You are on page 1of 146

คู่มือครู

Teacher Script

วิทยาศาสตร์ ป. 5
ชั้นประถมศึกษาปที่ 5
ตามมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัด เล่ม 1
กลุมสาระการเรียนรูวิทยาศาสตร (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560)
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551

ผูเรียบเรียงหนังสือเรียน ผูตรวจหนังสือเรียน บรรณาธิการหนังสือเรียน


ดร.เพ็ญพักตร ภูศิลป ดร.รักซอน รัตนวิจิตตเวช นายฐาปกรณ คําหอมกุล
ดร.พลอยทราย โอฮามา นางศรินภัสร เพ็งมีศรี นายวันเฉลิม กลิ่นศรีสุข
นางวชิราภรณ ปถวี

ผูเรียบเรียงคูมือครู บรรณาธิการคูมือครู
นางสาวสุวิภา วงษแสง นายวันเฉลิม กลิ่นศรีสุข
นางสาวอภิญญา อินไรขิง

พิมพครั้งที่ 1
สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ
รหัสสินคา 1548040
1448047
คํ า แนะนํ า การใช้
คูมือครู รายวิ าพืน านวิ ยาศาสตร ป.5 จัดทําขึ้นสําหรั ห
ครู สู อน ชเปนแนวทางวางแ นการจัดการเรียนการสอน เพือ่ พั นา
ลสัม ทธิทางการเรียนและการประกันคุณภาพ ูเรียนตามนโย าย
ของสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สพฐ.

ิ่ม
เพ า นะนาการ ช ข นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
โซน 1
ขัน้ นา

1
กระ น าม น หนวยการเรียนรู ี

เพิ่ม า า รา ชา ข ข น้ ข
1. ครูทักทายกับนักเรียน แลวแจงจุดประสงค
การเรียนรูที่จะเรียนในวันนี้ใหนักเรียนทราบ
2. ครูใหนกั เรียนทําแบบทดสอบกอนเรียน เพือ่ วัด
àÃÕ¹ÃÙÇŒ ·Ô ÂÒÈÒʵÏ
น น ั ้ ั ั ความรูเดิมของนักเรียนกอนเขาสูบทเรียน
3. ครูสนทนากับนักเรียนเพื่อทบทวนความรูเดิม
น เกี่ ย วกั บ กระบวนการทางวิ ท ยาศาสตร ท่ี ไ ด
เรียนมาตั้งแตชั้น ป.4
4. ครูสมุ เลือกตัวแทนนักเรียน 3-4 คน ใหออกมา
ิ่ม หนาชั้นเรียน พรอมตั้งคําถามวา กระบวนการ
เพ ข น น ทางวิทยาศาสตรคืออะไร และมีความสําคัญ
ตอการเรียนวิทยาศาสตรของนักเรียนอยางไร
ั น น โดยใหตัวแทนนักเรียนตอบคําถามทีละคน
(แนวตอบ กระบวนการทางวิทยาศาสตร คือ
วิ ธี ก ารและขั้ น ตอนที่ ใ ช ดํ า เนิ น การค น คว า
หาความรูทางวิทยาศาสตรอยางเปนระบบ)

ิ่ม
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช

เพ น ข แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล)
5. นั ก เรี ย นศึ ก ษาภาพและแนวคิ ด สํ า คั ญ ของ
ั น น ั้ ข น หนวยการเรียนรูที่ 1 เรียนรูวิทยาศาสตร จาก
หนังสือเรียนวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1 หนานี้


ิ่ม
เพ ข น ÇÔ·ÂÒÈÒʵÏ ໚¹¡ÒÃÈÖ¡ÉÒà¡ÕÂè ǡѺÊÔ§è µ‹Ò§ æ ·ÕÍè ÂÙË ͺµÑÇàÃÒ ÇÔ¸¡Õ ÒÃáÅÐ¢Ñ¹é µÍ¹·Õè 㪌à¾×Íè µÍº»˜ÞËÒ
·Õàè ÃÒʧÊÑ àÃÕÂ¡Ç‹Ò ÇÔ¸¡Õ Ò÷ҧÇÔ·ÂÒÈÒʵÏ
㹡ÒÃÊ׺àÊÒÐËÒ¤ÇÒÁÃٌ͋ҧ໚¹Ãкº àÃÒ¤Çýƒ¡½¹·Ñ¡ÉСÃкǹ¡Ò÷ҧÇÔ·ÂÒÈÒʵÏ ãËŒà¡Ô´
น น ั น น ¤ÇÒÁªíÒ¹ÒÞ à¾×Íè ãËŒÊÒÁÒö¤Œ¹ËÒ¤íҵͺáÅÐᡌ䢻˜ÞËÒ䴌͋ҧ¶Ù¡µŒÍ§àËÁÒÐÊÁ
àÁ×Íè àÃÒ·íÒ¡ÒÃÈÖ¡ÉÒáÅÐáÊǧËÒ¤ÇÒÁÃÙ⌠´Â㪌¡Ãкǹ¡Ò÷ҧÇÔ·ÂÒÈÒʵÏáÅŒÇ ¨Ðà¡Ô´¨ÔµÇÔ·ÂÒÈÒʵÏ
«Ö§è ·íÒãËŒàÃÒ໚¹¼ÙÁŒ ¤Õ ÇÒÁʹã¨ã½†Ãʌ٠§Ôè µ‹Ò§ æ ÁÕà˵ØÁ¼Õ Å ÁÕ¤ÇÒÁ«×Íè Êѵ áÅÐÁÕ¤ÇÒÁÃѺ¼Ô´ªÍº

ิ่ม
เพ น
น้ ั ข น น
เกร็ดแนะครู
ครูสามารถใชแบบทดสอบกอนเรียนที่แนบมาทายแผนการจัดการเรียนรู
ิ่ม
เพ นนการ น ของหนวยการเรียนรูที่ 1 เรียนรูวิทยาศาสตร เพื่อใชประเมินนักเรียนกอนเขาสู
บทเรียน
กอนเริ่มเขากิจกรรมการเรียนรูครูอาจใหความรูกับนักเรียนเบื้องตนวา
ข น นน ั วิทยาศาสตร เปนวิชาที่เนนการปลูกฝงใหนักเรียนรูจักสืบเสาะแสวงหาความรู
เกี่ยวกับประเด็นที่สงสัยโดยใชกระบวนการทางวิทยาศาสตรเขามาเกี่ยวของ

ิ่ม ก กรรม 21st


เพราะเปนกระบวนการที่เปนระบบและมีลําดับขั้นตอนในการทํางานที่แนนอน
นอกจากนี้ การเรียนวิทยาศาสตรยังชวยสงเสริมใหนักเรียนเปนคนที่มีเหตุผล โซน 3
เพ ั น มีความอดทน และมีความรับผิดชอบอีกดวย

น ั น ั น
โซน 2

T4
ิ่ม
เพ ร าน ท าศา ร ั น
น ั

โซน 1 ช่วยครูจัด โซน 2 ช่วยครูเตรียมสอน


การเรียนการสอน
แนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน หครู ูสอน โดยประกอ ดวยองคประกอ สําคัญตาง ที่เปนประโยชน
โดยแนะนําขั้นตอนการสอน และการจัดกิจกรรมอยางละเอียด สําหรั ครู เพื่อนําไปประยุกต ชจัดกิจกรรมการเรียนรู นชั้นเรียน
เพื่อ หนักเรียน รรลุ ลสัม ทธิตามตัวชี้วัด กร นะ ร
ความรูเสริมสําหรั ครู ขอเสนอแนะ ขอสังเกต แนวทางการจัด
นํา สอน สรุป ประเมิน
กิจกรรมและอื่น เพื่อประโยชน นการจัดการเรียนการสอน
นัก รี น รร
ความรู  เ พิ่ ม เติ ม จากเนื้ อ หา สํ า หรั อธิ ายเสริ ม เพิ่ ม เติ ม ห กั
นักเรียน
โดย ช หนังสือเรียน รายวิชาพืน้ ฐานวิทยาศาสตร ป.5 และแบบฝกหัด รายวิชาพืน้ ฐานวิทยาศาสตร ป.5 ของ ริษทั
อักษรเจริญทัศน อจท. จํากัด เปนสื่อหลัก ประกอ การสอนและการจัดกิจกรรมการเรียนรู เพื่อ หสอดคลอง
กั มาตรฐานการเรียนรูแ ละตัวชีว้ ดั ของกลมุ สาระการเรียนรูว ทิ ยาศาสตร ฉ ั ปรั ปรุง พ.ศ. 25 ตามหลักสูตรแกนกลาง
การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ซึ่งคูมือครูเลมนี้มีองคประกอ ที่งายตอการ ชงาน ดังนี้

โซน 1 นํา นํา สอน สรุป ประเมิน


โซน 3 ช่วยครูเตรียมนักเรียน
ขัน้ นา

º··Õè 1 àÃÕ¹ÃÙŒ à ǹ ÒÃ·Ò ÇÔ·ÂÒÈÒʵÏ


กระ น าม น
6. นักเรียนดูภาพในหนาบทที่ 1 เรียนรูกระบวน ประกอ ด ว ยแนวทางสํ า หรั การจั ด กิ จ กรรมและ
การทางวิทยาศาสตร จากหนังสือเรียนหนานี้
ศัพทนารู
แลวชวยกันตอบคําถามสําคัญประจําบทวา
นั ก เรี ย นคิ ด ว า นั ก วิ ท ยาศาสตร มี ลั ก ษ ะ
เสนอแนะแนวขอสอ เพือ่ อํานวยความสะดวก หแกครู สู อน
คําศัพท คําอาน คําแปล
scientific method ไซอึน'ทิฟค 'เม็ธธัด วิธีการทางวิทยาศาสตร อยางไร
(แนวตอบ เชน เปนคนชางสังเกต มีความ
science process 'ไซอึนซ 'โพรเซ็ซ ซกิล ทักษะกระบวนการทาง st
skills
scientific attitude
วิทยาศาสตร
ไซอึน'ทิฟค 'แอ็ททิทิวด จิตวิทยาศาสตร
รอบคอบ มีวินัย มีความอดทน)
7. นักเรียนเรียนรูคําศัพทที่เกี่ยวของกับการเรียน
ก กรรม
scientific method
ในบทที่ 1 โดยเลือกตัวแทนนักเรียนใหเปน
ผูอ า นนํา 1 คน แลวใหนกั เรียนทัง้ หองอานตาม กิจกรรมที่ หนักเรียนไดประยุกต ชความรูที่เรียนรูมาสราง
science process skills ขัน้
าร

น า
ชิ้นงาน หรือทํากิจกรรมรว ยอดเพื่อ หเกิดทักษะที่จําเปน
1. ครู ใ ห นั ก เรี ย นสั ง เกตภาพจากหนั ง สื อ เรี ย น
หนานี้ แลวถามนักเรียนวา นักเรียนคิดวาเด็ก
นศตวรรษที่ 21
scientific attitude คน ในภาพกําลังทําอะไร แลวเกี่ยวของกับ
วิ ีการทางวิทยาศาสตรหรือไม
2. นั ก เรี ย นทุ ก คนช ว ยกั น แสดงความคิ ด เห็ น
เกี่ยวกับภาพในหนังสือเรียนหนานี้อยางอิสระ
นนการ
(แนวตอบ เดก คน กําลังทําการทดลองใน
หองป ิบัติการวิทยาศาสตร โดยใชวิธีการ
ตัวอยางขอสอ ที่มุงเนนการคิด มีทั้งปรนัย อัตนัย พรอม
¹Ñ¡àÃÕ¹¤Ô´Ç‹Ò
ทางวิทยาศาสตรและทัก ะกระบวนการทาง
วิทยาศาสตรเขามาเกี่ยวของ) เฉลยอยางละเอียด
¹Ñ¡ÇÔ·ÂÒÈÒʵÏ

? ¤ÇÃÁÕÅѡɳÐ
Í‹ҧäúŒÒ§
นนการ น
ตัวอยางขอสอ ที่มุงเนนการคิดวิเคราะห และสอดคลองกั
3
แนวขอสอ มีทั้งปรนัย อัตนัย พรอมเฉลยอยาง
ขอสอบเนน การคิด นกเร นค รรู ละเอียด
า เ ตวา ุ ามเนอหยาบ น เ ยน วา า นักเรียนเรียนรูและฝกอานคําศัพทวิทยาศาสตร ดังนี้
า ม น า เ ต ุ า
1. ตา
า าอาน
ไ อีน ทิ ค เม็ ัด
าแ
วิ กี ารทางวิทยาศาสตร
ก กรรมทาทา
. จมูก
3. ผิวกาย
4. ตา หู จมูก
ไ อีน โพรเ ็ กิล ทักษะกระบวนการทาง
วิทยาศาสตร
เสนอแนะแนวทางการจัดกิจกรรม เพือ่ ตอยอดสําหรั นักเรียน
โซน 3
(วเ า ห าตอบ การสังเกตวา ุง ามีเนื้อหยาบเปนการใช
ประสาทสัม ัสของ ิวกาย ดังนั้น ขอ งเปนคําตอบที่ ูกตอง)
ไ อีน ทิ ค แอ็ททิทวิ ด จิตวิทยาศาสตร
ไ อีน ทิ ค อินสตรุ อุปกร วิทยาศาสตร
ทีเ่ รียนรูไ ดอยางรวดเร็ว และตองการทาทายความสามารถ น
มึนท
ละ บอระทริ หองป ิบัติการ
ระดั ที่สูงขึ้น
โซน 2
ก กรรม รา รม
T5
เสนอแนะแนวทางการจัดกิจกรรมซอมเสริมสําหรั นักเรียนที่
ควรไดรั การพั นาการเรียนรู

ป ั การ (วิทยาศาสตร) ่
การอธิ ายหรือขอเสนอแนะสิ่งที่ควรระมัดระวัง หรือขอควรป ิ ัติ การแนะนําแหลงเรียนรูแ ละแหลงคนควาจากสือ่ ตาง
ตามเนื้อหา น ทเรียน
น ทา การ ั ะประ มน
เสนอแนะแนวทางการ รรลุ ลสัม ทธิทางการเรียนของนักเรียน
ตามมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัดที่หลักสูตรกําหนด
คํ า อธิ บ ายรายวิ ช า
วิทยาศาสตร์ ก ุมสาร การเรียนรูวิ ยาศาสตร
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เว าเรียน 0 ัว มง ป

ศึกษาและเรียนรูเกี่ยวกั โครงสรางและลักษณะของสิ่งมีชีวิตที่เหมาะสม นแตละแหลงที่อยู ความสัมพันธระหวาง


สิ่งมีชีวิตกั สิ่งมีชีวิต และความสัมพันธกั สิ่งไมมีชีวิต โซอาหารและ ท าทหนาที่ของสิ่งมีชีวิตที่เปน ู ลิตและ ู ริโภค น
โซอาหาร ตระหนัก นคุณคาของสิ่งแวดลอมที่มีตอการดํารงชีวิตของสิ่งมีชีวิต ลักษณะทางพันธุกรรมที่มีการถายทอดจาก
พอแมสูลูกของพืช สัตว และมนุษย ลักษณะที่คลายคลึงกันของตนเองกั พอแม การหาแรงลัพธของแรงหลายแรง นแนว
เดียวกันที่กระทําตอวัตถุ นกรณีที่วัตถุอยูนิ่ง การเขียนแ นภาพแสดงแรงที่กระทําตอวัตถุที่อยู นแนวเดียวกันและแรงลัพธที่
กระทําตอวัตถุ การ ชเครื่องชั่งสปริง นการวัดแรงที่กระทําตอวัตถุ ลของแรงเสียดทานที่มีตอการเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนที่
ของวัตถุ การเขียนแ นภาพแสดงแรงเสียดทานและแรงที่อยู นแนวเดียวกันที่กระทําตอวัตถุ การไดยินเสียง านตัวกลาง
การเกิดเสียงสูง เสียงตํา่ การเกิดเสียงดัง เสียงคอย การวัดระดั เสียงโดย ชเครือ่ งมือวัดระดั เสียง และเสนอแนะแนวทาง น
การหลีกเลี่ยงและลดมลพิษทางเสียง
โดยมุงหวัง ห ูเรียนไดเรียนรูวิทยาศาสตรที่สามารถนําไป ชอธิ าย แกไขปญหา หรือสรางสรรคพั นางาน นชีวิต
จริงได ซึ่งเนนการเชื่อมโยงความรูทางวิทยาศาสตร คณิตศาสตร และเทคโนโลยี กั กระ วนการทางวิศวกรรมศาสตร และ
หมีทักษะสําคัญ นการคนควาและสรางองคความรู โดย ชกระ วนการสื เสาะหาความรูและการแกปญหาที่หลากหลาย
เพื่อ ห ูเรียนเกิดความรู ความเขา จ มีทักษะการคิด และมีสวนรวม นการเรียนรูทุกขั้นตอน รวมทั้งสงเสริม ห
ูเรียนเกิดจิตวิทยาศาสตรและมีเจตคติที่ดีตอการเรียนวิทยาศาสตร

ตัว ีวั
ว . ป.5 รรยายโครงสรางและลักษณะของสิ่งมีชีวิตที่เหมาะสมกั การดํารงชีวิต ซึ่งเปน ลมาจากการ
ปรั ตัวของสิ่งมีชีวิต นแตละแหลงที่อยู
ว . ป.5 2 อธิ ายความสัมพันธระหวางสิ่งมีชีวิตกั สิ่งมีชีวิต และความสัมพันธระหวางสิ่งมีชีวิตกั สิ่งไมมีชีวิตเพื่อ
ประโยชนตอการดํารงชีวิต
ว . ป.5 เขียนโซอาหารและระ ุ ท าทหนาที่ของสิ่งมีชีวิตที่เปน ู ลิตและ ู ริโภค นโซอาหาร
ว . ป.5 ตระหนัก นคุณคาของสิง่ แวดลอมทีม่ ตี อ การดํารงชีวติ ของสิง่ มีชวี ติ โดยมีสว นรวม นการดูแลรักษาสิง่ แวดลอม
ว . ป.5 อธิ ายลักษณะทางพันธุกรรมที่มีการถายทอดจากพอแมสูลูกของพืช สัตว และมนุษย
ว . ป.5 2 แสดงความอยากรูอยากเห็น โดยการถามคําถามเกี่ยวกั ลักษณะที่คลายคลึงกันของตนเองกั พอแม
ว 2. ป.5 อธิ ายการเปลี่ยนสถานะของสสาร เมื่อทํา หสสารรอนขึ้นหรือเย็นลง โดย ชหลักฐานเชิงประจักษ
ว 2. ป.5 2 อธิ ายการละลายของสาร นนํา้ โดย ชหลักฐานเชิงประจักษ
ว 2. ป.5 วิเคราะหการเปลี่ยนแปลงของสารเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมี โดย ชหลักฐานเชิงประจักษ
ว 2. ป.5 วิเคราะหและระ ุการเปลี่ยนแปลงที่ ันกลั ไดและการเปลี่ยนแปลงที่ ันกลั ไมได
ว 2.2 ป.5 อธิ ายวิธีการหาแรงลัพธของแรงหลายแรง นแนวเดียวกันที่กระทําตอวัตถุ นกรณีที่วัตถุอยูนิ่งจากหลักฐาน
เชิงประจักษ
ว 2.2 ป.5 2เขียนแ นภาพแสดงแรงที่กระทําตอวัตถุที่อยู นแนวเดียวกันและแรงลัพธที่กระทําตอวัตถุ
ว 2.2 ป.5 ชเครื่องชั่งสปริง นการวัดแรงที่กระทําตอวัตถุ
ว 2.2 ป.5 ระ ุ ลของแรงเสียดทานที่มีตอการเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนที่ของวัตถุจากหลักฐานเชิงประจักษ
ว 2.2 ป.5 5เขียนแ นภาพแสดงแรงเสียดทานและแรงที่อยู นแนวเดียวกันที่กระทําตอวัตถุ
ว 2. ป.5 อธิ ายการไดยินเสียง านตัวกลางจากหลักฐานเชิงประจักษ
ว 2. ป.5 2 ระ ุตัวแปร ทดลอง และอธิ ายลักษณะและการเกิดเสียงสูง เสียงตํ่า
ว 2. ป.5 ออกแ การทดลองและอธิ ายลักษณะและการเกิดเสียงดัง เสียงคอย
ว 2. ป.5 วัดระดั เสียงโดย ชเครื่องมือวัดระดั เสียง
ว 2. ป.5 5 ตระหนัก นคุณคาของความรูเรื่องระดั เสียง โดยเสนอแนะแนวทาง นการหลีกเลี่ยงและลดมลพิษทางเสียง
ว . ป.5 เปรีย เทีย ความแตกตางของดาวเคราะหและดาว กษจากแ จําลอง
ว . ป.5 2 ชแ นทีด่ าวระ ตุ าํ แหนงและเสนทางการขึน้ และตกของกลุม ดาว กษ นทอง า และอธิ ายแ รูปเสนทาง
การขึ้นและตกของกลุมดาว กษ นทอง า นรอ ป
ว .2 ป.5 เปรีย เทีย ปริมาณนํา้ นแตละแหลง และระ ุปริมาณนํ้าที่มนุษยสามารถนํามา ชประโยชนได จากขอมูลที่
รว รวมได
ว .2 ป.5 2 ตระหนักถึงคุณคาของนํา้ โดยนําเสนอแนวทางการ ชนํ้าอยางประหยัดและการอนุรักษนํ้า
ว .2 ป.5 สรางแ จําลองที่อธิ ายการหมุนเวียนของนํ้า นวั จักรของนํ้า
ว .2 ป.5 เปรีย เทีย กระ วนการเกิดเม หมอก นํ้าคาง และนํ้าคางแข็ง จากแ จําลอง
ว .2 ป.5 5 เปรีย เทีย กระ วนการเกิด น หิมะ และลูกเห็ จากขอมูลที่รว รวมได

รวม 2 ตัว ีวั


Pedagogy
คู่มือครู รายวิชาพื้นฐาน
วิทยาศาสตร์ ป.5 เล่ม 1 รวมถึงสื่อการเรียนรูรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร ชั้น ป.5 ูจัดทําไดออกแ
การสอน อันเปนวิธีการจัดการเรียนรูและเทคนิคการสอนที่เปยมดวยประสิทธิภาพและมี
ความหลากหลาย หกั เู รียน เพือ่ ห เู รียนสามารถ รรลุ ลสัม ทธิตามมาตรฐานการเรียนรูแ ละตัวชีว้ ดั รวมถึงสมรรถนะ
และคุณลักษณะอันพึงประสงคของ ูเรียนที่หลักสูตรกําหนดไว โดยครูสามารถนําไป ชจัดการเรียนรู นชั้นเรียนไดอยางมี
ประสิทธิภาพ ซึ่ง นรายวิชานี้ ูจัดทําไดนํารูปแ การสอนแ สื เสาะหาความรู 5 มา ช น
การออกแ การสอน ดังนี้

รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es Instructional Model)

ดวยจุดประสงคของการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร เพื่อชวย
น าม น
ห ูเรียนไดพั นาวิธีคิด ทั้งความคิดเปนเหตุเปน ล คิดสรางสรรค กระ
คิดวิเคราะห วิจารณ มีทักษะสําคัญ นการคนควาหาความรู และมี Eenn ement
1

าร lo t on
ความสามารถ นการแกปญหาอยางเปนระ ูจัดทําจึงไดเลือก ช

eExp
n
eE lu t o
รูปแ การสอนแ สื เสาะหาความรู 5 2

ะ น า
5
ซึ่งเปนขั้นตอนการเรียนรูที่มุงเนน ห ูเรียนไดมีโอกาสสราง
5Es

องคความรูดวยตนเอง านกระ วนการคิดและการลงมือทํา โดย


ช กระ วนการทางวิ ท ยาศาสตร เ ปนเครื่ อ งมื อ สํ า คั ญ เพื่ อ การ
3

n
bo 4
El

to
พั นาทักษะกระ วนการทางวิทยาศาสตร และทักษะการเรียนรู n


t on xpl

าม
E

แหงศตวรรษที่ 21 าม า า

วิธีสอน (Teaching Method)

ูจัดทําเลือก ชวิธีสอนที่หลากหลาย เชน การทดลอง การสาธิต การอภิปรายกลุมยอย เพื่อสงเสริมการเรียนรู


รูปแ การสอนแ สื เสาะหาความรู 5 หเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด ซึ่งจะเนน ชวิธีสอน
โดย ชการทดลองมากเปนพิเศษ เนื่องจากเปนวิธีสอนที่มุงพั นา ห ูเรียนเกิดองคความรูจากประส การณตรงโดย
การคิดและการลงมือทําดวยตนเอง อันจะชวย ห ูเรียนมีความรูและเกิดทักษะกระ วนการทางวิทยาศาสตรที่คงทน

เทคนิคการสอน (Teaching Technique)

จู ดั ทําเลือก ชเทคนิคการสอนทีห่ ลากหลายและเหมาะสมกั เรือ่ งทีเ่ รียน เพือ่ สงเสริมวิธสี อน หมปี ระสิทธิภาพมากขึน้
เชน การ ชคําถาม การเลนเกม การยกตัวอยาง ซึ่งเทคนิคการสอนตาง จะชวย ห ูเรียนเกิดการเรียนรูอยางมีความสุข
นขณะที่เรียนและสามารถป ิ ัติกิจกรรมไดอยางมีประสิทธิภาพ รวมทั้งไดพั นาทักษะ นศตวรรษที่ 21 อีกดวย
Teacher Guide Overview
วิ ท ยาศาสตร์ ป.5 เล่ ม 1
หน่วย
ตัวชี้วัด ทักษะที่ได้ เวลาทีใ่ ช้ การประเมิน สื่อที่ใช้
การเรียนรู้

1 ทักษะกระ วนการทาง ตรวจแ ทดสอ หนังสือเรียนวิทยาศาสตร


วิทยาศาสตร 1 ทักษะ กอนเรียน ป.5 เลม 1
เรียนรู้
ทักษะการสังเกต ตรวจการทํากิจกรรม น แ กหัดวิทยาศาสตร
วิทยาศาสตร์
ทักษะการตั้งสมมติฐาน สมุดหรือ นแ กหัด ป.5 เลม 1
ทักษะการระ ุ วิทยาศาสตร แ ทดสอ กอนเรียน
ทักษะการสํารวจคนหา ตรวจชิ้นงาน ลงาน แ ทดสอ หลังเรียน
ทักษะการจําแนกประเภท การนําเสนอชิ้นงาน
ทักษะการทํางานกลุม 3 ลงาน
ทักษะการคิดอยางมี ชั่วโมง สังเกตพ ติกรรม ัตรขอความ
วิจารณญาณ การทํางานราย ุคคล
สังเกตพ ติกรรม
การทํางานกลุม
สังเกตคุณลักษณะ
อันพึงประสงค
ตรวจแ ทดสอ
หลังเรียน

2 1. รรยายโครงสรางและลักษณะของ ทักษะการสังเกต ตรวจแ ทดสอ หนังสือเรียนวิทยาศาสตร


สิ่ ง มี ชี วิ ต ที่ เ หมาะสมกั การดํ า รง ทักษะการตั้งสมมติฐาน กอนเรียน ป.5 เลม 1
สิ่งมีชีวิตกับ
ชีวิต ซึ่งเปน ลมาจากการปรั ตัว ทักษะการทดสอ ตรวจการทํากิจกรรม น แ กหัดวิทยาศาสตร
สิ่งแวดล้อม
ของสิ่ ง มี ชี วิ ต นแต ล ะแหล ง ที่ อ ยู  สมมติฐาน สมุดหรือ นแ กหัด ป.5 เลม 1
มฐ. ว 1.1 ป.5 1 ทักษะการสํารวจคนหา วิทยาศาสตร แ ทดสอ กอนเรียน
2. อธิ ายความสัมพันธระหวางสิง่ มีชวี ติ ทักษะการเปรีย เทีย การนําเสนอ ลการทํา แ ทดสอ หลังเรียน
กั สิ่ ง มี ชี วิ ต และความสั ม พั น ธ ทักษะการระ ุ กิจกรรม วัสดุ อุปกรณการทดลอง
ระหว า งสิ่ ง มี ชี วิ ต กั สิ่ ง ไม มี ชี วิ ต ทักษะการ หเหตุ ล ตรวจ งาน กระดาษแข็งแ น หญ
เพื่อประโยชนตอการดํารงชีวิต ทักษะการสรุปอางอิง ตรวจชิ้นงาน ลงาน งาน
มฐ. ว 1.1 ป.5 2 ทักษะการจําแนกประเภท การนําเสนอชิ้นงาน
. เขี ย นโซ อ าหารและระ ุ ท าท ทักษะการทํางานกลุม ลงาน
หนาที่ของสิ่งมีชีวิตที่เปน ู ลิตและ ทักษะการวิเคราะห สังเกตพ ติกรรม
ู ริโภค นโซอาหาร ทักษะการรว รวมขอมูล 19 การทํางานราย ุคคล
มฐ. ว 1.1 ป.5 ทักษะการเชื่อมโยง ชั่วโมง สังเกตพ ติกรรม
. ตระหนัก นคุณคาของสิ่งแวดลอม ทักษะการนําความรูไป ช การทํางานกลุม
ที่มีตอการดํารงชีวิตของสิ่งมีชีวิต ประโยชน สังเกตคุณลักษณะ
โดยมี ส  ว นร ว ม นการดู แ ลรั ก ษา อันพึงประสงค
สิ่งแวดลอม มฐ. ว 1.1 ป.5 ตรวจแ ทดสอ
5. อธิ ายลักษณะทางพันธุกรรมที่มี หลังเรียน
การถายทอดจากพอแมสูลูกของพืช
สัตว และมนุษย มฐ. ว 1. ป.5 1
. แสดงความอยากรู  อ ยากเห็ น โดย
การถามคําถามเกี่ยวกั ลักษณะที่
คลายคลึงกันของตนเองกั พอแม
มฐ. ว 1. ป.5 2
หน่วย
ตัวชี้วัด ทักษะที่ได้ เวลาทีใ่ ช้ การประเมิน สื่อที่ใช้
การเรียนรู้

3 1. อธิ ายวิธีการหาแรงลัพธของแรง ทักษะการสังเกต ตรวจแ ทดสอ หนังสือเรียนวิทยาศาสตร


หลายแรง นแนวเดียวกันที่กระทํา ทักษะการสํารวจ กอนเรียน ป.5 เลม 1
แรงในชีวิต
ต อ วั ต ถุ นกรณี ที่ วั ต ถุ อ ยู  นิ่ ง จาก ทักษะการ หเหตุ ล ตรวจการทํากิจกรรม น แ กหัดวิทยาศาสตร
ประจําวัน
หลักฐานเชิงประจักษ ทักษะการเชื่อมโยง สมุดหรือ นแ กหัด ป.5 เลม 1
มฐ. ว 2.2 ป.5 1 ทักษะการตั้งสมมติฐาน วิทยาศาสตร แ ทดสอ กอนเรียน
2. เขียนแ นภาพแสดงแรงที่กระทํา ทักษะการทดสอ ตรวจ งาน แ ทดสอ หลังเรียน
ต อ วั ต ถุ ที่ อ ยู  นแนวเดี ย วกั น และ สมมติฐาน ตรวจชิ้นงาน ลงาน วัสดุ อุปกรณการทดลอง
แรงลัพธที่กระทําตอวัตถุ ทักษะการสรุปอางอิง การนําเสนอชิ้นงาน
มฐ. ว 2.2 ป.5 2 ทักษะการนําความรู 8 ลงาน
. ช เ ครื่ อ งชั่ ง สปริ ง นการวั ด แรงที่ ไป ชประโยชน ชั่วโมง สังเกตพ ติกรรม ัตรภาพ
กระทําตอวัตถุ มฐ. ว 2.2 ป.5 ทักษะการวิเคราะห การทํางานราย ุคคล
. ระ ุ ลของแรงเสียดทานที่มีตอการ สังเกตพ ติกรรม
เปลี่ยนแปลงการเคลื่อนที่ของวัตถุ การทํางานกลุม
จากหลักฐานเชิงประจักษ สังเกตคุณลักษณะ
มฐ. ว 2.2 ป.5 อันพึงประสงค
5. เขียนแ นภาพแสดงแรงเสียดทาน ตรวจแ ทดสอ
และแรงทีอ่ ยู นแนวเดียวกันทีก่ ระทํา หลังเรียน
ตอวัตถุ มฐ. ว 2.2 ป.5 5

4 1. อธิ ายการไดยินเสียง านตัวกลาง ทักษะการสังเกต ตรวจแ ทดสอ หนังสือเรียนวิทยาศาสตร


จากหลักฐานเชิงประจักษ ทักษะการระ ุ กอนเรียน ป.5 เลม 1
พลังงานเสียง
มฐ. ว 2. ป.5 1 ทักษะการตั้งสมมติฐาน ตรวจการทํากิจกรรม น แ กหัดวิทยาศาสตร
2. ระ ุตัวแปร ทดลอง และอธิ าย ทักษะการทดสอ สมุดหรือ นแ กหัด ป.5 เลม 1
ลักษณะและการเกิดเสียงสูง เสียงตํา่ สมมติฐาน วิทยาศาสตร แ ทดสอ กอนเรียน
มฐ. ว 2. ป.5 2 ทักษะการจําแนก ตรวจ งาน แ ทดสอ หลังเรียน
. ออกแ การทดลองและอธิ าย ทักษะการสรุปอางอิง ตรวจชิ้นงาน ลงาน วัสดุ อุปกรณการทดลอง
ลักษณะและการเกิดเสียงดัง เสียง ทักษะการนําความรู การนําเสนอชิ้นงาน โทรศัพทหรือวิทยุ
คอย มฐ. ว 2. ป.5 ไป ชประโยชน 10 ลงาน
. วั ด ระดั เสี ย งโดย ช เ ครื่ อ งมื อ วั ด ทักษะการเชื่อมโยง ชั่วโมง สังเกตพ ติกรรม
ระดั เสียง มฐ. ว 2. ป.5 ทักษะการสํารวจคนหา การทํางานราย ุคคล งาน
5. ตระหนัก นคุณคาของความรูเรื่อง ทักษะการทํางานกลุม สังเกตพ ติกรรม
ระดั เสียง โดยเสนอแนะแนวทาง น ทักษะการวิเคราะห การทํางานกลุม
การหลีกเลีย่ งและลดมลพิษทางเสียง สังเกตคุณลักษณะ
มฐ. ว 2. ป.5 5 อันพึงประสงค
ตรวจแ ทดสอ
หลังเรียน
สารบั ญ

Chapter
Chapter Teacher
Chapter Title Overview
Concept
Script
Overview
หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เรียนรู้วิทยาศาสตร์ T2 T3 T4

บ ี เรียนรูกร บวนการ างวิ ยาศาสตร T5 -T21

หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม T22 T25 T28

บ ี ีวิตสัมพันธ T29 -T56

บ ี 2 ัก ณ างพันธุกรรม องสิงมี ีวิต T57 -T73

หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 แรงในชีวิตประจําวัน T74 T75 T76

บ ี รง ัพธ T77 -T89

บ ี 2 รงเสีย าน T90 -T105

หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 พลังงานเสียง T106 T108 T110

บ ี เสียงรอบตัวเรา T111-T133

โครงงานวิทยาศาสตร์ T134 -T135

บรรณานุกรม T136
Chapter Overview

นการ ั ักษ ะ
่ ที่ ช ประ น ประ มน ทักษะที่
การ ร นร ัน ึ ประ
น ที่ แ ทดสอ กอนเรียน 1. อธิ ายกระ วนการ แ สื เสาะ ตรวจแ ทดสอ กอนเรียน ทักษะการสังเกต มีวินัย
น หนังสือเรียนวิทยาศาสตร ทางวิทยาศาสตรได หาความรู ตรวจแ ทดสอ หลังเรียน ทักษะการตั้ง เรียนรู
ป.5 เลม 1 อยางถูกตอง 5 ตรวจกิจกรรม นสมุดหรือ สมมติฐาน มุงมัน่ น
3 แ กหัดวิทยาศาสตร 2. ก ชกระ วนการ
ป.5 เลม 1 ทางวิทยาศาสตรได
นแ กหัดวิทยาศาสตร
การนําเสนอ ลการทํา
ทักษะการระ ุ
ทักษะการสํารวจ
การทํางาน
ชั่วโมง
วัสดุ อุปกรณกิจกรรม อยางถูกตอง การเรียนรู กิจกรรม คนหา
สรางสรรค ลงาน . รั ิดชอ ตองานทีไ่ ด แ รวมมือ การนําเสนอชิ้นงาน ลงาน ทักษะการจําแนก
- PowerPoint รั มอ หมาย เทคนิคคูคิด ตรวจชิ้นงาน ลงาน ประเภท
การ ชวิธีการ แ จําลองการเจริญเติ โต ทักษะการทํางาน
ทางวิทยาศาสตร ของพืชหรือสัตว กลุม
ัตรขอความ สังเกตพ ติกรรม ทักษะการคิดอยาง
สมุดประจําตัวนักเรียน การทํางานราย ุคคล มีวิจารณญาณ
แ ทดสอ หลังเรียน สังเกตพ ติกรรม
การทํางานกลุม
สังเกตคุณลักษณะ
อันพึงประสงค

T2
Chapter Concept Overview
หน่วยการเรียนรู้ที่ 1
รี นร ท าศา ร
วิทยาศาสตร เปนการศึกษาเกี่ยวกั สิ่งที่อยูรอ ตัวเรา ซึ่งวิธีการและขั้นตอนที่นํามา ชเพื่อคนควาหาความรูอยางเปนระ เรียกวา
กร บวนการ างวิ ยาศาสตร
กร บวนการ างวิ ยาศาสตร (Scientific Process คือ วิธกี ารและขัน้ ตอนที่ ชดาํ เนินการคนควาหาความรูท างวิทยาศาสตร แ ง เปน
ประเภท ดังนี้

กระบวนการทาง
วิทยาศาสตร
จิตวิทยาศาสตร
วิธีการทางวิทยาศาสตร
เป น ลั ก ษณะนิสั ย ของบุ ค คลที่ เ กิ ด
หมายถึง ขั้นตอนในการคนควาหรื อ จากการเรียนรูผ า นกระบวนการทาง
การแสวงหาความรูท างวิทยาศาสตร วิทยาศาสตร เชน เปนคนมีเหตุมีผล
อย า งเป น ระบบ ประกอบด ว ย 5 มี ค วามสนใจใฝ รู มี ค วามซื่ อ สั ต ย
ขั้นตอน มี ค วามรั บ ผิ ด ชอบ มี ค วามอดทน
ทักษะกระบวนการ โดยสามารถนําความรูไ ปใชประโยชน
ทางวิทยาศาสตร ไดอยางถูกตองและเหมาะสม
? ระบุปญหา หมายถึ ง ความชํ า นาญและความ
สามารถในการคิดคนหรื อสืบเสาะ
เพื่อหาคําตอบ และการแกไขปญหา
ต า ง ๆ ได ถู ก ต อ งและเหมาะสม
ตั้งสมมติฐาน แบงออกเปน 2 ขั้น
?

