เมอ อ เ มเ อน นวตน
ชนิดที่ 1 5
ชนิดที่
ชนิดที่ 3
ชนิดที่ 4
า อม า า อ บน น ว น เ แ เ ย านมา ุ
1. ชนิดที่ 1 . ชนิดที่
3. ชนิดที่ 3 4. ชนิดที่ 4
(วเ า ห าตอบ การลากกลองบนพื้น ิวชนิดที่ ใชแรงมากที่สุด กลอง ง ะเริ่มเคลื่อนที่
แสดงวา พื้น ิวชนิดที่ มีแรงเสียดทานมากที่สุด ดังนั้น ขอ งเปนคําตอบที่ ูกตอง)
T100
นํา สอน สรุป ประเมิน
หนวยการเรียนรูที่ 3 ขัน้ น
áç㹪ÕÇÔµ»ÃШíÒÇѹ า ามร
กิ กรร st
y เกร็ดแนะครู
ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-5 คน จากนั้นใหสืบคน ครู อ าจอ ิ บ ายเพิ่ ม เติ ม เพื่ อ เชื่ อ มโยงกั บ ชี วิ ต ประจํ า วั น ให นั ก เรี ย นรู ว า
ขอมูลเกี่ยวกับเครื่องเลนในสวนสนุกหรือการเลนกี าชนิดตาง การเรียนเรื่องแรงเสียดทานทําใหเขาใจและมีความระมัดระวังในการเคลื่อนที่
วาเครื่องเลนหรือกี าชนิดนั้น ตองการแรงเสียดทานในการเลน เชน พื้นผิวที่เปยกจะมีแรงเสียดทานนอย หากเราเดินอยางไมระมัดระวังอาจ
มากหรือนอย และเกิดแรงเสียดทานบริเว ใด จากนัน้ ใหแตละกลุม ลื่นหกลมได หรือเมื่อมือเราเปยกนํ้าแลวเราถือแกวนํ้า อาจทําใหแกวนํ้าลื่น
นําเสนอผลงานหนาชั้นเรียนดวยวิ ีการที่หลากหลายและนาสนใจ หลุดมือตกพื้นและแตกไดงาย เพราะแรงเสียดทานระหวางมือที่เปยกนํ้ากับผิว
แกวมีนอย
T101
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ น
า าม า
2. นั ก เรี ย นแต ล ะคนศึ ก ษาแผนผั ง ความคิ ด ÊÃØ» ÊÒÃ ÊÒ
»ÃШíÒº··Õè 2
สรุปสาระสําคัญ ประจํา
บทที่ 1 จากหนังสือเรียนหนานี้ เพื่อตรวจสอบ น้ ําหนักน้อย แรงเสียดท
านนอ้
ย
กับการเขียนสรุปความรูท นี่ กั เรียนทําไวในสมุด ักมาก แรงเสี
ย ด ท า น มาก น้ ําห
น้ ําหน นักแ
3. นั ก เรี ย นทํ า กิ จ กรรมฝกทั ก ษะบทที่ จาก ละ
ทานน้อย
หนังสือเรียน หนา 3- 4 ขอ 1-5 ลงในสมุด บ แ รงเสียด ชนิดข
ท าน มา ก
แร
ีย
ผิวเร งเสียด องพ้
งก
หรือในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1 พ้ืน แ ร ืนผิว
เรียบ สัม
ดขอ
ิว ม ุสองชนิ ด ผัส
4. นักเรียนแบงกลุม โดยใชกลุมเดิมจากชั่วโมง ผ ัสของวัต
พ้ืน ผ ิ ว สัมผ ท่ีของวัต ุ ค วา ม ห ม า
ง วั ต ุ
ที่ผานมา จากนั้นศึกษากิจกรรมสรางสรรค ว าง คล่ือน ย
ร ะห กา รเ
้น า น
ผลงาน บทที่ จากหนังสือเรียน หนา 5 แลว ดข ้ า น ท
ต
นแ ีเ่ กิ
ใหป ิบัติกิจกรรมโดยมีขั้นตอน ดังนี้ ด ย แ รงท ง
1 ออกแบบพื้นรองเทาทีมีพื้นผิวสําหรับการ ร
ผี
เป
ล
ใชงานของผูสูงอายุ จยั ทม่ี
ปัจ
นําเสนอแนวคิดและผลงานภายในชัน้ เรียน ะ ย ช น์
้ปร
(หมายเหตุ : ครูเริม่ ประเมินนักเรียน โดยใชแบบ ใช
มฐ ว ป ป กา
ร
กา
สังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม) รเข
5. นักเรียนทําทบทวนทายหนวยการเรียนรูที่ 3
แรงเสียดทาน ยี
นแ
ผล
เรื่อง แรงในชีวิตประจําวัน จากแบบฝกหัด
ผน
เก
ท่ี
วิทยาศาสตร ป.5 เลม 1 ดิ ข
ภา
เช ้น
พแ
6. ครูใหนักเรียนทําแบบทดสอบหลังเรียนของ นอ
อกแ
สดง
บบด
การ
แรง
ใชน้
ความเขาใจหลังเรียน ง่ิ
นห ุ น
้ าํ ม
ยด
การสร
ลอ ทาํ ใหว้ ต ่ า้ ลง
ั เุ คลื่อนทีช หรอื ห
ั
ลน
่ื หย
ขัน้ รป ดเคร่อ
ื งจักร
า้ ง น
ร
นใ
นผ ทิศทางการเคลื่อนที่ของวัต ุ
หพ้
ประโยชนจากแรงเสียดทาน ในการทํากิจกรรม นน
เรย
ี บขน
้ แรงเสียดทาน
ตาง ในชีวิตประจําวัน
92
เกร็ดแนะครู
เมือ่ เรียนจบบทนีแ้ ลว ครูอาจใหนกั เรียนตัง้ คําถามทีอ่ ยากรูเ พิม่ เติมเกีย่ วกับ
เรื่องแรงเสียดทาน คนละ 1 คําถาม จากนั้นครูสุมเรียกใหนักเรียนบอกคําถาม
ของตนเอง แลวใหเพื่อนคนอื่น ในชั้นเรียนชวยกันแสดงความคิดเห็นวา จะใช
วิ ีการทางวิทยาศาสตรตอบคําถามนี้ไดยางไร โดยครูทําหนาที่เปนผูชี้แนะและ
สังเกตการทํากิจกรรมของนักเรียนอยางใกลชิด
ครูสามารถใชแบบทดสอบหลังเรียนที่แนบมาทายแผนการจัดการเรียนรู
ของหนวยการเรียนรูที่ 3 แรงในชีวิตประจําวันได
T102
นํา สอน สรุป ประเมิน
น ก กรรม กทักษะ
กิจกรรม º··Õè 2 ขอ 1.
ฝกทักษะ ) การ ดุ มขดี ทําใหเกิดแรงเสียดทานมาก
ระหวางหัว มขดี กับบริเว ดานขางกลอง มขดี
. สังเกต าพ วอธิบายวาเกียว องกับ รงเสีย านอยาง ร งทําใหเกิด ด
1. 2. 3. ) การเลน ลบนพื้นหิมะ ะทําใหเกิดแรง
เสียดทานนอย แ นรองนั่ง งลื่น ล ดดี
) ลอ ักรยานที่มีดอกยางเยอะ ทําให ิวสัม ัส
ระหวางลอ ักรยานและพื้น นนยดเกาะกัน ดดี
งชวยเพิ่มแรงเสียดทาน ทําให ักรยาน มลื่น ล
จุดไมขีดไ เลนกระดานหิมะ ปนจักรยาน ) ลูกลอของตูชวยลดแรงเสียดทานระหวางลอ
4. 5. 6. กับพืน้ วิ ทําใหตเู คลือ่ นทีบ่ นพืน้ วิ ขรุขระ ดงา ยข้น
) การสวมรอยเทามีพื้น ิวขรุขระทําใหวิ่งบน
พื้นเรียบ ดสะดวก เพราะทําใหเกิดแรงเสียดทาน
ข ะวิ่ง ง มหกลม ดงาย
) การขับร บนพืน้ นนทีม่ ี วิ เรียบ ะทําใหเกิด
เข็นสิ่งของ วิ่งออกกําลังกาย รถพวง รรทุกเรือ แรงเสียดทานระหวางลอร ยนตกับพื้น นน
ขอ 2. ทิศทางการเคลื่อนที่ของวัตถุ
2. สังเกต าพ วเ ียน ผน าพ ส ง รงเสีย าน เกิ
ี น ง นสมุ
) แรงเสียดทาน
1. 2. 3.
ทิศทางการเคลื่อนที่ของวัตถุ
)
แรงเสียดทาน
) ทิศทางการเคลื่อนที่ของวัตถุ
แรงเสียดทาน
ขี่จักรยานยนต เข็นกลอง ลากกระเปา
ขอ 3.
. ตอบคา ามตอ ปนี ) พืน้ นนทีเ่ ปยกนํา้ น ะทําใหพนื้ วิ นนลืน่
1 ขณะ นตก ิวสัม ัสของถนนจะมีแรงเสียดทานมากหรือนอย เพราะอะไร งมีแรงเสียดทานนอย เพราะเมื่อพื้น ิว นนเปยก
2 แรงเสียดทานมีแนวแรง นทิศทาง ด จงเขียนแ นภาพและอธิ ายประกอ นํ้า ะชวยลดแรงเสียดทานใหนอยลง
นักเรียนสามารถเตะ ุต อลกั เพื่อน นสนามหญาที่พื้นดินเปยกและแฉะ ) แรงต า นทานการเคลื่ อ นที่ ข องวั ต ุ ่ ง มี
ไดลํา ากหรือไม เพราะเหตุ ด ทิศทางตรงขามกับการเคลื่อนที่ของวัต ุนั้น
) ดลําบาก เพราะสนามห าที่เปยกและแ ะ
93
นํ้า ะทําใหลดแรงเสียดทาน งทําใหการเคลื่อนที่
ในการเตะลูก ุตบอลทํา ดลําบากกวาปกติ
T103
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ รป
ร
2. ครูใหนักเรียนดูตารางตรวจสอบตนเอง จาก
หนังสือเรียน หนา 1 จากนั้นถามนักเรียน . พิจารณา อมู ีกาหน วตอบคา าม
เปนรายบุคคลตามรายการขอ 1-5 จากตาราง กุกทดลองลากกลอง 1 นพืน้ วิ ลักษณะตาง ดวยเครือ่ งชัง่ สปริงแ แขวน
เพื่อเปนการตรวจสอบความรูความเขาใจของ และอานขนาดของแรงเมื่อกลองเคลื่อนที่ได ล ดังนี้
นั ก เรี ย นหลั ง จากเรี ย น หากนั ก เรี ย นคนใด
ตรวจสอบตนเองโดยให อ ยู ใ นเก ที่ ค วร
ัก ณ องพืนผิว นา อง รง ี าก (นิวตัน)
ปรับปรุง ใหครูทบทวนบทเรียนหรือหากิจกรรม ชนิดที่ 1 4
อื่ น มา อ มเสริ ม เพื่ อ ให นั ก เรี ย นมี ค วามรู ชนิดที่ 2 6
ความเขาใจในบทเรียนมากขึ้น ชนิดที่ 8
1 การลากกลอง นพื้น ิวชนิด ดเกิดแรงเสียดทานมากที่สุด สังเกตจากสิ่ง ด
2 การลากกลอง นพื้น ิวชนิด ดเกิดแรงเสียดทานนอยที่สุด สังเกตจากสิ่ง ด
5. อานส านการณ ีกาหน ห วตอบคา าม
รังสรรคขั รถสปอรตหรูออกจาก านดวย
ความเร็วสูง ซึ่งเขามั่น จ นความชํานาญเสนทาง
น ก กรรม กทักษะ ของตนเองมาก เนื่องจากเปนเสนทางที่ ชเปน
ขอ 4.
ประจํา และเขาก็มีความเชื่อมั่น นประสิทธิภาพ
) ชนิดที่ สังเกต ากขนาดของแรงที่ใชลาก ของรถที่มีราคาแพง แต นขณะนั้นเองถนนเสนนี้
มากที่สุด งทําใหกลองเคลื่อนที่ ด เกิดมี นตกกะทันหัน และตกหนักอยางตอเนื่อง
) ชนิดที่ สังเกต ากขนาดของแรงที่ใชลาก แตรังสรรคก็ยังคงขั รถดวยความเร็วเชนเดิม
นอยที่สุด งทําใหกลองเคลื่อนที่ ด ตลอดเสนทาง
ขอ 5.
) รังสรรคอา ประสบอุบตั เิ หตุร ควํา่ เนือ่ ง าก 1 นักเรียนคิดวา ถารังสรรคยังคงขั รถดวยความเร็วเชนนี้ไปตลอดเสนทาง
นํ้ า น ะทํ า ให พื้ น ิ ว ของ นนลื่ น งอา ทํ า ให ที่มี นตกหนัก ลจะเปนอยางไร และเพราะเหตุ ดจึงเปนเชนนั้น
เกิดแรงเสียดทานระหวางพื้น ิวของ นนกับยาง 2 นักเรียนคิดวา รังสรรคจะมีวิธีปองกันไม หเกิดความเสียหายตอตนเองและรถ
ลอร ยนตนอยลง อา ทํารังสรรคควบคุมทิศทาง ไดอยางไร าง กิจกรรม ทาทายการคิดขัน้ สูง
ของร ยนต ม ด
) ขับร ยนตอยางชา และเพิ่มความระมัด
94
ระวังข ะขับร หรือควรหาส านที่หลบ นกอน
เมื่อ นหยุดตก งคอยเดินทางตอ
T104
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ ประ มน
ร
·Ñ¡ÉÐáË‹§ÈµÇÃÃÉ·Õè
✓การสื่อสาร ✓ ความรวมมือ ✓ การแกปญหา
1. ครูประเมินผลจากการสังเกตพ ติกรรมการ
✓การสรางสรรค ✓ การคิดอยางมีวิจารณญาณ ตอบคําถาม พ ติกรรมการทํางานรายบุคคล
✓การ ชเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร พ ติกรรมการทํางานกลุม และจากการนํา
กิจกรรม เสนอผลการทํากิจกรรมหนาชั้นเรียน
ÊÌҧÊÃä¼Å§Ò¹ 2. ครูตรวจผลการทํากิจกรรมสรุปความรูเ กีย่ วกับ
แรงเสียดทานจากสมุด
แบงกลุม กลุม ละ 3-4 คน แลวชวยกันออกแบบและประดิษฐ 3. ครูตรวจผลการทํากิจกรรมฝกทักษะบทที่
รองเทาที่มีพื้นผิวเหมาะสําหรับการใชงานของผูสูงอายุ จากนั้น ในสมุด หรือในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5
นําเสนอแนวคิดและผลงานภายในชั้นเรียน แลวนําไปทดสอบ เลม 1
การใชงานกับผูสูงอายุและนํากลับมาปรับปรุงใหเกิด 4. ครูตรวจสอบผลการทํากิจกรรมทาทายการคิด
ความเหมาะสม เพื่อประดิษฐสําหรับใชงานตอไป ขั้นสูงในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1
5. ครูตรวจชิน้ งาน ผลงานรองเทาสําหรับผูส งู อายุ
µÑÇÍ‹ҧ ¼Å§Ò¹¢Í§ ѹ
และการนําเสนอชิ้นงาน ผลงาน หนาชั้นเรียน
6. ครูตรวจสอบผลการทํากิจกรรมทบทวนทาย
หนวยการเรียนรูท ี่ 3 เรือ่ ง แรงในชีวติ ประจําวัน
ในแบบแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1
7. ครูตรวจสอบผลการทําแบบทดสอบหลังเรียน
ของหนวยการเรียนรูที่ 3
95
วัตถุเคลื่อนที่ไดงาย
แบบประเมินการออกแบบและประดิษฐ์พื้นผิวรองเท้าสาหรับการใช้งานของผู้สูงอายุ ประเมิน ดีมาก (4) ดี (3) พอใช้ ( ) ปรับปรุง ( )
การออกแบบ ชิ้นงานมความ ูก ้อง าม ่ ชิ้นงานมความ ูก ้อง าม ่ ชิ้นงานมความ ูก ้อง าม ่ ชิ้นงาน ม่ ูก ้อง าม ่
ระดับคุณภาพ ชิ้นงาน ออกแบบ ว้ มขนาด ออกแบบ ว้ มขนาด ออกแบบ ว้ มขนาดเหมา สม ออกแบบ ว้ มขนาด
ลาดับที่ รายการประเมิน 4 3 2 1 เหมา สม รู แบบน่าสนใ เหมา สม รู แบบน่าสนใ รู แบบน่าสนใ ม่เหมา สม รู แบบ ม่
(ดีมาก) (ดี) (พอใช้) (ปรับปรุง) แ ลก า แล สร้างสรรค์ด แล สร้างสรรค์ น่าสนใ
3. แข็งและเรียบ เกิดแรงเสียดทานนอย
1 การออกแบบชิ้นงาน การเลือกใช้วัสดุ เลือกใช้วัสดุมาสร้างชิ้นงาน เลือกใช้วัสดุมาสร้างชิ้นงาน เลือกใช้วัสดุมาสร้างชิ้นงาน เลือกใช้วัสดุมาสร้างชิ้นงาน
2 การเลือกใช้วัสดุเพื่อสร้างชิ้นงาน เพื่อสร้าง าม ่กาหนด ด้ ูก ้อง แล าม ่กาหนด ด้ ูก ้อง แล รง าม ่กาหนด แ ่วัสดุ ม่ม ม่ รง าม ่กาหนด แล
3 ความสมบูรณ์ของชิ้นงาน ชิ้นงาน วัสดุมความเหมา สมกับการ วัสดุมความเหมา สมกับการ ความเหมา สมกับการสร้าง วัสดุ ม่มความเหมา สมกับ
สร้างชิ้นงานดมาก สร้างชิ้นงานด ชิ้นงาน ่ออกแบบ ว้ ชิ้นงาน ่ออกแบบ ว้
4 การสร้างสรรค์ชิ้นงาน
ความสมบูรณ์ ชิ้นงานมความแขงแรง ชิ้นงานมความแขงแรง ชิ้นงาน ม่มความแขงแรง แ ่ ชิ้นงาน ม่มความแขงแรง
5 กาหนดเวลาส่งงาน ของชิน้ งาน น าน สามาร นา ใช้ น าน สามาร นา ใช้ สามาร นา ใช้งาน ด้บา้ ง แล ม่สามาร นา ใช้งาน
วัตถุเคลื่อนที่ไดงาย
รวม งาน ด้ ริงแล ใช้ ด้ดมาก งาน ด้ ริงแล ใช้ ด้ด ด้
4 การสร้างสรรค์ กแ ่งชิ้นงาน ด้สว งามด กแ ่งชิ้นงาน ด้สว งามด กแ ่งชิ้นงาน ด้สว งามน้อ ชิ้นงาน ม่มความสว งาม
ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ชิ้นงาน มาก
............./.................../..............
กาหนดเวลาสง ส่งชิ้นงาน า ในเวลา ่ ส่งชิ้นงานช้ากว่ากาหนด ส่งชิ้นงานช้ากว่ากาหนดเกิน ส่งชิ้นงานช้ากว่ากาหนดเกิน
4. แข็งและขรุขระ เกิดแรงเสียดทานมาก
งาน กาหนด วัน 3 วันข้น 5 วันข้น
ระดับคุณภาพ
ดีมาก ดี พอใช้ ปรับปรุง
T105
Chapter Overview
นการ ั ักษ ะ
่ ที่ ช ประ น ประ มน ทักษะที่
การ ร นร ัน ึ ประ
น ที่ แ ทดสอ กอนเรียน 1. ระ ุตัวกลางของเสียง แ สื เสาะ ตรวจแ ทดสอ กอนเรียน ทักษะการสังเกต มีวินัย
ั หนังสือเรียนวิทยาศาสตร แตละประเภทได หาความรู ตรวจกิจกรรม นสมุดหรือ ทักษะสํารวจคนหา เรียนรู
ข ป.5 เลม 1 2. อธิ ายการเคลื่อนที่ 5 นแ กหัดวิทยาศาสตร ทักษะการระ ุ มุงมัน่ น
2 แ กหัดวิทยาศาสตร ของเสียง านตัวกลาง
ป.5 เลม 1 ตาง ได
การนําเสนอ ลการทํา
กิจกรรม
ทักษะการสรุป
อางอิง
การทํางาน
ชั่วโมง
วัสดุ อุปกรณการทดลอง . ทดลองเกี่ยวกั การ สังเกตพ ติกรรมการทํางาน ทักษะการวิเคราะห
กิจกรรมที่ 1 เคลื่อนที่ของเสียง าน ราย ุคคล
- PowerPoint ตัวกลางตาง ไดคร สังเกตพ ติกรรมการทํางาน
สมุดประจําตัวนักเรียน ทุกขั้นตอน กลุม
. มีความมุงมั่น นการ สังเกตคุณลักษณะ
ทํากิจกรรมอยางตั้ง จ อันพึงประสงค
T106
นการ ั ักษ ะ
่ ที่ ช ประ น ประ มน ทักษะที่
การ ร นร ัน ึ ประ
น ที่ หนังสือเรียนวิทยาศาสตร 1. อธิ ายลักษณะการเกิด แ สื เสาะ ตรวจกิจกรรม นสมุดหรือ ทักษะการสังเกต มีวินัย
ป.5 เลม 1 เสียงดัง เสียงคอยได หาความรู นแ กหัดวิทยาศาสตร ทักษะสํารวจคนหา เรียนรู
แ กหัดวิทยาศาสตร 5 การนําเสนอ ลการทํา ทักษะการระ ุ มุงมัน่ น
2 ป.5 เลม 1 2. ออกแ การทดลอง
วัสดุ อุปกรณการทดลอง เพือ่ อธิ ายการเกิด
กิจกรรม
สังเกตพ ติกรรมการทํางาน
ทักษะการสรุปอาง การทํางาน
ทักษะการวิเคราะห
ชั่วโมง
กิจกรรมที่ เสียงดัง เสียงคอยได การเรียนรู ราย ุคคล ทักษะการทํางาน
โทรศัพทหรือวิทยุ แ รวมมือ สังเกตพ ติกรรมการทํางาน กลุม
สมุดประจําตัวนักเรียน . ชเครื่องมือเพื่อวัด เทคนิคการ กลุม ทักษะการจําแนก
ระดั เสียงได เรียนรูรวมกัน สังเกตคุณลักษณะ ประเภท
. มีการทํางานรวมกั อันพึงประสงค
อู นื่ ไดอยางสรางสรรค
..
น ที่ 5 แ ทดสอ หลังเรียน 1. อธิ ายเกี่ยวกั มลพิษ แ สื เสาะ ตรวจแ ทดสอ หลังเรียน ทักษะการสังเกต มีวินัย
หนังสือเรียนวิทยาศาสตร ทางเสียงและอันตราย หาความรู ตรวจกิจกรรม นสมุดหรือ ทักษะการวิเคราะห เรียนรู
ป.5 เลม 1 จากมลพิษทางเสียงได 5 นแ กหัดวิทยาศาสตร ทักษะการระ ุ มุงมัน่ น
2 แ กหัดวิทยาศาสตร
ป.5 เลม 1 2. เสนอแนะแนวทาง
การนําเสนอชิ้นงาน ลงาน
ตรวจชิ้นงาน ลงาน
ทักษะการสรุป
อางอิง
การทํางาน
ชั่วโมง
วัสดุ อุปกรณกิจกรรม นการหลีกเลี่ยงและ แ จําลองโทรศัพท ทักษะการเชื่อมโยง
สรางสรรค ลงาน ลดมลพิษทางเสียง สังเกตพ ติกรรมการทํางาน ทักษะการนํา
สื่อดิจิทัล นรูปแ ตาง ได ราย ุคคล ความรูไป ช
มลพิษทางเสียง สังเกตพ ติกรรมการทํางาน ประโยชน
สมุดประจําตัวนักเรียน . ตระหนัก นคุณคาของ กลุม ทักษะการสํารวจ
ความรูเรื่องระดั เสียง สังเกตคุณลักษณะ คนหา
อันพึงประสงค
T107
Chapter Concept Overview
1. การ น ี าน ั ก า
เสียง เปนพลังงานรูปหนึ่งที่เราสามารถรั รูไดโดยการ ง านทางหู เสียงเคลื่อนที่
ออกจากแหลงกําเนิดเสียงและแ กระจายไดทุกทิศทาง เสียงเดินทาง านตัวกลางของเสียง
เสมอ เมื่อแหลงกําเนิดเสียงเกิดการสั่นสะเทือน จะถายโอนพลังงานไปยังอนุภาค กลเคียง
หสั่นอยางตอเนื่องมาถึงหูของ ู ง หากตัวกลางของเสียงหยุดสั่น ู งก็จะไมไดยินเสียง
ด
ตัวก าง องเสียง คือ วัตถุหรือสิ่งตาง ที่เสียงสามารถเดินทาง านได มี ประเภท
ไดแก ของแข็ง ของเหลว และอากาศ โดยที่เสียงจะเดินทาง านตัวกลางที่เปนของแข็งได
เร็วกวาตัวกลางที่เปนของเหลวและอากาศ ตามลําดั
การที่ ู ง จะไดยนิ เสียง ด ตองมีองคประกอ คร อยาง ไดแก แหลงกําเนิดเสียง
ตัวกลางของเสียง และอวัยวะรั เสียง หู
T108
หน่วยการเรียนรู้ที่ 4
เสียง ัง เสียงคอย
เปนสม ัติของเสียงที่เรียกวา ความ ัง องเสียง เสียงตาง ที่เราไดยินจะเปนเสียงดังหรือเสียงคอย ขึ้นอยูกั ปจจัย ดังนี้
ความ ัง องเสียง
ปจจัย ีมีผ า หเกิ เสียง ัง เสียงคอย
เสียง ัง เสียงคอย
1. ระยะทางจากแหลงกําเนิดเสียง กลแหลงกําเนิดเสียง ✓
ไกลแหลงกําเนิดเสียง ✓
2. พลังงาน นการสั่นสะเทือนของแหลงกําเนิดเสียง สั่นดวยพลังงานมาก ✓
สั่นดวยพลังงานนอย ✓
ัน รา ากม ษทา ี
ม พิ างเสียง คือ เสียงทีม่ คี วามดังมากจนกอ หเกิดอันตรายตอเยือ่ แกวหู เชน เสียงพลุ หรือเสียง างเสียงทีไ่ มดงั มากจนมีอนั ตราย
แตอาจกอ หเกิดความรูสึกหงุดหงิดและรําคาญได เชน เสียงสุนัขเหา
การรั งสียงที่มีระดั ความเขมเสียงตั้งแต 5 เดซิเ ลขึ้นไป ติดตอกันเปนเวลานาน หรือเกินวันละ ชั่วโมง อาจทํา หเยื่อแกวหู
เปนอันตราย เกิดอาการมึนงง หรือตัดสิน จ นเรื่องตาง ิดพลาดได เสียงเครื่อง ิน
เสียงประทัด กําลัง ิน
เสียงเครื่องตัดหญา
เสียงพูดเ า เสียงพูดคุยปกติ
เสียงกระซิ 125 dB 140 dB
90 dB
60 dB
30 dB
เ ิเบ ( )
แนวทางการปองกันและหลีกเลี่ยงมลพิษทางเสียงทําไดหลายวิธี เชน
สถานทีท่ อี่ ยู กลถนน หญ ควรปลูกตนไมสงู หรือสรางกําแพง เพือ่ ชเปนแนวกัน้
เสียง
หากตองทํางาน กลเครื่องจักรหรือ ริเวณที่มีเสียงดังมาก เปนเวลานาน ควรมี
อุปกรณครอ หู
หากเราไดยินเสียงที่ดังมาก อยางกะทันหัน เชน เสียง า า เสียงพลุ ควร ชมือ
อุดหูทันที
T109
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นา
4
กระ น าม น หนวยการเรียนรู ี
1. ครูใหนกั เรียนทําแบบทดสอบกอนเรียน เพือ่ วัด
ความรูเดิมของนักเรียนกอนเขาสูบทเรียน
2. ครู ใ ห นั ก เรี ย นอ า นสาระสํ า คั ญ และดู ภ าพ
พลังงานเสียง
หนวยการเรียนรูท ี่ 4 พลังงานเสียง จากหนังสือ เสียงเกิดจากการสั่นสะเทือนของวัตถุที่เป็น
เรียนวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1 หนานี้ จากนั้น áËÅ‹§¡íÒà¹Ô´àÊÕ§ àÊÕ§à¤Å×è͹·Õè ä´Œ·Ø¡·ÔÈ·Ò§
ถามนั ก เรี ย นว า ภาพนี้ เ กี่ ย วข อ งกั บ เสี ย ง â´ÂÍÒÈѵÑÇ¡ÅÒ§ 䴌ᡋ ¢Í§á¢§ ¢Í§àËÅÇ ËÃ×Í
ÍÒ¡ÒÈ ÁÒ¶Ö§Ë٢ͧàÃÒ
อยางไรบาง แลวใหนกั เรียนชวยกันตอบคําถาม àÊÕ§¨Ò¡áËÅ‹§¡íÒà¹Ô´àÊÕ§µ‹Ò§ æ ¨ÐÁÕàÊÕ§ÊÙ§ µíÒè
อยางอิสระ ËÃ×ÍàÊÕ§´Ñ§ ¤‹Í ᵡµ‹Ò§¡Ñ¹ ËÒ¡àÊÕ§ÁÕ¤ÇÒÁ´Ñ§
( แนวตอบ เกี่ ย วข อ งกั บ การ ด ยิ น เสี ย งของ ÁÒ¡ æ ¨Ð¡‹ÍãËŒà¡Ô´ÍѹµÃÒµ‹Í¡ÒÃä´ŒÂ¹Ô ¢Í§àÃÒ
คนเรา)
ตัวชี้วัด
1. อธิ ายการไดยินเสียง านตัวกลางจากหลักฐานเชิงประจักษ (ม . ว 2. ป.5 )
2. ระ ุตัวแปร ทดลอง และอธิ ายลักษณะและการเกิดเสียงสูง เสียงตํ่า (ม . ว 2. ป.5 2)
3. ออกแ การทดลองและอธิ ายลักษณะและการเกิดเสียงดัง เสียงคอย (ม . ว 2. ป.5 )
4. วัดระดั เสียงโดย ชเครื่องมือวัดระดั เสียง (ม . ว 2. ป.5 )
5. ตระหนัก นคุณคาของความรูเรื่องระดั เสียง โดยเสนอแนะแนวทาง นการหลีกเลี่ยงและลดมลพิษทางเสียง (ม . ว 2. ป.5 5)
เกร็ดแนะครู
ในการเรียนหนวยการเรียนรูที่ 4 ครูควรจัดกระบวนการเรียนรู โดยให
นักเรียนป ิบัติกิจกรรมรวมกัน ดังนี้
• ทดลองเกีย่ วกับการเกิดเสียง การเคลือ่ นทีข่ องเสียงผานตัวกลาง การเกิด
เสียงสูง-ตํ่า และการเกิดเสียงดัง-คอย
• อภิปรายผลการทดลอง และลงขอสรุป
• สืบคนเพื่ออ ิบายเกี่ยวกับการไดยินเสียง อันตรายและมลพิษทางเสียง
รวมถึงวิ ีการปองกันมลพิษทางเสียง
• อภิปรายผลจากประเด็นคําถาม
จนเกิดเปนความรูความเขาใจวา เสียงตาง เกิดจากการสั่นสะเทือนของ
แหลงกําเนิดเสียงและเสียงเคลื่อนจากแหลงกําเนิดเสียงทุกทิศทาง โดยอาศัย
ตัวกลางของเสียง การ ง เสียงดังมาก ติดตอกันเปนเวลานาน จะเปนอันตราย
ตออวัยวะรับเสียง (หู)
T110
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นา
กระ น าม น
hear
àÊÕ§µ‹Ò§ æ
·ÕèÍÂÙ‹ÃͺµÑÇàÃÒ
à¡Ô´¢Öé¹ä´ŒÍ‹ҧäà ?