?
รวบรวมขอมูล ทักษะขั้นพื้นฐาน ทักษะขั้นผสม
?
- การสังเกต - การตั้งสมมติฐาน
- การจําแนกประเภท - การทดลอง
วิเคราะหขอมูล - การวัด - การกําหนดนิยามเชิง
- การใชจํานวน ปฏิบัติการ
- การลงความเห็นจาก - การกําหนดและ
ขอมูล ควบคุมตัวแปร
สรุปผล - การจัดกระทําและสื่อ - การตีความหมายขอมูล
ความหมายขอมูล และลงขอสรุป
- การหาความสัมพันธ - การสรางแบบจําลอง
ของสเปซกับเวลา
- การพยากรณ

T3
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นา

1
กระ น าม น หนวยการเรียนรู ี
1. ครูทักทายกับนักเรียน แลวแจงจุดประสงค
การเรียนรูที่จะเรียนในวันนี้ใหนักเรียนทราบ
2. ครูใหนกั เรียนทําแบบทดสอบกอนเรียน เพือ่ วัด
àÃÕ¹ÃÙÇŒ ·Ô ÂÒÈÒʵÏ
ความรูเดิมของนักเรียนกอนเขาสูบทเรียน
3. ครูสนทนากับนักเรียนเพื่อทบทวนความรูเดิม
เกี่ ย วกั บ กระบวนการทางวิ ท ยาศาสตร ท่ี ไ ด
เรียนมาตั้งแตชั้น ป.4
4. ครูสมุ เลือกตัวแทนนักเรียน 3-4 คน ใหออกมา
หนาชั้นเรียน พรอมตั้งคําถามวา กระบวนการ
ทางวิทยาศาสตรคืออะไร และมีความสําคัญ
ตอการเรียนวิทยาศาสตรของนักเรียนอยางไร
โดยใหตัวแทนนักเรียนตอบคําถามทีละคน
(แนวตอบ กระบวนการทางวิทยาศาสตร คือ
วิ ธี ก ารและขั้ น ตอนที่ ใ ช ดํ า เนิ น การค น คว า
หาความรูทางวิทยาศาสตรอยางเปนระบบ)
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล)
5. นั ก เรี ย นศึ ก ษาภาพและแนวคิ ด สํ า คั ญ ของ
หนวยการเรียนรูที่ 1 เรียนรูวิทยาศาสตร จาก
หนังสือเรียนวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1 หนานี้

ÇÔ·ÂÒÈÒʵÏ ໚¹¡ÒÃÈÖ¡ÉÒà¡ÕÂè ǡѺÊÔ§è µ‹Ò§ æ ·ÕÍè ÂÙË ͺµÑÇàÃÒ ÇÔ¸¡Õ ÒÃáÅÐ¢Ñ¹é µÍ¹·Õè 㪌à¾×Íè µÍº»˜ÞËÒ
·Õàè ÃÒʧÊÑ àÃÕÂ¡Ç‹Ò ÇÔ¸¡Õ Ò÷ҧÇÔ·ÂÒÈÒʵÏ
㹡ÒÃÊ׺àÊÒÐËÒ¤ÇÒÁÃٌ͋ҧ໚¹Ãкº àÃÒ¤Çýƒ¡½¹·Ñ¡ÉСÃкǹ¡Ò÷ҧÇÔ·ÂÒÈÒʵÏ ãËŒà¡Ô´
¤ÇÒÁªíÒ¹ÒÞ à¾×Íè ãËŒÊÒÁÒö¤Œ¹ËÒ¤íҵͺáÅÐᡌ䢻˜ÞËÒ䴌͋ҧ¶Ù¡µŒÍ§àËÁÒÐÊÁ
àÁ×Íè àÃÒ·íÒ¡ÒÃÈÖ¡ÉÒáÅÐáÊǧËÒ¤ÇÒÁÃÙ⌠´Â㪌¡Ãкǹ¡Ò÷ҧÇÔ·ÂÒÈÒʵÏáÅŒÇ ¨Ðà¡Ô´¨ÔµÇÔ·ÂÒÈÒʵÏ
«Ö§è ·íÒãËŒàÃÒ໚¹¼ÙÁŒ ¤Õ ÇÒÁʹã¨ã½†Ãʌ٠§Ôè µ‹Ò§ æ ÁÕà˵ØÁ¼Õ Å ÁÕ¤ÇÒÁ«×Íè Êѵ áÅÐÁÕ¤ÇÒÁÃѺ¼Ô´ªÍº

เกร็ดแนะครู
ครูสามารถใชแบบทดสอบกอนเรียนที่แนบมาทายแผนการจัดการเรียนรู
ของหนวยการเรียนรูที่ 1 เรียนรูวิทยาศาสตร เพื่อใชประเมินนักเรียนกอนเขาสู
บทเรียน
กอนเริ่มเขากิจกรรมการเรียนรูครูอาจใหความรูกับนักเรียนเบื้องตนวา
วิทยาศาสตร เปนวิชาที่เนนการปลูกฝงใหนักเรียนรูจักสืบเสาะแสวงหาความรู
เกี่ยวกับประเด็นที่สงสัยโดยใชกระบวนการทางวิทยาศาสตรเขามาเกี่ยวของ
เพราะเปนกระบวนการที่เปนระบบและมีลําดับขั้นตอนในการทํางานที่แนนอน
นอกจากนี้ การเรียนวิทยาศาสตรยังชวยสงเสริมใหนักเรียนเปนคนที่มีเหตุผล
มีความอดทน และมีความรับผิดชอบอีกดวย

T4
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นา
กระ น าม น

º··Õè 1 àÃÕ¹ÃÙŒ à ǹ ÒÃ·Ò ÇÔ·ÂÒÈÒʵÏ 6. นักเรียนดูภาพในหนาบทที่ 1 เรียนรูกระบวน


การทางวิทยาศาสตร จากหนังสือเรียนหนานี้
แลวชวยกันตอบคําถามสําคัญประจําบทวา
ศัพทนารู • น เ ยน วา น ว ยา า ต ม
คําศัพท คําอาน คําแปล
scientific method ไซอึน'ทิฟค 'เม็ธธัด วิธีการทางวิทยาศาสตร อยา
science process 'ไซอึนซ 'โพรเซ็ซ ซกิล ทักษะกระบวนการทาง (แนวตอบ เชน เปนคนชางสังเกต มีความ
skills วิทยาศาสตร รอบคอบ มีวินัย มีความอดทน)
scientific attitude ไซอึน'ทิฟค 'แอ็ททิทิวด จิตวิทยาศาสตร 7. นักเรียนเรียนรูคําศัพทที่เกี่ยวของกับการเรียน
ในบทที่ 1 โดยเลือกตัวแทนนักเรียนใหเปน
scientific method ผูอ า นนํา 1 คน แลวใหนกั เรียนทัง้ หองอานตาม

science process skills ขัน้ น


าร น า
1. ครู ใ ห นั ก เรี ย นสั ง เกตภาพจากหนั ง สื อ เรี ย น
หนานี้ แลวถามนักเรียนวา นักเรียนคิดวาเด็ก
scientific attitude คน ในภาพกําลังทําอะไร แลวเกี่ยวของกับ
วิ ีการทางวิทยาศาสตรหรือไม
2. นั ก เรี ย นทุ ก คนช ว ยกั น แสดงความคิ ด เห็ น
เกี่ยวกับภาพในหนังสือเรียนหนานี้อยางอิสระ
(แนวตอบ เดก คน กําลังทําการทดลองใน
หองป ิบัติการวิทยาศาสตร โดยใชวิธีการ
ทางวิทยาศาสตรและทัก ะกระบวนการทาง
¹Ñ¡àÃÕ¹¤Ô´Ç‹Ò วิทยาศาสตรเขามาเกี่ยวของ)
¹Ñ¡ÇÔ·ÂÒÈÒʵÏ

? ¤ÇÃÁÕÅѡɳÐ
Í‹ҧäúŒÒ§

ขอสอบเนน การคิด นกเร นค รรู


า เ ตวา ุ ามเนอหยาบ น เ ยน วา า นักเรียนเรียนรูและฝกอานคําศัพทวิทยาศาสตร ดังนี้
า ม น า เ ต ุ า า าอาน าแ
1. ตา
. จมูก ไ อีน ทิ ค เม็ ดั วิ กี ารทางวิทยาศาสตร
3. ผิวกาย ไ อีน โพรเ ็ กิล ทักษะกระบวนการทาง
4. ตา หู จมูก วิทยาศาสตร
(วเ า ห าตอบ การสังเกตวา ุง ามีเนื้อหยาบเปนการใช ไ อีน ทิ ค แอ็ททิทวิ ด จิตวิทยาศาสตร
ประสาทสัม ัสของ ิวกาย ดังนั้น ขอ งเปนคําตอบที่ ูกตอง) ไ อีน ทิ ค อินสตรุ อุปกร วิทยาศาสตร
มึนท
ละ บอระทริ หองป ิบัติการ

T5
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ น
าร น า
3. นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน จากนั้น กิจกรรม
แตละกลุมรวมกันทํากิจกรรมนําสูการเรียน
โดยดูภาพสถานการ จากหนังสือเรียนหนานี้
นําสูก ารเรียน
แลวชวยกันตอบคําถาม โดยเขียนคําตอบลง
ในสมุด หรือทําในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ´ÙÀÒ¾¡Ò÷íÒ¡Ô¨¡ÃÃÁ¢Í§¹Ñ¡àÃÕ¹ã¹ËŒÍ§·´ÅͧÇÔ·ÂÒÈÒʵÏ áŌǵͺ¤íÒ¶ÒÁ
ป.5 เลม 1 แลวใหนําเสนอคําตอบของกลุม
หนาชั้นเรียน เพื่ออภิปรายและสรุปคําตอบ
รวมกัน
4. ครูจดั กิจกรรมการนําเสนอคําตอบของนักเรียน ŒÍ§¹Õ ÁչѡàÃÕ¹ Ò ¤¹
ÁչѡàÃÕ¹¡Õ¤¹¹Ð ¹Ñ¡àÃÕ¹ Ô§ ¤¹
แตละกลุมใหนาสนใจ และใหนักเรียนรวมกัน
µŒ¹ ÑÇʧ ʧ
สรุปคําตอบที่ถูกตอง à·‹Òä Ë ÅŒÇ à ¹µÔàÁµÃ
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม)

Ê´§Ç‹ÒµŒ¹ ÑÇ
ʧ ¹¡Ç‹ÒÍҷԵ
·Õ ŌǹÐ

น ก กรรมนา การ รี น
ใชทัก ะการวัด ทัก ะการใช ํานวน ทัก ะ ¹Ñ¡àÃÕ¹¤Ô´Ç‹Ò à ͹ ÁÕ¡Òà Œ·Ñ¡ÉСÃкǹ¡Ò÷ҧÇÔ·ÂÒÈÒʵÏÍÐäúŒÒ§
การสรางแบบ าํ ลอง ทัก ะการ าํ แนกประเ ท ¹ ÕÇÔµ ÃÐ ÒÇѹ ¹Ñ¡àÃÕ¹䴌 Œ·Ñ¡ÉСÃкǹ¡Ò÷ҧÇÔ·ÂÒÈÒʵϺŒÒ§ ÃÍäÁ‹ Í‹ҧäÃ
ทัก ะการ ัดกระทําและสื่อความหมายขอมูล
ทัก ะการหาความสัมพันธของสเป กับเวลา
4
ข้นอยูก บั คําตอบของนักเรียน ใหอยูใ นดุลยพินิ
ของครู ูสอน)

เกร็ดแนะครู ขอสอบเนน การคิด น O-NET


ครูควรอ ิบายเพิ่มเติมใหนักเรียนเขาใจวา กระบวนการทางวิทยาศาสตร อ ม นตอน อ า อ
( ) คือ วิ ีการและขั้นตอนที่นักวิทยาศาสตรใชในการคนควา 1. การบรรยายลักษ ะการทดลอง
หาความรู และแกไขปญหาทางวิทยาศาสตร กระบวนการทางวิทยาศาสตร . การออกแบบการทดลอง
แบงออกเปน 3 ประเภท ไดแก 3. การป ิบัติการทดลอง
1) วิ ีการทางวิทยาศาสตร 4. การบันทึกผลการทดลอง
) ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร (วเ า ห าตอบ ทัก ะการทดลอง ประกอบดวย ขั้นตอน
3) จิตวิทยาศาสตร ดแก การออกแบบการทดลอง การป ิบัติการทดลอง และการ
บันทก ลการทดลอง ดังนั้น ขอ งเปนคําตอบที่ ูกตอง)

T6
นํา สอน สรุป ประเมิน

หนวยการเรียนรูที่ 1 ขัน้ น
àÃÕ¹ÃÙŒÇÔ·ÂÒÈÒʵÏ าร น า

1. ÇÔ Õ ÒÃ·Ò ÇÔ·ÂÒÈÒʵÏ 5. ครูใหสมาชิกในแตละกลุมรวมกันศึกษาขอมูล


และภาพเกี่ยวกับวิ ีการทางวิทยาศาสตรจาก
วิธีการ างวิ ยาศาสตร หมายถึง ขั้นตอน นการคนควาหรือการแสวงหา หนังสือเรียนหนานี้ จากนั้นครูตั้งคําถามวา
ความรู  ท างวิ ท ยาศาสตร
1 อ ย า งเปนระ
2 โดยมี ก ารรว รวมข อ มู ล และนํ
3
า วิ ีการทางวิทยาศาสตรมีกี่ขั้นตอน อะไรบาง
ขอมูลที่ไดมาวิเคราะห เรีย เรียง เพื่อนําไปสูการสรุป ลถึงขอเท็จจริงหรือ แลวขออาสาสมัครนักเรียน -3 คน เพื่อตอบ
ความรู หม คําถาม
(แนวตอบ วิธกี ารทางวิทยาศาสตร มี ขัน้ ตอน
การสงสัย การสารวจ ดแก ระบุป หา ตัง้ สมมติ าน รวบรวมขอมูล
วิเคราะหขอมูล และสรุป ล)
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล)
6. ครูใหคําชมเชยหรือมอบรางวัลใหกับนักเรียน
ที่ตอบคําถาม เพื่อเปนการเสริมแรงในการ
กลาแสดงออก
การสังเกต การสืบคน อ มู

การ อง ภาพที่ 1.1 ตััวอยางการแสวงหาความรูทาง


วิทยาศาสตร

ÇÔ Õ¡Ò÷ҧÇÔ·ÂÒÈÒʵÏ ÁÕ¡Õ Ñ¹µÍ¹


ÍÐäúŒÒ§

ขอสอบเนน การคิด นกเร นค รรู


า เ นน ว ยา า ต ตอ ม าน เ นอน บแ 1 วเ า ห หมายถึง การใครครวญ ไตรตรอง พิจาร า หรือการแยกออก
1. การตั้งสมมติ าน เปนสวน เพื่อศึกษาใหถองแท เชน วิเคราะหเหตุการ  วิเคราะหปญหาตาง
. การระบุปญหา วิเคราะหขาว
3. การพยากร  2 เ ยบเ ย หมายถึง การแตง เชน การเรียบเรียงขอความ เรียบเรียงถอยคํา
4. การสังเกต หรือการตกแตงคําใหสละสลวยและเรียงลําดับความใหชัดเจน เชน การแปล
(แนวตอบ นักวิทยาศาสตร คือ ูที่มีความเชี่ยวชา ทางดาน และเรียบเรียงหนังสือ
วิทยาศาสตรสาขาใดสาขาหน่ง โดยตองใชหลักวิธที างวิทยาศาสตร 3 อเ หมายถึง ขอความหรือเหตุการ ท เี่ ปนมาหรือทีเ่ ปนอยูต ามจริง
ในการคนควาหาความรูในเรื่องตาง ที่สนใ ด ่ง ูที่ ะเปน รวมทั้งเรื่องหรือประเด็นที่เกี่ยวกับเหตุการ  พ ติกรรม หรือสิ่งใด ที่เกิดขึ้น
นั ก วิ ท ยาศาสตร ที่ ดี ต  อ งมี ลั ก ะเป น คนช า งสั ง เกตสิ่ ง ต า ง ที่มีอยู หรือที่เปนไป
รอบตัว ากนั้น งนํามาตั้งเปนประเดนคํา าม และตั้งสมมติ าน
ในสิง่ ทีส่ งสัย แลวนํา ปสูก ารคนหาคําตอบดวยวิธกี ารตาง ดังนัน้
ขอ งเปนคําตอบที่ ูกตอง)

T7
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ น
าร น า
7. ครูยกตัวอยางสถานการ วา “หากในเชาวัน 1
วิธีการทางวิ
างวิทยาศาสตร เปนวิธีที่นักวิทยาศาสตร ช นการคนหาคําตอ
หนึ่ง เมื่อนักเรียนมาถึงหองเรียน แลวพบวา
มี ข นมหนึ่ ง กล อ งวางอยู  บ นโตะของตนเอง
ของปญหาหรือสิง่ ทีส่ งสัย ชสื เสาะหาความรูห รือคนหาความจริง รวมทัง้ แกไข
โดยที่นักเรียนไมรูวาเปนของใคร นักเรียน ปญหา นดานตาง วิธีการทางวิทยาศาสตรประกอ ดวย 5 ขัั้นตอน ดังนี้
คิ ด ว า ควรทํ า อย า งไร” จากนั้ น ให นั ก เรี ย น 1 ร บุป หา ?
ชวยกันตอบคําถามตามประเด็น ดังนี้ เปนการตั้งคําถาม ตั้งปญหา หรือตั้งขอสงสัย ที่เกิดจากการสังเกต
น เ ยน อยา บ เหน สิ่งตาง รอ ตัว การสังเกตควรทําอยางละเอียดรอ คอ โดย ช
(แนวตอบ รูส กแปลกใ และเกิดความสงสัย) ประสาทสัม ัสตาง เขามาชวย นการสังเกต
น เ ยน าอยา เ อ หหาย ย
(แนวตอบ คนหาคําตอบ เชน าม ากเพือ่ น 2 ตังสมมติ าน
วา เปนขนมของใคร และใครนํามาวาง ว เปนการคาดคะเนคําตอ ของคําถามหรือปญหาที่ตองการศึกษาไว
หรือ ปสังเกตกลองขนมใกล โดยสังเกต ลวงหนา โดยอาศัยขอมูลหรือความรูเดิม ซึ่งสามารถตรวจสอ ได
วาเปนขนมอะ ร และคาดเดาวานา ะเปน โดยการสังเกต การสํารวจ หรือการทดลอง
ขนมของใคร)
8. นักเรียนแตละกลุมไปศึกษาเนื้อหาเกี่ยวกับ 3 รวบรวม อมู
วิ ีการทางวิทยาศาสตรในหนังสือเรียน และ เปนการรว รวมขอมูลหรือคนหาคําตอ ของปญหาดวยวิธีการตาง
จากสื่อดิจิทัลในหนังสือเรียนหนานี้ โดยใช เชน สังเกต สํารวจ ทดลอง หรือสรางแ จําลอง เพื่อ หไดขอมูล
โทรศัพทมือถือสแกน เรื่อง การใช แลว ันทึก ลไว
วิ ีการทางวิทยาศาสตร
4 วิเครา ห อมู
เปนการนําขอมูลที่ไดจากการรว รวมขอมูลดวยวิธีการตาง มา
แปลความหมาย หรืออธิ ายความหมายของขอเท็จจริงที่มีอยู เพื่อนํา
ไปสูการสรุป ล

5 สรุปผ
เปนการสรุป ลของขอมูลทีไ่ ดศกึ ษาคนความา เพือ่ ตรวจสอ วาตรงกั
สมมติฐานที่ตั้งไวลวงหนาหรือไม จากนั้นนําความรูที่ไดไปประยุกต
ช นชีวิตประจําวัน หรือตั้งเปนก เกณ เพื่อ ช นการศึกษาตอไป

6 การใชวิธีการทางวิทยาศาสตร

นกเร นค รรู ขอสอบเนน การคิด


1 น ว ยา า ต คือ บุคคลทีม่ คี วามเชีย่ วชาญดานวิทยาศาสตรอยางนอย อน า า มว วาม อ แ มา ว เ ต
หนึ่งสาขา เชน เคมี สิกส ชีววิทยา สัตววิทยา และใชหลักวิ ีทางวิทยาศาสตร วาม อ อ นแ วบอ น เ ยนวา นา ม วาม
ในการคนควาวิจัย คําวานักวิทยาศาสตรถูกบัญญัติขึ้นเมื่อ พ.ศ. 3 โดย มา วามา น เ ยน วา ว ว า า ว ยา า ต
วิลเลียม วีเวลล งึ่ กอนหนานีน้ กั วิทยาศาสตรถกู เรียกวา “นักปรัชญา รรมชาติ” นตอน
หรือ “บุคคลแหงวิทยาศาสตร” 1. การตั้งสมมติ าน
. การระบุปญหา
3. การสรุปผล
4. การสรุปผล
ครูใหนักเรียนเรียนรูเกี่ยวกับวิ ีการทางวิทยาศาสตรเพิ่มเติมจากสื่อดิจิทัล (วเ า ห าตอบ การคาดเดาคําตอบลวงหนากอนทําการทดลอง
โดยใหสแกน เรื่อง การใชวิ ีการทางวิทยาศาสตร จากหนังสือเรียน เปนการใชวธิ กี ารทางวิทยาศาสตรขนั้ ของการตัง้ สมมติ าน ดังนัน้
หนา ึ่งจะปราก คลิปวิดีโอขึ้น ขอ เปนคําตอบที่ ูกตอง)

T8
นํา สอน สรุป ประเมิน

หนวยการเรียนรูที่ 1 ขัน้ น
àÃÕ¹ÃÙŒÇÔ·ÂÒÈÒʵÏ าร น า

ตัวอยาง การศก าม ? ง ย วิธีการ างวิ ยาศาสตร 9. นั ก เรี ย นศึ ก ษาตั ว อย า งการใช วิ ี ก ารทาง
วิทยาศาสตรจากหนังสือเรียนหนานี้ จากนั้น
ตอมสังเกตวา เมื่อทําขนมหลนลงพื้นจะมีมดแดงมากินขนมเสมอ ตอมเกิด ใหสมาชิกแตละคนนําขอมูลที่ศึกษาไดมา
ความสงสัยวา มดแดงชอ กินของหวานหรือไม ตอมจึง ชวิธีการทางวิทยาศาสตร อภิปรายและรวมกันสรุปผลภายในกลุม
เพื่อคนหาคําตอ ของสิ่งที่สงสัย ดังนี้ (หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม)
? . ร บุป หา . วิเครา ห อมู 10. ครูสุมหยิบบัตรขอความที่เกี่ยวกับการใชวิ ี
มดแดงชอ กินของหวาน พ วา เมื่อทดลองวาง การทางวิทยาศาสตรทเี่ ตรียมไว แลวสุม เรียก
หรือไม ลูกอม ยาเม็ดแกปวด และ นั ก เรี ย นที ล ะคนให ต อบว า เป น วิ ี ก ารทาง
มะขามเปยกไว ริเวณที่มด วิทยาศาสตรในขั้นตอนใด
เดิน านหรือ กลรังมดแดง
? 11. ครูและนักเรียนรวมกันสรุปความรูเกี่ยวกับ
2. ตังสมมติ าน
มดแดงจะออกมากินลูกอม วิ ีการทางวิทยาศาสตร จากนั้นครูอ ิบาย
ถ า มดแดงชอ กิ น ของ
และขนลูกอมกลั เขารัง เพิ่มเติมใหนักเรียนเขาใจวา วิทยาศาสตร
หวาน ดังนั้น ถาวางลูกอม เปนการศึกษาเกี่ยวกับสิ่งตาง ที่อยูรอบตัว
ไวมดแดงนาจะมากินลูกอม ึ่งในการศึกษาสิ่งตาง รอบตัว เราตองใช
5. สรุปผ วิ ีการทางวิทยาศาสตรมาคนควาหาความรู
? สรุปไดวา มดแดงชอ กิน
. รวบรวม อมู หรือคนหาคําตอบของสิ่งที่เราสงสัย
วางแ นและทําการทดลอง ของหวาน
โดยนําลูกอม ยาเม็ดแกปวด
และมะขามเปยกไปวางไว
ริ เ วณที่ ม ดแดงเดิ น  า น
หรือ กลรังมดแดง แลวเ า
สั ง เกตพร อ ม ั น ทึ ก ลไว
จากนัน้ หาขอมูลเพิม่ เติม

ขอสอบเนน การคิด เกร็ดแนะครู


เมอน เ ยน บ หาห อม อ ยเ ยว บ หน ครูอาจจัดกิจกรรมโดยสุมหยิบบัตรขอความที่เกี่ยวกับการใชวิ ีการทาง
เ ตเหน น เ ยน ว า เ นอน บแ วิทยาศาสตรที่เตรียมไว แลวสุมเรียกนักเรียนที่ละคนใหตอบวาเปนวิ ีการทาง
1. สรุปผล วิทยาศาสตรในขั้นตอนใด ดังตัวอยางนี้
. ระบุปญหา ตวอยา บต อ วามเ ยว บ า ว า า ว ยา า ต เชน
3. ตั้งสมมติ าน • หากตนพืชที่ปลูกไวไมไดรับนํ้านาน จะเกิดอาการอยางไร
4. วิเคราะหขอมูล ( น บุ หา)
(แนวตอบ เมื่อเราพบป หาหรือมีขอสงสัยกับสิ่งที่สังเกตเหน • ตนพืชที่ไมไดรับนํ้านาน อาจเกิดอาการเหี่ยวเ าหรือตายได
เราควรระบุป หาเปนอันดับแรก เพื่อนํา ปสูการตั้งสมมติ าน ( นต มมต าน)
และคนหาคําตอบของป หานั้นดวยวิธีการตาง ดังนั้น ขอ • ทําการทดลองโดยไมใหนํ้าตนพืชเปนเวลา 1 วัน ( น วบ วม อม )
งเปนคําตอบที่ ูกตอง) • จากการทดลองพบวา ตนพืชมีอาการเหี่ยวเ าและลมลง
( นวเ า ห อม )
• สรุปไดวาหากตนพืชไมไดรับนํ้าเปนเวลานาน จะเกิดอาการเหี่ยวเ า
และอาจตายได ( น ุ )

T9
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ น
าร น า
12. ครูตั้งคําถามเพื่อกระตุนความคิดนักเรียนวา
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรคืออะไร
2. · à ǹ ÒÃ·Ò ÇÔ·ÂÒÈÒʵÏ
นั ก เรี ย นรู  จั ก หรื อ ไม จากนั้ น ให นั ก เรี ย น ั ก กร บวนการ างวิ ยาศาสตร หมายถึ ง ความสามารถและ
รวมกันแสดงความคิดเห็นไดอยางอิสระ ความชํานาญ นการคนหาคําตอ และการแกปญ หาตาง ไดอยางถูกตองเหมาะสม
(แนวตอบ ทัก ะกระบวนการทางวิทยาศาสตร ทักษะกระ วนการทางวิทยาศาสตร เปนทักษะสําคัญที่แสดงถึงการมี
คือ ทัก ะทางสติป าที่เปนความสามาร กระ วนการคิดอยางมีเหตุ ลตามกระ วนการทางวิทยาศาสตร จึงทํา ห ูเรียน
หรือความชํานา ที่นักวิทยาศาสตรนํามา มีความเขา จ นความรูทางวิทยาศาสตร และมี ลตอการพั นาการเรียนรูได
ใชในการสืบเสาะเพื่อคนหาความรู หรือการ
แก ขป หาตาง ดอยาง กู ตองเหมาะสม)
เปนอยางดี
13. ครู นํ า ดอกไม ม าให นั ก เรี ย นช ว ยกั น สั ง เกต การ อง การสังเกต
จากนั้นใหชวยกันบอกสิ่งที่สังเกตได โดยครู
เขียนสิง่ ทีน่ กั เรียนชวยกันตอบไวบนกระดาษ
14. ครูอ ิบายวาคําตอบของนักเรียนเกิดขึ้นจาก
การสังเกต ึ่งเปนทักษะกระบวนการทาง
วิทยาศาสตรที่สําคัญของนักวิทยาศาสตร
ทักษะหนึ่ง
การวั การ งความเหน

น าถาม การ ตัวเ ภาพที่ 1.2 ตัวอยางการ ชทักษะกระ วนการ


ทางวิทยาศาสตร
มี ทัก ะ ดแก การสังเกต การ ําแนก
ประเ ท การวั ด การใช ํ า นวน การหาความ
สัมพันธของสเป กับเวลา การ ัดกระทําและสื่อ ·Ñ¡ÉСÃкǹ¡Ò÷ҧÇÔ·ÂÒÈÒʵÏ
ÁÕ¡Õ·Ñ¡ÉÐ ÍÐäúŒÒ§
ความหมายข อ มู ล การลงความเหน ากข อ มู ล
การตั้งสมมติ าน การกําหนดและควบคุมตัวแปร
การกํ า หนดนิ ย ามเชิ ง ป ิ บั ติ ก าร การพยากร 
8
การทดลอง การตีความหมายขอมูลและลงขอสรุป
และการสรางแบบ ําลอง

เกร็ดแนะครู ขอสอบเนน การคิด น O-NET


ครูใหความรูค วามเขาใจกับนักเรียนเพิม่ เติมวา การเรียนรูท างวิทยาศาสตร “หนนา อ เ ย น ุเ ยว น ตว ย หอาหา
จําเปนตองใชทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรเพื่อนําไปสูการสืบเสาะคนหา ตา น อ เม าวเ อ เม าว แ อาหา เม แ ว
ความรูต า ง ผานการสังเกต การทดลอง การสรางแบบจําลอง หรือวิ กี ารอืน่ ต มมต านวา อาหา ตา น นนา ม ตอ า ออ
เพื่อนําขอมูล หลัก านเชิงประจักษ หรือแบบอื่น มาสรางคําอ ิบายเกี่ยวกับ อ ” อ อตวแ ตน อ มมต านน
องคความรูห รือแนวคิดรวบยอดทางวิทยาศาสตรนนั้ ดังนัน้ ทักษะกระบวนการ 1. พัน ุของไกไข
ทางวิทยาศาสตรจึงมีความสําคัญในการเรียนวิทยาศาสตรอยางมาก นักเรียน . ปริมา อาหารที่เลี้ยงไกไข
ควรใหความสนใจและควรฝกฝนแตละทักษะใหเกิดความชํานาญ 3. อายุไกไขที่ใชในการทดลอง
4. ชนิดของอาหารที่ใชเลี้ยงไกไข
(วเ า ห าตอบ ากการทดลองหนูนา ดกาํ หนดชนิดของอาหาร
ที่ใชเลี้ยง ก ข วตางกัน ดังนั้น ขอ งเปนคําตอบที่ ูกตอง)