97
T111
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นา
กระ น าม น
5. นักเรียนทํากิจกรรมนําสูการเรียน จากหนังสือ
กิจกรรม
เรียนหนานี้ โดยสังเกตเสียงตาง ที่เกิดขึ้น
ใน 1 วัน จากนั้นบันทึกผลลงในสมุดพรอม
นําสูก ารเรียน
บอกว า เสี ย งที่ ไ ด ยิ น เป น แหล ง กํ า เนิ ด เสี ย ง
ประเภทใด หรือใหทํากิจกรรมนําสูการเรียน ¡ÒÃ㪌ªÇÕ µÔ »ÃШíÒÇѹ¢Í§àÃÒ·Ø¡ æ Çѹ àÃÒ¨Ð䴌¹Ô
ในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1 àÊÕ§µ‹Ò§ ÁÒ¡ÁÒÂ à ‹¹ àÊÕ§¹¡ÃŒÍ§ àÊÕ§à ¹µ ¨Ôêº æ
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช àÊÕ Â §¹Ò ¡Ò Å¡ ´ÂàÊÕ Â §à Å‹ Ò ¹Õ à¡Ô ´ ¹ Ò¡¡ÒÃ
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล) ÊÑè ¹ ÊÐà·× Í ¹¢Í§ÊÔè § ·Õè ·í Ò ãËŒ à ¡Ô ´ àÊÕ Â §ä´Œ àÃÒàÃÕ Â ¡Ç‹ Ò
áËÅ‹§¡íÒà¹Ô´àÊÕ§ «Öè§àÃÒ¨Ðä´ŒÂÔ¹àÊÕ§¼‹Ò¹·Ò§ÍÇÑÂÇÐ
ÃѺàÊÕ§ (ËÙ) ¢Í§àÃÒ
àÊÕ§ÁÕáËÅ‹§¡íÒà¹Ô´ÁÒ¨Ò¡ÊÔ觵‹Ò§ æ ÃͺµÑÇàÃÒ
º‹§ä´Œ ÃÐà · ¤Í Å‹§¡Òà¹Ô´àÊÕ§µÒÁ ÃÃÁ ÒµÔ
ÅÐ Å‹§¡Òà¹Ô´àÊÕ§·ÕÁ¹ÉÂÊÌҧ ¹
ù
ܤ
µØŒÁ æ
ºŒÁ
T112
นํา สอน สรุป ประเมิน
หนวยการเรียนรูที่ 4 ขัน้ น
¾Åѧ§Ò¹àÊÕ§ าร น า
1
1. ¡าÃäดŒยÔนเสียง¼‹านตัว¡ลาง 1. นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4-5 คน จากนั้น
สมาชิกแตละกลุม รวมกันศึกษาขอมูลในหัวขอ
เสียงเปนพลังงานรูปหนึ่งที่เราสามารถรั รูไดโดยการ ง านทางหู ซึ่งหู การไดยินเสียงผานตัวกลางจากหนังสือเรียน
เปนอวัยวะรั เสียงที่ประกอ ดวย สวน คือ หูชั้นนอก หูชั้นกลาง และหูชั้น น หนานี้
เมื่อเสียงเดินทาง านตัวกลางเขามาถึงรูหู จะทํา หสวนประกอ ภาย นหูเกิด 2. ครูถามคําถามแลวใหนักเรียนแตละคนตอบ
การสั่นสะเทือน จึงทํา หเราไดยินเสียง คําถามอยางอิสระวา
• แห าเน เ ย น วต าวน น เ ยน
วัตถุหรือสิ่งตาง 2ที่เกิดการสั่นสะเทือน แลวสามารถทํา หเกิดเสียงได มอ บา
เรียกวา ห งกาเนิ เสียง (แนวตอบ เชน เสียงคุ แม เสียงนกรอง เสียง
เพือ่ นคุยกัน เสียงคุ ครู เสียงโทรศัพทมอื อื
เสียงเพ ง เสียงกีตาร เสียงเครื่องดนตรี)
3. ครูใหนักเรียนรวมกันอภิปรายวา เสียงตาง
ที่เกิดขึ้นรอบตัวเรา บางครั้งแหลงกําเนิดเสียง
อยูหางจากตัวเรา แตทําไมเราจึงไดยินเสียง
เหลานั้น
3
เสียงพู คุย เสียง ว อ นิ
ภาพที่ .1 ตัวอยางการเกิดเสียง
เสียงนก
áËÅ‹§¡íÒà¹Ô´àÊÕ§㹪ÕÇÔµ»ÃШíÒÇѹ
·Õè¹Ñ¡àÃÕ¹ÃÙŒ¨Ñ¡ ÁÕÍÐäúŒÒ§
99
T113
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ น
าร น า
4. ครูแจกใบงานเรื่อง การเคลื่อนที่ของเสียงผาน
ตัวกลาง เพือ่ ใหนกั เรียนทําการทดลองเกีย่ วกับ
¡Ô¨¡ÃÃÁ·ีè 1 ัก กร บวนการ
างวิ ยาศาสตร ี
การเคลือ่ นทีข่ องเสียง โดยป บิ ตั กิ จิ กรรม ดังนี้ การ ด้ยิน สียงผานตัวก างของ สียง 1. การสังเกต
2. การทดลอง
1 ใสนํ้าในแกวประมา ครึ่งแกว . การพยากรณ
จุมสอมเสียงลงในนํ้า แลวสังเกตวาเกิด ดประสง ์ . การตั้งสมมติฐาน
5. การตีความหมายขอมูลและลงขอสรุป
เสียงหรือไม รวมทัง้ สังเกตการเปลีย่ นแปลง สังเกตและอธิ ายการไดยินเสียง านตัวกลางของเสียง
ที่ผิวนํ้า จากนั้นบันทึกผล
3 ใชคอนเคาะสอมเสียง แลวจุมสอมเสียง ต้อง ตรียมต้อง ้
ลงในนํ้าทันที สังเกตการเกิดเสียงและการ 1. ตะปู 1 ดอก . แกวพลาสติก 2
เปลี่ ย นแปลงที่ ผิ ว นํ้ า และบั น ทึ ก ผลการ 2. กรรไกร 1 เลม . เชือก 1 เสน ยาวประมาณ 5 เมตร
ทดลองลงในใบงาน
5. นักเรียนรวมกันสรุปความรูท ไี่ ดจากการทดลอง
จนไดขอสรุปวา ข ะที่เกิดเสียงสอมเสียง องทาดู
จะสั่น ึ่งสังเกตจากเมื่อจุมสอมเสียงลงในนํ้า 1. จั คูกั เพื่อน จากนั้นชวยกันสรางแ จําลองโทรศัพท โดยป ิ ัติตามขั้นตอน ดังนี้
ผิวนํ้ามีการสั่นไปดวย ดังนั้น เสียงที่เกิดขึ้น 1 เจาะรูขนาดเล็กที่กึ่งกลางของกนแกวพลาสติกทั้ง 2
จะเคลื่อนที่จากแหลงกําเนิดเสียง ในที่นี้ คือ 2 มัดปมที่ปลายเชือกดานหนึ่ง แลวนําปลายเชือกอีกดานหนึ่งสอดเขาไป นรู านทาง
สอมเสียง ทุกทิศทางผานตัวกลาง ในที่นี้ ปากแกว ที่ 1 ที่เจาะไว
คือ นํ้า ดึงปลายเชือกจนกระทั่งปมที่มัดไวติดกั กนแกว จากนั้นนําปลายเชือกสอดเขาไป น
6. ครูจดั กิจกรรมการนําเสนอคําตอบของนักเรียน รูที่กนแกว ที่ 2 แลวมัดปมที่ปลายเชือก
แตละกลุมใหนาสนใจ และใหนักเรียนรวมกัน 2. หนักเรียนทั้งคูนําแ จําลองโทรศัพทที่ประกอ เสร็จแลวไปยืนหางกันประมาณ 5 เมตร
สรุปคําตอบที่ถูกตอง แลวกําหนด หนักเรียนคนหนึ่งเปน ูพูดและนักเรียนอีกคนเปน ู ง จากนั้นชวยกันตั้ง
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช สมมติฐานวา เสียงเคลื่อนที่ไดอยางไร แลว ันทึก ลลง นสมุด
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม)
7. นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน จากนั้น
แตละกลุมรวมกันศึกษาและทํากิจกรรมที่ 1
เรือ่ ง การไดยนิ เสียงผานตัวกลางของเสียงจาก
หนังสือเรียน หนา 1 -1 1 แลวบันทึกผลลงใน
สมุด หรือแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1
หนวยการเรียนรูที่ 4 ขัน้ น
¾Åѧ§Ò¹àÊÕ§ า ามร
1. นักเรียนแตละกลุม รวมกันสรุปความรูท ไี่ ดจาก
การทดลอง จนไดขอสรุป ดังนี้
. หแตละคูชวยกันพยากรณ ลการทดลองตามเงื่อนไขและ ันทึก ล ดังนี้ • เราไดยินเสียงเพื่อนพูดชัดเจนข ะที่เรานํา
ถวยมาครอบหู แสดงวา เสียงเดินทางผาน
1 ถา ูพูดพูดโดยไม ชแ จําลองโทรศัพท
เสนเชือก ึ่งเปนของแข็งไดดีกวาอากาศ
2 ถา พู ดู พูด า นแ จําลองโทรศัพทโดยขึงเสนเชือก หตงึ นักเรียนอีกคนจะไดยนิ เสียง
• วัตถุทเี่ สียงเดินทางผานได เรียกวา ตัวกลาง
หรือไม อยางไร
ของเสียง ไดแก อากาศ ของเหลว และ
หาก ูพูดทําเหมือนขอ 2 แต ชมือแตะเสนเชือกเ า นักเรียนอีกคนจะไดยินเสียง
ของแข็ง ึ่งเสียงตาง จะเดินทางผาน
หรือไม อยางไร
ตั ว กลางที่ เ ป น ของแข็ ง ได ดี แ ละเร็ ว กว า
หาก ูพูดทําเหมือนขอ 2 แต ชมือจั เสนเชือก หแนน นักเรียนอีกคนจะไดยินเสียง
ตัวกลางที่เปนของเหลว และอากาศ
หรือไม อยางไร
2. ตัวแทนแตละกลุมออกมานําเสนอผลงานที่
. ทําการทดลองเพือ่ ตรวจสอ ลการพยากรณ โดย หสลั กันเปน พู ดู และ ู ง หลาย ครัง้
หนาชั้นเรียน โดยครูเปนผูจับสลากหมายเลข
สังเกตและ ันทึก ล
กลุ ม จากนั้ น ให แ ต ล ะกลุ ม ส ง ตั ว แทนออก
5. พยากรณตออีกวา หาก ูพูดทําเหมือนขอ 2 แตตัดเสนเชือก หขาด นักเรียนอีกคนจะ
นําเสนอตามลําดับ
ไดยนิ เสียงหรือไม อยางไร แลวทําการทดลองเพือ่ ตรวจสอ ล พรอมสังเกตและ นั ทึก ล
จากนั้นสรุป ลการทดลองรวมกัน
น น
ขอ 3.
นังปูน เพราะเสียงสามาร เคลื่อนที่ าน
ตัวกลางที่เปนของแขง ดดีกวาของเหลวและแกส
ภาพที่ . ทดสอ การไดยินเสียง านตัวกลางของเสียง ่ง นังปูนมีส านะเปนของแขง และมีความแขง
หนูตอบ ด้ มากกวา ม เมื่อเสียงเดินทาง าน นังปูนเรา ะ
. ตัวกลางของเสียงมีความสําคัญตอการไดยินเสียงของมนุษยอยางไร ดยินเสียงเรวกวา นังปูน งเปนตัวกลางที่เสียง
2. สิ่งที่สามารถทํา หหูของมนุษยไดยินเสียงตาง ไดคืออะไร จงอธิ าย เดินทาง าน ดดีที่สุด
. นักเรียนคิดวา ระหวาง นังหองทีท่ าํ ดวยปูนกั นังหองทีท่ าํ ดวยไม เสียงสามารถเดินทาง นัง ม เพราะ นังปูนและ นัง มมีส านะ
านสิ่ง ดไดดีกวากัน เพราะอะไร เปนของแขง เมือ่ เราลองเคาะ นังทีเ่ ปนปูนเทียบกับ
นังทีเ่ ปน มดว ยแรงทีเ่ ทากัน เรา ะ ดยนิ เสียงของ
(หมายเหตุ คํา ามขอสุดทายของหนูตอบ ด เปนคํา ามที่ออกแบบให ูเรียน กใชทัก ะการคิดขั้นสูง 101
คือ การคิดแบบใหเหตุ ล และการคิดแบบโตแยง ่ง ูเรียนอา เลือกตอบอยางใดอยางหน่งก ด ใหครู นัง มดังกองมากกวา นังปูน ม งเปนตัวกลางที่
พิ าร า ากเหตุ ลสนับสนุน) เสียงสามาร เดินทาง าน ดดีที่สุด
ขอสอบเนน การคิด
ตา า ผลการ งเสียงกระดิ่ง เมื่อเขยาขวดที่ปดฝาสนิท ระหวางขวดที่มี
อากาศ และขวดที่สูบอากาศออกหมด
า ุ อ า อ น ออ
า อ า า อ า เ ย
1. ขนาดของขวดมีผลตอการไดยินเสียง
ขั้นที่ 1 . ความถี่ในการเขยาขวด ทําใหเกิดเสียง
ไดยิน 3. เสียงเคลื่อนที่โดยอาศัยอากาศเปนตัวกลาง
กระดิง่ ในขวดทีม่ อี ากาศ
4. อากาศมีผลตอความถี่ในการสั่นของกระดิ่ง
ขั้นที่
ไมไดยิน
สูบอากาศออกจนหมด
(วเ า ห าตอบ เสียงที่เรา ดยิน ะเคลื่อนที่ านตัวกลางในกร ีนี้ คือ อากาศ เมื่อสูบเอาอากาศในขวดออก นหมด ทําให มมี
ตัวกลางใหเสียงเคลื่อนที่ าน เรา ง ม ดยินเสียงกระดิ่ง ดังนั้น ขอ งเปนคําตอบที่ ูกตอง)
T115
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ น
า าม า
1. นักเรียนทุกกลุมศึกษาเนื้อหาเพิ่มเติมเกี่ยวกับ
พลังงานเสียงเปนคลื่นกลที่เกิดจากการสั่นสะเทือนของแหลงกําเนิดเสียง
ตัวกลางของเสียง จากหนังสือเรียน หนา 1
2. นักเรียนแตละคนทํากิจกรรมหนูตอบไดจาก
แหลงกําเนิดเสียงมีอยูมากมายรอ ตัวเรา เราสามารถทํา หแหลงกําเนิดเสียง
หนังสือเรียน หนา 1 1 ลงในสมุดหรือทําใน เกิดการสั่นสะเทือนแลวทํา หเกิดเสียงไดหลายวิธี เชน การดีด การตี การเคาะ
แบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1 การเปา แตเมื่อเราทํา หแหลงกําเนิดเสียงหยุดสั่น ก็จะไมมีเสียงเกิดขึ้น
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช เสียงเคลื่อนที่ออกจากแหลงกําเนิดเสียง และแ กระจายไปไดทุกทิศทาง
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล) โดยอาศัยตัวก าง องเสียง
ตัวกลางของเสียง คือ วัตถุหรือสิ่งตาง ที่เสียงสามารถเดินทาง านได
ขัน้ รป มี ประเภท ไดแก ของแข็ง ของเหลว และอากาศ
ร
ครูใหนักเรียนสรุปความรูจากการเรียนจนได
ขอสรุปรวมกันวา เสียงตาง จะเดินทางผาน
ตัวกลาง ไดแก ของแข็ง ของเหลว และอากาศ
ึ่ ง เสี ย งต า ง จะเดิ น ทางผ า นตั ว กลางที่ เ ป น ของแข็ง
ของแข็งไดดีและเร็วกวาตัวกลางที่เปนของเหลว
และอากาศ
ขัน้ ประ มน
ร
1. ครูตรวจสอบผลการทําแบบทดสอบกอนเรียน ของเหลว
2. ครูตรวจผลการทํากิจกรรมนําสูการเรียนใน
สมุดหรือแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1
3. ครู ต รวจสอบผลการทํ า กิ จ กรรมที่ 1 เรื่ อ ง
การไดยินเสียงผานตัวกลางของเสียง ในสมุด ภาพที่ . แสดงการเคลื่อนที่ของ
หรือในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1 เสียง านตัวกลางมาถึงหูของ ู ง อากาศ
4. ครู ต รวจสอบผลการทํ า กิ จ กรรมหนู ต อบได เ¡Ãçด ÇԷ¹ÒÃÙŒ
ในสมุด หรือในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5
เลม 1 นบริเว ทีไม่มีอากา (สุ ากา ) เช่น นอวกา เราจะไม่ได้ยินเสียง ด
เกิดขนเลย เพราะไม่มีอากา เ นตัวกลางทีทา ห้เสียงเดินทางมาถงหของเราได้
102
1. นํ้าเปนตัวกลางในการเคลื่อนที่ของเสียง
องนักเรียน มอบหมาย
2 การยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ผลงานกลุ่ม คะแนน
3 การทางานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1
4 ความมีน้าใจ
5 การตรงต่อเวลา
รวม
ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
. ชอนเปนตัวกลางในการเคลื่อนที่ของเสียง
............./.................../..............
เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 3 คะแนน ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
3. ขนาดของชอนมีผลตอการเกิดเสียงใตนํ้า
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง
ให้
ให้
2 คะแนน
1 คะแนน
เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้
............./.................../..............
3 คะแนน
4. ปริมา นํ้ามีผลตอระดับความเขมของเสียง
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน
หนวยการเรียนรูที่ 4 ขัน้ นา
¾Åѧ§Ò¹àÊÕ§ กระ น าม น
ขัน้ น
าร น า
1. ครูใชเทคนิคกลุมสืบคน . . โดยใหนักเรียน
แบงกลุมออกเปนกลุมละ 4 คน โดยคละตาม
1. แหลงกําเนิดเสียง 2. ตัวกลางของเสียง อากาศ . อวัยวะรั เสียง หู ความสามารถ เกง คอนขางเกง ปานกลาง
ภาพที่ .5 การไดยินเสียงตองประกอ ดวยองคประกอ คร ทั้ง อยาง และออน
2. ครูแจกใบงานเรื่อง เราไดยินเสียงไดอยางไร
เมื่อแหลงกําเนิดเสียงสั่นจะสงพลังงาน าน จากนั้ น มอบหมายให ส มาชิ ก ทุ ก คนในกลุ ม
อากาศ ทํา หโมเลกุลของอากาศสั่นสะเทือนจน ป ิบัติตามขั้นตอนการทํากิจกรรมจากใบงาน
มาถึงหูเรา หูจะเปนตัวรั และสะทอนคลื่นเสียง โดยใหสืบคนเพิ่มเติมเกี่ยวกับการไดยินเสียง
เขาไป นรูหูทํา หเยื่อแกวหูสั่น มี ล หกระดูกคอน ผานตัวกลาง องคประกอบของการไดยินเสียง
กระดูกทั่ง และกระดูกโกลนสั่นตามดวย พลังงาน และสวนประกอบของหูมนุษย พรอมทั้งวาด
ภาพหรือติดภาพแบบจําลองสวนประกอบหู
จากการสั่นจะถูกสง านไปยังเสนประสาทเขาสู และหนาที่ของแตละสวนประกอบลงในสมุด
สมอง ทํา หเราไดยินเสียงนั้น ดังนั้น เยื่อแกวหู ภาพที่ . การพูดคุยของมนุษย
3. ใหสมาชิกในกลุม 1 คน นําขอมูลที่ทุกคน
จึงเปนอวัยวะสําคัญอยางยิ่งที่ทํา หเราไดยินเสียง สืบคนไดบันทึกลงสมุด และรวมกันตรวจสอบ
103 ความถูกตอง แลวจึงใหสมาชิกทุกคนรวมกัน
ตวก าง ง สียง
สรางแบบจําลองเพื่อแสดงสวนประกอบของหู
ที่ใชในการรับเสียง
T117
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ น
า ามร
ครูสุมเลือกตัวแทนกลุม 3-4 กลุม ใหออกมา
หู องคนเรา บงออกเปน สวน ไดแก หูชั้นนอก หูชั้นกลาง และหูชั้น น
นําเสนอผลการทํากิจกรรมและแบบจําลองของ
ตนเองหนาชั้นเรียน โดยมีครูคอยแนะนําเพิ่มเติม 2
า าม า
1. นั ก เรี ย นทุ ก กลุ ม ศึ ก ษาเนื้ อ หาเพิ่ ม เติ ม จาก
หนังสือเรียน หนา 1 3-1 4
2. ครูใหนกั เรียนจับคูก บั เพือ่ น แลวใหศกึ ษาขอมูล
เกี่ยวกับการไดยินเสียงผานตัวกลางเพิ่มเติม
จากสื่อดิจิทัลในหนังสือเรียน หนา 1 3 โดย
ใช โ ทรศั พ ท มื อ ถื อ สแกน เรื่ อ ง
การไดยินเสียงผานตัวกลาง จากนั้นรวมกัน
ภาพที่ . โครงสรางสวนประกอ ภาย นหู
อภิปรายและสรุปภายในชั้นเรียน โดยใหครู
คอยอ ิบายเพิ่มเติมในสวนที่บกพรอง หูสว นนอก ประกอ ดวย 2 หูสว นกลาง ประกอ ดวย หู ชั้ น น ประกอ ด ว ย
หู รูหู และเยื่อแกวหู กระดูกคอน กระดูกทั่ง คอเคลี ย ซึ่ ง มี ลั ก ษณะ
ขัน้ รป และกระดูกโกลน คลายกนหอยและภาย น
ร มีของเหลว รรจุอยู
ครู ใ ห นั ก เรี ย นสรุ ป ความรู จ ากการเรี ย นจน
ไดขอสรุปรวมกันวา การไดยินเสียงนั้นตองมี 5
2 6
องคประกอบ 3 อยาง ไดแก แหลงกําเนิดเสียง
ตัวกลางของเสียง และอวัยวะรับเสียง หู
ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
เกณฑ์การให้คะแนน
............./.................../..............
แปลความหมายของเสียงที่ ดยินวาเปนเสียงใด หรือเปนเสียงที่มี
ลัก ะอยาง ร ดังนั้น ขอ งเปนคําตอบที่ ูกตอง)
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 3 คะแนน ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน ............./.................../..............