T10
นํา สอน สรุป ประเมิน

หนวยการเรียนรูที่ 1 ขัน้ น
àÃÕ¹ÃÙŒÇÔ·ÂÒÈÒʵÏ าร น า

นักวิทยาศาสตรแ งทักษะกระ วนการทางวิทยาศาสตร ออกเปน 2 ขั้น คือ 15. ครูสนทนากับนักเรียนเพือ่ ทบทวนความรูเ ดิม
ทักษะขั้นพื้นฐาน ทักษะ และทักษะขั้นสูงหรือขั้น สม ทักษะ ดังนี้ เกี่ยวกับทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร
ที่ นั ก เรี ย นได เ รี ย นมาตั้ ง แต ชั้ น ป.4 แล ว
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน มี 8 ทักษะ ประกอบด้วย
โดยตั้ ง คํ า ถามว า ทั ก ษะกระบวนการทาง
. ัก การสังเกต เปนการ ชประสาทสัม ัสอยาง ดอยางหนึ่ง 2. กั การจา นกปร เ เปนการแ งพวก จัดกลุมสิ่งที่สน จ
หรือ ชหลายอยางรวมกัน ไดแก ตา หู จมูก ลิ้น และ ิวกาย หรือการเรียงลําดั วัตถุหรือเหตุการณตา ง ออกเปนหมวดหมู วิ ท ยาศาสตร มี ค วามสํ า คั ญ ต อ การเรี ย น
เพื่อคนหาและ อกรายละเอียดของสิ่งตาง โดยไมควร ส โดย ชความเหมือนกันหรือความแตกตางกันมาเปนเกณ  วิ ท ยาศาสตร อ ย า งไร จากนั้ น ให นั ก เรี ย น
ความคิดเห็นของ ูสังเกตลงไป นการจําแนกวัตถุ เหตุการณ หรือสิ่งตาง ออกจากกัน
. กั การวั เปนการเลือก ชเครือ่ งมือและการ ชเครือ่ งมือตาง . ั ก การ จานวน เปนการ ช ค วามรู  สึ ก เชิ ง จํ า นวนและ
ทุกคนชวยกันแสดงความคิดเห็น
เพื่อวัดหาปริมาณของสิ่งตาง ออกมาเปนตัวเลขไดถูกตอง 12 การคํานวณ โดยการนั จํานวนหรือคิดคํานวณ เพื่อ รรยาย (แนวตอบ ทัก ะกระบวนการทางวิทยาศาสตร
และเหมาะสมกั สิง่ ทีต่ อ งการวัด รวมทัง้ อกหรือระ หุ นวยของ หรือระ ุรายละเอียดเชิงปริมาณของสิ่งที่สังเกตหรือทดลองได เปนทัก ะที่เราตองนํามาใชในการสืบเสาะ
ตัวเลขที่ทําการวัดไดอยางถูกตอง
5. ัก การหาความสัมพันธ องสเป กับเว า 6. กั การจั กร า สือความหมาย อมู เปนการนําขอมูล เพื่อคนหาความรู หรือการแก ขป หาตาง
การหาความสัมพันธระหวางสเปซกั สเปซ เปนการหาความ ที่รว รวมไดจากวิธีการตาง มาจัดกระทํา หอยู นรูปแ ที่มี ในการเรียนวิทยาศาสตร ดอยางเหมาะสม)
สัมพันธระหวางพืน้ ทีท่ วี่ ตั ถุตา ง ครอ ครอง ความหมายหรือมีความสัมพันธกันมากขึ้น รวมทั้งนําขอมูลมา (หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
การหาความสัมพันธระหวางสเปซกั เวลา เปนการหา จัดกระทํา นรูปแ ตาง เชน แ นภาพ แ นภูมิ ตาราง กรา
ความสัมพันธระหวางพืน้ ทีท่ วี่ ตั ถุครอ ครองเมือ่ เวลา า นไป สมการ วงจร เพื่อ ห ูอื่นเขา จความหมายไดงายขึ้น แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล)
. ัก การ งความเหนจาก อมู เปนการ ชความคิดเห็น . ัก การพยากรณ เปนการคาดคะเน ลของปราก การณ
จากความรู  ห รื อ ประส การณ เ ดิ ม เพื่ อ อธิ ายข อ มู ล ที่ ไ ด สถานการณ การสังเกต หรือการทดลองไวลวงหนา โดยอาศัย
จากการสังเกตอยางมีเหตุ ล โดยอาศัยขอมูลหรือสารสนเทศ ขอมูลหรือประส การณของเรื่องนั้นที่เกิดซํ้า เปนแ รูปมา
ที่เคยเก็ รว รวมไว นอดีต ชวย นการคาดการณสิ่งที่จะเกิดขึ้น

นักเรียนระดั ชั้น ป.5 จะ ชทักษะขั้นพื้นฐาน ทักษะ สวนทักษะขั้นสูงหรือ


ขั้น สมอีก ทักษะ จะ ช นระดั ที่สูงขึ้นไป
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นสูงหรือขั้นผสม มี 6 ทักษะ ประกอบด้วย
1. ัก การกาหน ควบคุมตัว ปร เปนการกําหนดตัวแปรตน 2. ัก การตีความหมาย อมู ง อสรุป เปนการแปลความ
ตัวแปรตาม และตัวแปรคว คุมที่ตองคว คุม หคงที่ โดยตอง หมายหรือ รรยายลักษณะและสม ัติของขอมูลที่มีอยู รวมทั้ง
หสอดคลองกั การตั้งสมมติฐานของการทดลองหนึ่ง สามารถสรุปความสัมพันธของขอมูลทั้งหมดได
. ัก การ อง เปนกระ วนการป ิ ัติ นการออกแ . ัก การกาหน นิยามเ ิงป ิบัติการ เปนการกําหนดความ
และวางแ นการทดลอง เพื่อหาคําตอ จากสมมติฐานที่ตั้งไว หมายและขอ เขตของสิ่ ง ต า ง ที่ อ ยู  นสมมติ ฐ านหรื อ ที่
นการทดลองมี ขั้นตอน คือ การออกแ การทดลอง เกี่ยวของกั การทดลอง เพื่อ หเกิดความเขา จตรงกันและ
การป ิ ัติการทดลอง และการ ันทึก ลการทดลอง สามารถสังเกตหรือวัด ลได
5. ัก การตังสมมติ าน เปนการคิดหาคําตอ ลวงหนากอน 6. ัก การสราง บบจา อง เปนการสรางหรือ ชสิ่งที่ทําขึ้นมา
ทําการทดลอง โดยอาศัยการสังเกต ความรู หรือประส การณ เพื่อเลียนแ หรืออธิ ายปราก การณที่ศึกษาหรือที่สน จ
เดิมเปนพื้นฐาน โดยคําตอ ที่คิดลวงหนานี้ยังไมทรา ไมมี แล ว สามารถนํ า เสนอข อ มู ล แนวคิ ด ความคิ ด รว ยอด
หลักการ หรือไมเปนท ษ มี ากอน และสมมติฐานทีต่ งั้ ขึน้ อาจ เพื่อ ห ูอื่นเขา จ นรูปของแ จําลองตาง เชน ชิ้นงาน
ถูกหรือ ิดก็ได ซึ่งจะทรา ไดภายหลังการทดลองแลว สิ่งประดิษฐ รูปภาพ กรา ขอความ ภาพเคลือ่ นไหว
อางอิง คูม อื การ ชหลักสูตรรายวิชาพืน้ ฐานวิทยาศาสตร ระดั ประถมศึกษา สถา นั สงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ 25 1
9

ขอสอบเนน การคิด เกร็ดแนะครู


“ มอบหมาย หน เ ยน อ บุ น นตา น ครูใหความรูความเขาใจกับนักเรียนเพิ่มเติมวา
น แ หบน า เ เตบ ต อ ตน บุ ” า อ วาม • ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรขนั้ พืน้ าน เปนกระบวนการทีผ่ เู รียน
เ ยว อ บ บวน า า ว ยา า ต ควรไดรบั การฝกฝนใหเกิดความชํานาญเปนพืน้ านเบือ้ งตนกอนทีจ่ ะไปฝกทักษะ
1. ทักษะการทดลอง กระบวนการทางวิทยาศาสตรขั้นสูงหรือขั้นผสม
. ทักษะการพยากร  • ทั ก ษะกระบวนการทางวิ ท ยาศาสตร ขั้ น สู ง หรื อ ขั้ น ผสม เป น ทั ก ษะ
3. ทักษะการกําหนดและควบคุมตัวแปร กระบวนการที่ ผู  เ รี ย นต อ งอาศั ย การบู ร าการจากทั ก ษะกระบวนการทาง
4. ทักษะการกําหนดนิยามเชิงป ิบัติการ วิทยาศาสตรขั้นพื้น านที่ควรฝกฝนใหเกิดความชํานาญกอน จึงจะสามารถใช
(แนวตอบ งานที่ครูมอบหมายใหนักเรียน ปทํา คือ ทําการ ทักษะกระบวนการขั้นสูงหรือขั้นผสมนี้ไดอยางมีประสิท ิภาพ
ทดลองปลูก ักบุงในดินตางชนิดกัน ่งตองใชทัก ะการทดลอง
เขามาเกี่ยวของ เนื่อง ากตองมีการออกแบบการทดลอง ป ิบัติ
การทดลอง และบันทก ลการทดลอง ดังนั้น ขอ งเปน
คําตอบที่ ูกตอง)

T11
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ น
าร น า
16. ครูใหนักเรียนจับกลุมเดิมจากชั่วโมงที่แลว ตัวอยาง ทักษะกระ วนการทางวิทยาศาสตรสําคัญ ที่นักเรียนตองเรียนรู
จากนั้นใหรวมกันศึกษาขอมูลจากเกี่ยวกับ
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร จาก
และ ก น หเกิดความชํานาญสําหรั การเรียนวิทยาศาสตร มีดังนี้
หนังสือเรียน หนา -13 . ัก การหาความสัมพันธ องสเป กับเว า 1
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช คือ ความสามารถ นการหาความสัมพันธระหวางรูป 1 มิติ 2 มิติ และ
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม) มิติ รวมไปถึงการระ ุรูปทรง ขนาด ตําแหนง ทิศทางการเคลื่อนที่ของวัตถุ
ที่เวลาตาง
สเป องวัต ุ คือ ที่วางที่วัตถุนั้นครอ ครองอยู และมีรูปรางลักษณะ
เชนเดียวกั วัตถุนั้น โดยสเปซของวัตถุมีความสัมพันธ 2 ลักษณะ ไดแก
1) การหาความสัมพันธร หวางสเป กับสเป เปนการ อกชือ่ หรือวาดภาพของ
วัตถุ 2 มิติ และ มิติ หรือ อกความสัมพันธของตําแหนงวัตถุที่เปลี่ยนไป
กั อีกวัตถุหนึ่ง ดังนี้
• ความสัมพันธร หวางวัต ุ 2 มิติ กับวัต ุ มิติ
คือ ความสามารถ นการระ ุชื่อหรือวาดภาพของวัตถุ 2 มิติ มิติ เชน
2 3
วัต ุ รูป 2 มิติ รูป มิติ

รูปสี่เหลี่ยมมุมฉาก ทรงสี่เหลี่ยมมุมฉาก

รูปวงกลม รูปสี่เหลี่ยมมุมฉาก ทรงกระ อก


• ความสัมพันธร หวางตา หนง ีอยู องวัต ุหนงกับอีกวัต ุหนง
คือ ความสามารถ นการ อกตําแหนงและทิศทางของวัตถุตาง เมื่อ
เทีย กั อีกวัตถุหนึ่ง เชน การหยอนกอนหินลงแกวที่มีนํ้าอยูเต็มพ วา
กอนหินจะเขาไปแทนที่นํ้า โดยสังเกตไดจากการลนของนํ้า นแกว
หรือสามารถ อกไดวาวัตถุอยูทางดานซายมือหรือขวามือของตนเอง
10

นกเร นค รรู ขอสอบเนน การคิด


1 มต คือ รูปที่มีเพียงเสนเดียว หรือจุดเดียว เชน า น อ เ น มต
2 มต คือ รูปทีม่ คี วามกวางและความยาว ไมมคี วามสูงหรือความหนา 1. .
เชน กระดาษ 1 แผน

3. 4.
รูปสามเหลี่ยม รูปสี่เหลี่ยม รูปวงกลม
3 มต คือ รูปที่มีความกวาง ความยาว และความสูงหรือความหนา
เชน กลองลัง
(แนวตอบ รูป มิติ คือ รูปที่มีความกวาง ความยาว และความ
สูงหรือความหนา ่งขอ เปน าพที่มีความกวาง ความยาว
และความสูง ความหนา) ดังนั้น ขอ งเปนคําตอบที่ ูกตอง)
ทรงสี่เหลี่ยม ทรงกระบอก
T12
นํา สอน สรุป ประเมิน

หนวยการเรียนรูที่ 1 ขัน้ น
àÃÕ¹ÃÙŒÇÔ·ÂÒÈÒʵÏ าร น า

2) การหาความสัมพันธร หวางสเป กับเว า เปนการ อกถึงความสัมพันธ 17. ครูชี้แจงใหนักเรียนเขาใจวา จะใหสมาชิก


แต ล ะกลุ  ม ร ว มกั น ทํ า กิ จ กรรมเพื่ อ ศึ ก ษา
ของตําแหนง ทิศทาง หรือขนาดของวัตถุ ที่มีการเปลี่ยนแปลงไปเมื่อเทีย
เกี่ ย วกั บ ทั ก ษะการหาความสั ม พั น  ข อง
กั เวลาที่ ช ดังนี้ สเป กับเวลา โดยครูแจกอุปกร ใหนักเรียน
• ความสัมพันธร หวางการเป ียนตา หนง ีอยู องวัต ุกับเว า กลุมละ 1 ชุด ประกอบดวย เทียนไข 1 เลม
คือ ความสามารถ นการ อกความสัมพันธระหวางตําแหนงของวัตถุกั จานโลหะ 1 ใบ และไมขีดไ 1 กลอง
เวลาที่วัตถุน้ันเคลื่อนที่ไป เชน การเปลี่ยนตําแหนงของนารี นขณะที่ 18. ครูตั้งคําถามเพื่อใหนักเรียนชวยกันคิดกอน
เดินทางไปโรงเรียน เมื่อเวลาเปลี่ยนไป ทํากิจกรรมวา เมื่อจุดเทียนไขทิ้งไว 1 นาที
โรงเรียน ผลจะเปนอยางไร แลวใหนักเรียนทําการ
2 ทดลอง ดังนี้
1 ชวยกันตั้งสมมติ านแลวบันทึกผลลงใน
สมุดประจําตัว
สังเกตและวัดขนาดของเทียนไขกอนจุด
3 จุดเทียนไขตั้งทิ้งไวบนจานโลหะ 1 นาที
จากนั้นสังเกต
าน
นารี 4 ดับเปลวไ ที่เทียนไข จากนั้นวัดขนาด
เทียนไขที่เหลือโดยใชไมบรรทัด
ภาพที่ 1. การเปลี่ยนตําแหนงของวัตถุเมื่อเวลาเปลี่ยนไป 5 รวมกันอภิปรายและสรุปผลภายในกลุม
• ความสัมพันธร หวางรูปราง องวัต ุ ีเป ียน ปกับเว า นําเสนอผลการทดลองที่หนาชั้นเรียน
คือ ความสามารถ นการ อกความสัมพันธระหวางการเปลี่ยนขนาด (หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
1 แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม)
หรือปริ2 มาณของสารกั เวลาที่เปลี่ยนไป เชน การหลอมเหลวของ
นํ้าแข็งกอนเมื่อตั้งทิ้งไว การหลอมเหลวของเทียนไขเมื่อจุดไ ทิ้งไว

นาที

เทียนไขตอนเริ่มจุดไ เมื่อเวลา านไปเทียนไขมีขนาดสั้นลง


ภาพที่ 1. ขนาดของเทียนไขมีการเปลี่ยนแปลงเมื่อจุดไ ทิ้งไว
11

นกเร นค รรู
1 า ห อมเห ว คือ การทีส่ สารมีอุ หภูมสิ งู จนถึงจุดหลอมเหลว
พอดี โดยสสารนั้นจะเปลี่ยนสถานะจากของแข็งกลายเปนของเหลว
2 นาแ คือ นํ้าที่เกิดการแข็งตัวโดยเปลี่ยนสถานะจากของเหลวกลายเปน
ของแข็ง เรียกวา การแข็งตัว

กร
à·¤¹Ô¤  ¤ÇÒÁ»ÅÍ´ÀÑÂ
ในการทํากิจกรรมเสริมทีค่ รูจดั เพิม่ (การทดลองจุดเทียนไข) ครูควรเนนยํา้
เรื่องความปลอดภัยในการจุดเทียนไขและความรอนที่จะเกิดขึ้น โดยหามไมให
นักเรียนเลนหยอกลอกันข ะทํากิจกรรม เพราะอาจทําใหเกิดอันตรายได

T13
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ น
า ามร
1. ครูจับสลากเลือกลําดับของแตละกลุมใหออก
มานําเสนอผลการทํากิจกรรม โดยใหนักเรียน
2. ัก การจั กร า สือความหมาย อมู
กลุม ทีถ่ กู เลือกเปนอันดับแรกสงตัวแทนออกมา คือ การนําขอมูลที่ไดมาจากการรว รวมดวยวิธีการตาง มาจัดกระทํา
นําเสนอผลการทดลองทีละกลุม จนครบ จากนัน้ หอยู นรูปแ ที่มีความหมายหรือมีความสัมพันธกันมากขึ้น รวมทั้งนําขอมูล
1 2 3
ใหนักเรียนทุกกลุมรวมกันอภิปรายผลการทํา มาจัดกระทํา นรูปแ ตาง เชน แ นภาพ แ นภูมิ ตาราง กรา สมการ
กิจกรรมจนไดขอสรุปวา เมื่อจุดเทียนไขทิ้งไว การเขียน รรยาย เพื่อทํา ห ูอื่นเขา จความหมายไดงายขึ้น ตัวอยางเชน
1 นาที ขนาดของเทียนไขเปลี่ยนแปลงไป
ธนดลและขนิษฐา รั มอ หมายงานจาก
โดยมีขนาดลดลง
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
คุณครู หไปสํารวจพืชชนิดหนึ่งภาย นโรงเรียนวา
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม) มีชื่อและมีลักษณะอยางไร นการสํารวจทั้งสองคน
2. ครูใหความรูความเขาใจกับนักเรียนเพิ่มเติม ได ชกระ วนการทางวิทยาศาสตรเขามาชวยทํา
วา การทํากิจกรรมจุดเทียนไข เปนการให กิจกรรมและ นั ทึกขอมูลไว แลวรวมกันลงความเห็น
นักเรียนไดใชวิ ีการทางวิทยาศาสตร และใช และสรุปขอมูล จากนั้นนําขอมูลมาจัดกระทํา หม
ทั ก ษะกระบวนการทางวิ ท ยาศาสตร คื อ โดยสรางเปนแ นภาพเพื่อนําเสนอหนาชั้นเรียน ภาพที่ 1.5 การสํารวจพืช
ทักษะการหาความสัมพัน ของสเป กับเวลา
ทักษะการจัดกระทําและสื่อความหมายขอมูล
ผน าพตนกุห าบ
และทั ก ษะการสร า งแบบจํ า ลอง ึ่ ง ในการ
ทํากิจกรรมการทดลองจะทําใหนักเรียนเกิด
ดอกตูม
จิตวิทยาศาสตรดวย
ดอกที่ านแลว
สูง เซนติเมตร
ดอกสีแดง มีกลิ่นหอม

ลําตนมีหนามแหลม

12 ภาพที่ 1. ตัวอยางการสรางแ นภาพเพื่อนําเสนอขอมูล

นกเร นค รรู ขอสอบเนน การคิด


1 แ น า คือ ภาพหรือเคาโครงที่เขียนหรือวาดขึ้นเพื่อชวย อ เ น า า าแ อ วามหมาย อม
อ ิบายเรื่องราวใหชัดเจนยิ่งขึ้น 1. สุภาพนําขอมูลพืชดอกทีร่ วบรวมไดมาจัดทําเปนขอมูลใหม
2 แ น ม คือ แผนที่ ภาพ เสน แทง วงกลม หรือตารางที่ทําขึ้น เพื่อนําเสนอในรูปแบบที่เขาใจงาย
เพื่อแสดงรายละเอียดในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง . สุ รี าหาความสัมพัน ร ะหวางพืน้ ทีท่ วี่ ตั ถุตา ง ครอบครอบ
กับเวลาที่เปลี่ยนไป
3 า คือ แผนภูมิที่ใชเสน จุด แทง หรือภาพ แทนคาของขอมูล
3. สุพรเลือกใชเครือ่ งมือและใชเครือ่ งมือทีเ่ หมาะสม เพือ่ วัดหา
เพือ่ แสดงการเปลีย่ นแปลงคาของตัวแปรตัวหนึง่ เทียบกับการเปลีย่ นแปลงคาของ
ปริมาตรนํ้าในตูปลา
ตัวแปรตัวอื่น
4. สุชาดาสรางแบบจําลองเพือ่ อ บิ ายวั จักรชีวติ ของแมลงปอ
(แนวตอบ การ ัดกระทําและสื่อความหมายขอมูล เปนการนํา
ขอมูลที่รวบรวม ด มา ัดกระทําใหอยูในรูปแบบที่มีความหมาย
หรือมีความสัมพันธกัน รวมทั้งนําเสนอในรูปแบบตาง เชน
แ น าพ แ น ูมิ กรา การเขียนบรรยาย ดังนั้น ขอ งเปน
คําตอบที่ ูกตอง)

T14
นํา สอน สรุป ประเมิน

หนวยการเรียนรูที่ 1 ขัน้ น
àÃÕ¹ÃÙŒÇÔ·ÂÒÈÒʵÏ า ามร

. ัก การสราง บบจา อง 3. นักเรียนแตคนนําขอมูลที่บันทึกไดจากการทํา


กิจกรรมมาจัดทําขอมูลในรูปแบบตาง เชน
คือ การสรางหรือ ชส่ิงที่ทําขึ้น เพื่อเลียนแ หรืออธิ ายสิ่งที่ศึกษา สรางแผนผัง แผนภาพ ตารางบันทึกขอมูล
หรือที่สน จ แลวสามารถนําเสนอความคิดรว ยอด ขอมูล หรือเหตุการณ หรือการเขียนบรรยาย เพือ่ เก็บเปนผลงานของ
ที่เกิดขึ้นจากการศึ
1
กษา นรูปของแ จําลองเพื 2 3
่อ ห ูอื่นเขา จ เชน รูปภาพ ตนเอง
ภาพเคลื่อนไหว แ นภาพ ชิ้นงาน ขอความ หุน สิ่งของ ตัวอยางเชน 4. ครูสุมเลือกนักเรียนตามเลขที่จํานวน 3-5 คน
ใหออกมาเพื่ออ ิบายหรือสา ิตการใชทักษะ
กระบวนการทางวิทยาศาสตรที่ครูสุมเลือกให
2-3 ทักษะ จากนั้นใหนักเรียนที่เหลือชวยกัน
อภิปรายวาถูกตองหรือไม โดยครูคอยชี้แนะ
ในสวนที่บกพรอง
ชน้ัดนิ

¹Õ¤Í ºº ÒÅͧ
¡ÒÃÃÐàºÔ´ ͧ à Òä

ภาพจ
การเจริญลอเตงิ โต
ของพืช

แ จล
องระ
นิเวศ

13

ขอสอบเนน การคิด นกเร นค รรู


า า แบบ า อ 1 า เ อน หว หรือแอนิเมชัน คือ ภาพเคลื่อนไหวที่สราง
1. นนทไดยินเสียงเพลงดังมาจากหองเรียนดนตรี แลวเดาวา ขึน้ โดยการนําภาพนิง่ หลาย ภาพมา ายตอเนือ่ งกันดวยความเร็วสูง ทําใหเกิด
เปนเพลงร็อก ภาพลวงตาของการเคลือ่ นไหว โดยปกติความเร็วของภาพเคลือ่ นไหวจะ ายดวย
. พรดมดอกไมสขี าวและมีกลิน่ หอม แลวบอกวาดอกไมชนิดนี้ ความเร็วที่ตางกันขึ้นอยูกับชนิดของการแสดงผล
คือ ดอกมะลิ 2 อ วาม คือ เนื้อความเปนตอน ใจความทอนหนึ่ง หรือใจความสั้น
3. แกวปนดินนํา้ มันเปนรูปรางแมวเพือ่ แสดงโครงสรางกระดูก ของเรื่อง
สันหลังของแมว
3 หุน คือ รูป รูปแบบ รูปตุกตา รูปแบบที่จําลองจากของจริงตาง
4. แพรวจัดเก็บหนังสือในหองสมุดเปนหมวดหมูเพื่อใหหาได
งาย
(แนวตอบ การสรางแบบ ําลอง คือ การสรางหรือใชสิ่งที่ทําข้น
เพื่อเลียนแบบหรืออธิบายสิ่งที่สนใ ศก า แลวใชนําเสนอ ่งการ
ปนดินนํา้ มันของแกวเปนการสรางแบบ าํ ลองเพือ่ แสดงโครงสราง
กระดูกสันหลังของแมว ดังนั้น ขอ งเปนคําตอบที่ ูกตอง)

T15
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ น
า าม า
1. ครูตั้งคําถามเพื่อเชื่อมโยงเรื่องที่ไดเรียนรูจาก
ชั่วโมงที่แลววา บุคคลที่มีจิตวิทยาศาสตรจะ
3. ÔµÇÔ·ÂÒÈÒʵÏ
มีลักษ ะอยางไรบาง จากนั้นใหนักเรียนชวย จิตวิ ยาศาสตร คือ ลักษณะนิสัยของ ุคคลที่เกิดจากการศึกษาหาความรู
กันเสนอคําตอบอยางอิสระ ทางวิทยาศาสตร โดย ชกระ วนการทางวิทยาศาสตร
(แนวตอบ เชน มีวินัย สนใ ใ เรียนรู มีระเบียบ จิตวิทยาศาสตรประกอ ดวยลักษณะตาง เชน ความละเอี
1
ยดรอ คอ 2
ละเอียดรอบคอบ มีความอดทน มีความใ ความมีเหตุ ล ความสน จ รู ความอดทน ความมีวินัย ความรั ิดชอ
กวาง งความเหนของ ูอื่น) ความซื่อสัตย จกวางและยอมรั งความคิดเห็นของ ูอื่น
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล) ยอมรับ งผูอืน ความรับผิ อบ
2. ครูใหนักเรียนจับคูกับเพื่อนโดยใชการเรียนรู
แบบรวมมือเทคนิคคูคิด - -
แลวใหศึกษาเนื้อหาเกี่ยวกับจิตวิทยาศาสตร
เพิ่มเติม จากหนังสือเรียน หนา 14-15

ความมีวินัย ความสน จ รู

3 ภาพที่ 1. ตั ว อย า งลั ก ษณะของ ุ ค คลที่ มี


ความมุงมัน จิตวิทยาศาสตร

º¤¤Å·ÕÁÕ ÔµÇÔ·ÂÒÈÒʵÏ ÐÁÕ


ÅѡɳÐÍ‹ҧäúŒÒ§

14

นกเร นค รรู ขอสอบเนน การคิด


1 วามมวนย คือ การป ิบัติตนตามระเบียบแบบแผนและขอบังคับหรือขอ า เ นน ว ยา า ต วม อยา
ป ิบัติ 1. พูดเกง
2 วาม บ อบ คือ การยอมรับผลทั้งที่ดีและไมดีในสิ่งที่ตนไดทําลงไป . ชางสังเกต
หรือที่อยูในความดูแลของตน 3. เขาสังคมเกง
4. จินตนาการเกง
3 วามมุ มน คือ ความตั้งใจอยางแนวแนในการทําสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
( แนวตอบ นั ก วิ ท ยาศาสตร ต  อ งมี ลั ก ะสํ า คั อย า งหน่ ง
คือ เปนคนที่ตองทํางานเปนกระบวนการอยางมีระบบ การที่
นักวิทยาศาสตรสามาร ทํางานเปนกระบวนการ ดตองมีลัก ะ
อื่นที่สนับสนุนลัก ะนิสัยในการทํางานดังกลาว เชน เปนคน
ชางสังเกต ชางคิด ชางสงสัย มีเหตุมี ล ดังนั้น ขอ งเปน
คําตอบที่ ูกตอง)

T16
นํา สอน สรุป ประเมิน

หนวยการเรียนรูที่ 1 ขัน้ น
àÃÕ¹ÃÙŒÇÔ·ÂÒÈÒʵÏ า าม า

การเรียนรูวิทยาศาสตร สามารถ ก น หนักเรียนเปน ูมีจิตวิทยาศาสตร 3. ครูอ ิบายเกี่ยวกับจิตวิทยาศาสตรใหนักเรียน


เขาใจเพิม่ เติมวา จิตวิทยาศาสตร คือ ลักษ ะ
โดยนักเรียนจะตอง ชวิธีการทางวิทยาศาสตร นการเรียนรูและการแกปญหา นิสยั ของบุคคลทีเ่ กิดขึน้ จากการศึกษาหาความ
รวมทั้ง ก นทักษะกระ วนการทางวิทยาศาสตร หชํานาญ จึงจะมีลักษณะนิสัย รู  ท างวิ ท ยาศาสตร โ ดยใช ก ระบวนการทาง
ของนักวิทยาศาสตรได วิทยาศาสตร จิตวิทยาศาสตรประกอบดวย
ลักษ ะตาง เชน มีเหตุผล สนใจใฝรู อดทน
ตัวอยาง ลักษณะของ ูที่มีจิตวิทยาศาสตรหรือลักษณะนิสัยของนักวิทยาศาสตร
รับผิดชอบ ื่อสัตย ละเอียดรอบคอบ
4. ครู ส นทนากั บ นั ก เรี ย นเพื่ อ ทบทวนความรู 
´Í¡¡ ÅÒº ความเข า ใจเกี่ ย วกั บ เนื้ อ หาที่ ไ ด เ รี ย นผ า น
ÐàÃÔÁºÒ¹ มาจากหนวยการเรียนรูท่ี 1 บทที่ 1 เรียนรู
àÁÍä ˹Рกระบวนการทางวิทยาศาสตร โดยสุมเรียกชื่อ
นักเรียนใหออกมาเลาวาตนเองไดรับความรู
อะไรบาง
àÃÒµŒÍ§ Ê‹ Ç‹¹¡‹Í¹
à ͤÇÒÁ ÅÍ´ ÑÂ

มีความชางสงสัย อยากรูอยากเห็น มีความละเอียดรอ คอ


àÃÒµŒÍ§à Õ¹ Å ´ÒÇ ¡É ¹
¡Ò÷´ÅͧµÒÁ ÃкºÊÃÔÂÐ
¤ÇÒÁ ÃÔ§¹Ð Áամǧ¹Ð

¡ÅØ‹Á´
ÒÇ

ÔÂÐ
Ï ºÊØÃ
´ÒÃÒÈÒʵ Ãк
´ÒÇ ¡ 

มีความซื่อสัตย มีความสน จ เรียนรู

กิจกรรม สรุปความรูป ระจําบทที่ 1

15

ขอสอบเนน การคิด เกร็ดแนะครู


บุ น อ ม ตว ยา า ต เมื่อเรียนเนื้อหาในหนานี้แลว ครูควรอ ิบายเพิ่มเติมใหนักเรียนเขาใจวา
1. ปอนดมาโรงเรียนตรงเวลาทุกวัน หากนักเรียนไดเรียนรูเ กีย่ วกับกระบวนการทางวิทยาศาสตรแลวจะทําใหนกั เรียน
. แคนสงการบานชากวากําหนด 1 สัปดาห เกิดเจตคติที่ดีตอการเรียนวิทยาศาสตร
3. ตนเลนเกมในโทรศัพทข ะประชุมงานกลุม เจตคติทางวิทยาศาสตร ( ) คือ ความรูสึกของบุคคลที่มี
4. พลอยคุยกับ าใสข ะเรียนวิชาวิทยาศาสตร ตอวิทยาศาสตร โดยเปนผลมาจากการทํากิจกรรมที่หลากหลาย จึงมีผลทําให
(แนวตอบ ิตวิทยาศาสตร คือ ลัก ะนิสัยของบุคคลที่เกิดข้น เกิดเจตคติตอวิทยาศาสตร เชน ความชอบ ความสนใจ
ากการศก าหาความรูโดยใชกระบวนการทางวิทยาศาสตร
ประกอบดวยลัก ะตาง เชน ความสนใ ใ รู ความมุงมั่น
ความอดทน ความรอบคอบ ความรับ ิดชอบ ความ ื่อสัตย ่ง
การมาโรงเรียนตรงเวลาเกิด ากความมีวนิ ยั และมีความรับ ดิ ชอบ
ของปอนด ดังนั้น ขอ งเปนคําตอบที่ ูกตอง)

T17
?
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ น
า าม า
5. นั ก เรี ย นเขี ย นสรุ ป ความรู  เ กี่ ย วกั บ เรื่ อ งที่ ไ ด ÊÃØ» ÊÒÃ ÊÒ
»ÃШíÒº··Õè 1
เรี ย นผ า นมาจากบทที่ 1 ในรู ป แบบต า ง ?

เชน แผนผังความคิด แผนภาพ หรื รวบ รว ?