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน
เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 3 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14-15 ดีมาก เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
11-13 ดี
14-15 ดีมาก
8-10 พอใช้
11-13 ดี
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
8-10 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
T118
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
หนวยการเรียนรูที่ 4 ขัน้ นา
¾Åѧ§Ò¹àÊÕ§ กระ น าม น
ขัน้ น
าร น า
1. นักเรียนอานเนือ้ หาในหัวขอ ลักษ ะของเสียง
จากหนังสือเรียนหนานี้ จากนัน้ ครูถามคําถาม
เพื่อนําเขาสูบทเรียนวา
น เ ยน วาเ ย เ ย ตา เ ย
1 เ ย อย ม อยา
(แนวตอบ เสียงตํ่า คือ เสียงที่มีความ ี่ตํ่า
เสียงสูง คือ เสียงที่มีความ ี่สูง เสียงดัง คือ
เสียงทีม่ พี ลังงานของเสียงมาก เสียงคอย คือ
àÊÕ§ÊÙ§ àÊÕ§µíèÒ àÊÕ§´Ñ§ เสียงที่มีพลังงานของเสียงนอย)
ÅÐàÊÕ§¤‹Í ÁÕÅѡɳÐÍ‹ҧäÃ
105
นกเร นค รรู
ครูใหความรูกับนักเรียนเพิ่มเติมวา หูของมนุษยนั้นจะสามารถ งเสียงได
เ พาะเสียงที่มีความถี่ในชวง - เ ิรต เทานั้น เสียงที่มีความถี่สูงหรือ
ตํ่ากวานี้ มนุษยจะไมสามารถไดยินเสียงเหลานั้นได
เสียงที่มีความถี่ตํ่ากวา เ ิรต คือ เสียงอิน ราโ นิก หรือคลื่น
ใตเสียง หากคลื่นเสียงนี้มีพลังงานมากพอ สามารถนําไปใชประโยชนได เชน
การสํารวจชั้นหิน แหลงนํ้ามัน ชั้นนํ้าใตดิน
เสียงที่มีความถี่สูงกวา เ ิรต คือ เสียงอัลตราโ นิก หรือคลื่น
เหนือเสียง สามารถใชในทางการแพทย โดยปลอยคลื่นเสียงความถี่ผานผิวหนัง
ไปกระทบกับอวัยวะภายใน เชน การดูเพศทารกในครรภมารดา
T119
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ น
าร น า
2. ครูอ ิบายเชื่อมโยงเพื่อใหนักเรียนเขาใจวา
เสียงสูง เสียงตํ่า เกิดจากการสั่นสะเทือนของ
¡Ô¨¡ÃÃÁ·ีè 2 ัก กร บวนการ
างวิ ยาศาสตร ี
แหลงกําเนิดเสียงที่ตางกัน ึ่งเราจะศึกษาใน การ กิด สียงสูง สียงตา 1. การวัด
2. การสังเกต
บทเรียนตอไป . การทดลอง
3. ครูเขียนขอความบนกระดานดําวา ความยาว ดประสง ์ . การพยากรณ
5. การตั้งสมมติฐาน
ของเสี ย งมี ผ ลต อ การเกิ ด เสี ย งสู ง เสี ย งตํ่ า 1. สังเกต ระ ุตัวแปร ทดลอง และอธิ ายลักษณะการเกิด . การลงความเห็นจากขอมูล
. การกําหนดและคว คุมตัวแปร
อยางไร เสียงสูง เสียงตํ่า . การกําหนดนิยามเชิงป ิ ัติการ
4. ครูใหนักเรียนรวมกันตั้งสมมติ านของระบุ 2. วัดระดั เสียงโดย ชเครื่องมือวัดระดั เสียง . การตีความหมายขอมูลและลงขอสรุป
ปญหาที่ครูไดเขียนไวบนกระดานดํา ต้อง ตรียมต้อง ้
(แนวตอบ หากความยาวของแหลงกําเนิดเสียง
มี ลตอการเกิดเสียงสูง เสียงตํ่า ดังนั้น แหลง
1. ชอน 1 คัน . โตะเขียนหนังสือ 1 ตัว
กําเนิดเสียงทีม่ คี วามยาวมาก ทําใหเกิดเสียงตํา่
2. นํา้ เปลา 2 ลิตร 5. ไม รรทัดพลาสติก าง 2 อัน
สวนแหลงกําเนิดเสียงทีม่ คี วามยาวนอย ทําให
. ขวดแกวที่มีขนาดเทากัน . เครื่องวัดระดั เสียง 1 เครื่อง
เกิดเสียงสูง)
5. ครูใหนักเรียนนับเลข 1-5 ไปเรื่อย จนครบ องทาดู ตอนที่ 1
ทุกคนในหอง จากนั้นใหนักเรียนที่นับไดเลข 1. แ งกลุม จากนั้นชวยกันตั้งสมมติฐานวา ความยาวของแหลงกําเนิดเสียงที่แตกตางกัน
ตัวเดียวกันมาอยูกลุมเดียวกัน มี ลตอการเกิดเสียงสูง เสียงตํ่าอยางไร แลว ันทึก ลลง นสมุด
6. เมือ่ นักเรียนจับกลุม ไดแลว ครูใหนกั เรียนแตละ 2. ทําการทดลองโดยป ิ ัติ ดังนี้
กลุมทํากิจกรรมที่ การเกิดเสียงสูง เสียงตํ่า 1 วางไม รรทัดยื่นออกมาจากขอ โตะประมาณ 1 ซม. ชมือกดปลายไม รรทัดที่ยื่น
โดยใหแตละกลุมศึกษาขั้นตอนจากหนังสือ ออกมาแลวปลอย
เรียน หนา 1 ตอนที่ 1 และป ิบัติกิจกรรม 2 วางไม รรทัดยื่นออกจากขอ โตะประมาณ 2 ซม. ชมือกดปลายไม รรทัดที่ยื่น
ตามขั้นตอนแลวบันทึกผลลงในสมุด หรือใน ออกมา โดย ชแรงเทาครั้งแรกแลวปลอย
แบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1 สังเกตการสัน่ ของไม รรทัดและระดั เสียงทีไ่ ดยนิ จากไม รรทัดทัง้ 2 ครัง้ โดย ชเครือ่ ง
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช วัดระดั เสียง จากนั้นเปรีย เทีย เสียงที่ไดยินและ ันทึก ล
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม) . รวมกันระดมความคิดวา สิ่ง ดนาจะมี ลตอระดั เสียง นการทดลอง ตัวแปรตน และ
ถาความยาวของปลายไม รรทัดทีย่ นื่ พนขอ โตะเพิม่ ขึน้ นาจะมี ลตอสิง่ ด ตัวแปรตาม
และถา นแตละครั้งมีการออกแรงกดไม รรทัดไมเทากัน จะมี ลตอการทดลองหรือไม
ตัวแปรคว คุม แลว ันทึก ล
. รวมกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกั การเกิดเสียงสูง เสียงตํ่า แลวสรุป ล
1
T120
นํา สอน สรุป ประเมิน
หนวยการเรียนรูที่ 4 ขัน้ น
¾Åѧ§Ò¹àÊÕ§ าร น า
7. ครูใหนักเรียนแตละกลุมทํากิจกรรมที่ ตอน
ที่ โดยใหศึกษาขั้นตอนการทําและป ิบัติ
กิจกรรมจากหนังสือเรียนหนานี้ใหครบถวน
ตอนที่ 2
แลวบันทึกในสมุดหรือแบบฝกหัดวิทยาศาสตร
1. ชวยกันตั้งสมมติฐานวา มวลของแหลงกําเนิดเสียงที่แตกตางกัน มี ลตอการเกิดเสียงสูง ป.5 เลม 1
เสียงตํ่าอยางไร แลว ันทึก ลลง นสมุด (หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
2. เตรียมอุปกรณทําการทดลอง โดยเตรียมขวด ที่ 1 ไม สนํ้า ขวด ที่ 2 สนํ้าครึ่งขวด แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม)
และขวด ที่ สนํ้าเต็มขวด แลววางเรียงกันตามลําดั
. ชวยกันพยากรณและ ันทึก ลวา เมื่อ ชดามชอนเคาะขวดนํ้าทั้ง ดวยแรงที่เทากัน า ามร
จะเกิดเสียงสูง เสียงตํ่าเหมือนกันหรือแตกตางกัน อยางไร 1. ครูสุมเลือกตัวแทนนักเรียนของแตละกลุมให
. ทดลองเพื่อตรวจสอ ลการพยากรณ โดย ชดามชอนเคาะขวด ที่ 1 ที่ 2 และ ที่ มานําเสนอผลการทํากิจกรรมที่หนาชั้นเรียน
ตามลําดั สังเกตเสียงจากขวดแตละ โดย ชเครื่องวัดระดั เสียง แลว ันทึก ล 2. นักเรียนและรวมกันสรุปความรูที่ไดจากการ
5. รวมกันอภิปราย ลเกี่ยวกั ระดั เสียงที่เกิดขึ้น และสรุป ลภาย นชั้นเรียน ทดลองจนไดขอสรุปรวมกันวา ความยาวของ
แหลงกําเนิดเสียงมีผลตอความถี่ในการสั่น
3. ครูอ ิบายเพิ่มเติมวา ถาแหลงกําเนิดเสียงมี
ความยาวมาก จะมีมวลมาก จึงสัน่ ดวยความถี่
ตํ่าทําใหเกิดเสียงตํ่า แตถาแหลงกําเนิดเสียง
ากิจกรรมอยางป อ ัย มีความยาวนอยกวา จะมีมวลนอยกวา จึงสั่น
นการทํากิจกรรมตอนที่ 2 นักเรียนควร ดวยความถี่สูง ทําใหเกิดเสียงสูง
เคาะขวดแกวอยางระมัดระวัง หากเคาะแรง
อาจทํ า ห ข วดแตก และเกิ ด อั น ตรายกั
นักเรียนได
ภาพที่ . ทดลองเคาะขวดแกวที่ รรจุนํ้าปริมาณตางกัน
หนูตอบ ด้
. เสียงสูง เสียงตํ่าคืออะไร และเกิดขึ้นไดอยางไร
2. ปจจัย ด างที่มีความสัมพันธตอการเกิดเสียงสูง เสียงตํ่า
. หากแหลงกําเนิดเสียงมีความเร็ว นการสั่นสะเทือนนอย จะทํา หเกิดระดั เสียงอยางไร
. ถานักเรียนตองการเลือกซื้อกลองที่มีเสียงสูง เสียงตํ่าตางกัน จํานวน 2 นักเรียน
ควรเลือกซือ้ กลองทีม่ ลี กั ษณะ ด ระหวางกลองทีม่ ขี นาดตางกัน หรือกลองทีม่ คี วามตึงของ
ิวหนาตางกัน เพราะเหตุ ด
(หมายเหตุ คํา ามขอสุดทายของหนูตอบ ด เปนคํา ามที่ออกแบบให ูเรียน กใชทัก ะการคิดขั้นสูง 107
คือ การคิดแบบใหเหตุ ล และการคิดแบบโตแยง ่ง ูเรียนอา เลือกตอบอยางใดอยางหน่งก ด ใหครู
พิ าร า ากเหตุ ลสนับสนุน)
การทาก กรรมที่ น น
ตา า บันทึกผลการทํากิจกรรม ตอนที่ ขอ 4.
บเ ย ตา กลองทีม่ ขี นาดตางกัน เพราะกลองทีม่ ขี นาดเลก เมือ่ กู ตีหนังกลอง ะสัน่
า อ สะเทือนเรว ทําใหเกิดเสียงสูง สวนกลองทีม่ ขี นาดให เมือ่ กู ตีหนังกลอง ะสัน่
า ยา า อ
สะเทือนชา ทําใหเกิดเสียงตํ่า
1. เคาะขวดใบที่ 1
ขวดเปลา
เสียงสูงที่สุด เสียงสูงที่สุด กลองที่มีความตงของ ิวหนาตางกัน เพราะกลองที่มีความตงของ ิวหนา
กลองนอย มีความหยอน) เมื่อ ูกตี ะสั่นสะเทือนชา ทําใหเกิดเสียงตํ่าและ
. เคาะขวดใบที่ เสียงตํ่ากวา เสียงตํ่ากวา
มีนํ้าครึ่งขวด ขวดใบที่ 1 ขวดใบที่ 1
กลองที่มีความตงของ ิวหนากลองมาก มีความตง) เมื่อ ูกตี ะสั่นสะเทือนเรว
ทําใหเกิดเสียงสูง
3. เคาะขวดใบที่ 3
เสียงตํ่าที่สุด เสียงตํ่าที่สุด
มีนํ้าเต็มขวด
ุ จากการทดลอง พบวา ขวดที่บรรจุนํ้ามากที่สุดจะมีมวลรวมของขวด
และนํ้ามากที่สุด จึงสั่นดวยความถี่ตํ่าสุด ทําใหเกิดเสียงตํ่า สวนขวดที่ไมมีนํ้า
จะมีมวลนอยที่สุด จึงสั่นดวยความถี่สูงสุดทําใหเกิดเสียงสูงที่สุด ดังนั้น มวล
ของแหลงกําเนิดเสียงที่ตางกันมีผลตอความถี่ในการสั่นของแหลงกําเนิดเสียง
จึงทําใหเกิดเสียงสูง เสียงตํ่าแตกตางกัน
T121
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ น
า าม า
1. นักเรียนทุกกลุมศึกษาเนื้อหาเกี่ยวกับเสียงสูง เสียงที่เกิดขึ้นรอ ตัวเรา มีลักษณะของเสียงที่แตกตางกัน เชน เสียงสูง
เสียงตํ่า จากหนังสือเรียนหนานี้
2. นักเรียนแตละคนทํากิจกรรมหนูตอบไดจาก
เสียงตํ่า เสียงดัง เสียงคอย
หนังสือเรียน หนา 1 ลงในสมุดหรือทําใน . เสียงสูง เสียงตา เปนสม ัติประการหนึ่งของเสียงที่มีความสัมพันธกั
แบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1 แหลงกําเนิดเสียง เรียกวา ร ับเสียง
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช ระดั เสียง เกิดจากความเร็ว นการสั่นสะเทือนของแหลงกําเนิดเสียง
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล)
โดยจํานวนครั้ง นการสั่นสะเทือนของแหลงกําเนิดเสียง น 1 วินาที เรียกวา
ขัน้ รป ความ ี องเสียง มีหนวยเปนครั้งตอวินาที เรียกวา เ ิรต ( ) ซึ่งหูของมนุษย
ร จะสามารถไดยินเสียงที่มีชวงความถี่ 2 2 เทานั้น
1. ครูใหนักเรียนสรุปความรูจากการเรียนจนได ระดั เสียง หรือการเกิดเสียงสูง เสียงตํ่า จะขึ้นอยูกั ความถี่ นการสั่น
ขอสรุปรวมกันวา เสียงสูง เสียงตํา่ เปนลักษ ะ สะเทือนของวัตถุที่เปนแหลงกําเนิดเสียง ดังนี้
ของเสียงทีม่ คี วามสัมพัน ก บั แหลงกําเนิดเสียง
หากแหลงกําเนิดเสียงสัน่ ดวยความถีต่ าํ่ จะเกิด การสันส เ ือน อง
ความ ี องเสียง ร ับเสียง
เสียงตํา่ แตถา สัน่ ดวยความถีส่ งู จะเกิดเสียงสูง ห งกาเนิ เสียง
2. ครูอ ิบายเสริมเพื่อสรุปวา ปจจัยที่มีผลตอ
สั่นดวยความเร็วตํ่า ความถี่ตํ่า เสียงตํ่า เสียงทุม
การเกิดเสียงสูง เสียงตํ่า คือ ขนาดของแหลง
กําเนิดเสียง ความยาวของแหลงกําเนิดเสียง สั่นดวยความเร็วปานกลาง ความถี่ปานกลาง เสียงกลาง เสียงปกติ
และความตึงของแหลงกําเนิดเสียง
สั่นดวยความเร็วสูง ความถี่สูง เสียงสูง เสียงแหลม
ขัน้ ประ มน
ร
1. ครู ต รวจสอบผลการทํ า กิ จ กรรมที่ เรื่ อ ง
เ¡Ãçด ÇԷ¹ÒÃÙŒ
การเกิดเสียงสูง เสียงตํา่ ในสมุดหรือแบบฝกหัด ระดับเสียงสามารถเ ลียนแ ลงได้ งขนอย่กบั ขนาด ความยาว และความตงของ
วิทยาศาสตร ป.5 เลม 1 วัตถุทีเ นแหล่งกาเนิดเสียง ถ้าวัตถุทีเ นแหล่งกาเนิดเสียงมีขนาดเล็ก มีความยาวน้อย
หรือมีความตงมาก จะสันสะเทือนเร็วทา ห้เกิดเสียงสง แต่ถา้ วัตถุทเี นแหล่งกาเนิดเสียง
2. ครูตรวจสอบผลการทํากิจกรรมหนูตอบไดใน
มีขนาด ห ่ มีความยาวมาก หรือมีความตงน้อย (หย่อน) จะสันสะเทือนช้าทา ห้เกิด
สมุดหรือในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1 เสียงตา
108
T122
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
หนวยการเรียนรูที่ 4 ขัน้ นา
¾Åѧ§Ò¹àÊÕ§ กระ น าม น
¡Ô¨¡ÃÃÁ·ีè 3 ัก กร บวนการ
างวิ ยาศาสตร ี
1. ครูใหนักเรียนเคาะโตะตามคําสั่ง ดังนี้
ใหนักเรียนเคาะโตะเบา 3 ที
การ กิด สียงดัง สียง อย 1. การวัด ใหนักเรียนเคาะโตะดังกวาครั้งแรก 3 ที
2. การสังเกต
. การทดลอง 2. ครูตั้งคําถามเพื่อนําเขาสูบทเรียนวา นักเรียน
ดประสง ์ . การลงความเห็นจากขอมูล
ใชพลังงานในการเคาะโตะครั้งใดมากกวากัน
5. การตีความหมายขอมูลและลงขอสรุป
1. สังเกต ออกแ การทดลอง และอธิ ายลักษณะการเกิด (แนวตอบ ครั้งที่ )
เสียงดัง เสียงคอย 3. ครูอ ิบายเชื่อมโยงใหนักเรียนเขาใจวา ถา
2. วัดระดั เสียงโดย ชเครื่องมือวัดระดั เสียง ตองการใหเสียงเคาะโตะมีระดับเสียงตางกัน
นักเรียนตองใชพลังงานในการสรางเสียงตาง
ต้อง ตรียมต้อง ้ กัน และในบทเรียนนี้นักเรียนจะไดศึกษาวา
1. ไมตี อัน พลังงานของแหลงกําเนิดเสียงสงผลตอระดับ
2. กลองกระดาษ 1 เสียงอยางไร
. โทรศัพทมือถือ 1 เครื่อง
. เครื่องวัดระดั เสียง 1 เครื่อง
ขัน้ น
าร น า
T123
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ น
าร น า
5. นั ก เรี ย นรวมกั น ตั้ ง สมมติ านจากป ญ หาที่
สงสัยวา ระยะหางของแหลงกําเนิดเสียงมีผล
ตอความดังของเสียงที่ผูรับเสียงไดรับอยางไร
(แนวตอบ าระยะหาง ากแหลงกําเนิดเสียง ตอนที่ 2
มี ลตอความดังของเสียง ดังนั้น ระยะหาง 1. ครูพานักเรียนไปทํากิจกรรมที่ ริเวณ
ากแหลงกําเนิดเสียงนอยเสียงที่ ดยิน ะดัง สนามหรือพื้นที่โลง นโรงเรียน
มากกวาระยะหาง ากแหลงกําเนิดเสียงมาก) 2. ครูยืนอยูกลางสนามและทําหนาที่เปด
6. ครูใหสมาชิกทุกคนในกลุมชวยกันทํากิจกรรม เพลง แลว หนกั เรียนยืนลอมเปนวงกลม
ตอนที่ จากหนังสือเรียนหนานี้ โดยใหป บิ ตั ิ กล ครู 2 วง ซอนกัน
หนาที่เดิมจากการทํากิจกรรมตอนที่ 1 แลว . ทํากิจกรรมโดยครูเปดเพลงจากโทรศัพท
บันทึกผลลงสมุด หรือแบบฝกหัดวิทยาศาสตร มือถือ หันักเรียน ง จากนั้น หนักเรียน
ป.5 เลม 1 คอย เดินถอยออกหางจากครูไปเรือ่ ย
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช จนจ เพลง
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม) . ทํากิจกรรมซํ้าโดย หทุกคนอยูตําแหนง ภาพที่ .11 ยืนลอมวง งเสียงเพลง
เดิมทีเ่ พลงจ จากนัน้ ครูเปดเพลงอีกครัง้
า ามร แลว หนักเรียนทุกคนเดินเขามาหาครูอยางชา จนจ เพลง
5. นักเรียนเปรีย เทีย ลการไดยินเสียงเพลงจากการทํากิจกรรม ระหวางการยืนอยู กลครู
1. ครูสุมเลือกสมาชิกคนที่ 4 ของแตละกลุมให
กั การยืนอยูไกลครู แลว ันทึก ลลง นสมุด
ออกมานําเสนอผลการทํากิจกรรมที่หนาชั้น
. ทุกคนรวมกันอภิปราย ลการทํากิจกรรม และสรุป ลเกีย่ วกั การไดยนิ เสียงดัง เสียงคอย
เรียนตามลําดับการจับสลากของครู
2. นักเรียนและรวมกันสรุปความรูที่ไดจากการ
ทดลอง จนไดขอสรุปวา ความดังของเสียง
หนูตอบ ด้
ขึ้นอยูกับพลังในการสั่นของแหลงกําเนิดเสียง
และระยะทางระหวางตัวเรากับแหลงกําเนิด . การที่ไดยินเสียงดังหรือเสียงคอยตางกัน ขึ้นอยูกั อะไร
เสียง 2. หากแหลงกําเนิดเสียงสั่นดวยพลังงานเสียงเทาเดิมตลอดเวลา ถานักเรียนอยูไกลจาก
แหลงกําเนิดเสียงนั้นจะไดยินเสียงชัดเจนหรือไม เพราะเหตุ ด
. เราสามารถรั งเสียงที่ดังมากหรือคอยมากไดหรือไม เพราะอะไร
. ถานักเรียนกําลังนั่งอยู นสวนหลัง าน แลวตองการ งเพลงที่เปดจากวิทยุ ซึ่งอยู น าน
นักเรียนจะทําวิธีการ ดเพื่อ หไดยินเสียงวิทยุไดอยางชัดเจน ระหวางเปดวิทยุเสียงดัง
หรือยายเครื่องวิทยุมาไว กล ตัว เพราะเหตุ ด
110 (หมายเหตุ คํา ามขอสุดทายของหนูตอบ ด เปนคํา ามที่ออกแบบให ูเรียน กใชทัก ะการคิดขั้นสูง
คือ การคิดแบบใหเหตุ ล และการคิดแบบโตแยง ่ง ูเรียนอา เลือกตอบอยางใดอยางหน่งก ด ใหครู
พิ าร า ากเหตุ ลสนับสนุน)
T124
นํา สอน สรุป ประเมิน
หนวยการเรียนรูที่ 4 ขัน้ น
¾Åѧ§Ò¹àÊÕ§ า าม า
1. นักเรียนทุกกลุมศึกษาเนื้อหาเกี่ยวกับเสียงสูง
2. เสียง ัง เสียงคอย เปนสม ัติของเสียงที่เรียกวา ความ ัง องเสียง
เสียงตํ่า จากหนังสือเรียนหนานี้
ขึ้นอยูกั ปริมาณพลังงานของเสียงที่เดินทางมาถึงหูเรา เสียงตาง ที่เราไดยิน 2. ครูอ ิบายเพิ่มเติมใหนักเรียนเขาใจวา การวัด
มีความดังของเสียงไมเทากัน เชน เสียงเครื่อง ิน มีพลังงานของเสียงมาก ความดังของเสียง เราจะใชเครื่องมือวัดระดับ
ทํา หเกิดเสียงดัง เสียงกระซิ มีพลังงานเสียงนอยทํา หเกิดเสียงคอย ความเขมของเสียง เรียกวา เครื่องวัดระดับ
ความ ัง องเสียง เสียง ึ่งมีหนวยการวัดเปน เด ิเบล
ปจจัย ีมีผ า หวัต ุเกิ เสียง ัง เสียงคอย 3. นักเรียนแตละคนทํากิจกรรมหนูตอบไดจาก
เสียง ัง เสียงคอย
หนังสือเรียน หนา 11 ลงในสมุดหรือทําใน
1. ระยะทางจากแหลงกําเนิดเสียง กลแหลงกําเนิดเสียง ✓
แบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1
ไกลแหลงกําเนิดเสียง ✓
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
2. พลังงาน นการสั่นสะเทือนของ สั่นดวยพลังงานมาก ✓ แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล)
แหลงกําเนิดเสียง สั่นดวยพลังงานนอย ✓
(แนวตอบ ป ัยที่มี ลทําใหเกิดเสียงดัง เสียงคอย ดแก ระยะ คาชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่
ลาดับที่
ตรงกับระดับคะแนน
รายการประเมิน
3
ระดับคะแนน
2 1
คาชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่
ตรงกับระดับคะแนน
การแสดง การยอมรับ
การทางาน
การมี
ส่วนร่วมใน รวม
ตามที่ ด้รับ ความมีน้าใจ
ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
............./.................../..............
เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 3 คะแนน ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน ............./.................../..............
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน
เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 3 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14-15 ดีมาก เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
11-13 ดี
14-15 ดีมาก
8-10 พอใช้
11-13 ดี
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
8-10 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
T125
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นา
กระ น าม น
1. ครูเปดวิดโี อจาก .
มลพิษทางเสียง ใหนักเรียนดู
. เกีย่ วกับ
3. ÍันตÃาย¨า¡ÁลพÔÉ·างเสียง
2. ครูตั้งคําถามเพือ่ กระตุน ความคิดของนักเรียน นชีวิตประจําวันของเรา างครั้งเราอาจไดยินเสียง างเสียงที่กอ หเกิด
ดังนี้ ความรําคาญ หรือ างครั้งอาจไดยินเสียงดังมาก จนอาจทํา หเปนอันตราย
า เ อ อยอา ย น เ ยน เ อ อย ตอการไดยินของเราไดโดยไมรูตัว เรียกวา ม พิ างเสียง
บ นามบนห อ ม เ า เหตุ ดังนั้น เราจึงควรเรียนรูเกี่ยวกั อันตรายของเสียง เพื่อจะไดหาแนวทางหรือ
(แนวตอบ เลือกทีใ่ กลสนามบิน เพราะสะดวก วิธีปองกันอันตรายจากเสียงเหลานั้นไดอยางถูกวิธี
ในการคมนาคมขนสง เลือกหาง ากสนามบิน
เพราะ ม ดรับมลพิ ทางเสียง)
เสียงเครืองบิน เสียงเ คิ อปเตอร
ม า เ ย เ น หาตอ ุ า อ เ า
ห อ ม อยา
(แนวตอบ เปนป หา เนื่อง ากรบกวนการ
พัก อน ทําใหพัก อน มเพียงพอ รบกวน
สมาธิการทํางาน ทําใหเกิดความเครียด ด)
3. นักเรียนรวมกันตอบคําถามอยางอิสระ จากนัน้
ครูใหคาํ ชมเชยหรือมอบรางวัลใหกบั นักเรียนที่ เสียงการจราจร เสียงสุนั หอน
ตอบคําถามไดถูกตองเพื่อเปนการเสริมแรง
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล)
4. ครูอ ิบายเชื่อมโยงวา มลพิษทางเสียงเปน
ปญหาตอมนุษย แตเสียงแบบใดจึงจะเรียกวา
เปนมลพิษทางเสียง เราจะศึกษาในบทเรียน
ตอไปนี้ เสียงเครืองเจา นน ภาพที่ .1 ตัวอยางการเกิดมลพิษทางเสียง
5. ครูใหนักเรียนศึกษาภาพและขอมูลในหัวขอ
อันตรายจากมลพิษทางเสียง จากหนังสือเรียน
หนานี้
àÊÕ§·Õèà¡Ô´¢Öé¹ã¹ªÕÇÔµ»ÃШíÒÇѹ
ã´ºŒÒ§ ໚¹ÁžÔÉ·Ò§àÊÕ§
น าถาม
เชน เสียงสุนัขเหา เสียงสุนัขหอน เสียงสุนัข
112
กัดกัน เสียงร ักรยานยนตที่มีทอเสียงดัง เสียง
เครื่อง ักรในโรงงาน
T126
นํา สอน สรุป ประเมิน
หนวยการเรียนรูที่ 4 ขัน้ น
¾Åѧ§Ò¹àÊÕ§ าร น า
¡Ô¨¡ÃÃÁ·ีè 4 ัก กร บวนการ
างวิ ยาศาสตร ี
1. นักเรียนจับกลุมกับเพื่อน -3 คน เพื่อทํา
กิจกรรมที่ 4 เรื่อง มลพิษทางเสียง โดยให
ม พิษทาง สียง 1. การลงความเห็นจากขอมูล ศึกษาขัน้ ตอนการทํากิจกรรมจากหนังสือเรียน
2. การตีความหมายขอมูลและลงขอสรุป
. การจัดกระทําและสื่อความหมายขอมูล หนานี้ แลวไปสืบคนเพิ่มเติมเกี่ยวกับมลพิษ
ดประสง ์ ทางเสียงอันตรายจากมลพิษทางเสียงในชีวิต
สื คนขอมูล เพื่อเสนอแนวทาง นการปองกันและหลีกเลี่ยงมลพิษทางเสียง ประจําวัน พรอมสืบคนวิ ีปองกันอันตรายที่
เกิ ด จากมลพิ ษ ทางเสี ย ง จากหนั ง สื อ เรี ย น
ต้อง ตรียมต้อง ้ หนา 115 รวมทั้งจากแหลงอื่น แลวบันทึก
แหลงขอมูล เชน หนังสือ อินเทอรเน็ต ขอมูลที่สืบคนมาไดลงในสมุด หรือบันทึกใน
แบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1
องทาดู 2. นั ก เรี ย นทุ ก คนนํ า ข อ มู ล ที่ สื บ ค น ได ม าสรุ ป
รวมกัน จากนั้นนําขอมูลทั้งหมดจัดทําเปน
1. แ ง กลุม จากนัน้ ชวยกันสื คนขอมูลแลว นั ทึก ล
แผนพับใหความรูเ กีย่ วกับมลพิษทางเสียงและ
นสมุดตามหัวขอ ดังนี้
แนวทางในการปองกันมลพิษทางเสียง
• มลพิษทางเสียงคืออะไร
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
• อันตรายจากมลพิษทางเสียง นชีวิตประจําวัน แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม)
• วิธีปองกันและแนวทาง นการหลีกเลี่ยงอันตราย
ที่อาจเกิดขึ้นจากมลพิษทางเสียง
2. หแตละกลุมนําเสนอ ลการสื คนหนาชั้นเรียน
เพื่ออภิปรายขอมูลที่ไดสื คนตามหัวขอตาง ภาพที่ .1 การสื คนขอมูล
. แตละกลุมรวมกันสรุปขอมูลภาย นกลุม จากนั้นนําขอมูลมาจัดทําแ นพั หความรู น น
เกีย่ วกั มลพิษทางเสียงและวิธปี องกัน เพือ่ นําไป หความรูต ามจุดตาง ของโรงเรียนหรือ ขอ 3.