? ออื่น มข
้อ
ลงในสมุด

มู ล
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช ตงั้ สมมต
ฐิ าน ลู ?
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล) ์ อ้ ม
วิเคราะหข
6. นักเรียนแตละคนศึกษาแผนผังความคิด ? ระบุปัญหา

ตร์
สรุปสาระสําคัญ ประจําบทที่ 1

ส รุป
าส
าศ
จากหนั ง สื อ เรี ย นหน า นี้ เพื่ อ ตรวจสอบกั บ ิทย

ผล
ง ว
ษะกระบวนการทาง วิธีการท า
การเขียนสรุปความรูที่นักเรียนทําไวในสมุด ทัก ยาศาสตร์
วท

¡Ãкǹ¡Ò÷ҧ
ÇÔ·ÂÒÈÒʵÏ
จต

กต
งั เ ิ ว
รส
กา ภ ทิ ยาศ



ระ าสตร์
ทกั

กป ั

ะข ํ
า แน าร ว

้น รจ ก
ั พ กา
้น
ื ฐ าน นวน
ชจ้ าํ
การใ ู
ล ินยั
ทักษะข้ัน

ขอ้ ม
ว า ม เห ็ จาก
น ม ู
ล ความมีว
การลงค ยขอ้
หมา น

รู้
ื ความ
การจัดกระทาํ และส่อ
ั เวล

ฝ เ่ รีย
กบ ใ
นใจ


์ องสเป
สูงห

การหาค
วามสัมพันธข
า มส

คอ
์ ค ว อบ
การพยากรณ ดร
รือข

อยี
ละเ
้นั ผ

สม ความ
าน
มตฐิ
การตงั้ สม
การกาํ ห ิ าร
ั ก
ิ ต
นดนิยามเชิงปฏบ
การก
กา าํ หนดแ
ละควบคุมตัวแปร
รต
คี ว
าม การทดลอง
หม
ายข
กา อ้ มล
ู และ
รสร ลงขอ้ สรุป
า้ งแ
บบจาํ
ลอง

16

เกร็ดแนะครู กิ กรร 21st y


เมือ่ เรียนจบบทนีแ้ ลว ครูอาจใหนกั เรียนตัง้ คําถามทีอ่ ยากรูเ พิม่ เติมเกีย่ วกับ 1. นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-5 คน
เรือ่ งกระบวนการทางวิทยาศาสตร คนละ 1 คําถาม จากนัน้ ครูสมุ เรียกใหนกั เรียน 2. ครูนําตัวอยางตนพืชมาใหนักเรียนสังเกตกลุมละ 1 ตน แลวตั้ง
บอกคําถามของตนเอง แลวใหเพื่อนคนอื่นชวยกันแสดงความคิดเห็นเพื่อหา คําถามวา ตนพืชที่นักเรียนสังเกตมีความสูงเทาใด จากนั้นให
คําตอบของคําถามนี้ โดยครูทําหนาที่เปนผูชี้แนะและสังเกตการทํากิจกรรม แตละกลุม ระดมความคิดในการใชกระบวนการทางวิทยาศาสตร
ของนักเรียนอยางใกลชิด เพื่อคนหาคําตอบของปญหานั้น
3. เมื่อแตละกลุมไดคําตอบแลวใหนําผลการทํากิจกรรมมาจัดทํา
เพือ่ สือ่ ความหมายขอมูลในกระดาษแข็งและตกแตงใหสวยงาม
4. ครูสุมเลือกตัวแทนนักเรียนแตละกลุมออกมานําเสนอผลงาน
หนาชั้นเรียนจนครบทุกกลุม

T18
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ น
กิจกรรม º··Õè 1 า าม า

ฝกทักษะ 7. นั ก เรี ย นทํ า กิ จ กรรมฝกทั ก ษะบทที่ 1 จาก


หนังสือเรียน หนา 1 -1 ขอ 1-5 ลงในสมุด
. นาคา ีกาหน เติม ง น องวาง หตรงกับการ วิธีการ างวิ ยาศาสตร หรือทําในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1
8. ใหนกั เรียนแตละคนทํากิจกรรมทาทายการคิด
สรุป ล วิเคราะขอมูล ระ ุปญหา ขั้นสูง จากแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1
ตั้งสมมติฐาน รว รวมขอมูล (หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล)
1 ………………… .......................... หนูนาตั้งขอสงสัยวา ทําไมปลาถึงวายนํ้าได
2 ................................................... ตนกลา ชแวนขยายสองดูลักษณะปลา นตูกระจก และสื คน
น ขอมูลเพิ่มเติมจากแหลงตาง

ึ ลง ตัว
ันท ระจํา
................................................... กอยสรุปไดวา ปลาเปนสัตวที่อาศัยอยู นนํ้า ลําตัวมีรูปราง

ุ ป
สม เรียวยาว มีครี ชสําหรั ทรงตัวและวายนํ้า
................................................... แปงหอมคาดเดาวา ปลาวายนํ้าได เพราะปลามีครี ที่ลําตัว

5 ................................................... นนทพ วา ปลาเปนสัตวนํ้าชนิ1


ดหนึ่ง ลําตัวเรียวยาว หาย จ
โดย ชเหงือก ลําตัวปลามีครี 5 ชนิด เพื่อ ชวายนํ้าและทรงตัว
2. ศก าผ การวั นาหนัก สวนสูง องนักเรียน ันปร มศก าป ี 5 ก ุมหนง
วนา อมู มาจั กร ารูป บบ หม เพือนาเสนอหนา ันเรียน
อื สกุ อายุ ( วบ) นาหนัก (กก.) สวนสูง ( ม.)
1. ด.ช.เรียนดี มีนํ้า จ 11 2 12
2. ด.ญ.พอ จ รักเรียน 10 2 122
. ด.ญ.นารัก นิสัยดี 11 2 130
. ด.ช.คุณธรรม ทํา อย 11 2 12
น ก กรรม กทักษะ
5. ด.ช.สุข จ วินัยเยี่ยม 10 2 12
. ด.ญ.คุณงาม ความดี 11 22 118 ขอ 1.
. ด.ช.เริ่มตน พอเพียง 10 30 130 ) ระบุป หา
. ด.ช.ความสุข เพิ่มพูน 11 30 12 ) รวบรวมขอมูล
) สรุป ล
) ตั้งสมมติ าน
17 ) วิเคราะหขอมูล
ขอ 2. ข้นอยูกับดุลยพินิ ของครู ูสอน)

ขอสอบเนน การคิด นกเร นค รรู


อานน บน า เ เตบ ต อ ตน บุ น 1 บ คือ อวัยวะทีเ่ ปนแผนติดกันเปนพืดอยูใ ตทอ งและสันหลังของปลา โดย
ย เว า วน 2 4 1 ทั่วไปปลามีครีบ 5 ชนิด ไดแก ครีบอก ครีบทอง ครีบหลัง ครีบกน และครีบหาง
วาม ม 3 5 9 11 ึ่งเปนอวัยวะที่ชวยในการวายนํ้าและการเคลื่อนที่ในนํ้าของปลา
เมอ าน วน ตน บุ อานน ว ม วาม เ า
1. 1 เ นติเมตร
. 13 เ นติเมตร
3. 14 เ นติเมตร
4. 15 เ นติเมตร
(แนวตอบ ในวันที่ ตน ักบุงที่อานนทปลูก ว ะสูงข้นอีก
เ นติเมตร ่งสังเกต ด ากตารางบันทกความสูงของตน ักบุงที่
านมาในทุก วัน ตน ักบุง ะสูงเพิ่มข้น เ นติเมตร ขอ
งเปนคําตอบที่ ูกตอง)

T19
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ น
า าม า
9. ครูมอบหมายงานใหนกั เรียนแบงกลุม กลุม ละ
3-4 คน จากนั้นศึกษากิจกรรมสรางสรรค . ู าพ วตอบวา าพ เปนรูป 2 มิติ าพ เปนรูป มิติ
ผลงานจากหนังสือเรียน หนา 1 แลวให
1 2 5
ป ิบัติกิจกรรมตามขั้นตอน โดยใหรวมกัน
ทํากิจกรรมนอกเวลาเรียน แลวนํามาสงเพื่อ
นําเสนอผลงานหนาชั้นเรียนตอไป
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช . ู าพ ีกาหน ห ววา ตอเติม าพ ง นสมุ หสมบูรณ ย  กนสมมาตร
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม) 1 2
10. นักเรียนทําทบทวนทายหนวยการเรียนรูท่ี 1
เรื่อง เรียนรูวิทยาศาสตร จากในแบบฝกหัด
วิทยาศาสตร ป.5 เลม 1
11. ครูใหนักเรียนทําแบบทดสอบหลังเรียนของ
หนวยการเรียนรูที่ 1 เพื่อตรวจสอบความรู
ความเขาใจหลังเรียน
5. สังเกต าพ วตอบคา าม
ขัน้ รป
ร อาคารเรียน 1 อาคารเรียน
โรงอาหาร านพักครู
สระวายนํ้า
1. ครูสุมเลือกนักเรียน 4-5 คน ใหออกมาพูด อาคารเรียน 2
อาคารกี า
สรุปเกี่ยวกับกระบวนการทางวิทยาศาสตรท่ี
ไดเรียนผานมา แปลงเกษตร หองสมุด
2. ครูถามประเด็นคําถามเกี่ยวกับวิ ีการทาง นารี ลานกิจกรรม สนามกี า
วิ ท ยาศาสตร ทั ก ษะกระบวนการทาง
วิทยาศาสตร และจิตวิทยาศาสตร จากนั้น
ใหนกั เรียนตอบคําถามทีละคนเพือ่ ตรวจสอบ ภาพที่ 1. แ น ังของโรงเรียนแหงหนึ่ง
ความรูความเขาใจของนักเรียนแตละคน 1 โรงอาหารอยูทางดาน ดของเสาธง
2 ถานารีตองการไปที่สนามกี า นารีตองเดินไปทางดานซายหรือดานขวาของ
เสาธง
กิจกรรม ทาทายการคิดขัน้ สูง

18

เกร็ดแนะครู กิ กรร า า
ครูสามารถใชแบบทดสอบหลังเรียนที่แนบมาทายแผนการจัดการเรียนรู ใหนกั เรียนนําเมล็ดถัว่ เขียวแชในนํา้ 4 ชัว่ โมง ( วัน) จากนัน้
ของหนวยการเรียนรูที่ 1 เรียนรูวิทยาศาสตร ใหพยากร การงอกของเมล็ดถั่วเขียวที่แชในนํ้า โดยใหวาดภาพ
และเขียนอ ิบายลักษ ะการงอกของเมล็ดถั่วเขียวลงในกระดาษ
น ก กรรม กทักษะ พรอมตกแตงใหสวยงาม แลวนําเสนอหนาชัน้ เรียนเพือ่ เปรียบเทียบ
ขอ 3. ) รูป มิติ ) รูป มิติ กับเพื่อน
) รูป มิติ ) รูป มิติ
) รูป มิติ
ขอ 4. ) ) )

ขอ 5. ) ดานหลังเสาธง
) ดานขวา

T20
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ ประ มน

·Ñ¡ÉÐáË‹§ÈµÇÃÃÉ·Õè
✓การสื่อสาร ✓ ความรวมมือ การแกปญหา
1. ครูประเมินผลจากการสังเกตพ ติกรรมการ
✓การสรางสรรค ✓ การคิดอยางมีวิจารณญาณ ตอบคําถาม พ ติกรรมการทํางานรายบุคคล
✓การ ชเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร พ ติกรรมการทํางานกลุม และจากการนํา
กิจกรรม เสนอผลการทํากิจกรรมหนาชั้นเรียน
ÊÌҧÊÃ䏼ŧҹ 2. ครูตรวจผลการทําแบบทดสอบกอนเรียนและ
แบบทดสอบหลังเรียนหนวยการเรียนรูที่ 1
แบงกลุม กลุมละ 3-4 คน จากนั้นใหแตละกลุมเลือกสืบคน เรียนรูวิทยาศาสตร
ขอมูลเกี่ยวกับระยะการเจริญเติบโตของพืชหรือสัตวมากลุมละ 3. ครูตรวจสอบผลการทํากิจกรรมนําสูการเรียน
1 ชนิด โดยใชเทคโนโลยีสารสนเทศตาง ๆ แลวนําขอมูลที่ ไดมา จากสมุดหรือในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5
สรางในรูปของแบบจําลองตาง ๆ เชน ภาพวาด แผนพับ เลม 1
หุนจําลอง เพื่อนําเสนอขอมูลหนาชั้นเรียน 4. ครูตรวจสอบผลการทํากิจกรรมการทดลอง
การจุ ด เที ย นไขจากสมุ ด และการนํ า เสนอ
µÑÇÍ‹ҧ ¼Å§Ò¹¢Í§ ѹ
แบบจําลอง
5. ครูตรวจผลการทํากิจกรรมสรุปความรูเ กีย่ วกับ
กระบวนการทางวิทยาศาสตรจากสมุด
6. ครูตรวจผลการทํากิจกรรมฝกฝนทักษะบทที่ 1
ในสมุด หรือในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5
˹͹¼ÕàÊ×éÍ เลม 1
¼ÕàÊ×éÍ 7. ครู ต รวจผลการทํ า กิ จ กรรมท า ทายการคิ ด
ขั้นสูงในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1
8. ครูตรวจชิ้นงาน ผลงานแบบจําลองการเจริญ
เติ บ โตของพื ช หรื อ สั ต ว และการนํ า เสนอ
䢋 ´Ñ¡á´Œ ชิ้นงาน ผลงาน หนาชั้นเรียน
9. ครูตรวจสอบผลการทํากิจกรรมทบทวนทาย
หนวยการเรียนรูที่ 1 เรื่อง เรียนรูวิทยาศาสตร

ภาพที่ 1. ตัวอยางแ นภาพการเจริญเติ โตของ ีเสื้อ

19

ขอสอบเนน การคิด แน ก ร ดแ ะ ระเ น


อ ม า ยา ครูสามารถสังเกตพ ติกรรมของนักเรียนจากการตอบคําถาม การทํางาน
1. ถาวางขนมไวกลางแดดนาน ขนมอาจเนาเสีย รายบุคคล การทํางานกลุม และการนําเสนอผลการทํากิจกรรมหนาชั้นเรียน
. วันนี้อากาศรอนอบอาว ฝนอาจจะตก รวมทัง้ วัดและประเมินผลชิน้ งาน ผลงานชิน้ งานแบบจําลองการเจริญเติบโตของ
3. อีก 3 วัน ดอกกุหลาบจะบาน พืชหรือสัตว โดยศึกษาเก ก ารวัดและประเมินผลทีแ่ นบมาทายแผนการจัดการ
4. มะมวงสุกมีกลิ่นหอม เรียนรูของหนวยการเรียนรูที่ 1 เรียนรูวิทยาศาสตร ดังภาพตัวอยาง
(แนวตอบ มะมวงสุกมีกลิ่นหอม เปนการใชทัก ะการสังเกต การประเมินชิ้นงาน/ภาระงาน (รวบยอด) (แผนฯ ที่ 1)
ฉ)
เกณ ์การประเมินผลงานแบบจาลองการเจริญเติบโตของพืชและสัตว์(แผนฯ ที่ 1)

แบบประเมินผลงานแบบจาลองการเจริญเติบโตของพืชและสัตว์ คาอ ิบายระดับคุณภาพ/ระดับคะแนน

โดยใชประสาทสัม ัสดมกลิ่นแลวบอก ลการสังเกต ด ดังนั้น


รายการประเมิน
ดี (3) พอใช้ (2) ปรับปรุง (1)
ระดับคุณภาพ 1. การออกแบบชิ้นงาน ชิ้นงานมความถูกต้อง ชิ้นงานมความถูกต้อง ชิ้นงานมความถูกต้อง
ลาดับที่ รายการประเมิน 3 2 1 ตาม ่ออกแบบ ว้ มขนาด ตาม ่ออกแบบ ว้ มขนาด ตาม ่ออกแบบ ว้ มขนาด
(ดี) (พอใช้) (ปรับปรุง) เหมา สม รู แบบ เหมา สม รู แบบ เหมา สม รู แบบ

ขอ งเปนคําตอบที่ ูกตอง) 1


2
3
4
การออกแบบชิ้นงาน
การเลือกใช้วัสดุเพื่อสร้างชิ้นงาน
ความถูกต้องของเนื้อหา
การสร้างสรรค์ชิ้นงาน
2. การเลือกใช้วัสดุเพื่อ
สร้างชิ้นงาน
น่าสนใ แ ลกตา แล
สร้างสรรค์ด
เลือกใช้วัสดุมาสร้าง
ชิ้นงานตาม ่กาหนด ด้
น่าสนใ แล สร้างสรรค์ น่าสนใ

เลือกใช้วัสดุมาสร้าง
ชิ้นงานตาม ่กาหนด ด้
เลือกใช้วัสดุมาสร้าง
ชิ้นงาน ม่ตรงตาม ่
5 กาหนดเวลาส่งงาน ถูกต้อง แล วัสดุมความ ถูกต้อง แล วัสดุมความ กาหนด แต่วัสดุมความ
เหมา สมกับการสร้าง เหมา สมกับการสร้าง เหมา สมกับการสร้าง
รวม
ชิ้นงานดมาก ชิ้นงานด ชิ้นงาน
3. ความ ูกต้องของ าแนกกลุ่มพืชออกเ น าแนกกลุ่มพืชออกเ น าแนกกลุ่มพืชออกเ น
ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน เนื้อ า กลุ่มพืชดอก แล กลุ่มพืช กลุ่มพืชดอก แล กลุ่มพืช กลุ่มพืชดอก แล กลุ่มพืช
............./.................../.............. ม่มดอก ด้ถูกต้อง ม่มดอก ด้ถูกต้องบ้าง ม่มดอก ด้ถูกต้องน้อ
ครบถ้วน
4. การสร้างสรรค์ ตกแต่งชิ้นงาน ด้สว งาม ตกแต่งชิ้นงาน ด้สว งาม ตกแต่งชิ้นงาน ด้สว งาม
ชิ้นงาน ดมาก ด น้อ
5. กา นดเวลาสงงาน ส่งชิ้นงาน า ในเวลา ่ ส่งชิ้นงานช้ากว่ากาหนด ส่งชิ้นงานช้ากว่ากาหนด
กาหนด วัน เกิน 3 วันข้น

เกณ ์การตัดสินคุณภาพ
ชวงคะแนน ระดับคุณภาพ
14-15 ดีมาก
11-13 ดี
8-10 พอใช้
ต่ากวา 8 ปรับปรุง

T21
Chapter Overview
นการ ั ักษ ะ
่ ที่ ช ประ น ประ มน ทักษะที่
การ ร นร ัน ึ ประ
น ที่ แ ทดสอ กอนเรียน 1. รรยายโครงสรางหรือ แ สื เสาะ ตรวจแ ทดสอ กอนเรียน ทักษะการสังเกต มีวินัย
ั หนังสือเรียนวิทยาศาสตร ลักษณะของสิ่งมีชีวิตที่ หาความรู ตรวจกิจกรรม นสมุดหรือ ทักษะการ หเหตุ ล เรียนรู
ข ป.5 เลม 1 เหมาะสมตอการดํารง 5 นแ กหัดวิทยาศาสตร ทักษะการระ ุ มุงมัน่ น
แ กหัดวิทยาศาสตร ชีวติ นแหลงทีอ่ ยูไ ด การนําเสนอ ลการทํา ทักษะการทํางาน การทํางาน
3 ป.5 เลม 1 2. สํารวจและสื คนขอมูล กิจกรรม กลุม
ชั่วโมง วัสดุ อุปกรณการทดลอง เกี่ยวกั โครงสรางหรือ สังเกตพ ติกรรมการทํางาน ทักษะการตั้ง
กิจกรรมที่ 1 ลักษณะของสิ่งมีชีวิตที่ ราย ุคคล สมมติฐาน
- PowerPoint เหมาะสมตอการดํารง สังเกตพ ติกรรมการทํางาน ทักษะการทดสอ
สมุดประจําตัวนักเรียน ชีวติ นแหลงทีอ่ ยูไ ด กลุม สมมติฐาน
. แสดงความสน จ และ สังเกตคุณลักษณะ ทักษะการ
มีความกระตือรือรน น อันพึงประสงค เปรีย เทีย
การสื คนขอมูล

น ที่ หนังสือเรียนวิทยาศาสตร 1. อธิ ายความสัมพันธ แ สื เสาะ ตรวจกิจกรรม นสมุดหรือ ทักษะการสังเกต มีวินัย


ั ัน ป.5 เลม 1 ระหวางสิ่งมีชีวิตกั หาความรู นแ กหัดวิทยาศาสตร ทักษะการสํารวจ เรียนรู
ข ั แ กหัดวิทยาศาสตร สิ่งมีชวี ิต นแหลงที่อยู 5 ตรวจ งาน เรื่อง ความ คนหา มุงมัน่ น
น ป.5 เลม 1 เดียวกันได สัมพันธระหวางสิ่งมีชีวิตกั ทักษะการรว รวม การทํางาน
วัสดุ อุปกรณการทดลอง 2. สํารวจความสัมพันธ สิ่งมีชีวิต และ งาน เรื่อง ขอมูล
2 กิจกรรมที่ 2 ตอนที่ 1 ระหวางสิง่ มีชีวิตกั ความสัมพันธระหวาง ทักษะการคิด
ชั่วโมง - PowerPoint สิ่งมีชีวิต นแหลงที่อยู สิ่งมีชีวิตกั สิ่งมีชีวิตที่ วิเคราะห
สมุดประจําตัวนักเรียน เดียวกันได านของฉัน ทักษะการทํางาน
งาน เรือ่ ง ความสัมพันธ . มีความรั ิดชอ น การนําเสนอ ลการทํา กลุม
ระหวางสิ่งมีชีวิตกั การสงงานตรงเวลา กิจกรรม ทักษะการ หเหตุ ล
สิ่งมีชีวิต สังเกตพ ติกรรมการทํางาน
งาน เรือ่ ง ความสัมพันธ ราย ุคคล
ระหวางสิ่งมีชีวิตกั สังเกตพ ติกรรมการทํางาน
สิ่งมีชีวิตที่ านของฉัน กลุม
สังเกตคุณลักษณะ
อันพึงประสงค

น ที่ หนังสือเรียนวิทยาศาสตร 1. อธิ ายความสัมพันธ แ สื เสาะ ตรวจกิจกรรม นสมุดหรือ ทักษะการสังเกต มีวินัย


ั ัน ป.5 เลม 1 ระหวางสิ่งมีชีวิตกั หาความรู นแ กหัดวิทยาศาสตร ทักษะการเชื่อมโยง เรียนรู
ข ั แ กหัดวิทยาศาสตร สิ่งไมมีชีวิต นแหลง 5 การนําเสนอ ลการทํา ทักษะการรว รวม มุงมัน่ น
น ป.5 เลม 1 ที่อยู กิจกรรม ขอมูล การทํางาน
วัสดุ อุปกรณการทดลอง 2. สํารวจความสัมพันธ ตรวจ งาน เรื่อง ความ ทักษะการทํางาน
2 กิจกรรมที่ 2 ตอนที่ 2 ระหวางสิง่ มีชีวิตกั สัมพันธระหวางสิ่งมีชีวิต กลุม
ชั่วโมง - PowerPoint สิ่งไมมีชีวติ นแหลง กั สิ่งไมมีชีวิต นทองถิ่น ทักษะการวิเคราะห
สมุดประจําตัวนักเรียน ที่อยู ของเรา
งาน เรือ่ ง ความสัมพันธ . มีความรั ดิ ชอ น สังเกตพ ติกรรมการทํางาน
ระหวางสิ่งมีชีวิตกั การสงงานตรงเวลา ราย ุคคล
สิ่งไมมีชีวิต นทองถิ่น สังเกตพ ติกรรมการทํางาน
ของเรา กลุม
สังเกตคุณลักษณะ
อันพึงประสงค

T22
นการ ั ักษ ะ
่ ที่ ช ประ น ประ มน ทักษะที่
การ ร นร ัน ึ ประ
น ที่ หนังสือเรียนวิทยาศาสตร 1. อธิ ายความสัมพันธ แ สื เสาะ ตรวจกิจกรรม นสมุดหรือ ทักษะการสังเกต มีวินัย
ป.5 เลม 1 ของสิ่งมีชีวิตกั หาความรู นแ กหัดวิทยาศาสตร ทักษะสํารวจคนหา เรียนรู
แ กหัดวิทยาศาสตร สิ่งมีชวี ิต นรูปแ 5 การนําเสนอ ลการทํา ทักษะการระ ุ มุงมัน่ น
3 ป.5 เลม 1 โซอาหารและสาย ย กิจกรรม ทักษะการสรุปอาง การทํางาน
ชั่วโมง
วัสดุ อุปกรณการทดลอง อาหารได สังเกตพ ติกรรมการทํางาน ทักษะการวิเคราะห
กิจกรรมที่ 2. เขียนโซอาหาร น ราย ุคคล ทักษะการเชื่อมโยง
- PowerPoint รูปแ แ นภาพได สังเกตพ ติกรรมการทํางาน ทักษะการ
สมุดประจําตัวนักเรียน . แสดงความสน จและ กลุม เปรีย เทีย
โซอาหาร มีความกระตือรือรน สังเกตคุณลักษณะ
นการสื คนขอมูล อันพึงประสงค

น ที่ 5 แ ทดสอ กอนเรียน 1. อธิ ายการดูแลรักษา แ สื เสาะ ตรวจแ ทดสอ กอนเรียน ทักษะการสังเกต มีวินัย
ั หนังสือเรียนวิทยาศาสตร สิ่งแวดลอมได หาความรู ตรวจกิจกรรม นสมุดหรือ ทักษะการสํารวจ เรียนรู
ข ป.5 เลม 1 2. มีสวนรวม นการดูแล 5 นแ กหัดวิทยาศาสตร คนหา มุงมัน่ น
2 แ กหัดวิทยาศาสตร
ป.5 เลม 1
รักษาสิง่ แวดลอม
. ตระหนัก นคุณคา
การนําเสนอ ลการทํา
กิจกรรม
ทักษะการรว รวม การทํางาน
ขอมูล
ชั่วโมง
- PowerPoint ของสิ่งแวดลอมที่มี ตรวจ งาน เรือ่ ง การจัดการ ทักษะการ หเหตุ ล
สมุดประจําตัวนักเรียน ตอการดํารงชีวติ ของ ขยะ นโรงเรียนของเรา ทักษะการจําแนก
งาน เรื่อง การจัดการ สิ่งแวดลอม ตรวจชิ้นงาน ลงาน ประเภท
ขยะ นโรงเรียนของเรา แ จําลองแหลงที่อยูของ ทักษะการ
วัสดุ อุปกรณกิจกรรม กลุมสิ่งมีชีวิต เปรีย เทีย
สรางสรรค ลงาน สังเกตพ ติกรรมการทํางาน ทักษะการเชื่อมโยง
ราย ุคคล ทักษะการนําความ
สังเกตพ ติกรรมการทํางาน รูไป ชประโยชน
กลุม
สังเกตคุณลักษณะ
อันพึงประสงค

น ที่ หนังสือเรียนวิทยาศาสตร 1. อธิ ายลักษณะทาง แ สื เสาะ ตรวจกิจกรรม นสมุดหรือ ทักษะการสังเกต มีวินัย


ั ป.5 เลม 1 พันธุกรรมที่มีการ หาความรู นแ กหัดวิทยาศาสตร ทักษะการ หเหตุ ล เรียนรู
ัน ข แ กหัดวิทยาศาสตร ถายทอดจากพอแม 5 การนําเสนอ ลการทํา ทักษะการระ ุ มุงมัน่ น
ป.5 เลม 1 สูลูกของสิ่งมีชีวติ ได กิจกรรม ทักษะการทํางาน การทํางาน
2 วัสดุ อุปกรณการทดลอง สังเกตพ ติกรรมการทํางาน กลุม
ชั่วโมง กิจกรรมที่ 1 2. เปรีย เทีย ลักษณะ ราย ุคคล ทักษะการตั้ง
สมุดประจําตัวนักเรียน ทางพันธุกรรมของ สังเกตพ ติกรรมการทํางาน สมมติฐาน
- PowerPoint สิ่งมีชีวิตได กลุม
. มีความสน จและ สังเกตคุณลักษณะ
กระตือรือรน นการ อันพึงประสงค
เรียนรู

T23
นการ ั ักษ ะ
่ ที่ ช ประ น ประ มน ทักษะที่
การ ร นร ัน ึ ประ
น ที่ หนังสือเรียนวิทยาศาสตร 1. อธิ ายลักษณะทาง แ สื เสาะ ตรวจกิจกรรม นสมุดหรือ ทักษะการสังเกต มีวินัย
ป.5 เลม 1 พันธุกรรมที่มีการ หาความรู นแ กหัดวิทยาศาสตร ทักษะการตั้ง เรียนรู
ั แ กหัดวิทยาศาสตร ถายทอดจากพอแม 5 การนําเสนอ ลการทํา สมมติฐาน มุงมัน่ น
ัน น ป.5 เลม 1 สูลูกของมนุษยได กิจกรรม ทักษะการทดสอ การทํางาน

ข น - PowerPoint 2. สํารวจและเปรีย เทีย ตรวจ งานที่ 2.5 และ 2. สมมติฐาน
สมุดประจําตัวนักเรียน เกี่ยวกั การถายทอด สังเกตพ ติกรรมการทํางาน ทักษะการทํางาน
2 กระดาษแข็งแ น หญ ลักษณะทางพันธุกรรม ราย ุคคล กลุม
ชั่วโมง งานที่ 2.5 เรื่อง ของตนเองกั คน น สังเกตพ ติกรรมการทํางาน ทักษะการวิเคราะห
การสํารวจลักษณะ ครอ ครัวได กลุม
ทางพันธุกรรมของคน . หความรวมมือ นการ สังเกตคุณลักษณะ
นครอ ครัว เรียนรู อันพึงประสงค
งานที่ 2. เรื่อง
ครอ ครัวของตนเอง

น ที่ หนังสือเรียนวิทยาศาสตร 1. อธิ ายลักษณะทาง แ สื เสาะ ตรวจกิจกรรม นสมุดหรือ ทักษะการสังเกต มีวินัย


ป.5 เลม 1 พันธุกรรมที่มีการ หาความรู นแ กหัดวิทยาศาสตร ทักษะสํารวจคนหา เรียนรู
ั แ กหัดวิทยาศาสตร ถายทอดจากพอแม 5 การนําเสนอ ลการทํา ทักษะการระ ุ มุงมัน่ น
ัน ป.5 เลม 1 สูลูกของสัตวได กิจกรรม ทักษะการสรุปอาง การทํางาน
ข ั
- PowerPoint 2. สํารวจและสื คนขอมูล ตรวจ งาน เรื่อง ทักษะการวิเคราะห
1 สมุดประจําตัวนักเรียน เกี่ยวกั การถายทอด การถายทอดลักษณะ ทักษะการทํางาน
ชั่วโมง กระดาษแข็งแ น หญ ลักษณะทางพันธุกรรม ทางพันธุกรรมของสัตว กลุม
การถายทอด ของสัตวได สังเกตพ ติกรรมการทํางาน
ลักษณะทางพันธุกรรม . มุงมั่น นการทํางาน ราย ุคคล
ของสัตว สังเกตพ ติกรรมการทํางาน
งาน เรื่อง การถายทอด กลุม
ลักษณะทางพันธุกรรม สังเกตคุณลักษณะ
ของสัตว อันพึงประสงค

น ที่ แ ทดสอ หลังเรียน 1. อธิ ายลักษณะทาง แ สื เสาะ ตรวจแ ทดสอ หลังเรียน ทักษะการสังเกต มีวินัย
หนังสือเรียนวิทยาศาสตร พันธุกรรมที่มีการ หาความรู ตรวจกิจกรรม นสมุดหรือ ทักษะการ หเหตุ ล เรียนรู
ั ป.5 เลม 1 ถายทอดจากพอแม 5 นแ กหัดวิทยาศาสตร ทักษะการระ ุ มุงมัน่ น
ัน แ กหัดวิทยาศาสตร สูลูกของพืชได การนําเสนอชิ้นงาน ลงาน ทักษะการทํางาน การทํางาน

ป.5 เลม 1 2. สํารวจและสื คนขอมูล ตรวจชิ้นงาน ลงาน กลุม
2 วัสดุ อุปกรณกิจกรรม เกี่ยวกั การถายทอด โม ายแขวนแสดงการ ทักษะการตั้ง
ชั่วโมง สรางสรรค ลงาน ลักษณะทางพันธุกรรม ถายทอดลักษณะทาง สมมติฐาน
กระดาษแข็งแ น หญ ของพืชได พันธุกรรม ทักษะการทดสอ
สมุดประจําตัวนักเรียน . มีความสน จและ สังเกตพ ติกรรมการทํางาน สมมติฐาน
กระตือรือรน นการ ราย ุคคล
เรียนรู สังเกตพ ติกรรมการทํางาน
กลุม
สังเกตคุณลักษณะ
อันพึงประสงค

T24
Chapter Concept Overview
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2
ชี ัม ัน
. ครงสราง ัก ณ องสิงมี ีวิต น ห ง ีอยู
แหลงที่อยูหรือสิ่งแวดลอมที่สิ่งมีชีวิตตาง อาศัยอยูมีหลายลักษณะ เชน แมนํ้า ปาไม ทะเลทราย ชายหาด ปาชายเลน ขั้วโลกเหนือ
โดยแหลงที่อยู นแตละแหงอาจมีสภาพแวดลอมที่แตกตางกันไป สิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตวที่อาศัยอยู น ริเวณนั้นจึงตองปรั ตัวหรือ
ปรั โครงสรางและลักษณะ หเหมาะสมกั แหลงที่อยู เพื่อการดํารงชีวิตและการอยูรอดแตกตางกันไป เชน
ป าตีน กบ ผักกร เฉ เบาบับ
อาศัยอยูที่ปาชายเลน ปลาตีนมี เปนสัตวสะเทินนํ้าสะเทิน ก ก เปนพืชทีข่ นึ้ นนํา้ จะมีนวมคลาย เปนพืชที่ขึ้นอยูตามทะเลทราย
ครี อกทีแ่ ข็งแรง เพือ่ ชเคลือ่ นที่ มีพัง ืดที่เทา ลักษณะคลายกั องนํ้ า หุ  ม ลํ า ต น อยู  จึ ง ทํ า ห มีลําตนอว นํ้า เพราะกักเก็
นดินเลน และวายนํ้าไดอยาง พาย ซึ่งชวย นการเคลื่อนที่ ลอยนํ้าได นํ้ า ไว และมี ร ากที่ ย าวเพื่ อ หา
คลองแคลว นนํ้า แหลงนํ้า ตดินดูดนํ้าไดมาก

2. ความสัมพันธ นสิง ว อม


ความสัมพันธร หวางสิงมี ีวิตกับสิงมี ีวิต
นแตละแหลงที่อยูจะมีสิ่งมีชีวิตตั้งแต 2 ชนิดขึ้นไป อาศัยอยูรวมกัน และตางมีความสัมพันธซึ่งกันและกัน เราเรียกวา กลุมสิ่งมีชีวิต
โดยสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยูรวมกัน นแหลงที่อยูเดียวกันจะมีความสัมพันธกัน นหลาย ลักษณะ เชน
เปน ห ง ีอยูอาศัย เปน ห งอาหาร เปน ห งห บ ัย เปน ห งเ ียง ู ูกออน
ชะนีอาศัยอยู นตนไม นก างชนิดกินปลาเปนอาหาร ปลาซอนตัว นสาหราย นกทํารังเลี้ยงลูก นตนไม