นชุมชน คาราโอเกะ เพราะเปนรานทีเ่ ปดเสียงเพลงดัง
ตลอดเวลาเมือ่ มีการรองเพลง ง่ ะมีเสียงทีด่ งั เกิน
หนูตอบ ด้ เด เิ บล หาก งติดตอกันเวลานานอา สง ลเสีย
. มลพิษทางเสียงคืออะไร จงอธิ ายพรอมยกตัวอยางประกอ ตออวัยวะรับเสียง หู) เชน อา ทําใหเกิดอาการ
2. วิธีการปองกันและหลีกเลี1่ยงอันตรายจากมลพิ2ษทางเสียงตองทําอยางไร าง หูอื้อชั่วคราว
. ระหวางรานคาราโอเกะกั ริเวณตลาดนัด นักเรียนคิดวาสถานที่ ดมีมลพิษทางเสียง ตลาดนัด เพราะในตลาดนัดเปนส านที่ที่
เพราะอะไร มี ูคนพลุกพลาน ่งมีทั้งเสียงคนและเสียง าก
113 เครื่องขยายเสียงของรานคาตาง ที่มีความดัง
หลายระดับเสียง งอา กอใหเกิดความหงุดหงิด
และความรําคา ตอ ูคนในบริเว นั้น ด
ขัน้ น
า ามร
ครูสุมตัวแทนนักเรียนใหออกมานําเสนอผล
การทํากิจกรรมของตนเองหนาชั้นเรียน โดยมี
เสียงตาง ที่เราไดยิน นชีวิตประจําวัน างครั้งอาจทํา หเกิดอันตราย
ครูคอยแนะนําเพิ่มเติม กั หูของเราได โดยเสียงแตละเสียงจะมีระดั ความดังของเสียงไมเทากัน
ครูใหนักเรียนในชั้นเรียนเปรียบเทียบผลงาน ซึ่ง ริเวณที่จะเกิดเสียงดังมากและเกิดเสียงดังขึ้นเปนประจํา เชน ริเวณ กล
แผนพับใหความรูข องแตละกลุม พรอมทัง้ ถาม ถนน หญ ภาย นโรงงานอุตสาหกรรม ริเวณสนาม ิน สวนเสียง างเสียง
คําถาม แลวใหนักเรียนชวยกันตอบ ดังนี้ แมวาจะไมดังมากจนเปนอันตรายตอเยื่อแกวหู แตอาจกอ หเกิดความรูสึก
น เ ยน นาแ น บ แ ห บ หงุดหงิดและรําคาญได เชน เสียงสุนัขหอน
( แนวตอบ คนที่ ทํ า งานบริ เ ว ที่ มี เ สี ย งดั ง
และชุมชนที่อยูในบริเว ที่มีเสียงดัง เชน
ใกลโรงงานอุตสาหกรรม ใกล นน หรือ
สนามบิน) 60
เสียงพูดคุยปกติ
เ า เหตุ น เ ยน นาแ น บ แ 0
ห ุม น าว 0 เสียงเครื่องดูด ุน
เสียง นหองสมุด
(แนวตอบ เพื่อประชาสัมพันธใหทุกคนทราบ
ง ัยอันตรายของเสียงที่ดังเกิน ปและรูวิธี ร ับความ ัง 0
องเสียงตาง เสียงเครื่องตัดหญา
ปองกันมลพิ ทางเสียง) 0
เสียงพูดเ า
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช เสียงกระซิ
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม)
0 25
เสียงเครื่อง ินกําลัง ินขึ้น เสียงพลุหรือเสียงประทัด
อันตราย
การรั งเสียงที่มีระดั ความเขมเสียงตั้งแต ภาพที่ .15 ตัวอยางระดั ความดังของเสียงตาง
5 เดซิเ ลขึ้นไป ติดตอกันเกินวันละ ชั่วโมง
จะทํา หเยื่อแกวหูเปนอันตราย เกิดอาการมึนงง
และอาจตัดสิน จ นเรื่องตาง ิดพลาดได
หนวยการเรียนรูที่ 4 ขัน้ น
พลังงานเสียง า าม า
1. นักเรียนทุกกลุมศึกษาเนื้อหาเกี่ยวกับมลพิษ
การรูจ กั ปองกันหรือหลีกเลีย่ งเสียงดัง จะชวยปองกันไม หเยือ่ แกวหูของเรา
ทางเสียง อันตรายจากมลพิษทางเสียง และ
เกิดอันตราย และยังชวยปองกันประสาทการรั งเสียงไม หเสื่อม โดยแนวทาง แนวทางการปองกั น มลพิ ษ ทางเสี ย ง จาก
การปองกันและหลีกเลี่ยงมลพิษทางเสียงทําไดหลายวิธี เชน หนังสือเรียน หนา 114-11
2. นักเรียนจับคูกับเพื่อนแลวศึกษาขอมูลมลพิษ
1. สถานที่ที่อยู กลกั ถนน หญ เชน ริเวณ านหรือ ทางเสียงเพิ่มเติมจากสื่อดิจิทัลจากในหนังสือ
โรงเรียนทีอ่ ยูต ดิ กั ถนน หญ ควรมีการปลูกตนไมสงู เรียน หนา 114 โดยใชโทรศัพทมือถือสแกน
หรือสรางกําแพง เพื่อ ชเปนแนวกั้นเสียง เรื่อง มลพิษทางเสียง จากนั้นรวม
กันอภิปรายและสรุปภายในชั้นเรียน โดยให
ภาพที่ .1 สรางกําแพงปองกันเสียง ครูคอยอ ิบายเพิ่มเติมในสวนที่บกพรอง
ภาพที่ .1 ชมืออุดหูทันทีเมื่อไดยินเสียงดัง
2. หากเราไดยินเสียงที่ดังมาก อยางกะทันหัน เชน
เสียงประทัด เสียง า า อาจจะทํา หเกิดอาการ
หูดั ฉั พลันได ดังนั้น ห ชมืออุดหูทันทีี
T129
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ น
า าม า
3. ครูอ ิบายเพิ่มเติมวา การรับ งเสียงที่มีระดับ เ¡Ãçด ÇԷ¹ÒÃÙŒ
ความเขมเสียงตั้งแต 5 เด ิเบล ขึ้นไป โดยทัวไ หของคน กติจะสามารถรับเสียงทีมีความดังของเสียงตาสุด เด เิ บล ( )
ติดตอกันเกินวันละ ชั่วโมง จะมีผลทําให และสงสุด เด ิเบล ( ) (ความถีของคลืนเสียง ตังแต่ เฮิรต ) งระดับ
เยื้อแกวหูเปนอันตรายได ดังนั้น นักเรียน เสียงทีมีความ ลอด ัย นการได้ยินสาหรับมนุ ย คือ ความดัง ระมา เด ิเบล ( )
ไมควร ง เสียงทีด่ งั มากติดตอกันเปนเวลานาน หรือน้อยกว่านัน
4. นักเรียนแตละคนทํากิจกรรมหนูตอบไดจาก
หนังสือเรียน หนา 113 ลงในสมุดหรือทําใน Ô Ãà ¹Ò ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õ 1
แบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1 จับคูกับเพือน จากนันสังเกต าพ ีกาหน วเ ือก าพ ีคิ วา า ห
5. นักเรียนทํากิจกรรมพั นาการเรียนรูที่ 1 จาก
เกิ ม พิ างเสียงมา าพ พรอมยกตัวอยางวิธีปองกันหรือห ีกเ ียงม พิ
หนังสือเรียนหนานี้ ลงในสมุด
6. ครู ใ ห นั ก เรี ย นทบทวนความรู ค วามเข า ใจ
างเสียงจาก าพนันมา 2 อ วนาเสนอหนา ันเรียน
เกี่ยวกับเนื้อหาหนวยการเรียนรูที่ 4 บทที่ 1 1. 2. 3. 4.
พลังงานเสียงที่เรียนผานมา โดยสุมเรียกชื่อ
นักเรียนใหออกมาเลาวาตนเองไดรับความรู
อะไรบาง เสียงเฮลิคอปเตอร เสียงกระซิ เสียงจราจร เสียง นหองสมุด
7. นั ก เรี ย นเขี ย นสรุ ป ความรู เ กี่ ย วกั บ เรื่ อ งที่ ไ ด ¤Ó¶ÒÁ·ŒÒ·Ò¡ÒäԴ¢Ñé¹ÊÙ§
เรียนมาจากบทที่ 1 ในรูปแบบตาง เชน
แผนผังความคิด แผนภาพ ลงในสมุด ระยะทางจากแหลงกําเนิดเสียงกั หูของ ู ง มี ลตอความดังของเสียงหรือไม อยางไร
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
กิจกรรม สรุปความรูป ระจําบทที่ 1
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล) ตรวจสอบตนเอง
หลังเรียนจ ทนี้แลว หนักเรียน อกสัญลักษณที่ตรงกั ระดั ความสามารถของตนเอง
เกณ
รายการ ี พอ ควรปรับปรุง
เกร็ดแนะครู กิ กรร า า
ครูใหความรูความเขาใจกับนักเรียนเพิ่มเติมวา ชวงความถี่ของเสียงพูด ใหนกั เรียนแตละคนไปสํารวจลักษ ะของเสียงตาง 1 เสียง
ระหวางความถี่ 5 - , เ ิรต หูของมนุษยจะมีความอดทนในการรับ ง จากสื่อตาง เชน วิทยุ โทรทัศน อินเทอรเน็ต แลวบันทึกผลลงใน
เสียงในขอบเขตจํากัด สําหรับผูท อี่ ยูใ นสภาพแวดลอมทีม่ เี สียงดังมาก จะทําให กระดาษ 4 โดยใหบอกความรูสึกเมื่อได งเสียงนั้น แลวนํามา
อวัยวะรับเสียงเสื่อมเร็วขึ้น และอาจทําใหความสามารถในการรับ งเสียงลดลง เปรียบเทียบกับเพื่อน ในชั้นเรียน เพื่อรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับ
หรือทีเ่ รียกวา “อาการหูตงึ ” โดยหากอยูใ นสภาพแวดลอมทีม่ เี สียงดังตอไปนาน ลักษ ะเสียงที่ไดยิน
จะทําใหเกิดอาการหูหนวกได และไมสามารถไดยินเสียงพูดคุยตามปกติได
เชนเดิม ดังนั้น นักเรียนควรหลีกเลี่ยงบริเว ที่มีเสียงดัง
T130
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ น
สÃØ» ÊÒÃ ÊÒ
»ÃШíÒº··Õè 1 า าม า
8. นั ก เรี ย นแต ล ะคนศึ ก ษาแผนผั ง ความคิ ด
สรุปสาระสําคัญ ประจํา
า
ี ง าผ
ตามธรรมชาติ เชน เสย บทที่ 1 จากหนังสือเรียนหนานี้ เพื่อตรวจ-
สอบกับการเขียนสรุปความรูที่นักเรียนทําไว
ง
สี ย
มน
ษุ ยส ั น์ ในสมุด
เ
์ รา้ งข้น ศ
เชน เสียง ทรท
นิด
ฐิ
นอ
กํ า เ
เช 9. นักเรียนทํากิจกรรมฝกทักษะบทที่ 1 จาก
ขง็
ของแ
แ หลง
เส ียง ศึกษากิจกรรมสรางสรรคผลงานจากหนังสือ
ดับ เรียน หนา 11 แลวใหป ิบัติกิจกรรมตาม
ระ มฐ ว ป ป มล
พ ิษ
วั ด
ทา
เสยี แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม)
ั ษณะของ
ลก
เสยี งท่ี
ี ยง
เสยี
ม 12. นักเรียนทําทบทวนทายหนวยการเรียนรูท่ี 4
งท
กอ คี วา
่ี
ให มดงั
เสียงตํา่ เสียงสูง เ้ กด ม
ิ ค าก หรอ เรื่ อ ง พลั ง งานเสี ย ง จากในแบบฝ กหั ด
วามร ื
วิทยาศาสตร ป.5 เลม 1
ระดบั
เสยี
รปองกัน
เสยี เช
ง เสยี ย) นใ
งคอย (พลงั งานนอ้ ชอ้
งกา
สรา้ ปุ ก
เสยี งกาํ แ รณป์ องก
ทา
งดงั (พ ว
ลังงานมาก) พงเป
น แนวกน
น
ั หู แน
มอยใู ั เสียง
นบรเิ ว
ณทม ี่ เี สียงดังนาน
117
T131
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ น
า าม า
กิจกรรม º··ีè 1
13. ครูใหนักเรียนทําแบบทดสอบหลังเรียนของ
หนวยการเรียนรูที่ 4 เพื่อตรวจสอบความรู
ฝกทักษะ
ความเขาใจหลังเรียน . ตอบคา ามตอ ปนี
ขัน้ รป 1 องคประกอ ที่ทํา หมนุษยสามารถไดยินเสียง มีอะไร าง
ร 2 เสียงสามารถเคลื่อนที่ านตัวกลาง ดได าง จงยกตัวอยางประกอ
นักเรียนดูตารางตรวจสอบตนเอง จากหนังสือ นักเรียนคิดวา หากเกิดการระเ ิด นอวกาศนอกโลกของเรา นัก ินอวกาศ
เรียนวิทยาศาสตร หนา 11 จากนั้นถามนักเรียน จะไดยินเสียงหรือไม เพราะอะไร
เปนรายบุคคลตามรายการขอ 1-5 จากตาราง เพือ่ 2. นาตัวอัก รหนา อความ ีกาหน ห ปเติมหนา อ ีมีความสัมพันธกัน
เปนการตรวจสอบความรูค วามเขาใจของนักเรียน
หลังจากการเรียน หากนักเรียนคนใดตรวจสอบ ก. อวัยวะรั เสียง ข. ตัวกลางของเสียง ค. มลพิษทางเสียง
ตนเองโดยให อ ยู ใ นเก ค วรปรั บ ปรุ ง ให ค รู
ทบทวนบทเรียนหรือหากิจกรรมอืน่ อ มเสริม เพือ่
ง. ระดั เสียง จ. แหลงกําเนิดเสียง ฉ. ความดังของเสียง
ใหนักเรียนมีความรูความใจในบทเรียนมากขึ้น
…………………. 1 เสียงที่มีความดังมาก กอ หเกิดความรําคาญ
………………….
น 2 สิ่งตาง เมื่อเกิดการสั่นสะเทือนแลวทํา หเกิดเสียง
น ก กรรม กทักษะ ลง
ึก ัว สิ่งที่ทํา หเสียงเคลื่อนที่จากแหลงกําเนิดเสียงเขาสูรูหูของเราได
ันท จําต
………………….
ขอ 1. ด
ุ ประ เกิดจากวัตถุสั่นดวยความถี่ที่แตกตางกัน จึงทํา หเกิดเสียงสูง ตํ่า
ส ม
………………….
) มี อยาง ดแก แหลงกําเนิดเสียง ตัวกลาง
ของเสียง และอวัยวะรับเสียง หู)
…………………. 5 มีความสัมพันธกั พลังงาน นการสั่นวัตถุ ทํา หเกิดเสียงดังและ
) เสียงเคลื่อนที่ านตัวกลางที่เปนของแขง เสียงคอย
เชน กอนหิน ตัวกลางที่เปนของเหลว เชน นํ้าเปลา . สืบคน อมู เกียวกับส าน ี ีมีม พิ างเสียง หง ววา าพหรือติ าพ
และตัวกลางที่เปนอากาศ เชน แกสออกชิเ น
ง นสมุ พรอมบอกวิธีปองกันม พิ างเสียงจากส าน ีนันมาพอสังเ ป
) ม ดยินเสียง เพราะในอวกาศเปนบริเว
ที่ มมีอากาศ ง มมีตัวกลางของเสียงที่ ะทําให 1 สถานที่ที่มีมลพิษทางเสียง คือ
นักบินอวกาศ ดยินเสียง าพ) ............................................................................................................................................................