ความสัมพันธร หวางสิงมี ีวิตกับสิง มมี ีวิต


นการดํารงชีวติ ของสิง่ มีชวี ติ จําเปนตองอาศัยสิง่ แวดลอมตาง ทีเ่ ปนสิง่ ไมมชี วี ติ โดย
กลุมสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยูรวมกันจะมีความสัมพันธกั สภาพแวดลอมทางกายภาพ เชน
อุณหภูมิ นแตละ ริเวณมี ลตอการดํารงชีวติ ของสิง่ มีชวี ติ เชน ริเวณอากาศหนาว
สิ่งมีชีวิตจะปรั ตัวโดยมีขนยาวและมีชั้นไขมันหนาขึ้น
นํ้าเปนปจจัยสําคัญ นการดํารงชีวิตของสิ่งมีชีวิตตาง นอกจากนี้ สิ่งมีชีวิต าง
ชนิดยัง ชนํ้าเปนแหลงที่อยูและแหลงอาหาร
สิ่งมีชีวิต างชนิด ชดินเปนที่อยูอาศัย เชน มด ไสเดือนดิน
สิ่งมีชีวิต ชอากาศ นการหาย จ ทํา หดํารงชีวิตอยูได

T25
. การ าย อ พ ังงาน องสิงมี ีวิต
สิ่งมีชีวิตตาง ตองการพลังงานเพื่อการดํารงชีวิต กลุมสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยูรวมกัน นแตละแหลงที่อยูตางมีความสัมพันธกัน นดาน
การกินกันเปนอาหาร และมีการถายทอดพลังงานตอกันเปนทอด นรูปของโซอาหาร
อาหาร Food Chain คือ ความสัมพันธของกลุมสิ่งมีชีวิตที่มีการกินตอกันเปนทอด จาก ู ลิตสู ู ริโภค ทํา หมีการถายทอด
พลังงาน นอาหารตอเนื่องกันเปนลําดั จากการกินตอกัน สวนสาย ยอาหาร Food Web คือ โซอาหารหลาย โซ ที่มีความคา เกี่ยว
หรือสัมพันธกัน
โซอาหารเริ่มตนจากแพลงกตอนพืช Phytoplankton สาหรายสีเขียว Green Algae และพืชชนิดตาง ที่ไดรั พลังงานแสงจาก
ดวงอาทิตยมา ช นกระ วนการสังเคราะหดวยแสงเพื่อสรางอาหาร แลวสะสมนํ้าตาลไว นรูปแปงตามสวนตาง สิ่งมีชีวิตเหลานี้จึงเปน
ผูผ ติ สวนสัตวตา ง ไมสามารถสรางอาหารเองได จึงตองกินพืชหรือสัตวอนื่ เปนอาหารเพือ่ หไดพลังงาน นการดํารงชีวติ เรียกวา ผูบ ริ ค
ตัวอยาง อาหาร

µŒ¹äÁŒ ˹͹ ¹¡ §Ù àËÂÕèÂÇ


ู ลิต ู ริโภคลําดั ที่ 1 ู ริโภคลําดั ที่ 2 ู ริโภคลําดั ที่ ู ริโภคลําดั สุดทาย

. ความสาคั องสิง ว อม


สิง ว อม คือ สิ่งตาง ที่อยูรอ ตัวเรา ทั้งสิ่งที่มีชีวิต สิ่งไมมีชีวิต มองเห็นไดดวยตาเปลา และไมสามารถมองเห็นไดดวยตาเปลา
รวมทั้งสิ่งที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติและสิ่งที่มนุษยเปน ูสรางขึ้น
สิง่ มีชวี ติ และสิง่ แวดลอม นธรรมชาติลว นมีความเกีย่ วของสัมพันธกนั จึงทํา หเกิดความสมดุลของธรรมชาติ เมือ่ มนุษย ชประโยชนจาก
สิ่งแวดลอมไมเหมาะสมหรือ ชมากเกินไป อาจกอ หเกิด ลกระท ตอสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดลอมได
ดังนั้น เราควร ชทรัพยากรธรรมชาติอยางเหมาะสม คุมคา และระมัดระวังถึง ลเสียตอสิ่งแวดลอมที่อาจจะเกิดขึ้นตามมา เราทุกคน
สามารถมีสวนรวม นการอนุรักษทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม หคงอยูตอเนื่องยาวนานได ซึ่งจะทํา หเราทุกคนได ชประโยชนจาก
ทรัพยากรธรรมชาติอยางยั่งยืน และปองกันความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดลอมได ซึ่งสามารถป ิ ัติได เชน
สรางจิตสํานึกของคน นทองถิ่น นการดูแลและชวยกันรักษาสิ่งแวดลอม
ปลูกตนไม ปลูกปาทดแทน นพื้นที่เสื่อมโทรม รวมทั้งไมตัดไมทําลายปา

T26
ักษ ะทา ัน กรรม ่ มีชี
ลักษณะทางพันธุกรรม หมายถึง ลักษณะของสิ่งมีชีวิตที่ถายทอดจากพอแมไปสูลูกได และถายทอดจากรุนหนึ่งไปยังอีกรุนหนึ่งตอไป
เรื่อย โดยลักษณะทางพันธุกรรมตาง ของสิ่งมีชีวิตจะอยู นหนวยพันธุกรรมหรือยีน Gene) ยีนคว คุม
ยีน Gene คือ หนวยพันธุกรรมที่ทําหนาที่คว คุมและ ลักษณะสีตา
ยีนคว คุมลักษณะ หนา
ถายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของสิง่ มีชวี ติ ยีนจะอยู นโครโมโซม ยีน 1 คู
ซึ่งอยูภาย นเซลลของสิ่งมีชีวิต โดยโครโมโซมแทงหนึ่งจะมียีน
อยูเ ปนจํานวนมาก และเนือ่ งจากโครโมโซมอยูก นั เปนคู ยีนทีอ่ ยู น A a
โครโมโซมจึงมีเปนคูดวย B b
ยีนแตละคูจะคว คุมลักษณะทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต
C c
ลักษณะเดียวกัน เชน ลักษณะสีตา จะถูกคว คุมดวยยีน B น
โครโมโซมแทงหนึ่ง และยีน b นโครโมโซมอีกแทงหนึ่ง ลักษณะ
สีตาทีป่ ราก ออกมาจึงขึน้ อยูก ั ยีนทีอ่ ยู นโครโมโซมทัง้ สองแทงวา
เปนยีนที่กําหนด หมีลักษณะสีตาอยางไร ดํา นํ้าตาล า โครโมโซม 1 คู
ยีนคว คุมลักษณะ หู
ยีน 1 ยีน จะคว คุมลักษณะทางพันธุกรรมเพียงลักษณะเดียว โดยยีนที่คว คุมลักษณะทางพันธุกรรมมี 2 ชนิด ไดแก
• ยีนเ น คือ ยีนที่สามารถแสดงลักษณะนั้นออกมาได แมมียีนนั้นเพียงยีนเดียว เรียกวา ัก ณ เ น เขียนแทนดวยตัวอักษรภาษา
อังก ษตัวพิมพ หญ เชน AA, Aa
• ยีน อย คือ ยีนที่สามารถแสดงลักษณะนั้นออกมาไดก็ตอเมื่อตองเขาคูกั ยีนดอยดวยกัน เรียกวา ัก ณ อย เขียนแทนดวย
ตัวอักษรภาษาอังก ษตัวพิมพเล็ก เชน aa
เราเรียกการจั คูก นั ของยีนทีค่ ว คุมการปราก ลักษณะทางพันธุกรรมวา จี น ป Genotype จะเขียนแทนดวยตัวอักษรภาษาอังก ษ
สองตัวคูกัน เชน AA, Bb, dd และเรียกการปราก ของลักษณะทางพันธุกรรมวา น ป Phenotype เชน ลักษณะการมีติ่งหู ลักษณะ
ขนสีขาว ลักษณะลําตนเปนหนาม
การถายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต สามารถสรุปได ลักษณะ ดังนี้
1 ลักษณะเดน คือ ลักษณะที่แสดงหรือปราก นทุกรุนของสิ่งมีชีวิต
2 ลักษณะดอย คือ ลักษณะที่แสดงหรือปราก น างรุนเทานั้น เพราะถูกลักษณะเดนขมไว
ลักษณะที่แปร ัน คือ ลักษณะที่แตกตางจากลักษณะของสมาชิก นครอ ครัว และสามารถถายทอดไปยังรุนตอ ไปได
เกรเกอร ย นั น เมนเ เปนนักวิทยาศาสตรคนสําคัญทีท่ าํ การศึกษาเกีย่ วกั ลักษณะทางพันธุกรรมเปนคนแรก จนไดรั การยกยอง
หเปน บิ า หงวิ าพันธุศาสตร
µÑÇÍ‹ҧ µÑÇÍ‹ҧ µÑÇÍ‹ҧ
Åѡɳзҧ¾Ñ¹¸Ø¡ÃÃÁ Åѡɳзҧ¾Ñ¹¸Ø¡ÃÃÁ Åѡɳзҧ¾Ñ¹¸Ø¡ÃÃÁ
¢Í§¤¹ ¢Í§ÊѵǏ ¢Í§¾×ª
ÊÕ¼Á ãºËÙ ÅíÒµŒ¹

ÊÕ´íÒ ÊÕ¹íéÒµÒÅ ËÙÊÑé¹ ËÙÂÒÇ ÁÕ˹ÒÁ äÁ‹ÁÕ˹ÒÁ


ÅÑ¡ÂÔéÁ ÊÕ¢¹ ãº

ÁÕÅÑ¡ÂÔéÁ äÁ‹ÁÕÅÑ¡ÂÔéÁ ÊÕ¹íéÒµÒÅ ÊÕ´íÒ ãºãËÞ‹ ãºàÅç¡

T27
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นา

2
กระ น าม น หนวยการเรียนรู ี
1. ครูใหนกั เรียนทําแบบทดสอบกอนเรียน เพือ่ วัด
ความรูเดิมของนักเรียนกอนเขาสูบทเรียน
2. ครูกระตุนความสนใจ โดยนําภาพชางที่อาศัย
สิง่ มีชวี ติ กับสิง่ แวดล้อม
อยูในปา และปลาที่อาศัยอยูตามแนวปะการัง ÊÔè§ÁÕªÕÇÔµ·Ñ駾תáÅÐÊѵǏµ‹Ò§ æ ¨ÐÁÕâ¤Ã§ÊÌҧ
มาใหนักเรียนดู áÅÐÅÑ¡É Ð·Õàè ËÁÒÐÊÁã¹áµ‹ÅÐáËÅ‹§·ÕÍè ÂÙ‹ à¾×Íè ãËŒ
3. ครูตงั้ คําถามเพือ่ กระตุน ความคิดนักเรียน เชน ´íÒçªÕÇÔµáÅÐÍÂÙ‹ÃÍ´ä´Œ «Öè§ã¹áËÅ‹§·ÕèÍÂً˹Öè§ æ
ÊÔ§è ÁÕªÇÕ µÔ ¨ÐÁÕ¤ÇÒÁÊÑÁ¾Ñ¹¸«§Öè ¡Ñ¹áÅСѹ áÅÐÊÑÁ¾Ñ¹¸
าแ อ าแ าเ น ¡ÑºÊÔ§è äÁ‹ÁªÕ ÇÕ µÔ à¾×Íè »ÃÐ⪹µÍ‹ ¡ÒôíÒçªÕÇµÔ ÍÂÙ‹
อยา ÊÔ§è ÁÕªÇÕ µÔ ·Ñ§é ¾×ª ÊѵǏ áÅÐÁ¹Øɏ àÁ×Íè à¨ÃÔÞàµÔºâµ
• าแ าม แต ตา นห อ ม àµÁ·ÕèáÅŒÇ ¨ÐÁÕ¡ÒÃÊ׺¾Ñ¹¸Øà¾×èÍà¾ÔèÁ¨íҹǹáÅÐ
´íÒçªÕÇµÔ «Ö§è ÅÙ¡·Õàè ¡Ô´ÁÒ¨Ðä´ŒÃºÑ ¡Òö‹Ò·ʹÅÑ¡É Ð
อยา ·Ò§¾Ñ¹¸Ø¡ÃÃÁ¨Ò¡¾‹ÍáÁ‹ ¨Ö§·íÒãËŒÁÅÕ ¡Ñ É Ð·Õ¤è ÅŒÒÂ
(แนวตอบ แตกตางกัน ชางอาศัยอยูบนบก ¡Ñº¾‹ÍáÁ‹ ᵋ¨Ðᵡµ‹Ò§¨Ò¡ÊÔ§è ÁÕªÇÕ µÔ ª¹Ô´Í×¹è
ใชขาในการวิ่งหรือเดิน แตปลาอาศัยในนํ้า
ใชครีบในการวายนํ้าและเคลื่อนที่)
4. ครูอ ิบายเพิ่มเติมวา จากสิ่งที่นักเรียนสังเกต
เห็น คือ โครงสรางและลักษ ะของสิ่งมีชีวิต
ที่แตกตางกันตามแหลงที่อาศัยอยู
5. ครู ถ ามคํ า ถามเพิ่ ม เติ ม ว า สาเหตุ ท่ี ทํ า ให
โครงสรางของสิ่งมีชีวิตแตกตางกัน คืออะไร
แล ว ให นั ก เรี ย นช ว ยกั น ระดมความคิ ด และ
แสดงความคิดเห็นรวมกันในการตอบคําถาม
6. ครูสุมเลือกตัวแทนนักเรียนประมา -3 คน
เพื่อตอบคําถาม เมื่อนักเรียนตอบคําถามแลว
ครูสรุปเพิ่มเติมวา สาเหตุที่ทําใหโครงสราง
และลักษ ะของสิ่งมีชีวิตแตกตางกันเปนผล
มาจากสภาพแหลงที่อยูอาศัย
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช ตัวชี้วัด
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล) 1. รรยายโครงสรางและลักษณะของสิ่งมีชีวิตที่เหมาะสมกั การดํารงชีวิตซึ่งเปน ลมาจากการปรั ตัวของสิ่งมีชีวิต นแตละแหลงที่อยู
(ม . ว . ป.5 )
2. อธิ ายความสัมพันธระหวางสิ่งมีชีวิตกั สิ่งมีชีวิต และความสัมพันธระหวางสิ่งมีชีวิตกั สิ่งไมมีชีวิต เพื่อประโยชนตอการดํารงชีวิต
(ม . ว . ป.5 2)
3. เขียนโซอาหารและระ ุ ท าทหนาที่ของสิ่งมีชีวิตที่เปน ู ลิตและ ู ริโภค นโซอาหาร (ม . ว . ป.5 )
4. ตระหนัก นคุณคาของสิ่งแวดลอมที่มีตอการดํารงชีวิตของสิ่งมีชีวิต โดยมีสวนรวม นการดูแลรักษาสิ่งแวดลอม (ม . ว . ป.5 )
5. อธิ ายลักษณะทางพันธุกรรมที่มีการถายทอดจากพอแมสูลูกของพืช สัตว และมนุษย (ม . ว . ป.5 )
6. แสดงความอยากรูอยากเห็น โดยการถามคําถามเกี่ยวกั ลักษณะที่คลายคลึงกันของตนเองกั พอแม (ม . ว . ป.5 2)

เกร็ดแนะครู
กอนเขาสูบทเรียนครูสามารถใชแบบทดสอบกอนเรียน หนวยการเรียนรู
ที่ สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดลอม จากทายแผนการจัดการเรียนรูของหนวยการเรียน
รูที่ ได เพื่อวัดความรูความเขาใจของนักเรียนกอนเรียน ดังภาพตัวอยาง
แบบทดสอบก่อนเรียน
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2

คาชี้แจง : ให้นักเรียนเลือกคาตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว

1. พืชชนิดใดมีการปรับโครงสร้างโคนก้านใบ 6. สัตว์ชนิดใดจัดเป็นผู้บริโภคพืชและสัตว์ทั้งหมด
ให้พองออกและมีโพรงอากาศจานวนมาก ก. หมี และวัว
ก. โกงกาง ข. หมู และหนู
ข. ผักตบชวา ค. หมี และจระเข้
ค. ตะบองเพชร ง. กระต่าย และเต่า
ง. บัว 7. ข้อใดกล่าวถึงหน้าที่ของเห็ดได้ถูกต้อง
2. ข้อใดกล่าวถึงหน้าที่ของหนอกอูฐได้ ก. เป็นผู้ผลิต
ถูกต้อง ข. เป็นผู้บริโภคซากสัตว์
ก. สะสมน้า ค. เป็นผู้บริโภคลาดับสุดท้าย
ข. สะสมเกลือแร่ ง. เป็นผู้ย่อยสลายซากพืชซากสัตว์
ค. สะสมโปรตีน 8. ปัญหาสิ่งแวดล้อมใดไม่ได้เกิดจากมนุษย์
ง. สะสมไขมัน ก. น้าเน่าเสีย
3. ผึ้งกับดอกบัวมีความสัมพันธ์กันแบบใด ข. ไฟไหม้ป่า
ก. แหล่งที่อยู่อาศัย ค. ภูเขาไฟระเบิด
ข. เลี้ยงดูตัวอ่อน ง. ขยะมูลฝอย
ค. แหล่งอาหาร 9. ประชากรเพิ่มขึ้นส่งผลต่อป่าไม้อย่างไร
ง. แหล่งหลบภัย ก. พื้นที่ป่าลดลง
4. ปัจจัยใดที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของสัตว์ ข. พื้นที่ป่าเพิ่มขึ้น
ก. แสง ค. การปลูกป่ามากขึ้น
ข. น้า ง. การเฝ้าระวังผู้บุกรุกป่าลดลง
ค. อากาศ 10. ปัญหาสิ่งแวดล้อมในชุมชนที่พบมากที่สุด คือ ปัญหาใด
ง. ดินและแร่ธาตุ ก. เสียงดัง
5. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับผู้ผลิตในโซ่ ข. น้าเน่าเสีย
อาหาร ค. ขยะมูลฝอย
ก. ผู้ผลิต คือ พืช และจุลินทรีย์ต่างๆ ง. การตัดไม้ทาลายป่า
ข. สร้างอาหารโดยการสังเคราะห์แสง
ค. รับพลังงานจากดวงอาทิตย์
ง. สามารถสร้างอาหารได้เอง

เฉลย 1. ข 2. ง 3. ค 4. ก 5. ก 6. ข 7. ง 8. ค 9. ก 10. ค

T28
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ น
าร น า

º··Õè 1 ÕÇÔµÊ ¹  1. นั ก เรี ย นอ า นสาระสํ า คั ญ และดู ภ าพในหน า


หนวยการเรียนรูที่ สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดลอม
จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1
ศัพทนารู
คําศัพท คําอาน คําแปล หนา จากนั้นครูถามนักเรียนวา นักเรียน
habitat 'แฮ็บบิแท็ท แหลงที่อยู รูจักสิ่งมีชีวิตในภาพหรือไม และสิ่งมีชีวิตใน
food chain ฟูด เชน โซอาหาร ภาพอาศัยอยูที่ใด แลวใหนักเรียนชวยกันตอบ
producer พรึ'ดิวเซอ ผูผลิต คําถามอยางอิสระ
consumer คอนซูเมอ ผูบริโภค (แนวตอบ เปด อาศัยอยูบนบก แตมีเทาเปน
พัง ืดใชสําหรับวายนํ้า ด และมีป กสําหรับ
food chain
บินหนีอันตราย ด)
2. นักเรียนดูภาพในหนาบทที่ 1 ชีวิตสัมพัน 
จากหนั ง สื อ เรี ย นหน า นี้ แล ว ช ว ยกั น ตอบ
consumer คําถามสําคัญประจําบทวา สิ่งมีชีวิตตาง
ดํารงชีวิตอยูในสิ่งแวดลอมไดอยางไร โดยให
habitat ครูอ บิ ายความรูเ พิม่ เติมบางสวนเพือ่ เชือ่ มโยง
กับกิจกรรมที่ผานมา
( แนวตอบ สิ่ ง มี ชี วิ ต ะปรั บ โครงสร า งและ
ลั ก ะของตนเองให มี ค วามเหมาะสมกั บ
สิง่ แวดลอมมากทีส่ ดุ เพือ่ ใหสามาร ดํารงชีวติ
และอยูรอด)
3. นักเรียนเรียนรูคําศัพทที่เกี่ยวของกับการเรียน
ในบทที่ 1 โดยขอนักเรียนตัวแทน 1 คน เปน
ผูอานนําและใหนักเรียนคนอื่น อานตาม
ÊÔè§ÁÕªÕÇÔµµ‹Ò§ æ
´íÒçªÕÇÔµÍÂÙ‹ã¹
? ÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁä´Œ
Í‹ҧäÃ
producer

21

ขอสอบเนน การคิด นกเร นค รรู


อุ ห มม ตอ าแ อ ม วต อ ตอ นักเรียนเรียนรูและฝกอานคําศัพทวิทยาศาสตร ดังนี้
1. สัตวที่อยูในเขตรอนจะมีคอยาว า าอาน าแ
. สัตวที่อยูในเขตหนาวจะมีขนหนา
3. พืชที่อยูในเขตหนาวจะมีลําตนอวบนํ้า habitat แ บ็ บิแท็ท แหลงที่อยู
4. พืชที่อยูในทะเลทรายจะมีใบขนาดใหญ food chain ูด เชน โ อาหาร
(วเ า ห าตอบ สัตวท่ีอยูในเขตหนาว ะมีขนหนาเพื่อปองกัน producer พรึ ดิวเ อ ผูผลิต
ความหนาวเยน ากอุ ห ูมิที่ตํ่า ดังนั้น ขอ งเปนคําตอบที่ consumer คอน ูเมอ ผูบริโภค
ูกตอง)

T29
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ น
าร น า
4. นักเรียนแตละคนทํากิจกรรมนําสูก ารเรียนจาก กิจกรรม
หนังสือเรียนหนานี้ แลวบันทึกลงในสมุดหรือ
ทําในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1
นําสูก ารเรียน
ÊѧࡵÀÒ¾ áŌǵͺ¤íÒ¶ÒÁ

1 2

มากับห า เตากับ ห ง นา
3 4

ผีเสือกับ อก ม ม กับ ิน
5 6

บัวกับ ห ง นา นกกับ สเ ือน


น ก กรรมนา การ รี น ที่ า า )

สิ่งมีชีวิต คือ มา ห า เตา ีเสื้อ ดอก ม มด 1. ¨Ò¡ÀÒ¾ ÊÔè§ã´à»š¹ÊÔè§ÁÕªÕÇÔµ áÅÐÊÔè§ã´à»š¹ÊÔè§äÁ‹ÁÕªÕÇÔµ


บัว นก สเดือน สวนสิ่ง มมีชีวิต คือ นํ้า ดิน ÊÔ§ÁÕ ÕÇÔµ ¹ Ò ÁÕ¤ÇÒÁÊÑÁ ѹ ¡ÑºÊÔ§äÁ‹ÁÕ ÕÇԵ͋ҧäúŒÒ§ §Â¡µÑÇÍ‹ҧ ÃСͺ
เชน มดใชดินเปนแหลงที่อยูอาศัย
เหมือนกัน กลาวคือ มากับห า นกกับ สเดือน ¤ÇÒÁÊÑÁ ¹Ñ Ï Ð Ç‹Ò§ÁŒÒ¡Ñº ÒŒ Åй¡¡ÑºäÊŒà´Í¹ à Á͹¡Ñ¹ ÃÍ µ¡µ‹Ò§¡Ñ¹ Í‹ҧäÃ
ั ด เป น ความสั ม พั น ธ ร ะหว า งสิ่ ง มี ชี วิ ต กั บ
22
สิ่งมีชีวิต ่งมากินห าเปนอาหาร สวนนกกิน
สเดือนเปนอาหาร

เกร็ดแนะครู ขอสอบเนน การคิด


การทํากิจกรรมนําสูก ารเรียน ครูอาจใหนกั เรียนจับกลุม กัน -3 คน รวมกัน อ าวเ ยว บ า บตว หเหมา ม บ า แว อม
อภิปรายและระดมความคิดในการสังเกตภาพและตอบคําถาม ึ่งจะทําให อ ตว ตอ
นักเรียนเกิดการเรียนรูร ว มกันเปนทีม จึงเหมาะสมกับการเรียนรูใ นศตวรรษที่ 1 1. เสือโครงมีลายตามลําตัวสลับกัน เพื่อใชขมขูศัตรู
. อู มีหนอกหนา เพื่อเก็บสะสมนํ้าไวใชในทะเลทราย
3. ตักแตนใบไมมีรูปรางคลายใบไมที่อาศัยอยู เพื่อพรางตัว
4. หมีขั้วโลกมีขนยาวและหนา เพื่อระบายความรอนใหแก
รางกาย
(วเ า ห าตอบ อู มีหนอกหนา วเกบสะสม ขมัน หมีขั้วโลก
มีขนยาวและหนาเพื่อใหความอบอุนแกรางกาย เสือโครงมีลาย
ตามตัวเพื่อทําใหกลมกลืนกับที่อยูอาศัย ดังนั้น ขอ งเปน
คําตอบที่ ูกตอง)

T30
นํา สอน สรุป ประเมิน

หนวยการเรียนรูที่ 2 ขัน้ น
ÊÔè§ÁÕªÕÇÔµ¡ÑºÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ าร น า

1. à ÊÃŒÒ ÊÔ Õ ÕÇÔµ ¹ ·Õ ÂÙ 5. นักเรียนศึกษาเนื้อหาและดูภาพจากหนังสือ


เรียนหนานี้ จากนั้นชวยกันตอบคําถามวา
สิ่งมีชีวิตตาง ที่ดํารงชีวิตอยู นสิ่งแวดลอมนั้น จะตองมีความสัมพันธ • ม วต น า ม า ห อม
กั สิ่งแวดลอมหรือแหลงที่อยูอาศัย ดังนั้น สิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตวจึงตองมี เหมา ม บแห อยอยา บา
โครงสรางและลักษณะที่เหมาะสมตอการดํารงชีวิตกั แหลงที่อยูนั้น ซึ่งเปน ล (แนวตอบ เชน กระบอกเพชรเปลี่ยนใบเปน
มาจากการปรั ตัวของสิง่ มีชวี ติ เพือ่ หสามารถอาศัยอยู หาอาหาร และดํารงชีวติ หนามเพือ่ ลดการคายนํา้ โกงกางมีรากคํา้ นุ
อยูรอดได นแหลงที่อยูนั้น ปองกัน มใหตน โคนลมเมือ่ นํา้ สูง หมีขวั้ โลก
มี ข นหนาและมี ขมั น ใต ิ ว หนั ง มากเพื่ อ
กร บองเพ ร กงกาง ปองกันความหนาว อู มีหนอกสะสม ขมัน
และมีขนตายาวเพื่อปองกัน ุนทรายเขาตา
สุ นั ข พั น ธุ เ นต เ บอร น าร ด อยู  ใ นประเทศ
เขตหนาว งมี ข นหนาเพื่ อ ปองกั น ความ
หนาวเยน)
6. ครูใหนักเรียนเลนเกม เพื่อแบงนักเรียนออก
เปนกลุม กลุมละ 3-4 คน โดยอ ิบายวิ ีการ
หมี ัว ก อู เลนใหนกั เรียน ง จนเขาใจ จากนัน้ ใหเลนเกม
3 ครั้ง จนไดกลุมครบทุกคน
7. เมื่ อ นั ก เรี ย นแบ ง กลุ  ม เรี ย บร อ ยแล ว ครู ใ ห
ทบทวนสาระสําคัญจากหนังสือเรียนหนานี้
อีกครั้ง

สุนั พันธุเ นตเบอรนาร ภาพที่ 2.1 ตัวอยางสิ่งมีชีวิตกั แหลงที่อยูตาง

ÊÔ§ÁÕ ÕÇÔµµ‹Ò§ ÁÕ ¤Ã§ÊÌҧ ÃÍÁÕ


ÅѡɳзÕà ÁÒÐÊÁ¡Ñº Å‹§·ÕÍ‹
Í‹ҧäúŒÒ§

23

เกร็ดแนะครู
กอนเขาสูการทํากิจกรรมที่ 1 ครูอาจใชเกมเพื่อแบงกลุมนักเรียน โดยครู
อ ิบายใหนักเรียน งวา เกมนี้เปนเกมที่ใหนักเรียนทําตามคําสั่งที่อยูในเนื้อรอง
ของเพลง ถานักเรียนคนใดไมสามารถทําตามคําสัง่ ในเนือ้ เพลงได จะถูกลงโทษ
ดวยวิ ีการตาง กันไป เชน การเตนตามเพลง การรองเพลง หรืออื่น ตาม
ความเหมาะสม หากนักเรียนกลุมใดที่จับกลุมครบตามคําสั่งเรียบรอยแลวให
นั่งลง โดยเนื้อเพลงที่ใช มีดังนี้
มอ ายย น มอ วา เบา /มอ ายย น มอ วา
เบา /เ แ วหมุน อบตวเ า/เ แ วหมุน อบตวเ า/ อ มอ บเ า ห
บ ุม...... น
ตวอยา า ออ า อ เชน
• ใหจับกลุม คน
• ใหจับกลุม 5 คน
• ใหจับกลุม 4 คน

T31
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ น
าร น า
8. ครูเปด เรื่อง โครงสรางและลักษ ะของ
สิ่งมีชีวิตในแหลงที่อยูใหนักเรียนดู จากนั้น
Ô ÃÃ ·Õ 1 ัก กร บวนการ
างวิ ยาศาสตร ี 
ถามคําถามกระตุนความคิดโดยใหนักเรียน การปรับ รงสร้างของสิงมี ีวิต 1. การสังเกต
2. การทดลอง
แตละกลุม อภิปรายและหาคําตอบรวมกัน เชน . การลงความเห็นจากขอมูล
• ห อ ตว น ม า บ า ดประสง ์ . การตีความหมายขอมูลและลงขอสรุป
5. การจัดกระทําและสื่อความหมายขอมูล
หเหมา ม บแห อยอา ย แ บ สํารวจและสื คนขอมูลเพือ่ รรยายโครงสรางหรือลักษณะของ
า อยา สิ่งมีชีวิตที่เหมาะสมกั การดํารงชีวิต นแหลงที่อยู
(แนวตอบ เชน ักตบชวาปรับโครงสรางให
ต้อง ตรียมต้อง ้
ลําตนเปนโพรง ทําใหนาํ้ หนักเบา งลอยนํา้ 2
ดดี ปลาอาศัยอยูในนํ้า งพั นาครีบแทน 1. สีไม 1 กลอง 5. ตนถั่ว หรือพืช กชนิดอื่น 1 ตน
ขา เพื่อชวยในการเคลื่อนที่ในนํ้า) 2. ตูเลี้ยงปลา หรือกะละมัง 1 1. กระดาษแข็งขนาด แ น
9. นักเรียนเขากลุมที่แบงไว จากนั้นใหรวมกัน . ตน ัก ุง ตน ักกระเฉด หรือตน ักต ชวา 1 ตน
ทํากิจกรรมที่ 1 เรื่อง การปรับโครงสรางของ . แหลงขอมูล เชน หนังสือ อินเทอรเน็ต
สิ่งมีชีวิต ตอนที่ 1- โดยศึกษาขั้นตอนการ
ทํ า กิ จ กรรมจากหนั ง สื อ เรี ย น หน า 4- 5 องทาดู µÍ¹·Õè
แลวป ิบัติกิจกรรมตามขั้นตอนใหครบถวน 1. แ งกลุม กลุมละ คน จากนั้นสังเกตลักษณะของตน ัก ุงและตนถั่ววา มีลักษณะ
จากนั้นบันทึกผลลงในสมุด หรือแบบฝกหัด แตกตางกันอยางไร แลว ันทึก ลลง นสมุด
วิทยาศาสตร ป.5 เลม 1 2. เติมนํ้าลง นภาชนะที่เตรียมไวประมาณ น สวนของความจุภาชนะ
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช . นําตน กั งุ ไปแชลง นนํา้ จากนัน้ ชมอื
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม) กดตน ัก ุง หจม นนํ้าแลวปลอยมือ
ทําซํ้า 2 ครั้ง สังเกตการเปลี่ยนแปลง
และ ันทึก ล
. หทดลองซํ้าขอ . โดยเปลี่ยนจาก
ต น ั ก ุ  ง เปนต น ถั่ ว จากนั้ น สั ง เกต
การเปลีย่ นแปลงและ นั ทึก ล

ภาพที่ 2.2 ทดลองกดตน กั งุ หจมนํา้


24

นกเร นค รรู ก กรรมที่


ตา า บันทึกผลการทํากิจกรรม (ตอน )
1 ตบ วา คือ พืชลอยนํ้าอายุหลาย ดู เจริญเติบโต า เ ยนแ เมอ
ไดโดยลอยอยูบริเว ผิวนํ้า รากจะอยูใตนํ้า สวนของลําตน ใบ และดอก อยู น อ อ นนา
เหนือนํ้าหรือผิวนํ้า สามารถลอยไปมาได และอยูไดทุกสภาพนํ้า ผักตบชวามี อยนา มนา
ถิ่นกําเนิดในแถบลุมนํ้าแอมะ อน ประเทศบรา ิล ในทวีปอเมริกาใต มีดอก
1. ผักบุง ลําตนกลวงและเลื้อยไปตามแนวนอน ✓
สีมวงออน คลายชอดอกกลวยไม และแพรพัน ุไดอยางรวดเร็วจนกลายเปน
วัชพืชที่สงผลกระทบในแหลงนํ้าทั่วไป . ตนถั่ว ลําตนตันและเติบโตแบบตั้งตรง ✓
2 บ คือ กลุมพืชที่เจริญเติบโตบนพื้นดิน พืชบกจะมี ุ จากการทํากิจกรรม พบวา ผักบุง เปนพืชนํา้ จึงมีลกั ษ ะทีเ่ หมาะสมตอ
รากหยั่งลึกลงดินเพื่อยึดลําตนไวกับดิน นอกจากนี้ พืชที่ขึ้นตามปาชายเลนหรือ การดํารงชีวิตในนํ้า คือ มีลําตนกลวงและกักเก็บอากาศ เพื่อชวยในการลอยนํ้า
ตามชายหาดถือเปนพืชบกเชนกัน สวนพืชนํ้าหรือพรร ไมนํ้า ไปตามผิวนํา้ สวนตนถัว่ เปนพืชทีม่ ลี าํ ตนตัง้ ตรง และขึน้ อยูบ นบก จึงมีโครงสราง
เปนพืชทีอ่ าศัยหรือเจริญเติบโตในนํา้ หรือมีชวงหนึง่ ทีเ่ จริญเติบโตอยูใ นนํา้ อาจ ไมเหมาะสมกับการดํารงชีวิตอยูในนํ้า ทําใหไมสามารถลอยนํ้าได จึงสรุปไดวา
อยูใตนํ้าทั้งหมด หรือมีบางสวนขึ้นอยูบริเว ผิวนํ้า หรือลอยอยูตามผิวนํ้า สิง่ มีชวี ติ ทีอ่ าศัยอยูใ นสิง่ แวดลอมทีแ่ ตกตางกัน จะปรับโครงสรางเพือ่ ใหสามารถ
ดํารงชีวิตอยูในสิ่งแวดลอมที่แตกตางกันได

T32
นํา สอน สรุป ประเมิน

หนวยการเรียนรูที่ 2 ขัน้ น
ÊÔè§ÁÕªÕÇÔµ¡ÑºÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ า ามร
1. สมาชิกแตละกลุม รวมกันอภิปรายและสรุปผล
จากการทํากิจกรรมภายในกลุม
2. นักเรียนแตละกลุมสงตัวแทนออกมานําเสนอ
µÍ¹·Õè
ผลงานของกลุมหนาชั้นเรียน โดยครูสุมจับ
1. ชวยกันสํารวจและสื คนขอมูลเกี่ยวกั สิ่งมีชีวิตที่มีโครงสรางหรือมีลักษณะที่เหมาะสม สลากเลือกหมายเลขกลุมนักเรียนทีละกลุม
กั แหลงที่อยูตาง แลว ันทึกขอมูลที่ไดจากการสื คนลง นสมุด 3. นักเรียนแตละกลุม ออกมานําเสนอผลงานหนา
2. แต ล ะกลุ  ม เลื อ กสิ่ ง มี ชี วิ ต ที่ เ ปนพื ช และสั ต ว ที่ ไ ด จ ากการสื ค น มาอย า งละ 2 ชนิ ด ชั้นเรียน จากนั้นรวมกันอภิปรายและสรุปผล
โดยวาดภาพและเขียนอธิ ายลง นกระดาษแข็ง แลวตกแตง หสวยงาม เกี่ ย วกั บ การปรั บ โครงสร า งของสิ่ ง มี ชี วิ ต ที่
. นําเสนอ ลงานเพื่อแลกเปลี่ยนขอมูลภาย นชั้นเรียน เหมาะสมตอการดํารงชีวิตในแหลงที่อยู
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม)

ภาพที่ 2. การนําเสนอ ลงานหนาชั้นเรียน

หนูตอบ ด้
. ยกตัวอยางสิง่ มีชวี ติ นทองถิน่ ทีม่ กี ารปรั โครงสรางหรือลักษณะ หเหมาะสมกั แหลงทีอ่ ยู น น
มา 2 ชนิด พรอมอธิ ายพอสังเขป ขอ 3.
2. นักเรียนคิดวา หากพืชและสัตว างชนิดมีโครงสรางหรือลักษณะไมเหมาะสมกั แหลงทีอ่ ยู เปด เพราะเทาของเปดมีพัง ืดระหวางนิ้ว
จะเกิด ลอยางไร ขนาดให ก วาเทาของกบ ทําหนาทีโ่ บกพัดนํา้
. นักเรียนคิดวา ระหวางเปดกั ก สัตวชนิด ดสามารถวายนํ้าไดดีกวากัน เพราะอะไร ทําใหวายนํ้า ดดี
(หมายเหตุ คํา ามขอสุดทายของหนูตอบ ด เปนคํา ามที่ออกแบบให ูเรียน กใชทัก ะการคิดขั้นสูง 25 กบ เพราะเทาของกบมีพัง ืดระหวางนิ้ว โดย
คือ การคิดแบบใหเหตุ ล และการคิดแบบโตแยง ่ง ูเรียนอา เลือกตอบอยางใดอยางหน่งก ด ใหครู ทําหนาทีโ่ บกพัดนํา้ ชวยในการวายนํา้ ด และ
พิ าร า ากเหตุ ลสนับสนุน) กบมีขนาดลําตัวเลก งทําใหวายนํ้า ดดีกวา

ก กรรมที่ กร
ตา า บันทึกผลการทํากิจกรรม (ตอน )  à·¤¹Ô¤ ¤ÇÒÁ»ÅÍ´ÀÑÂ
ตัวอยาง ผลการทําขึ้นอยูกับขอมูลของสิ่งมีชีวิตที่นักเรียนสํารวจพบ
ในการทํากิจกรรมตอนที่ 1 ครูควรชี้แนะใหนักเรียนเขาใจวา หากตองการ
ม วต า ว บ เหมา มตอ า า วต สังเกตพืชเมื่อกดลงในนํ้าไดชัดเจนมากขึ้น ควรใชภาชนะใสนํ้าที่ทําใหมองเห็น
1. บัว ลําตนมีโพรงอากาศเพื่อใหลอยนํ้าได สิ่งที่อยูใตนํ้าไดรอบดาน เชน ตูปลาใส หรือโหลแกวใส จึงจะทําใหสังเกตพืช
. จิ้งจก มีสีของลําตัวกลมกลืนกับสีของผนังบาน เมื่อกดลงใตนํ้าไดชัดเจนขึ้น
3. ตนตําลึง มีมือเกาะเพื่อชวยยึดลําตน
4. ผักตบชวา ลําตนมีโพรงอากาศเพื่อใหลอยนํ้าได
5. ตักแตน มีลําตัวสีเขียวเหมือนตนหญา ใบไม

T33
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ น
า าม า
1. สมาชิกภายในแตละกลุมรวมกันศึกษาขอมูล สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู นแหลงที่อยู ด ก็ตาม จะมีการปรั โครงสรางหรือ
เกี่ยวกับโครงสรางพืชและสัตวที่เหมาะสมตอ
การดํารงชีวิตในแหลงที่อยูจากหนังสือเรียน
มีลักษณะที่เหมาะสมตอการดํารงชีวิต นแหลงที่อยูอาศัยนั้น เพื่อ หสามารถมี
หนา - จากนั้นครูสุมเลือกตัวแทนกลุม ชีวิตอยูรอดได ซึ่งพืชและสัตวตาง อาจมีโครงสรางหรือมีลักษณะที่เหมาะสม
ทุกกลุม กลุมละ 1 คน ใหออกมาสรุปเนื้อหา กั แหลงที่อยูที่แตกตางกันไป ดังนี้
ใหเพื่อนในหอง ง
ครงสราง องพื ีเหมา สมตอการ ารง ีวิต น ห ง ีอยู
แหลงที่อยูของพืชแตละแหลง มีลักษณะแตกตางกัน เชน นนํ้า น ก
ทะเลทราย ชายหาด ดังนั้น พืชที่เกิดขึ้น นแหลงที่อยูแตกตางกัน จึงมี
โครงสรางหรือมีลักษณะแตกตางกันไป เพื่อ หเหมาะสมตอการดํารงชีวิต น
แหลงที่อยูนั้น ตัวอยางเชน
ผักตบ วา กร บองเพ ร
เปนพืชที่ขึ้น นนํ้า มีโคนกาน เปนพืชที่ขึ้นตามทะเลทราย
พองออก ภาย นมีโพรง มีลําตนหนาเพื่อกักเก็ นํ้า
อากาศมาก ทํา หลําตน เปลี่ยนเปนหนามเพื่อลด
มีนํ้าหนักเ าและลอยนํ้า การคายนํ้า และมีรากแ 
ไดดี กระจายไปไกลเพื่อดูดซึม
นํ้าไดมาก
ภาพที่ 2. ักต ชวา ภาพที่ 2.5 กระ องเพชร
กงกาง บัว
เปนพืชที่ขึ้นอยูตามปาชายเลน เปนพืชนํ้าที่ขึ้นอยู นดินเหนียว
มีรากคํ้าจุนตนเพื่อปองกัน และมีนํ้าทวมขังตลอดเวลา
ไม หลําตนโคนลมไดงาย มีลําตนเปนโพรงอากาศ
เมื่อมีนํ้าทะเลซัดชาย ง เพื่อ หลําตนเ าและ
หรือเมื่อนํ้าทะเลขึ้น ลง ลอยนํ้าได

ภาพที่ 2. โกงกาง ภาพที่ 2. ัว


26 ที่ า า )

เกร็ดแนะครู ขอสอบเนน การคิด


ครูอาจยกตัวอยางการปรับโครงสรางและลักษ ะของพืชทีเ่ หมาะสมตอการ เ า เหตุ บอ เ บเ ยน า หเหมา ม
ดํารงชีวิตในแหลงที่อยูตาง เพิ่มเติม เชน บ า า วตอย น เ าย
• ตําลึง เปนพืชทีข่ นึ้ บนบก มีมอื เกาะเพือ่ ชวยในการยึดเกาะบนตนไมใหญ 1. เพื่อปองกันศัตรู
หรือรั้วบาน เพื่อรับแสงแดดไดดีขึ้น . เพื่อสะสมอาหาร
• เบาบับ เปนพืชที่ขึ้นอยูตามทะเลทราย มีลําตนอวบนํ้า เพราะเก็บนํ้าไว 3. เพื่อลดการคายนํ้า
ภายใน และมีรากยาวทําใหชอนไชไดลึกและดูดนํ้าไดมาก 4. เพื่อปองกันความรอน
• ผักกระเ ด เปนพืชที่ขึ้นในนํ้า บริเว ลําตนจะมีนวมสีขาวหุมคลาย ( วเ า ห าตอบ ทะเลทรายเปนบริเว ที่มีอุ ห ูมิสูงมาก
องนํ้า ทําใหลอยนํ้าได กระบองเพชร งปรับโครงสรางใหลําตนหนาและอวบนํ้า เพื่อกัก
เกบนํ้า และเปลี่ยนใบเปนหนามเพื่อลดการคายนํ้า นอก ากนี้
กระบองเพชรยั ง มี ร ากยาวเพื่ อ ให ส ามาร ชอน ชหานํ้ า ด ล ก
ดังนั้น ขอ งเปนคําตอบที่ ูกตอง)

T34
นํา สอน สรุป ประเมิน

หนวยการเรียนรูที่ 2 ขัน้ น
ÊÔè§ÁÕªÕÇÔµ¡ÑºÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ า าม า
2. ครูขออาสามาสมัครนักเรียน คน ใหยก
ครงสราง องสัตว ีเหมา สมตอการ ารง ีวิต น ห ง ีอยู
ตัวอยางสิ่งมีชีวิตที่มีการปรับโครงสรางและ
สัตวตา ง ทีอ่ าศัยอยู นแหลงทีอ่ ยูแ ตกตางกัน จะมีโครงสรางหรือลักษณะ ลักษ ะที่เหมาะสมตอการดํารงชีวิตในแหลง
แตกตางกัน เพื่อ หเหมาะสมตอการดํารงชีวิต นแหลงที่อยูนั้น ตัวอยางเชน ที่อยู ดังนี้
ตัก ตน บ ม • คนที่ 1 ใหยกตัวอยางพืช ตัวอยาง
เปนแมลงชนิดหนึ่งที่อาศัยอยู นตนไมและ • คนที่ ใหยกตัวอยางสัตว ตัวอยาง
ไม มีลําตัวสีเขียวและมีรูปรางเหมือน ไมท่ี 3. ครูและนักเรียนรวมกันสรุปสาระสําคัญเกีย่ วกับ
เกาะอยู การปรั บ โครงสร า งของสิ่ ง มี ชี วิ ต ให มี ค วาม
เหมาะสมตอการดํารงชีวิตในแหลงที่อยูอาศัย
ภาพที่ 2. ตักแตนพรางตัวที่ ไม เพื่อเสริมความรูที่ยังบกพรองใหมีความเขาใจ
หมี ัว ก มากขึ้น
เปนสัตวที่อาศัยอยู ริเวณขั้วโลกเหนือ ซึ่งมี 4. นักเรียนแตละคนทํากิจกรรมหนูตอบไดจาก
อากาศหนาวเย็นมาก จึงมีขนหนา ู อุงเทาหนา หนังสือเรียน หนา 5 ลงในสมุดหรือทําในแบบ
และมี ไ ขมั น สะสมอยู  ต ชั้ น ิ ว หนั ง มาก ทํ า ห ฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1
ทนทานตอสภาพอากาศหนาวเย็นไดดี 5. ครูมอบหมายใหนักเรียนแตละคนนํากิจกรรม
ภาพที่ 2. หมีขาวหรือหมีขั้วโลกมีขนหนา ู พั นาการเรียนรูท ี่ 1 จากหนังสือเรียน หนา
อู ไปทําเปนการบาน โดยใหทําลงในสมุดหรือ
เปนสัตวที่อาศัย น ริเวณทะเลทราย มีขนตา ใหทําในใบงาน เรื่อง การปรับโครงสรางของ
ยาวทํา หทรายเขาตาไดยาก มีหนอกไวสะสม สิง่ มีชวี ติ ทีค่ รูแจกใหแลวนํามาสงครูในชัว่ โมง
ไขมันเพื่อดึงมา ชเวลาไมมีอาหาร มีขายาวสูง ถัดไป
จากพื้นและกี เทาแ นออกเหมาะสําหรั เดิน น (หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
ทราย และมีขนเกรียนทํา หระ ายความรอนไดดี แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล)
ภาพที่ 2.1 อูฐมีหนอกไวสะสมไขมัน
ปา
ปลาอาศัยอยู นนํ้า มีทั้งปลานํ้าจืดและปลานํ้าเค็ม
ปลามี รู ป ร า งเรี ย วยาว ลํ า ตั ว แ น เพื่ อ ห เ หมาะสม
กั การเคลื่อนที่ นนํ้า ปลาตาง ชครี และกลามเนื้อ
ลําตัว นการเคลื่อนที่ นนํ้า ครี ของปลามี 5 ชนิด คือ
ครี อก ครี ทอง ครี หลัง ครี กน และครี หาง
ภาพที่ 2.11 ปลามีครี ช นการเคลื่อนที่
2

กิ กรร st
y เกร็ดแนะครู
1. ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน แลวใหสมาชิกแตละกลุม ครูใหความรูความเขาใจนักเรียนเพิ่มเติมวา สิ่งแวดลอมที่มีความอุดม
สืบคนขอมูลสัตวเ พาะถิ่นของประเทศในกลุมสมาชิกอาเ ียน สมบูร จ ะมีสงิ่ มีชวี ติ อาศัยอยูม ากมาย เนือ่ งจากบริเว ทีม่ คี วามอุดมสมบูร จ ะ
มากลุมละ 1 ชนิด โดยมีหัวขอในการสืบคน ดังนี้ ประกอบดวยปจจัยที่ทําใหสิ่งมีชีวิตสามารถดํารงชีวิตอยูได ไดแก แหลงอาหาร
• ลักษ ะรูปรางของสัตวชนิดนั้น แหลงที่อยูอาศัย แหลงสืบพัน ุ และแหลงหลบภัย
• แหลงที่อยูอาศัยของสัตวชนิดนั้น
• โครงสรางหรือลักษ ะที่เหมาะสมกับแหลงที่อยูอาศัย
. นําขอมูลมาจัดกระทําในรูปแบบตาง ทีน่ า สนใจ พรอมตกแตง
ใหสวยงาม จากนั้นสงตัวแทนนําเสนอผลงานหนาชั้นเรียน

T35
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ รป

นั ก เรี ย นแต ล ะคนสรุ ป ความรู  จ ากการเรี ย น นอกจากนี้ แ ล ว นสั ต ว างชนิ ด ยั ง มี
หัวขอเรือ่ ง โครงสรางและลักษ ะของสิง่ มีชวี ติ ใน การปรั ตัว หกลมกลืนกั สิ่งแวดลอม เรียกวา
แหลงทีอ่ ยูต ามทีต่ นเขาใจ จนไดขอ สรุปรวมกันวา การพรางตัว เพื่อหลีกเลี่ยง
สิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตวมีโครงสรางและลักษ ะ
ที่เหมาะสมในแตละแหลงที่อยู ึ่งเปนผลมาจาก
การโจมตีจากศัตรู หรืออาจเปนการหลอกลอ
การปรับตัวของสิง่ มีชวี ติ เพือ่ ดํารงชีวติ และอยูร อด
หเหยื่อตาย จ เชน กิ้งกาคาเมเลียนสามารถ
ไดในแตละแหลงที่อยู
เปลี่ยนสี ิวหนังเปนสีตาง เพื่อการสื่อสาร
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใชแบบ เกี้ยวพาราสี หรือการตอสู ภาพที่ 2.12 กิง้ กาคาเมเลียน
สังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล) สวนสัตว างชนิดสามารถทําตัวเลียนแ หมีรูปรางหรือ
มีลักษณะสีสันเหมือนกั สิ่งมีชีวิตชนิดอื่น เพื่อหลอกลอ หสัตวตาง ที่เปน
ขัน้ ประ มน ูลา หเขา จ ิด เชน ีเสื้อกะทกรกธรรมดาเปน ีเสื้อที่ไมมีพิษ จึงเลียนแ
ร ลวดลายปก หคลายกั ีเสื้อหนอน รักธรรมดาที่มีพิษ เพื่อปองกันไม ห
1. ครูตรวจสอบผลการทําแบบทดสอบกอนเรียน ถูก ูลาจั กินเปนอาหาร
เพื่อตรวจสอบความเขาใจกอนเรียน
2. ครูตรวจสอบผลการทํากิจกรรมนําสูการเรียน
ในสมุดหรือในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5
เลม 1
3. ครูตรวจสอบผลการทํากิจกรรมที่ 1 เรื่อง การ
ปรับโครงสรางของสิ่งมีชีวิต ในสมุดหรือใน
แบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1 ภาพที่ 2.1 ีเสื้อหนอน รักธรรมดา ภาพที่ 2.1 ีเสื้อกะทกรกธรรมดา
ที่ า า )
4. ครู ต รวจสอบผลการทํ า กิ จ กรรมหนู ต อบได
ในสมุด หรือในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5
Ô Ãà ¹Ò ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õ 1
เลม 1 บงก ุม ก ุม 2 คน วป ิบัติ ังนี
ต ิ าพ)
5. ครูตรวจผลการทํากิจกรรมพั นาการเรียนรู 1. สื คนขอมูลเกีย่ วกั โครงสรางของพืชและสัตวที่ าพหร
อื
ที่ 1 จากในสมุดหรือในใบงาน เรื่อง การปรับ เหมาะสมตอการดํารงชีวติ นแหลงทีอ่ ยูม าอยางละ (วา
โครงสรางของสิ่งมีชีวิต 2 ชนิด ไมซํ้ากั น ทเรียน ภาพนี้ คือ.............................................................................
2. นําขอมูลมาจัดทําเปน ตั รภาพความรูด งั ตัวอยาง สิ่งมีชีวิตชนิดนี้มีโครงสรางที่เหมาะสม
กั ที่อยูอาศัย ดังนี้
. สงตัวแทนออกมานําเสนอ ลงานหนาชั้นเรียน .........................................................................................................

แน ก ร ดแ ะ ระเ น ขอสอบเนน การคิด


ครูสามารถสังเกตพ ติกรรมของนักเรียนจากการตอบคําถาม การทํางาน ม วต บ าแ เ อ า า ตว
รายบุคคล การทํางานกลุม และการนําเสนอผลการทํากิจกรรมหนาชั้นเรียนได 1. ผีเสื้อกะทกรก รรมดา
โดยศึกษาเก การวัดและประเมินผลที่แนบทายแผนการจัดการเรียนรูของ . กิ้งกาคาเมเลียน
หนวยการเรียนรูที่ สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดลอม ดังภาพตัวอยาง 3. หมีขั้วโลก
แบบสังเกตพฤติกรรมการทางานรายบุคคล แบบสังเกตพฤติกรรมการทางานกลุ่ม
4. ปลาทอง
(วเ า ห าตอบ กิ้งกาคาเมเลียนสามาร พรางตัวใหกลมกลืน
คาชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่ คาชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่
ตรงกับระดับคะแนน ตรงกับระดับคะแนน
ระดับคะแนน การมี
ลาดับที่ รายการประเมิน การแสดง การยอมรับ
การทางาน
ส่วนร่วมใน
3 2 1 ชื่อ–สกุล ตามที่ ด้รับ ความมีน้าใจ รวม
ความคิดเหน งคนอื่น การปรับปรุง

กับส าพแวดลอมที่อาศัยโดยเปลี่ยนสี ิวหนังเปนสีตาง เพื่อ


1 การแสดงความคิดเห็น    ลาดับที่ มอบหมาย 15
องนักเรียน ผลงานกลุ่ม คะแนน
2 การยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น   
3 การทางานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย    3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1
4 ความมีน้าใจ   
5 การตรงต่อเวลา   
รวม

ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
การสื่อสาร การเกี้ยวพาราสี หรือการตอสู ดังนั้น ขอ งเปน
เกณฑ์การให้คะแนน
............./.................../..............

คําตอบที่ ูกตอง)
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 3 คะแนน ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน ............./.................../..............
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน
เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 3 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
14-15 ดีมาก
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
11-13 ดี
14-15 ดีมาก
8-10 พอใช้
11-13 ดี
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง 8-10 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง

T36
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

หนวยการเรียนรูที่ 2 ขัน้ นา
ÊÔè§ÁÕªÕÇÔµ¡ÑºÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ กระ น าม น

2. ÇÒ Ê ¹  ¹ÊÔ Ç Œ 1. ครูใชการเลนเกมเสือกินวัว เพื่อกระตุนความ


สนใจของนักเรียน โดยขออาสาสมัครนักเรียน
สิ่งแวดลอมตาง ที่อยูรอ ตัวเรามีทั้งสิ่งมีชีวิต เชน ตนไม นก แมลง จํานวน 1 คน ออกมาเลนเกม
ดอกไม คน และสิ่งไมมีชีวิต เชน ดิน กอนหิน นํ้า อากาศ ซึ่งสิ่งมีชีวิต 2. ครูอ บิ ายวิ กี ารเลนเกมใหนกั เรียน ง จากนัน้
ทุกชนิดลวนตองมีความสัมพันธกั สิง่ แวดลอม โดยสิง่ มีชวี ติ นแหลงทีอ่ ยูห นึง่ ใหเลนเกมเสือกินวัวประมา ครั้ง
จะมีความสัมพันธกั สิ่งมีชีวิตดวยกันเอง และมีความสัมพันธกั สิ่งไมมีชีวิต 3. ครูตั้งคําถามวา นักเรียนไดความรูอะไรจาก
นรูปแ ตาง เพื่อประโยชนตอการดํารงชีวิต เกมเสื อ กิ น วั ว โดยให นั ก เรี ย นช ว ยกั น ตอบ
คําถามอยางอิสระ
ผงกับ อกบัว นกเอียงกับควาย 4. ครูตงั้ คําถามเพิม่ เติมวา นักเรียนคิดวาวันนีเ้ รา
จะเรียนเกี่ยวกับอะไร โดยใหนักเรียนชวยกัน
ระดมความคิด และครูสมุ เลือกนักเรียน -3 คน
เพื่อมาสรุปแนวคิดจากนักเรียนทั้งหมด
(แนวตอบ เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิต หรือความสัมพันธ
ของสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิต)
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
นกกร ยางกับป า ป าอยู นนา แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล)

ขัน้ น
าร น า
1. นักเรียนศึกษาเนื้อหาหัวขอความสัมพัน ใน
สิง่ แวดลอมและดูภาพ จากหนังสือเรียนหนานี้
ภาพที่ 2.15 ตัวอยางความสัมพันธ นสิ่งแวดลอม จากนัน้ ชวยกันตอบคําถามสําคัญประจําบทวา
นก ารังบนตน ม สิ่งมีชีวิตกับสิ่งไมมีชีวิตในสิ่งแวดลอมมีความ
สัมพัน กันอยางไรบาง โดยใหครูอ ิบายเสริม
ในสวนที่บกพรอง
ÊÔè § ÁÕ ªÕ ÇÔ µ áÅÐÊÔè § äÁ‹ ÁÕ ªÕ ÇÔ µ ÁÕ ( แนวตอบ สิ่ ง มี ชี วิ ต และสิ่ ง ม มี ชี วิ ต ที่ อ ยู  ใ น
¤ÇÒÁÊÑ Á Ñ ¹  ¡Ñ º ÊÔ § Ç´ÅŒ Í Á สิ่งแวดลอม ะมีความสัมพันธกันในหลาย
Í‹ҧäúŒÒ§ ดาน เชน ความสัมพันธดานแหลงที่อยูอาศัย
ดานแหลงหลบ ัย และดานแหลงอาหาร)
2

ขอสอบเนน การคิด เกร็ดแนะครู


ุม ม วตม ต ตาม อ ครูอ ิบายวิ ีการเลนเกมเสือกินวัวใหนักเรียน ง โดยมีกติกาและวิ ีการ
1. ตนกุหลาบปลูกอยูในสวนหลายรอนตน เลนเกม ดังนี้
. ปลวกหลายรอยตัวอาศัยอยูดวยกันที่ตนไมผุ • ครูทําสลากเพื่อกําหนดผูที่จะเลนเปนเสือ วัว และตนไม โดยใหมีเสือ
3. งูอาศัยอยูในโพรงใตดินบริเว ตนไมใหญกลางปา 1 สลาก วัว สลาก และตนไม สลาก จากนั้นใหอาสาสมัครนักเรียน
4. ในทุงนามีหนูนา งู ตักแตน นก และกบ อยูรวมกัน จับสลากที่ทําไว
(วเ า ห าตอบ สิ่งมีชีวิตตั้งแต ชนิดข้น ปที่อาศัยอยูรวมกัน • ใหนักเรียนที่เปนตนไมจับมือเปนวงกลม และใหนักเรียนที่เปนวัวอยู
ในบริเว ใดบริเว หน่งและในชวงเวลาใดเวลาหน่ง เราเรียกวา ภายในวงกลม
กลุมสิ่งมีชีวิต ดังนั้น ขอ งเปนคําตอบที่ ูกตอง) • ครูใหสญั ญา เริม่ เกม นักเรียนทีเ่ ปนเสือตองแตะตัววัวใหได โดยพยายาม
เขาไปในวงกลมของตนไม วัวตองพยายามหนีเสือไมใหถูกแตะได และ
ตนไมตองพยายามไมใหเสือเขามาในวงกลม ในกร ีที่เสือเขามาแลว
ตองพยายามไมใหเสือออกจากวงกลมได
• วัวสามารถเขาและออกจากวงกลมของตนไมไดอยางอิสระ
• เกมจะสิ้นสุดลงเมื่อวัวตัวใดตัวหนึ่งถูกเสือแตะครบ ครั้ง และวัวตัว
ดังกลาวตองมาเปนเสือแทน
T37
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ น
าร น า
2. นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน จากนั้นครู
ทบทวนสาระสําคัญเกี่ยวกับความสัมพัน ของ
Ô ÃÃ ·Õ 2 ัก กร บวนการ
างวิ ยาศาสตร ี 
สิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตใหนักเรียน งอีกครั้ง ศกษา วามสัมพัน ์ นสิง วด ้อม 1. การสังเกต
2. การลงความเห็นจากขอมูล
3. ครู เ ปด เรื่ อ ง ความสั ม พั น  ร ะหว า ง . การตีความหมายขอมูลและลงขอสรุป
สิ่ ง มี ชี วิ ต กั บ สิ่ ง มี ชี วิ ต ให นั ก เรี ย นดู จากนั้ น ดประสง ์ . การจัดกระทําและสื่อความหมายขอมูล

ถามคําถามกระตุนความคิดโดยใหนักเรียน สํารวจและอธิ ายความสัมพันธระหวางสิ่งมีชีวิตกั สิ่งมีชีวิต


แตละกลุม อภิปรายและหาคําตอบรวมกัน เชน และสิ่งมีชีวิตกั สิ่งไมมีชีวิต นสิ่งแวดลอม
• วา บเ อม วาม ม น นแบบ
• อน บ น ม วาม ม น นแบบ ต้อง ตรียมต้อง ้
(แนวตอบ กวางกับเสือมีความสัมพันธดาน
1. สีไม 1 กลอง
แหลงอาหาร โดยกวางเปนแหลงอาหารของ
2. แวนขยาย 1 อัน
เสือ สวนพอนกกับลูกนกมีความสัมพันธดา น
. กระดาษแข็งแ น หญ 1 แ น
การเลี้ยงดูลูกออน)
. แหลงขอมูล เชน หนังสือ อินเทอรเน็ต
4. นักเรียนทํากิจกรรมที่ เรื่อง ศึกษาความ
สัมพัน ในสิ่งแวดลอม ตอนที่ 1 โดยศึกษา องทาดู µÍ¹·Õè
ขั้ น ตอนการทํ า กิ จ กรรมจากหนั ง สื อ เรี ย น
หน า นี้ แล ว ป ิ บั ติ กิ จ กรรมตามขั้ น ตอนให
1. แ งกลุม กลุมละ คน แลว หแตละกลุมชวยกันสื คนขอมูลเกี่ยวกั ความสัมพันธ
ครบถวน จากนั้นบันทึกผลลงในสมุดหรือใน ระหวางสิ่งมีชีวิตกั สิ่งมีชีวิต จากนั้น 1ันทึกลง นสมุด นหัวขอตอไปนี้
แบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1 1 ความสัมพันธดานแหลงที่อยูอาศัย
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช 2 ความสัมพันธดานแหลงอาหาร
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม) ความสัมพันธดานแหลงสื พันธุและ
เลี้ยงดูลูกออน
ความสัมพันธดานแหลงหล ภัย
2. รวมกันอภิปรายและสรุป ลจากขอมูลที่
สื คนมาได จากนั้น หแตละกลุมออกไป
สํารวจความสัมพันธระหวางสิ่งมีชีวิต
กั สิ่งมีชีวิต น ริเวณโรงเรียน และ ห
ันทึกวาพ ความสัมพันธของสิ่งมีชีวิต
กั สิ่งมีชีวิตดาน ด าง ภาพที่ 2.1 สํารวจความสัมพันธของสิ่งมีชีวิต

นกเร นค รรู ก กรรมที่


ตา า บันทึกผลการทํากิจกรรม (ตอน )
1 แห อยอา ย หรื อ ถิ่ น ที่ อ ยู  หมายถึ ง พื้ น ที่ ท างระบบ ตัวอยาง ผลการสํารวจจะแตกตางกัน ขึ้นอยูกับบริเว ที่นักเรียนแตละกลุมสํารวจ
นิเวศวิทยาหรือสิ่งแวดลอม ึ่งเปนที่อาศัยของสัตว พืช หรือสิ่งมีชีวิตอื่น ที่ วาม ม น หวา
ม วต บ ม วต แห บ
เ พาะเจาะจง หรือเปนสภาพแวดลอมตาม รรมชาติที่สิ่งมีชีวิตสามารถอาศัย ม วต บ ม วต
อยูได หรือสภาพทางกายภาพที่ลอมรอบไปดวยประชากรในสปชีสหนึ่ง 1. มดกับตนมะมวง สนามหนาโรงเรียน เปนแหลงที่อยูอาศัย
. กลวยไมกับตน สนามหนาโรงเรียน เปนแหลงที่อยูอาศัย
หูกวาง
3. หนอนกับตนผักกาด สวนผักหลังโรงเรียน เปนแหลงอาหาร
ครูใหนักเรียนเรียนรูเกี่ยวกับความสัมพัน ระหวางสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิต 4. .................................. ......................................... .........................................
เพิ่มเติมจากสื่อ เรื่อง ความสัมพัน ร ะหวางสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิต 5. .................................. ......................................... .........................................
. .................................. ......................................... .........................................
ุ ากการทํ า กิ กรรม พบว า สิ่ ง มี ชี วิ ต ที่ อ าศั ย อยู  ร  ว มกั น ในแหล ง
เดียวกัน มีความสัมพันธกันในดานตาง โดยสิ่งมีชีวิตชนิดหน่งอา มีความ
สัมพันธเปนแหลงทีอ่ ยูอ าศัย แหลงอาหาร แหลงสืบพันธุแ ละเลีย้ งดูลกู ออน หรือ

T38 แหลงหลบ ัยของสิ่งมีชีวิตอีกชนิดหน่ง


นํา สอน สรุป ประเมิน

หนวยการเรียนรูที่ 2 ขัน้ น
ÊÔè§ÁÕªÕÇÔµ¡ÑºÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ า ามร
1. นักเรียนแตละกลุม รวมกันอภิปรายและสรุปผล
จากการทํากิจกรรมภายในกลุม จากนั้นสง
ตัวแทนออกมานําเสนอผลงานของกลุมหนา
. รวมกันแสดงความคิดเห็นและสรุป ล จากนั้นนําเสนอ ลการทํากิจกรรมหนาชั้นเรียน ชั้นเรียน
เกี่ยวกั ความสัมพันธระหวางสิ่งมีชีวิตกั สิ่งมีชีวิตภาย นชั้นเรียน เพื่อเปรีย เทีย กั 2. ตั ว แทนนั ก เรี ย นแต ล ะกลุ  ม ออกมานํ า เสนอ
กลุมอื่น ผลงานหนาชั้นเรียน จากนั้นรวมกันอภิปราย
และสรุปผลเกีย่ วกับความสัมพัน ข องสิง่ มีชวี ติ
µÍ¹·Õè กับสิ่งมีชีวิตในสิ่งแวดลอม
1. สื คนขอมูลเกีย่ วกั ความสัมพันธระหวางสิง่ มีชวี ติ กั สิง่ ไมมชี วี ติ แลว นั ทึก ลลง นสมุด (หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
2. สํารวจ ริเวณโรงเรียน เพื่อสังเกตความสัมพันธระหวางสิ่งมีชีวิตกั สิ่งไมมีชีวิต แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม)
. รวมกันแสดงความคิดเห็นวา ริเวณทีไ่ ดออกไปสํารวจมีความสัมพันธระหวางสิง่ มีชวี ติ กั า าม า
สิ่งไมมีชีวิตหรือไม อะไร าง จากนั้น
ชวยกัน ันทึก ล 1. สมาชิกภายในแตละกลุมชวยกันศึกษาขอมูล
. นําขอมูลที่ไดมาเขียนเปนแ น ังหรือ ความสั ม พั น  ร ะหว า งสิ่ ง มี ชี วิ ต กั บ สิ่ ง มี ชี วิ ต
จากหนังสือเรียน หนา 3 -33 จากนั้นครูขอ
แ นภาพลง นกระดาษแข็ ง จากนั้ น
อาสาสมัครตัวแทนนักเรียนแตละกลุม กลุม ละ
ตกแตง หสวยงาม
1 คน ออกมาสรุปเนื้อหาที่ศึกษาใหเพื่อนใน
5. นําเสนอ ลการทํากิจกรรมหนาชั้นเรียน
หอง ง
แลวรวมกันอภิปรายและสรุป ลภาย น
2. ครูอาจสรุปความสัมพัน ระหวางสิ่งมีชีวิตกับ
ชั้นเรียน
สิ่งมีชีวิตใหนักเรียน งอีกครั้ง เพื่อใหนักเรียน
มีความเขาใจมากขึ้น
ภาพที่ 2.1 การสื คนขอมูล