ัว
ติ จําต
หรือ 2 วิธีปองกันมลพิษทางเสียง มีดังนี้ ประ
ขอ 2. าพ สมุด
ลง น
) ค มลพิ ทางเสียง (วา ันทึก
............................................................................................................................................................
) แหลงกําเนิดเสียง ............................................................................................................................................................
เฉลย 1. ข 2. ง 3. ก 4. ก 5. ค 6. ค 7. ก 8. ง 9. ง 10. ค
T132
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ ประ มน
ร
·Ñ¡ÉÐáË‹§ÈµÇÃÃÉ·Õè
✓การสื่อสาร ✓ ความรวมมือ ✓ การแกปญหา
1. ครูประเมินผลจากการสังเกตพ ติกรรมการ
✓การสรางสรรค การคิดอยางมีวิจารณญาณ ตอบคําถาม พ ติกรรมการทํางานรายบุคคล
✓การ ชเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร พ ติ ก รรมการทํ า งานกลุ ม และจากการ
กิจกรรม นําเสนอผลการทํากิจกรรมหนาชั้นเรียน
ÊÌҧÊÃä¼Å§Ò¹ 2. ครูตรวจสอบผลการทํากิจกรรมที่ 4 เรื่อง
มลพิษทางเสียง ในสมุดหรือในแบบฝกหัด
แบงกลุม กลุมละ 2-3 คน แลวชวยกันระดมความคิด วิทยาศาสตร ป.5 เลม 1
เพือ่ ออกแบบและประดิษฐแบบจําลองโทรศัพททที่ าํ ใหผฟู ง คนอืน่ ๆ 3. ครูตรวจสอบผลทํากิจกรรมพั นาการเรียนรู
หลายคนไดยินเสียงผูพูดเพียง 1 คน ไดพรอม ๆ กัน โดยให ใช ที่ 1 จากสมุด
ความรูเกี่ยวกับตัวกลางของเสียงเขามาประกอบ 4. ครูตรวจสอบผลการทํากิจกรรมหนูตอบได
จากนั้นประดิษฐชิ้นงาน แลวนําเสนอหนาชั้นเรียน
ในสมุด หรือในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5
เลม 1
ตัวอย‹าง ¼Å§Ò¹¢Í§ ѹ 5. ครูตรวจสอบผลการทํากิจกรรมสรุปความรู
เกี่ยวกับเสียงรอบตัวเราจากสมุด
6. ครูตรวจผลการทํากิจกรรมฝกฝนทักษะบทที่ 1
ในสมุด หรือในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5
เลม 1
7. ครูตรวจผลการทํากิจกรรมทาทายการคิด
ขั้นสูงในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1
8. ครูตรวจชิน้ งาน ผลงานการประดิษ โ ทรศัพท
และการนําเสนอชิน้ งาน ผลงาน หนาชัน้ เรียน
9. ครู ต รวจสอบผลการทํ า กิ จ กรรมทบทวน
ทายหนวยการเรียนรูที่ 4 เรื่อง พลังงานเสียง
จากแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1
10. ครูตรวจสอบผลการทําแบบทดสอบหลังเรียน
ของหนวยการเรียนรูที่ 4
ภาพที่ .2 ตัวอยางแ จําลองโทรศัพท
119
ใบที่ 3 ทุม ฉ)
แบบประเมินผลงานการประดิษฐ์แบบจาลองโทรศัพท์
ระดับคุณภาพ
รายการประเมิน
1. การออกแบบชิ้นงาน
ดี (3)
ชิ้นงานมความถูกต้อง
คาอ ิบายระดับคุณภาพ/ระดับคะแนน
พอใช้ (2)
ชิ้นงานมความถูกต้อง
ปรับปรุง (1)
ชิ้นงานมความถูกต้อง
1 การออกแบบชิ้นงาน
รายการประเมิน 3
(ดี)
2 1
(พอใช้) (ปรับปรุง)
ตาม ่ออกแบบ ว้ มขนาด
เหมา สม รู แบบ
น่าสนใ แ ลกตา แล
สร้างสรรค์ด
ตาม ่ออกแบบ ว้ มขนาด ตาม ่ออกแบบ ว้ มขนาด
เหมา สม รู แบบ เหมา สม รู แบบ
น่าสนใ แล สร้างสรรค์ น่าสนใ
2 การเลือกใช้วัสดุเพื่อสร้างชิ้นงาน
2. การเลือกใช้วั ดุเพื่อ เลือกใช้วัสดุมาสร้าง เลือกใช้วัสดุมาสร้าง เลือกใช้วัสดุมาสร้าง
3 ความถูกต้องของเนื้อหา
า ตา า า ต อ แ ว า ห วหนา อ อ น วย
ร้างชิ้นงาน ชิ้นงานตาม ่กาหนด ด้ ชิ้นงานตาม ่กาหนด ด้ ชิ้นงาน ม่ตรงตาม ่
4 การสร้างสรรค์ชิ้นงาน ถูกต้อง แล วัสดุมความ ถูกต้อง แล วัสดุมความ กาหนด แต่วัสดุมความ
5 กาหนดเวลาส่งงาน เหมา สมกับการสร้าง เหมา สมกับการสร้าง เหมา สมกับการสร้าง
รวม ชิ้นงานดมาก ชิ้นงานด ชิ้นงาน
3. ความ ูก ้อง อง าแนกกลุ่มพืชออกเ น าแนกกลุ่มพืชออกเ น าแนกกลุ่มพืชออกเ น
วาม ตา ุ อ า ต อ น อ ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
............./.................../..............
เนื้อ า
คําตอบที่ ูกตอง)
T133
โครงงาน วิทยาศาสตร
พรมเช็ดเทาเพิม่ แรงเสียดทาน
โครงงานสํารวจและรวบรวมขอมูล ✓ โครงงานทดลอง
โครงงานสิ่งประดิษฐ โครงงานทฤษฎี
สถานการณ
งั้นเราตองมาทําพรมเช็ดเทา หม
เพือ่ หมแี รงเสียดทานมากขึน้ แลวละ
นักเรียนคิดวาวัสดุ
ชนิดใดจะชวยเพิ่ม
แรงเสียดทานของ
พวกเราสามารถนํา พรมเช็ดเทากับพื้น
แผนยางกันลื่นมาทํา หรือวาเราลองใชทั้ง ไดดีที่สุด
Ò¡Ê Ò¹¡Òó ¹Ñ¡àÃÕ¹ เปนพื้นของพรมเช็ดเทา แผนยางกันลื่นและ
à¡Ô´ ŒÍʧÊÑÂÍÐäà ไดหรือไมนะ ผาผิวหยาบเลยดีกวา เราวาใชผาผิวหยาบ
จะดีกวาไหม
T134
ขั้นตอนการทําโครงงานตามกระบวนการบันได 5 ขั้น
ขั้นตอนที นักเรียนอานสถานการณที่กําหนด แลวชวยกันตั้งคําถาม
ตั้ง า าม ระ ุสมมติฐาน กําหนดตัวแปร และประโยชนที่คาดวา
(Question)
จะไดรั จากการทําโครงงาน
ขัน
้ ตอนที นักเรียนสื คนขอมูลไดจากแหลงการเรียนรูที่หลากหลาย
สืบ ้น เชน อินเทอรเน็ต หองสมุด สื่อตาง รวมทั้งแสวงหา
(Search)
ขอมูลจากการสํารวจ หรือการสอ ถาม
ขัน
้ ตอนที นักเรียนนําความรู ขอมูล และสารสนเทศตาง ที่ ได
สรปอง ์ วามรู้ จากการอภิปราย การสํารวจ การทดลอง มาวิเคราะห
(Construct)
สังเคราะห แลวสรุปเปนองคความรู
ขัน
้ ตอนที นักเรียนมีวิธีนําเสนอ ลงานที่ไดจากโครงงานอยางไร าง
นา สนอ เพื่อทํา หเกิดการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ และทํา ห ูอื่น
(Communicate)
เกิดความเขา จไดงาย
ขัน
้ ตอนที นักเรียนนําความรูที่ไดจากการทําโครงงานไปประยุกต ช
ประยกต์ ้ หเกิดประโยชนอยางสรางสรรคไดอยางไร
(Serve)
เกณฑการประเมิน
รายการปร เมิน ร ับค นน
3 ดี 2 พอ ช 1 ปรับปรง
1. ตั้งคําถามและตั้งสมมติฐานได
2. อกแหลงการเรียนรูได
. สรุปองคความรูและนําเสนอขอมูลได
. นําความรูจาก ลงานไป ชประโยชน
T135
บรรณานุ ก รม
กุณ รี เพ็ชรทวีพรเดช และคณะ. 255 . สุ ยอ วิธีสอนวิ ยาศาสตร นา ปสูการจั การเรียนรู องครูยุค หม. กรุงเทพ
อักษรเจริญทัศน.
คาน ซาราห และกิลเลสพี ลิซา เจน. 255 . พจนานุกรม าพวิ ยาศาสตร ปร ม มัธยมตน. แปลโดย ก ติกา ชินพันธ.
กรุงเทพ นานมี ุคส.
งานพั นาวิทยาศาสตรและเทคโนโลยีแหงชาติ กระทรวงวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี สํานัก. 25 . หนังสือ ุ กิจกรรมสงเสริม
การเรียนรู การสืบคน างวิ ยาศาสตร ร ับมัธยมศก า. ปทุมธานี สํานักงานพั นาวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
แหงชาติ.
ชุติมา วั นะคีรี. 25 . กิจกรรมวิ ยาศาสตร น รงเรียน. กรุงเทพ สุวีริยาสาสน.
ทิศนา แขมมณี. 255 . ศาสตรการสอน องคความรูเพือการจั กร บวนการเรียนรู ีมีปร สิ ธิ าพ. พิมพครั้งที่ 1 . กรุงเทพ
ดานสุทธาการพิมพ.
พลอยทราย โอฮามา. 255 . หนังสือเรียนรายวิ าเพิมเติม วิ ยาศาสตรเพือศตวรร ี 2 ป. . พิมพครั้งที่ 2. นนท ุรี
ไทยรมเกลา.
. 25 . หนังสือเรียนรายวิ าเพิมเติม วิ ยาศาสตรเพือศตวรร ี 2 ป.5. พิมพครั้งที่ 2. นนท ุรี ไทยรมเกลา.
พิมพพันธ เดชะคุปต. 25 . การจั การเรียนการสอน วยวิธีการสอน บบสืบสวน. กรุงเทพ เดอมาสเตอรกรุ เมเนจเมนท.
ภพ เลาหไพ ูลย. 25 2. นวการสอนวิ ยาศาสตร (ฉบับปรับปรุง). พิมพครั้งที่ . กรุงเทพ ไทยวั นาพานิช.
แรมสมร อยูสถาพร. 25 . เ คนิค วิธีการสอน นร ับปร มศก า. กรุงเทพ สํานักพิมพแหงจุ าลงกรณมหาวิทยาลัย.
วันเฉลิม กลิน่ ศรีสขุ . 255 . การ ก จิ กรรมคายวิ ยาศาสตรเพือพั นา กั กร บวนการ างวิ ยาศาสตร นพื ั น าน. วิทยานิพนธ
ครุศาสตรมหา ัณ ิต หลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยราชภั สวนสุนันทา.
วันเฉลิม กลิ่นศรีสุข และคณะ. 255 . คูมือครูวิ ยาศาสตร เพือศตวรร ี 2 ันปร มศก าป ี . นนท ุรี ไทยรมเกลา.
วิจารณ พานิช. 2555. วิ ีสรางการเรียนรูเพือศิ ย นศตวรร ี 2 . กรุงเทพ ตถาตาพั ลิเคชั่น.
วิชาการและมาตรฐานการศึกษา สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ สํานัก. 255 . นว าง
การจั กิจกรรมการเรียนรูเพือพั นา ัก การคิ ตามห ักสูตร กนก างการศก า ันพืน าน พุ ธศักรา 255
ร ับปร มศก า. กรุงเทพ โรงพิมพชุมนุมสหกรณการเกษตรแหงประเทศไทย.
. 25 . ตัว ีวั สาร การเรียนรู กนก าง ก ุมสาร การเรียนรูวิ ยาศาสตร (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามห ักสูตร
กนก างการศก า ันพืน าน พุ ธศักรา 255 . กรุงเทพ โรงพิมพ สกสค. ลาดพราว.
ศิริรัตน วงศศิริ และคณะ. 25 . คูมือครูรายวิ าพืน าน วิ ยาศาสตร ันปร มศก าป ี . พิมพครั้งที่ . นนท ุรี ไทยรมเกลา.
. 25 . คูมือครูรายวิ าพืน าน วิ ยาศาสตร ันปร มศก าป ี 5. พิมพครั้งที่ . นนท ุรี ไทยรมเกลา.
. 25 . คูมือครูรายวิ าพืน าน วิ ยาศาสตร ันปร มศก าป ี 6. พิมพครั้งที่ . นนท ุรี ไทยรมเกลา.
สงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ สถา ัน. 255 . บบบัน กกิจกรรมรายวิ าพืน าน วิ ยาศาสตร
ันปร มศก าป ี . กรุงเทพ โรงพิมพ สกสค. ลาดพราว.
. 25 . คูมือครูรายวิ าพืน าน วิ ยาศาสตร ันปร มศก าป ี . กรุงเทพ โรงพิมพ สกสค. ลาดพราว.
. 25 1. คูม อื การ ห กั สูตรรายวิ าพืน านวิ ยาศาสตร ก มุ สาร การเรียนรูว ิ ยาศาสตร (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตาม
ห ักสูตร กนก างการศก า ันพืน าน พุ ธศักรา 255 ร ับปร มศก า. ออนไลน . สื คนเมื่อ 25 ตุลาคม 25 1.
จาก . . 22 . 2.
สรศักดิ แพรคํา. 25 . ัก กร บวนการ างวิ ยาศาสตร. อุ ลราชธานี สถา ันราชภั อุ ลราชธานี.
สํานัก ริหารวิชาการ วิทยาลัยเทคโนโลยีปญญาภิวั น แ นก ริหารหลักสูตร. 255 . เอกสารเผย พรความรูวิ าการศก า
วิธีการสอน ( ). กรุงเทพ วิทยาลัยเทคโนโลยีปญญาภิวั น.
สุวิทย มูลคํา และอรทัย มูลคํา. 25 . 2 วิธีจั การเรียนรู เพือพั นากร บวนการคิ . พิมพครั้งที่ 5. กรุงเทพ ภาพพิมพ.
.21 . 5 6. .
. 2 11 . ( ) .
.
. 2 12 . ( ) 5.
.
T136