หนูตอบ ด้
. สิ่งมีชีวิตกั สิ่งมีชีวิตมีความสัมพันธกันหรือไม อยางไร
2. นักเรียนคิดวา สิ่งไมมีชีวิตมีความสําคัญตอสิ่งมีชีวิตหรือไม อยางไร
. แหลงนํ้าเปนทรัพยากรธรรมชาติที่มีประโยชนตอสิ่งมีชีวิตมาก นักเรียนคิดวา แหลงนํ้า
เหมาะสําหรั ที่จะเปนแหลงอาหาร หรือเปนแหลงที่อยูของสิ่งมีชีวิต เพราะอะไร

(หมายเหตุ คํา ามขอสุดทายของหนูตอบ ด เปนคํา ามที่ออกแบบให ูเรียน กใชทัก ะการคิดขั้นสูง 31


คือ การคิดแบบใหเหตุ ล และการคิดแบบโตแยง ่ง ูเรียนอา เลือกตอบอยางใดอยางหน่งก ด ใหครู
พิ าร า ากเหตุ ลสนับสนุน)

ก กรรมที่ น น
ตา า บันทึกผลการทํากิจกรรม (ตอน ) ขอ 3.
ตัวอยาง ผลการสํารวจจะแตกตางกัน ขึ้นอยูกับบริเว ที่นักเรียนแตละกลุมสํารวจ เปนแหลงอาหาร เพราะแหลงนํา้ มีสงิ่ มีชวี ติ ทัง้ พืชและสัตวอาศัยอยูร ว มกัน
าว บ เปน าํ นวนมาก งเปนแหลงอาหารทีอ่ ดุ มสมบูร แ ละมีความหลากหลายสําหรับ
บ เว าว วาม ม น สิ่งมีชีวิตชนิดตาง
ม วต มม วต
บอบัว ตนบัว นํ้า ดิน นํ้าและดินเปนแหลงที่อยูอาศัย เปนแหลงที่อยูอาศัย เพราะพืช เชน บัว ักตบชวา หรือสัตว เชน ปลา
และแหลงอาหารของบัว หอย ลวนแตใชแหลงนํ้าเพื่อการอยูอาศัย
สระนํ้า ปลา นํ้า นํ้ า เป น แหล ง ที่ อ ยู  อ าศั ย และ
แหลงอาหารของปลา
สวนผัก ผักสวนครัว แสงแดด แสงแดดใหพลังงานแกผกั ตาง
เพื่อใชสรางอาหาร
ใตดิน ไสเดือนดิน ดิน ดิ น เป น แหล ง ที่ อ ยู  อ าศั ย และ
แหลงอาหารของไสเดือนดิน
ุ จากการทํากิจกรรม พบวา สิง่ มีชวี ติ กับสิง่ ไมมชี วี ติ ทีอ่ าศัยอยูร ว มกันใน
แหลงที่อยูจะมีความสัมพัน กัน โดยสิ่งมีชีวิตพึ่งพาสิ่งไมมีชีวิตเปนแหลงที่อยู
อาศัย แหลงอาหาร แหลงสืบพัน ุ และแหลงเลี้ยงดูลูกออน เพื่อการดํารงชีวิต
T39
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ น
า าม า
3. นักเรียนแตละคนทํากิจกรรมเสริมการเรียนรู 2. ความสัมพันธร หวางสิงมี ีวิตกับสิงมี ีวิต
จากใบงาน เรือ่ ง ความสัมพัน ร ะหวางสิง่ มีชวี ติ
กับสิ่งมีชีวิต จากนั้นครูและนักเรียนรวมกัน หากมีสิ่งมีชีวิตชนิดตาง ตั้งแต 2 ชนิดขึ้นไป อาศัยอยูรวมกัน นแตละ
เ ลยคําตอบในใบงานนี้ แหลงที่อยู เราเรียกวา ก ุมสิงมี ีวิต ซึ่งสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยูรวมกัน นแหลงที่อยู
4. ครูมอบหมายใหนักเรียนทุกคนไปทํากิจกรรม เดียวกันจะมีความสัมพันธกัน นหลาย ลักษณะ เพื่อประโยชนตอการดํารงชีวิต
เสริมการเรียนรูจ ากใบงาน เรือ่ ง ความสัมพัน  โดยสามารถสรุปความสัมพันธได ดาน ดังนี้
ระหว า งสิ่ ง มี ชี วิ ต กั บ สิ่ ง มี ชี วิ ต ที่ บ  า นของ ั น
เปนการบานและนํามาสงในชั่วโมงถัดไป
) ความสัมพันธ าน ห ง ีอยูอาศัย
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช ริเวณปาไมเปนแหลงที่อยูอาศัยของพืชตาง เชน เต็ง รัง สัก และ
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล) สัตวปาตาง เชน เสือ ชาง กวาง ลิง สวน นตนไมเปนที่อยูอาศัยของสัตว
างชนิด เชน กระรอก นก มด ึ้ง งู และยังเปนแหลงที่อยูของพืช างชนิด
ขัน้ รป เชน กา าก พลูดาง

นักเรียนรวมกันสรุปความรูจากการเรียนจน
ไดขอสรุปรวมกันวา สิ่งมีชีวิตจะมีความสัมพัน 
ึ่งกันและกัน เพื่อเปนประโยชนตอการดํารงชีวิต
โดยแบงความสัมพัน เปน 4 ดาน คือ ดานแหลง
ที่อยูอาศัย ดานแหลงอาหาร ดานแหลงสืบพัน ุ
ภาพที่ 2.1 กวางอาศัย นปา ภาพที่ 2.1 กระรอกเจาะ ภาพที่ 2.2 พลูดาง ชรากยึด
และเลี้ยงลูกออน และดานแหลงหลบภัย โพรงอาศัย นตนไม เกาะที่เปลือกของตนไม
ขัน้ ประ มน 2) ความสัมพันธ าน ห งอาหาร
ร แหลงอาหารของสิ่งมีชีวิตมีอยู
1. ครูตรวจสอบผลการทํากิจกรรมที่ เรือ่ ง ศึกษา ทั่วไปตามธรรมชาติ เชน ทุงหญาเปน
ความสัมพัน ในสิ่งแวดลอม ตอนที่ 1 ในสมุด แหล ง อาหารของวั ว แม นํ้ า เปนแหล ง
หรือในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1 อาหารของนกชนิดตาง กวางเปนแหลง
2. ครูตรวจผลการทํากิจกรรมในใบงาน เรื่อง อาหารของเสือ ทุงขาวโพดเปนแหลง
ความสั ม พั น  ร ะหว า งสิ่ ง มี ชี วิ ต กั บ สิ่ ง มี ชี วิ ต
และใบงาน เรือ่ ง ความสัมพัน ร ะหวางสิง่ มีชวี ติ
อาหารของตักแตน
กับสิ่งมีชีวิตที่บานของ ัน ภาพที่ 2.21 วัวกินหญา นทุงหญาเปนอาหาร
32

เกร็ดแนะครู ขอสอบเนน การคิด


ใบงาน เรื่อง ความสัมพัน ระหวางสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิต และใบงาน เรื่อง ม วต น ตอ น แว อมเ นแห เ ย ออน
ความสัมพัน ระหวางสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตที่บานของ ัน ครูสามารถใชไดจาก 1. เตาวางไขบริเว ชายหาด
แผนการจัดการเรียนรูที่ เรื่อง ความสัมพัน ของสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตใน . นกกระยางกินปลาในแมนํ้า
สิ่งแวดลอม หนวยการเรียนรูที่ สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดลอม ดังภาพตัวอยาง 3. ไกอาศัยเลาเปนที่หลับนอน
ใบงาน ใบงาน
4. ปลาการตูนใชดอกไมทะเลเปนที่พรางตัว
เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวติ เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวติ บี่ ้าน ัน

ให้นักเรียนตอบคาถามดังนี้
1) สิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตมีความสัมพันธ์กันหรือไม่ เพื่ออะไร
ให้นักเรียน ิบัติกิ กรรม ดังนี้
1) สารว สิ่งมีชีวิตในบริเว บ้าน องนักเรียน
(วเ า ห าตอบ ากขอ สัตวใชสิ่งแวดลอมเปนแหลงเลี้ยงดู
ลูกออน ขอ สัตวหาอาหารในสิง่ แวดลอม ขอ สัตวใชสงิ่ แวดลอม
2) ให้นักเรียนบัน กชื่อ องสิ่งมีชีวิต ี่สารว ได้ งในตาราง ี่ ในใบงาน ี่
3) พิ าร า ัก ะความสัมพันธ์ องสิ่งมีชีวิต ี่สารว พบแ ะ าแนกสิ่งมีชีวิตตามความสัมพันธ์
4) นาเสนอ งานหน้าชั้นเรียน

ตาราง ่ี รายชื่อสิ่งมีชีวิต ี่สารว พบบริเว บ้าน

เปนที่อยูอาศัย และขอ สัตวใชสิ่งแวดลอมเปนที่หลบ ัย ดังนั้น


2) ภาพนี้ คือ ผีเสื้อ ดอกไม้
มีความสัมพันธ์กันแบบใด อย่างไร

3) ภาพนี้ คือ
 ด้านแห ่ง ี่อย่อา ัย ได้แก่
ขอ งเปนคําตอบที่ ูกตอง)
มีความสัมพันธ์กันแบบใด อย่างไร
 ด้านแห ่งอาหาร ได้แก่
ผีเสื้อกับดอกไม้

 ด้านแห ่งสืบพันธ์แ ะเ ยี้ งดตัวอ่อน ได้แก่


4) ภาพนี้ คือ
มีความสัมพันธ์กันแบบใด อย่างไร

 ด้านแห ่งห บภัย ได้แก่

T40
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

หนวยการเรียนรูที่ 2 ขัน้ นา
สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม กระ น าม น

) ความสัมพันธ าน ห งสืบพันธุ เ ียง ู ูกออน 1. ครูกระตุนความสนใจนักเรียนโดยใหเลนเกม


บก นํ้า อากาศ ึ่งเปนเกมที่แสดงใหเห็นถึง
สิ่งมีชีวิตทุกชนิดตองมีการ ความสัมพัน ระหวางสิ่งมีชีวิตกับสิ่งไมมีชีวิต
สื พั น ธุ  เ พื่ อ การดํ า รงเ  า พั น ธุ  โดย ในสิ่งแวดลอม ึ่งคําสั่งของเกมจะระบุแหลง
อาศัยสิ่งแวดลอม นการสื พันธุและ ที่อยูอาศัย และผูเลนตองตอบชื่อสัตวที่อยูใน
เลี้ยงดูลูกออนจนเติ โตเปนตัวเต็มวัย แหลงที่อยูอาศัยที่ระบุมาให
เช น นกทํ า รั ง นต น ไม เ พื่ อ เลี้ ย งดู 2. ครูอ บิ ายวิ กี ารเลนเกมใหนกั เรียน ง จากนัน้
ลูกออน ใหเลนเกมประมา 4-5 ครั้ง
ภาพที่ 2.22 รังนก นตนไม 3. ครู ตั้ ง คํ า ถามว า ข ะเล น เกมเราได พู ด ถึ ง
) ความสัมพันธ าน ห งห บ ัย สิ่งมีชีวิตอะไรบาง และสิ่งไมมีชีวิตอะไรบาง
สัตว างชนิดอาศัยแหลงทีอ่ ยูเ ปนแหลงหล ภัยจากศัตรู เชน ปะการัง โดยใหนักเรียนชวยกันตอบคําถามอยางอิสระ
และปาชายเลนเปนแหลงหล ภัยของสัตวนํ้าตาง ปาไมที่รกทึ เปนแหลง (แนวตอบ สิ่งที่ มมีชีวิต คือ นํ้า และอากาศ
หล ภัยของสัตวปาตาง สําหรับสิ่งที่มีชีวิต เชน แมว นก ปลา)
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล)

ขัน้ น
าร น า
1. นักเรียนแบงกลุม กลุม ละ 4 คน จากนัน้ รวมกัน
ภาพที่ 2.2 ปลาการตูน ภาพที่ 2.2 ปะการังเปนที่ ภาพที่ 2.25 ปารกทึ เปนที่ สนทนาแลกเปลี่ยนเรียนรูในหัวขอ สิ่งมีชีวิต
ซอนตัว นดอกไมทะเล หล ภัยของสัตวนํ้า หล ภัยจากศัตรูของสัตวปา และสิ่งไมมีชีวิตที่บานของ ัน
2. นักเรียนทํากิจกรรมเพื่อศึกษาความสัมพัน 
2.2 ความสัมพันธร หวางสิงมี ีวิตกับสิง มมี ีวิต ของสิ่ ง มี ชี วิ ต กั บ สิ่ ง ไม มี ชี วิ ต ในสิ่ ง แวดล อ ม
นการดํารงชีวิตของสิ่งมีชีวิตจําเปนตองอาศัยสิ่งแวดลอมตาง ที่เปน จากกิจกรรมที่ ตอนที่ โดยศึกษาขั้นตอน
สิ่งไมมีชีวิตเพื่อการดํารงชีวิต เชน ชอากาศ นการหาย จ ชดินและหินเปน การทํ า กิ จ กรรมจากหนั ง สื อ เรี ย น หน า 31
ที่อยูอาศัยหรือเปนแหลงหล ภัย ซึ่งกลุมสิ่งมีชีวิตตาง ที่อาศัยอยูรวมกัน แลวป ิบัติกิจกรรมตามขั้นตอนใหครบถวน
นแหลงที่อยูเดียวกัน นอกจากจะมีความสัมพันธกั แหลงที่อยูอาศัยแลว ยังมี จากนั้นบันทึกผลลงในสมุด หรือแบบฝกหัด
วิทยาศาสตร ป.5 เลม 1
ความสัมพันธกั สภาพแวดลอมทางกายภาพ ดังนี้
33

กิ กรร st
y เกร็ดแนะครู
ใหนักเรียนแบงกลุมตามความสมัครใจ กลุมละ 3-5 คน แลว ครูอ ิบายวิ ีการเลนเกมบก นํ้า อากาศ ใหนักเรียน ง จากนั้นใหเลนเกม
ชวยกันระดมความคิดเกี่ยวกับความสัมพัน ระหวางสิ่งมีชีวิตกับ ประมา 4-5 ครั้ง โดยมีวิ ีการเลนเกม ดังนี้
สิ่งมีชีวิต จากนั้นวาดภาพแสดงความสัมพัน ลงในกระดาษแข็ง • ครูใหนักเรียนนั่งเปนวงกลม แลวใหรองวา บ นา อา า พรอมทั้ง
แลวชวยกันติดลงใน วเจอรบอรดและตกแตงใหสวยงาม พรอม ปรบมือเปนจังหวะไปเรื่อย
นําเสนอที่หนาชั้นเรียน โดยใหครูและเพื่อน ชวยกันเลือกกลุมที่ดี • ครูชี้นิ้วไปที่นักเรียนหนึ่งคน จากนั้นใหนักเรียนหยุดรองเพลง
ที่สุด 3 กลุม เพื่อนําไปติดโชวที่ปายนิเทศในชั้นเรียน • ครูกําหนดแหลงที่อยูอาศัย 1 แหลง เชน บก และนักเรียนที่ถูกครูชี้
ตองบอกชื่อพืชหรือสัตวที่อาศัยอยูในแหลงอาศัยที่ครูกําหนดมา 1 ชนิด
• หากนักเรียนตอบชา หรือตอบผิด ใหแยกนักเรียนคนนั้นออกมา จากนั้น
เลนเกมวนไปประมา 4-5 ครั้ง
• สําหรับนักเรียนที่ตอบชา หรือตอบผิดจะถูกลงโทษดวยวิ ีตาง ที่
สนุกสนาน เชน เตนตามเพลง หรืออื่น ตามความเหมาะสม

T41
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ น
า ามร
นักเรียนทุกกลุมรวมกันอภิปรายและสรุปผล สง
เกีย่ วกับความสัมพัน ข องสิง่ มีชวี ติ กับสิง่ ไมมชี วี ติ เปนปจจัยสําคัญ นการสรางอาหารของพืช ชวยทํา หพืชเจริญ
ในสิ่งแวดลอม เติ โตขึ้น นอกจากนี้ แสงยังมีอิทธิพลตอพ ติกรรมของสัตวตาง
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใชแบบ เชน คางคาวออกหากินตอนกลางคืนเพื่อหลีกเลี่ยงแสงและศัตรู
สังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม)
ภาพที่ 2.2 พืช ชแสงอาทิตยสรางอาหาร
า าม า ภาพที่ 2.2 สิ่งมีชีวิต ชอากาศหาย จ
1. ให นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ  ม ช ว ยกั น ศึ ก ษาข อ มู ล อากาศ
ความสัมพัน ระหวางสิ่งมีชีวิตกับสิ่งไมมีชีวิต อากาศเปนปจจัยสําคัญทีม่ อี ทิ ธิพลตอการดํารงชีวติ ของสิง่ มีชวี ติ
จากหนังสือเรียน หนา 33-34 โดยเฉพาะแกสออกซิเจนที่ชวย นการหาย จของคนและสัตว สวน
2. นั ก เรี ย นทํ า กิ จ กรรมหนู ต อบได จ ากหนั ง สื อ แกสคาร อนไดออกไซดเปนปจจัย นการสรางอาหารของพืช
เรียน หนา 31 ลงในสมุดหรือทําในแบบฝกหัด
วิทยาศาสตร ป.5 เลม 1 อุณห ูมิ
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช เปนปจจัยสําคัญ นการดํารงชีวิตของสิ่งมีชีวิต ซึ่ง ริเวณที่มี
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล) อุณหภูมิเหมาะสมจะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยูมาก และอุณหภูมิยังมี
อิทธิพลตอโครงสรางหรือลักษณะของสิ่งมีชีวิต นแตละพื้นที่อีกดวย
ขัน้ รป
ร ภาพที่ 2.2 หมีขั้วโลกปรั ตัว หเหมาะสมกั แหลงที่อยู
ครูใหนักเรียนสรุปความรูจากการเรียนจนได ภาพที่ 2.2 ปลาตาง อาศัยอยู นนํ้า
ขอสรุปรวมกันวา สิ่งมีชีวิตจะมีความสัมพัน กับ
นา
สิ่งไมมีชีวิตเพื่อประโยชนตอการดํารงชีวิตดาน
เปนปจจัยสําคัญ นการดํารงชีวติ ของสิง่ มีชวี ติ ตาง รวมทัง้ เปน
แหลงที่อยูอาศัย แหลงหลบภัย และเปนปจจัยที่
แหลงที่อยูอาศัยและเปนแหลงอาหารของสัตวนํ้าและพืชนํ้าตาง
สงผลใหเกิดการปรับโครงสรางของสิ่งมีชีวิต

ขัน้ ประ มน ิน รธาตุ


ร เปนปจจัยสําคัญที่ชวย นการเจริญเติ โตของพืช เพราะเปน
1. ครู ต รวจสอบผลการทํ า กิ จ กรรมที่ เรื่ อ ง แหลงแรธาตุที่สําคัญของพืช และเปนที่อยูอาศัยและแหลงอาหาร
ศึกษาความสัมพัน ในสิ่งแวดลอม ตอนที่ ของสัตว างชนิด เชน ไสเดือนดิน ปลวก มด
ในสมุด หรือในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 ภาพที่ 2. ปลวกทํารังอยู นดิน
เลม 1
2. ครู ต รวจสอบผลทํ า กิ จ กรรมหนู ต อบได จ าก 34
หนังสือเรียน หนา 31 จากสมุดหรือแบบฝกหัด
วิทยาศาสตร ป.5 เลม 1

เกร็ดแนะครู ขอสอบเนน การคิด


ครูอาจยกตัวอยางสิ่งมีชีวิตบางชนิดที่มีความสัมพัน กับสิ่งไมมีชีวิต เชน ม วต น ตอ น แว อมเ นแห อาหา
ปะการัง เปนสัตวไมมีกระดูกสันหลังชนิดหนึ่งที่อาศัยอยูบริเว ชายฝงทะเล 1. ผีเสื้อกับแหลงดินโปง
นํ้าตื้นและอยูรวมกันเปนกลุม แสดงวาปะการังเปนสิ่งมีชีวิตที่มีความสัมพัน  . นกสรางรังบนตนไมใหญ
กับทะเล โดยใชทะเลเปนแหลงที่อยูอาศัย 3. สุนัขจิ้งจอกอยูในโพรงหินหรือถํ้า
4. ปูเส วนใชเปลือกหอยเปนที่อยูอาศัย
(วเ า ห าตอบ ากขอ สัตวใชสิ่งแวดลอมเปนแหลงอาหาร
แน ก ร ดแ ะ ระเ น และ สัตวใชสิ่งแวดลอมเปนที่อยูอาศัย ดังนั้น ขอ
ครูสามารถสังเกตพ ติกรรมของนักเรียนจากการตอบคําถาม การทํางาน งเปนคําตอบที่ ูกตอง)
รายบุคคล การทํางานกลุม และการนําเสนอผลการทํากิจกรรมหนาชั้นเรียนได
โดยศึกษาเก การวัดและประเมินผลที่แนบทายแผนการจัดการเรียนรูของ
หนวยการเรียนรูที่ สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดลอม

T42
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

หนวยการเรียนรูที่ 2 ขัน้ นา
ÊÔè§ÁÕªÕÇÔµ¡ÑºÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ กระ น าม น

3. Òà Ò· Ò¹ ÊÔ Õ ÕÇÔµ 1. ครูตั้งคําถามเพือ่ กระตุน ความคิดของนักเรียน


เกี่ยวกับการกินอาหารของสัตว เชน
สิ่งมีชีวิตตาง ตองการพลังงานเพื่อการดํารงชีวิต และการทํากิจกรรม ตาย นอ เ นอาหา
ตาง ซึ่งพลังงานนี้สิ่งมีชีวิตจะไดจากการกินอาหาร โดย นแตละแหลงที่อยู (แนวตอบ กินห า หรือ ัก)
สิ่งมีชีวิตตาง ที่อาศัยอยูรวมกันจะมีความเกี่ยวของสัมพันธกัน นดานการกิน ว หน แ แมว นอ
อาหาร และมีการถายทอดพลังงานตอกันเปนทอด นรูปแ ของโซอาหาร (แนวตอบ หนูกิน ั่วเปนอาหาร และแมวกิน
1 2 หนูเปนอาหาร)
กร ตายกิน บพื หนอน หมกิน บหมอน 2. ครูอ ิบายเพิ่มเติมวา การที่สิ่งมีชีวิตหนึ่งกิน
สิ่งมีชีวิตหนึ่ง โดยมีการกินตอไปเปนทอด นี้
เรียกวา โ อาหาร

ขัน้ น
าร น า
1. นักเรียนศึกษาเนื้อหา ในหัวขอการถายทอด
หมี พน ากิน ผ นกกินป า พลังงานของสิ่งมีชีวิต จากหนังสือเรียนหนานี้
2. ครูตั้งคําถามเพื่อกระตุนนักเรียน จากนั้นให
นักเรียนชวยกันอ ิบายคําตอบ โดยครูคอย
อ ิบายเพิ่มเติมในสวนที่บกพรอง เชน
า าย อ าน อ ม วต
น แว อมเ น า อ
ตุนปากเป กินหนอน ภาพที่ 2. 1 ตัวอยางการกินอาหารของสิ่งมีชีวิต (แนวตอบ เกิด ากการกินตอกันเปนทอด
าก ู ลิตสู ูบริโ ค)
อ อบ อ อาหา มอ บา
(แนวตอบ องคประกอบของหวงโ อ าหาร คือ
ู ลิตและ ูบริโ ค)
¡Òà ‹Ò·ʹ Åѧ§Ò¹ ͧÊÔ§ÁÕ ÕÇÔµ
¹ÊÔ§ Ç´ÅŒÍÁà¡Ô´ ¹ Ò¡ÍÐäÃ

35

ขอสอบเนน การคิด นกเร นค รรู


ม วต น ตอ น วาเ น บ า บ ุ าย อ 1 หนอน หม เปนตัวออนของผีเสือ้ กลางคืนชนิดหนึง่ หลังจากผีเสือ้ วางไขได
อาหา 1 -1 วัน ไขจะ กออกมาเปนตัวหนอน เรียกวา หนอน หม หนอนไหมเจริญ
1. มาลาย เติบโตไดเร็วมาก โดยจะลอกคราบ เปนระยะ เมื่อมีอายุ 3-4 วัน
. สิงโต หนอนไหมจะหยุดกินอาหารและอยูเ ย ประมา 1 วัน จึงลอกคราบอีก โดย
3. กวาง ทั่วไปจะลอกคราบ 4 ครั้ง เมื่อโตเต็มที่อายุประมา วัน จะหยุดลอกคราบ
4. ยีรา เรียกระยะนี้วา หม ุ ึ่งตัวหนอนจะหยุดกินอาหารและเริ่มพนของเหลวชนิด
(วเ า ห าตอบ เพราะกวาง ยีรา และมาลาย เปนอาหารของ หนึ่งออกมาทางปาก เมื่อของเหลวนี้ถูกอากาศจะแข็งตัวเปนเสนไหม อนกัน
สิงโตทั้งสิ้น ดังนั้น ขอ งเปนคําตอบที่ ูกตอง) เปนชั้น หุมตัวไว เรียกวา หม หนอนไหมจะชักใยอยูภายใน สรางรังอยู
ประมา -3 วัน จะลอกคราบเปนดักแด แลวกลายเปนผีเสื้อตามวงจรชีวิต
ของมันตอไป ที่มา ศูนยวิจัยกี วิทยาปาไมที่ จ.ขอนแกน
2 หมอน ชื่อไมตนชนิดหนึ่ง ใชใบสําหรับเลี้ยงตัวไหม ผลสุก
กินได มีถิ่นกําเนิดในประเทศจีน มีอายุยาวนานมากกวา 1 ป สําหรับ
ประเทศไทยพบมีการปลูกมากในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเ ียงเหนือ
ที่มีการปลูกหมอนเลี้ยงไหม เพื่อผลิตเสนใยไหมและผาไหม
T43
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ น
าร น า
3. ครูใหนักเรียนดูภาพจากหนังสือเรียน หนา 35
และใหนักเรียนจําแนกสิ่งมีชีวิตในภาพออก
Ô ÃÃ ·Õ 3 ัก กร บวนการ
างวิ ยาศาสตร ี 
เปน กลุมตามองคประกอบของโ อาหาร อาหาร นสิง วด ้อม 1. การสังเกต
2. การลงความเห็นจากขอมูล
คือ กลุมผูผลิตและกลุมผูบริโภค ลงในสมุด . การตีความหมายขอมูลและลงขอสรุป
(แนวตอบ กลุม ู ลิต ดแก ใบพืช ใบหมอน ดประสง ์ . การจัดกระทําและสื่อความหมายขอมูล

และ  สําหรับกลุม ูบริโ ค ดแก กระตาย เขียนโซอาหารและระ ุ ท าทหนาทีข่ องสิง่ มีชวี ติ ทีเ่ ปน ู ลิต
หนอน หม หมีแพนดา ตุนปากเปด) และ ู ริโภค นโซอาหาร
4. ครูเปด เรื่อง โ อาหาร ใหนักเรียนดู
จากนั้ น ถามคํ า ถามกระตุ  น ความคิ ด โดยให ต้อง ตรียมต้อง ้
นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ  ม อภิ ป รายและหาคํ า ตอบ 1. สีไม 1 กลอง
รวมกัน เชน
2. แวนขยาย 1 อัน
• อาหา ม วาม า ตอ ม วตอยา
. กระดาษแข็งแ น หญ 2 แ น
(แนวตอบ โ อ าหารมีความ าํ เปนตอสิง่ มีชวี ติ
. แหลงขอมูล เชน หนังสือ อินเทอรเน็ต
เพราะโ อาหาร ะทําใหเกิดการ ายทอด
พลังงาน ากสิ่งมีชีวิตหน่ง ปยังอีกสิ่งมีชีวิต
องทาดู µÍ¹·Õè
หน่ง งทําใหสิ่งมีชีวิตมีพลังงานใชสําหรับ
การดํารงชีวิตตอ ป) 1. แ งกลุม กลุมละ คน เลือกสํารวจ ริเวณ ด ริเวณหนึ่ง นโรงเรียน โดยศึกษาวา
5. นักเรียนแบงกลุม เพื่อทํากิจกรรมที่ 3 เรื่อง มีสภาพเปนอยางไร มีสิ่ง ดอยู าง และมีปริมาณเทา ด
โ อาหารในสิ่งแวดลอม โดยศึกษาขั้นตอน 2. ันทึกชื่อ ปริมาณ และตําแหนงของ
การทํากิจกรรมจากหนังสือเรียน หนา 3 -3 สิ่งที่พ ลง นสมุด
ริเวณที่สํารวจ สวนหยอม
แลวป ิบัติกิจกรรมตามขั้นตอนใหครบถวน . วาดแ น ัง ริเวณที่ทําการสํารวจลง น
จากนั้นบันทึกผลลงในสมุด หรือแบบฝกหัด กระดาษแข็งแ น หญ โดยชวยกันวาดรูป
วิทยาศาสตร ป.5 เลม 1 หรือ ชสัญลักษณแทนสิ่งที่พ และระ ุ
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช ตําแหนงของสิ่งนั้น ดวย
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม) . นํา ลการสํารวจมานําเสนอหนาชัน้ เรียน
เกี่ยวกั สิ่งที่สํารวจพ เพื่อเปรีย เทีย
กั กลุมอื่น และสรุป ล

ภาพที่ 2. 2 การนําเสนอ ลการสํารวจ


36

เกร็ดแนะครู ก กรรมที่
ตา า บันทึกผลการทํากิจกรรม (ตอน )
กอนทํากิจกรรมที่ 3 ตอนที่ 1 ครูอาจเนนยํ้าใหนักเรียนระมัดระวังไมไป ตัวอยาง ผลการสํารวจอาจแตกตางกัน ขึ้นอยูกับบริเว ที่นักเรียนสํารวจ
สํารวจบริเว ที่มีสภาพไมเหมาะสม เชน พื้นที่ปา หรือบริเว ที่หญาขึ้นรกชั
เพราะอาจไดรับอันตรายจากสัตวมีพิษได โดยครูควรดูแลนักเรียนทุกกลุมใน ม วต บ
บ เว าว
ระหวางทํากิจกรรมอยางใกลชิด เพื่อไมใหเกิดอันตรายกับนักเรียน น มา ตาแหน บ
สระนํ้า กบ ตัว บนใบบัว
สระนํ้า ปลา ตัว ในนํ้า
ขางสระนํ้า มด ตัว พื้นดินขางสระนํ้า
สระนํ้า สาหราย 3 ตัว ในนํ้า
สระนํ้า ลูกออด 1 ตัว ในนํ้า
ุ ในแตละแหลงที่อยูจะพบสิ่งมีชีวิตและสิ่งไมมีชีวิตอยูรวมกัน และในแตละ
แหลงที่อยูจะพบกลุมสิ่งมีชีวิตที่แตกตางกัน

T44
นํา สอน สรุป ประเมิน

หนวยการเรียนรูที่ 2 ขัน้ น
ÊÔè§ÁÕªÕÇÔµ¡ÑºÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ า ามร
1. นักเรียนแตละกลุม รวมกันอภิปรายและสรุปผล
จากการทํากิจกรรมภายในกลุม
2. นักเรียนแตละกลุมสงตัวแทนออกมานําเสนอ
µÍ¹·Õè
ผลงานของกลุมหนาชั้นเรียน โดยครูสุมจับ
1. สื คนขอมูลเกี่ยวกั ความสัมพันธของสิ่งมีชีวิตกั สิ่งมีชีวิต นรูปแ ของโซอาหาร แลว สลากเลือกนักเรียนทีละกลุม
รวมกันสรุปขอมูลภาย นกลุม 3. นักเรียนแตละกลุม ออกมานําเสนอผลงานหนา
2. นําขอมูลของสิ่งมีชีวิตที่สํารวจพ จากกิจกรรมตอนที่ 1 มาเขียนเปนโซอาหารแสดง ชั้นเรียน จากนั้นรวมกันอภิปรายและสรุปผล
ความสัมพันธระหวางสิ่งมีชีวิตที่อาศัย น ริเวณเดียวกันลง นกระดาษแข็งแ น หญ เกี่ยวกับโ อาหารในสิ่งแวดลอม
พรอมระ ุ ท าทหนาที่ของสิ่งมีชีวิตที่เปน ู ลิตและ ู ริโภค นโซอาหาร จากนั้น (หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
ตกแตง หสวยงาม แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม)
. นําเสนอแ นภาพโซอาหารทีเ่ ขียนไว นขอ 2. หนาชัน้ เรียน แลวรวมกันแสดงความคิดเห็น
. จัดประกวด ลงานภาย นชั้นเรียน แลวนํา ลงานไปติดที่ อรด นหองเรียนหรือ น ริเวณ
โรงเรียน เพื่อทํา หเปนแหลงการเรียนรู
¤ÇÒÁÊÑÁ¾Ñ¹¸¢Í§ÊÔè§ÁÕªÕÇÔµ¡ÑºÊÔè§ÁÕªÕÇÔµ

¢ŒÒÇâ¾´ µÑ¡áµ¹ ¹¡

ภาพที่ 2. การติด ลงานที่ อรด


หนูตอบ ด้
. โซอาหารคืออะไร จงอธิ ายพรอมยกตัวอยางประกอ น น
2. ยกตัวอยางกลุมสิ่งมีชีวิต นแหลงที่อยู 1 แหลง แลวเขียนแสดงความสัมพันธ นรูปแ ขอ 3.
โซอาหารมา 1 สาย • ตัด มทําลายปา เพราะเปนการทําลายพืช ่ง
. นักเรียนคิดวา ระหวางการตัดไมทําลายปากั การเ าปา การกระทํา ดจะสง ลกระท เปน ู ลิตในโ อาหาร งทําให ู ลิตลด ํานวนลง
ตอสิ่งมีชีวิต นหวงโซอาหารมากกวากัน เพราะเหตุ ด และยังทําลายแหลงที่อยูอาศัยของสิ่งมีชีวิตตาง
อีกดวย
(หมายเหตุ คํา ามขอสุดทายของหนูตอบ ด เปนคํา ามที่ออกแบบให ูเรียน กใชทัก ะการคิดขั้นสูง • เ าปา เพราะเปนการทําลายพืช ง่ เปน ู ลิต
คือ การคิดแบบใหเหตุ ล และการคิดแบบโตแยง ่ง ูเรียนอา เลือกตอบอยางใดอยางหน่งก ด ใหครู ในโ อาหาร และทําใหสัตวหลายชนิดสู พันธุ ป
พิ าร า ากเหตุ ลสนับสนุน)
งทําใหขาด ู ลิตและ ูบริโ คในโ อาหาร

ก กรรมที่ เกร็ดแนะครู
ตา า บันทึกผลการทํากิจกรรม (ตอน )
กอนทํากิจกรรมที่ ตอนที่ ครูอาจจัดกิจกรรมเสริมกอนเพื่อปูพื้น านให
หว อ า บ น อม บ น นักเรียนมีความรูความเขาใจมากขึ้นเกี่ยวกับโ อาหาร โดยใหนักเรียนเลนเกม
ความสัมพัน ของสิ่งมีชีวิต “ใครกินใคร” โดยครูเขียนชื่อสิ่งมีชีวิตบนกระดาน เชน ไก หนอน คน ตนหญา
กับสิ่งมีชีวิตในรูปของโ  ผลขึ้นอยูกับขอมูลที่นักเรียนสืบคนได แลวใหนักเรียนชวยกันเรียงลําดับวาใครกินใคร แลวใหเขียนผูถูกกินไวขางหนา
อาหาร ผูกินไวขางหลัง
ตัวอยางโ อาหาร ขึ้นอยูกับดุลยพินิจของครูผูสอน

T45
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ น
า าม า
1. นักเรียนแตละกลุม รวมกันศึกษาขอมูลเกีย่ วกับ อ าหาร คือ ความสัมพันธของกลุมสิ่งมีชีวิตที่มีการกินตอกันเปนทอด
การถายทอดพลังงานของสิ่งมีชีวิตในรูปแบบ
โ อาหาร จากหนังสือเรียน หนา 3 -4 จาก ู ลิตสู ู ริโภค ทํา หมีการถายทอดพลังงาน นอาหารตอเนื่องเปนลําดั
2. ครูขออาสาสมัครนักเรียน -3 คน เพื่อออกมา จากการกินตอเนื่องกัน
ยกตัวอยางโ อาหารที่พบในบริเว บานของ
ตนเองวามีไรบาง ห า กวางกินห า สิง ตกินกวาง
3. นักเรียนแตละคนทํากิจกรรมหนูตอบไดจาก
หนังสือเรียน หนา 3 ลงในสมุดแบบฝกหัด
วิทยาศาสตร ป.5 เลม 1
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช ภาพที่ 2. ตัวอยางการกินตอเนื่องกันของสิ่งมีชีวิต นโซอาหาร
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล) นโซอาหารประกอ ดวยสิ่งมีชีวิตที่ทําหนาที่เปน ู ลิตและ ู ริโภค ดังนี้
ผูผ ิต คือ สิ่งมีชีวิตที่สรางอาหารไดเอง โดยไดรั พลังงานแสงจาก
ดวงอาทิตย แลวนําไป ช นกระ วนการสั 1
งเคราะหดวยแสงเพื่อสรางอาหารไว ช
นการดํารงชีวิต ู ลิต ไดแก สาหรายและพืชตาง เชน ขาว หญา
ผูบริ ค คือ สิ่งมีชีวิตที่ไมสามารถสรางอาหารไดเอง จึงตองกินพืชหรือ
กินสัตวอื่นเปนอาหาร เพื่อ หไดพลังงาน นการดํารงชีวิต ู ริโภคแ งออกเปน
ประเภท ไดแก
1 ู ริโภคพืช หรือสัตวกินพืช เชน หนอน ตักแตน วัว กระตาย 2
2 ู ริโภคสัตว หรือสัตวที่กินสัตวอื่น เชน สิงโต งู เสือ จระเข เหยี่ยว
ู ริโภคพืชและสัตว หรือสัตวที่กินทั้งพืชและสัตว เชน ไก เปด หมู
หนู หมี ลิง เตา คน
กร ตาย สิง ต ิง

ภาพที่ 2. 5 ตัวอยาง ู ริโภค นโซอาหาร


ที่ า า )

นกเร นค รรู ขอสอบเนน การคิด


1 าห าย คือ สิง่ มีชวี ติ ทีไ่ มมลี าํ ตน ใบ และรากทีแ่ ทจริง แตมคี ลอโรพลาสต เ า เหตุ เ น ต น บบนเว
บางเปนเ ลลเดียว บางเปนกลุมเ ลล บางเปนสายหรือเปนตน ขึ้นทั่วไปในนํ้า 1. พืชสามารถสรางอาหารเองได
หรือที่ชื้นแ ะ เชน สาหรายไสไก นอกจากนี้ สาหรายยังเปนชื่อของพืชดอกบาง . พืชเปนอาหารของคนและสัตวตาง
ชนิดทีข่ นึ้ อยูใ นนํา้ เชน สาหรายพุงชะโดหรือสาหรายหางมา สาหรายหางกระรอก 3. พืชเปนแหลงพลังงานของระบบนิเวศ
2 เหยยว เปนนกที่อยูในสกุล จัดอยูในกลุมนกลาเหยื่อ เหยี่ยวมี 4. พืชมีหลายชนิดและมีปริมา มากในสิ่งแวดลอม
ลักษ ะคลายกับอินทรี งึ่ เปนนกลาเหยือ่ เชนเดียวกัน แตเหยีย่ วมีขนาดเล็กกวา (วเ า ห าตอบ พืชเปนสิ่งมีชีวิตที่สรางอาหาร ดเอง โดยใช
คือ มีจะงอยปากที่งองุม มีกรงเล็บที่แหลมคมและแข็งแรง บินไดอยางรวดเร็ว กระบวนการสังเคราะหดวยแสง งทําใหเปนแหลงพลังงานของ
กางปกไดกวางและยาว สามารถบินหรือเหินไดสูง และมีสายตาที่ดีมาก อาหาร สิ่งมีชีวิตชนิดอื่น เพื่อใชในการดํารงชีวิตตอ ป ดังนั้น ขอ
โดยทั่วไปของเหยี่ยว คือ สัตวขนาดเล็กตาง เชน หนูนา หนูบาน นก กิ้งกา งเปนคําตอบที่ ูกตอง)
แมลง หรืออาจเปนสัตวนํ้า เชน ปลา กุง

T46
นํา สอน สรุป ประเมิน

หนวยการเรียนรูที่ 2 ขัน้ น
ÊÔè§ÁÕªÕÇÔµ¡ÑºÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ า าม า
4. ครูมอบหมายใหนักเรียนแตละคนนํากิจกรรม
การเขียนโซอาหารเพื่อแสดงการถายทอดพลังงานของสิ่งมีชีวิตจะเริ่ม
พั นาการเรียนรูที่ จากหนังสือเรียนหนานี้
โดยเขียน ู ลิตอยูขางหนาและ ู ริโภคอยูขางหลังตอกันไปเรื่อย เริ่มจาก ไปทํ า เป น การบ า น โดยให ทํ า ลงในสมุ ด
ู ริโภคลําดั ที่ 1 และตอไปเรือ่ ย จนถึง ู ริโภคลําดั สุดทาย นโซอาหารนัน้ แลวนํามาสงในชั่วโมงถัดไป
ซึ่งจะเขียนหัวลูกศรชี้ไปทาง ู ริโภคและหางลูกศรอยูทาง ูถูก ริโภคเสมอ เชน (หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล)
อาหารสาย ี
ขัน้ รป

นั ก เรี ย นแต ล ะคนสรุ ป ความรู  จ ากการเรี ย น
ไม ู ลิต กวาง ู ริโภคลําดั ที่ 1 เสือ ู ริโภคลําดั สุดทาย จนไดขอสรุปรวมกันวา โ อาหารมีความสําคัญ
อยางมากตอสิ่งมีชีวิต เพราะโ อาหารทําใหเกิด
อาหารสาย ี 2
การถายทอดพลังงานที่จําเปนตอการดํารงชีวิต
ของสิง่ มีชวี ติ จากสิง่ มีชวี ติ หนึง่ ไปอีกสิง่ มีชวี ติ หนึง่

แครรอต กระตาย งู เหยี่ยว


ู ลิต ู ริโภคลําดั ที่ 1 ู ริโภคลําดั ที่ 2 ู ริโภคลําดั สุดทาย
ภาพที่ 2. ตัวอยางแ นภาพโซอาหาร
Ô Ãà ¹Ò ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õ 2
ู าพ เ ียน อาหารจาก าพ พรอมอธิบายวา ผูบริ ค า ับสุ าย
รับพ ังงาน ีมาจาก สงอา ิตย อยาง ร

อาหารสาย ี

อาหารสาย ี 2

า าร

ขอสอบเนน การคิด น O-NET


า ม วต ตายหม มเหตุ า ตอ นเ น ครูใหนักเรียนเรียนรูเกี่ยวกับโ อาหารเพิ่มเติมจากสื่อดิจิทัล โดยใหสแกน
ม วต ม วต ม วต ม วต เรื่อง โ อาหาร จากหนังสือเรียน หนา 3 ึ่งจะปราก คลิปวิดีโอ
A B D ดังภาพตัวอยาง
1. สิ่งมีชีวิต มีจํานวนเพิ่มขึ้น
. สิ่งมีชีวิต มีจํานวนลดลง
3. สิ่งมีชีวิต มีจํานวนลดลง
4. สิ่งมีชีวิต มีจํานวนเทาเดิม
(วเ า ห าตอบ สิง่ มีชวี ติ ในโ อ าหารมีความสัมพันธโดยการกิน
ตอกันเปนทอด สิ่งมีชีวิต กินสิ่งมีชีวิต เปนอาหาร เมื่อ
สิ่งมีชีวิต ตายหมด สิ่งมีชีวิต ก ะ มมีอาหาร งมี ํานวน
ลดลง ดังนั้น ขอ งเปนคําตอบที่ ูกตอง)

T47
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ ประ มน

1. ครู ต รวจสอบผลการทํ า กิ จ กรรมที่ 3 เรื่ อ ง
นักเรียนจะเห็นวา นโซอาหารไมวา จะสายสัน้ หรือยาว ทุก หวงโซอาหาร
โ  อ าหารในสิ่ ง แวดล อ ม ในสมุ ด หรื อ ใน
แบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1 ตองมีสิ่งที่เหมือนกัน คือ ตองเริ่มตนจาก ู ลิต พืช เสมอ แลวจึงถายทอด
2. ครูตรวจสอบผลการทํากิจกรรมหนูตอบไดใน พลังงานจาก ู ลิตไปสู ู ริโภคตอเนื่องกันไปเปนลําดั
สมุ ด หรื อ ในแบบฝกหั ด วิ ท ยาศาสตร ป.5 นอกจากนี้แลว นโซอาหารยังมีสิ่งมีชีวิตที่เปน ู ริโภคซากสัตว ซึ่งเปน
เลม 1 สัตวที่กินสัตวท่ีตายแลวเปนอาหาร เชน แรง ไสเดือนดิน กิ้งกือ และยังมี
3. ครู ต รวจสอบผลการทํ า กิ จ กรรมพั นาการ สิ่ ง มี ชี วิ ต ขนาดเล็ ก ซึ่ ง ทํ า หน า ที่ ย  อ ยสลายซากพื ช ซากสั ต ว ที่ ต ายแล ว ห
เรียนรูที่ ในสมุด
กลายเปนแรธาตุคืนสูดิน เรียกวา ผูยอยส าย เชน แ คทีเรีย เห็ด รา

ภาพที่ 2. แรง ภาพที่ 2. กิ้งกือ ภาพที่ 2. เห็ด

วันนี้อิ่มทอง
แลวเรา
เจาหนอน อยากหมํ่า
เสร็จฉันแน นกจังเลย
ไมนากินจัง

บ ม หนอน นก (บาง นิ ) งู เหยียว


ู ลิต ู ริโภคลําดั ที่ 1 ู ริโภคลําดั ที่ 2 ู ริโภคลําดั ที่ ู ริโภคลําดั สุดทาย
ภาพที่ 2. สิ่งมีชีวิตมีการถายทอดพลังงาน หแกกันโดยการกินสิ่งมีชีวิตอื่นเปนอาหาร

แน ก ร ดแ ะ ระเ น ขอสอบเนน การคิด น O-NET


ครูสามารถสังเกตพ ติกรรมของนักเรียนจากการตอบคําถาม การทํางาน แบ เ ยมบ บา น อาหา
รายบุคคล การทํางานกลุม และการนําเสนอผลการทํากิจกรรมหนาชั้นเรียนได 1. เปนผูลา
โดยศึกษาเก การวัดและประเมินผลที่แนบทายแผนการจัดการเรียนรูของ . เปนผูผลิต
หนวยการเรียนรูที่ สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดลอม ดังภาพตัวอยาง 3. เปนผูบริโภค
แบบสังเกตพฤติกรรมการทางานรายบุคคล แบบสังเกตพฤติกรรมการทางานกลุ่ม
4. เปนผูยอยสลาย
(วเ า ห าตอบ แบคทีเรียเปนสิ่งมีชีวิตขนาดเลกที่ทําหนาที่
คาชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่ คาชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่
ตรงกับระดับคะแนน ตรงกับระดับคะแนน
ระดับคะแนน การมี
ลาดับที่ รายการประเมิน การแสดง การยอมรับ
การทางาน
ส่วนร่วมใน
3 2 1 ชื่อ–สกุล ตามที่ ด้รับ ความมีน้าใจ รวม
ความคิดเหน งคนอื่น การปรับปรุง

ยอยสลาย ากพืช ากสัตวใหกลายเปนแรธาตุกลับคืนสูดิน งมี


1 การแสดงความคิดเห็น    ลาดับที่ มอบหมาย 15
องนักเรียน ผลงานกลุ่ม คะแนน
2 การยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น   
3 การทางานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย    3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1
4 ความมีน้าใจ   
5 การตรงต่อเวลา   
รวม

ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
บทบาทเปน ูยอยสลายในโ อาหาร ดังนั้น ขอ งเปนคําตอบ
เกณฑ์การให้คะแนน
............./.................../..............

ที่ ูกตอง)
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 3 คะแนน ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน ............./.................../..............
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน
เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 3 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
14-15 ดีมาก
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
11-13 ดี
14-15 ดีมาก
8-10 พอใช้
11-13 ดี
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง 8-10 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง

T48
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

หนวยการเรียนรูที่ 2 ขัน้ นา
ÊÔè§ÁÕªÕÇÔµ¡ÑºÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ กระ น าม น

4. ÇÒ ÊÒ ÊÔ Ç Œ 1. ครูเปดวีดทิ ศั น เรือ่ ง ภัยพิบตั ทิ าง รรมชาติ ให


นักเรียนดู จากนั้นครูถามคําถาม ดังนี้
สิง ว อม หมายถึง สิ่งตาง ที่อยูรอ ตัวเรา ทั้งสิ่งมีชีวิต สิ่งไมมีชีวิต ว น เ เ นเ อ เ ยว บอ
สิ่งที่มองเห็นไดดวยตาเปลา และไมสามารถมองเห็นไดดวยตาเปลา รวมทั้ง ( แนวตอบ เกี่ ย วกั บ สิ่ ง แวดล อ ม หรื อ เป น
สิ่งที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ และสิ่งที่มนุษยเปน ูสรางขึ้น เหตุการ เกี่ยวกับ ัยธรรมชาติ)
สิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดลอม นธรรมชาติลวนมีความเกี่ยวของสัมพันธกัน าเหตุ า หเ เหตุ า ตามว น
จึงทํา หเกิดความสมดุลของธรรมชาติ เมื่อมนุษยทําลายสิ่งแวดลอมจึงกอ ห ม า าเหตุ
(แนวตอบ สาเหตุมา ากมนุ ยและธรรมชาติ)
เกิด ลกระท ตอสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดลอม ธรรมชาติจึงเสียสมดุลไป นที่สุด (หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
หมปา การตั ตน ม แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล)
2. ครูอ ิบายเพิ่มเติมวา จากวีดิทัศนนักเรียนจะ
เห็นวาสิ่งแวดลอมมีความสําคัญมากเพียงใด
เมื่อสิ่งแวดลอมเกิดภัยพิบัติทาง รรมชาติที่
รุนแรงตอสิ่งมีชีวิต ึ่งสาเหตุที่ทําใหเกิดการ
เปลี่ยนแปลงสวนใหญเกิดจากมนุษย ดังนั้น
1 เราจึงตองชวยกันรักษาสิ่งแวดลอมไมใหเกิด
การป อยนาเสีย า รเ ือน อย การเปลี่ยนแปลง
3. ครู แ บ ง กลุ  ม นั ก เรี ย นออกเป น กลุ  ม จากนั้ น
นั ก เรี ย นทุ ก กลุ  ม ศึ ก ษาเนื้ อ หาและภาพจาก
หั ว ข อ ความสํ า คั ญ ของสิ่ ง แวดล อ ม จาก
หนังสือเรียนหนานี้ แลวชวยกันตอบคําถามวา
น เ ยนมว า า ห อ อ น า
ภาพที่ 2. 1 ตัวอยางการทําลายสิ่งแวดลอม า าย แว อม น า อยา บา
การร เบิ ูเ า (แนวตอบ ข้นอยูก บั คําตอบของนักเรียนใหอยู
ของมนุษย
ในดุลยพินิ ของครู ูสอน)
¹Ñ¡àÃÕ¹ ÐÁÕÇÔ Õ¡Òà Ѵ¡Òà ÃÍ
ŒÍ§¡Ñ¹¡Ò÷ÒÅÒÂÊÔ§ Ç´ÅŒÍÁ ¹
Ò ä´ŒÍ‹ҧäúŒÒ§

41

ขอสอบเนน การคิด เกร็ดแนะครู


าเหตุ ม า ห ยา ม าต อยา ว เ ว ในการแบงกลุมนักเรียน ครูอาจใชวิ ีการแจกลูกแกวที่มีสีตางกันใหกับ
1. นพหาของปากับพอ เพื่อนําไปขายสรางรายได นักเรียนทุกคน คนละ 1 ลูก (การกําหนดจํานวนสีของลูกแกวขึ้นอยูกับจํานวน
. ปานรวมมือกับชาวบานสรางฝายชะลอนํ้าทายหมูบาน นักเรียนและจํานวนกลุมที่ตองการ เชน มีนักเรียนทั้งหมด คน ตองการแบง
3. วิทยานําลูกนองไปลักลอบตัดตนไม เพือ่ นําไปขายใหโรงงาน นักเรียนเปน 5 กลุม ก็ตอ งกําหนดสีลกู แกวไว 5 สี สีละ 4 ลูก) จากนัน้ ใหนกั เรียน
4. รั บาลเปดโครงการใหนักทองเที่ยวเขาชมอุทยานแหงชาติ ทีไ่ ดลกู แกวสีเหมือนกันอยูก ลุม เดียวกัน ทัง้ นีเ้ พือ่ เปนการกระตุน ความสนใจของ
(วเ า ห าตอบ การตัด มทาํ ลายปา ะสง ลกระทบทําใหปา ม นักเรียน
ลดลงเปน ํานวนมาก เพราะการปลูกตน มทดแทนตองใชเวลา
ในการเ ริ เติบโตของตน มแตละตนยาวนานมาก นอก ากนี้
ยังอา สง ลกระทบตอทรัพยากรอื่น ตามมาอีกดวย ดังนั้น นกเร นค รรู
ขอ งเปนคําตอบที่ ูกตอง) 1 เ อน อย เปนการทําไร การเกษตร ที่ทําเพียงระยะสั้น พอดินหมด
ความอุดมสมบูร ก ย็ า ยไปทําทีใ่ หม จึงสงผลทําใหพนื้ ทีบ่ ริเว นัน้ ไมสามารถใช
ประโยชนทางเกษตรไดอีกหรือใชประโยชนไดนอยลง

T49
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ น
าร น า
1. ครูใหนักเรียนแตละกลุมสนทนาแลกเปลี่ยน มนุษยเปนสวนหนึ่งของสิ่งแวดลอม โดยมนุษยตองพึ่งพาสิ่งแวดลอม
เรียนรูในหัวขอ ปญหาสิ่งแวดลอมในทองถิ่น
นการดํารงชีวิต เพราะสิ่งที่มนุษยนํามา ชสําหรั การดํารงชีวิตลวนมาจาก
ของเรา โดยใหบันทึกขอมูลลงสมุด จากนั้น
อภิปรายและสรุปรวมกัน
ทรัพยากรธรรมชาติและสิง่ แวดลอมทัง้ สิน้ เมือ่ จํานวนประชากรเพิม่ มากขึน้ ความ
2. ครูใหตัวแทนแตละกลุมนําเสนอผลสรุปของ ตองการ นการ ชทรัพยากรก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นตามไปดวย
กิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรูใหนักเรียนคนอื่น Ô Ãà ¹Ò ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õ 3
ง เมื่อครบทุกกลุมครูตั้งคําถามวา ปญหา ห บงก ุม ก ุม คน ว ห ต ก ุมพิจารณาปร ากร ย
สิ่งแวดลอมที่พบในทองถิ่นสวนใหญจะเปน พืน ีปา ยเปรียบเ ียบกัน วรวมกันอ ิปราย สรุปผ วา นว นมจานวน
ปญหาเกี่ยวกับอะไร โดยใหนักเรียนชวยกัน
อภิปรายและสรุปรวมกัน
ปร ากร ยกับพืน ีปา ม อง ยเปนอยาง ร เพรา เหตุ จงเปนเ นนัน
(แนวตอบ ป หาสิ่งแวดลอมที่พบสวนให  คือ ป (พ.ศ.) จานวนปร ากร ย (คน) พืน ีปา (ตร.กม.) คิ เปน
ขยะ นํ้าเสีย และการตัดตน ม) 2551 1 2 1 1.25 1.5
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช 255 5 12 1 1 22 5 . 31.62
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม) 255 5 2 1 2 2 1. 1.
3. ครูอ ิบายเสริมเพิ่มเติมวา ปญหาสิ่งแวดลอม 255 5 1 55 1 2 1 5. 1.5
ในโรงเรี ย นจะมี ลั ก ษ ะที่ ค ล า ยกั บ ป ญ หา ีมา ขอมูลจํานวนประชากรไทย จากสํานักทะเ ยี นกลาง กรมการปกครอง ณ วันที่ 1 ธ.ค. พ.ศ. 255 กระทรวงมหาดไทย
สิ่งแวดลอมในทองถิ่นของนักเรียน คือ ปญหา ขอมูลพื้นที่ปาไม จากกรมปาไม . . .
เกี่ยวกับขยะ ดังนั้น เราจึงควรทํากิจกรรม จากการทํากิจกรรมจะพ วา จากอดีตถึงปจจุ ันประชากรไทยมีจํานวน
ที่เกี่ยวกับการจัดการปญหาขยะในโรงเรียน เพิ่มมากขึ้นทุกป ขณะเดียวกันพื้นที่ปาไมของเมืองไทยแตละปกลั ลดนอยลง
ของเราเชนกัน
แสดง หเห็นวา เมื่อมีประชากรเพิ่มมากขึ้นตองมีการ ชทรัพยากรมากขึ้น
4. นักเรียนแตละกลุมรวมกันทํากิจกรรมพั นา
การเรียนรูที่ 3 จากนั้นบันทึกผลลงในสมุด
จึ ง มี ลทํ า ห พื้ น ที่ ป าลดลง
1 เพราะพื้ น ที่ ส  ว น หญ ถู ก นํ า ไป ช ส ร า งอาคาร
แลวสรุปผลรวมกันภายในกลุม านเรือน ถนน เขื่อน และอื่น ปาไมจึงถูกทําลายไป นอกจากนี้ยังมี
5. ครูมอบหมายใหนกั เรียนแตละกลุม ทํากิจกรรม การนําตนไมไป ชประโยชน นครัวเรือนและอุตสาหกรรมมากขึ้น จึงทํา ห
การจัดการขยะในโรงเรียน จากใบงาน เรื่อง สิ่งแวดลอมเสื่อมโทรม และสง ลกระท ตอการดํารงชีวิตของสิ่งมีชีวิตตาง
การจัดการขยะภายในโรงเรียนของเรา

ภาพที่ 2. 2 ภูเขาหัวโลน ภาพที่ 2. ตนไมถูกตัด


42

เกร็ดแนะครู ขอสอบเนน การคิด


ใบงาน เรื่อง การจัดการขยะภายในโรงเรียนของเรา ครูสามารถใชไดจาก า านวน า อ เ ม นอยา ว เ ว น เ ยน
แผนการจัดการเรียนรูที่ 5 เรื่อง การดูแลรักษาสิ่งแวดลอม หนวยการเรียนรูที่ วา ยา น อา ม มเ ย ตอ วามตอ า อ มนุ ย
สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดลอม นอนา ต
1. อากาศ
. ปาไม
นกเร นค รรู 3. ดิน
1 เ อน เปนสิง่ กอสรางขนาดใหญสาํ หรับกัน้ ทางนํา้ เพือ่ ใชเก็บกักนํา้ 4. นํ้า
และปองกันอุทกภัย รวมถึงผลิตกระแสไ า สวนบนของเขือ่ นจะประกอบไปดวย (วเ า ห าตอบ อากาศ ดิน และนํ้า เปนทรัพยากรธรรมชาติ
สวนที่เรียกวาทางนํ้าลนสําหรับใหนํ้าที่สูงกวาระดับที่ตองการไหลผานมาที่ฝง ที่สามาร หมุนเวียน ดหรือใชแลว มหมด ป สวนปา มนั้นเปน
ปลายนํ้า เขื่อนในประเทศไทยที่มีขนาดใหญ เชน เขื่อนภูมิพล จังหวัดตาก ทรัพยากรที่มีอยาง ํากัด สามาร ปลูกทดแทน ดแตตองใชเวลา
เขื่อนสิริกิติ จังหวัดอุตรดิตถ นาน งอา มเพียงพอตอความตองการในอนาคต ดังนั้น ขอ
งเปนคําตอบที่ ูกตอง)

T50
นํา สอน สรุป ประเมิน

หนวยการเรียนรูที่ 2 ขัน้ น
สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม าร น า
ทรัพยากรธรรมชาติและสิง่ แวดลอม 6. ครูเปด เรื่อง การอนุรักษสิ่งแวดลอม ให
นแตละทองถิ่นอาจมีลักษณะแตกตาง นักเรียนดู แลวใหนกั เรียนศึกษาเนือ้ หาเพิม่ เติม
จากหนังสือเรียนหนานี้ จากนั้นใหนักเรียน
กันไป โดยขึ้นอยูกั ปจจัยหลายประการ
รวมกันสรุปความรูเ รือ่ งการอนุรกั ษสงิ่ แวดลอม
ซึ่ ง ทรั พ ยากรธรรมชาติ มี ด  ว ยกั น หลาย 7. ครูมอบหมายใหนักเรียนแตละกลุมรวมกันทํา
ประเภท ถึงแมวา างอยางจะสามารถ กิจกรรมพั นาการเรียนรูท ี่ 4 จากหนังสือเรียน
หมุนเวียนกลั มา ช หมไดอีก แตตอง หนา 44
ชระยะเวลาที่นานมาก หากมนุษยตางมี (หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
ความตองการที่จะนําทรัพยากรเหลานั้น ภาพที่ 2. ทรัพยากรปาไมและแมนํ้า แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม)
มา ชประโยชนแตขาดความระมัดระวัง ก็อาจจะสง ลเสียตามมาได
จากกิจกรรมการเรียนรูที่ านมาทํา หเราทรา วา ทรัพยากรธรรมชาติ
และสิ่งแวดลอมมีประโยชนตอการดํารงชีวิตของสิ่งมีชีวิตมากมาย ดังนั้น
เราทุกคนจึงตองชวยกันสรางจิตสํานึกที่ดี นการรักษาทรัพยากรธรรมชาติและ
สิ่งแวดลอม นทองถิ่น ซึ่งสามารถป ิ ัติได เชน
1 สรางจิตสํานึกของคน นชุมชน หรักและหวงแหนทรัพยากรธรรมชาติ และ
ตระหนักถึงความสําคัญของทรัพยากรวา มีความสัมพันธกั สิ่งแวดลอม นทองถิ่น
2 ชวยกันเ าระวังและคอยดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม นทองถิ่น
อยา ห ครมาทําลาย เชน ชวยกันสอดสองไม ห ครมา ุกรุกปา
ชวยกันรักษาและไม ุกรุกพื้นที่ปาไม ตลอดจนชวยกันปลูกปาเพื่อทํา หเกิด
ความสมดุลของธรรมชาติ

ภาพที่ 2. 5 การปลูกตนไม นภูเขา ภาพที่ 2. การเก็ ขยะที่ชายหาด


43

ขอสอบเนน การคิด เกร็ดแนะครู


อ เ นว า อนุ ยา ม าตแ แว อม ครูอ ิบายเพิ่มเติมใหนักเรียน งวา สิ่งมีชีวิตที่สามารถดํารงชีวิตอยูไดจะ
ตอ แ เหมา ม ุ ตองมีการพึ่งพาอาศัย ึ่งกันและกัน การกระทําใด ของนักเรียนที่อาจเปนการ
1. เปยชวยแมเผาขยะที่อยูหลังบาน เพื่อใหขยะลดปริมา ลง ทําลายสิง่ แวดลอม อาจทําใหสงิ่ มีชวี ติ ไมสามารถดํารงชีวติ อยูไ ด ดังนัน้ นักเรียน
. นอยชวยพอถางปาและตัดตนไม เพื่อใชพื้นที่ในการปลูก จึงตองชวยกันดูแลและรักษาสิ่งแวดลอมใหคงอยูตอไป
ผักสวนครัว
3. อาทิตยเทนํ้า ักผาลงในลําคลอง เพื่อลดปริมา นํ้าเสีย
ที่เกิดขึ้นในบาน
4. การะเกดไปปลูกตนไมทดแทนในพื้นที่ปาเสื่อมโทรมตามที่
หนวยงานตาง จัดขึ้น
(วเ า ห าตอบ การเ าขยะ ะทําใหเกิดมลพิ ในอากาศ
การตัดตน มและ างปา ือวาเปนการทําลายตน ม การเทนํ้าเสีย
ลงคลอง ะทําใหเกิดนํ้าเนาเสีย ด ดังนั้น ขอ งเปนคําตอบ
ที่ ูกตอง)

T51
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ น
า ามร
1. ครูจับสลากเลือกหมายเลขกลุมใหออกมานํา Ô Ãà ¹Ò ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õ 4
เสนอผลการทํากิจกรรมพั นาการเรียนรูท่ี 3
และ 4 โดยให นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ  ม เลื อ กส ง บงก มุ ว ห ต ก มุ รวมกันคิ โครงการ .....................................................................................................
ตัวแทนออกมานําเสนอ 1- คน ครงการ ู รัก า รัพยากรธรรม าติ จุดประสงคของโครงการ ............................................................
2. นักเรียนแตละกลุมออกมานําเสนอผลการทํา สิง ว อม น อง ิน องตนเอง .............................................................................................................................

กิจกรรมหนาชั้นเรียนตามลําดับ โดยครูคอย มาก ุม ครงการ (สามาร ป ิบัติ ระยะเวลา นการป ิ ัติ ................................................................
.............................................................................................................................
เสริมในสวนที่บกพรอง จริง) วบัน ก อมู ตามตัวอยาง .............................................................................................................................
3. นักเรียนทุกกลุม รวมกันสรุปผลการทํากิจกรรม จากนันผ ั กันนาเสนอ ครงการ ลที่คาดวาจะไดรั .........................................................................

ภายในชั้นเรียน นา ครงการ ปป ิบัติจริง .............................................................................................................................

(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช


แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม)
า าม า ¤Ó¶ÒÁ·ŒÒ·Ò¡ÒäԴ¢Ñé¹ÊÙ§
1. นักเรียนแตละกลุม ชวยกันสรุปความรูเ กีย่ วกับ นักเรียนคิดวา นวัยของนักเรียนสามารถมีสวนรวม นการดูแลรักษาสิ่งแวดลอมไดหรือไม
ความสําคัญของสิ่งแวดลอมที่ไดเรียนผานมา อยางไร
จากนั้ น ครู สุ  ม เลื อ กตั ว แทนกลุ  ม มานํ า เสนอ
ผลการสรุปความรูของแตละกลุม พรอมทั้ง
ใหนักเรียนกลุมอื่น ชวยเสริมขอมูลเกี่ยวกับ กิจกรรม สรุปความรูป ระจําบทที่ 1
ความสําคัญของสิ่งแวดลอมในสวนอื่นที่ยัง
ไมสมบรู 
ตรวจสอบตนเอง
2. นั ก เรี ย นช ว ยกั น ตอบคํ า ถามท า ทายการคิ ด หลังเรียนจ ทนี้แลว หนักเรียน อกสัญลักษณที่ตรงกั ระดั ความสามารถของตนเอง
ขั้นสูง จากหนังสือเรียนหนานี้ เกณ
รายการ ี พอ  ควรปรับปรุง

1. เขา จเนื้อหาเกี่ยวกั เรื่องชีวิตสัมพันธ


2. สามารถทํากิจกรรมและอธิ าย ลการทํากิจกรรมได
. สามารถตอ คําถามจากกิจกรรมหนูตอ ไดได
. ทํางานกลุมรวมกั เพื่อนไดดี
น าถามทาทา การ ั้น
5. นําความรูไป ชประโยชน นชีวิตประจําวันได
ด เชน การร รงคใหชุมชนมองเหนความ
สํ า คั ของสิ่ ง แวดล อ มที่ มี ต  อ การดํ า รงชี วิ ต ของ 44
สิ่งมีชีวิตตาง หรือการเขารวมกิ กรรมปลูกปา
กับหนวยงานตาง ที่ ัดข้น

เกร็ดแนะครู ขอสอบเนน การคิด


เมื่อเรียนจบบทนี้แลว ครูใหนักเรียนตั้งคําถามที่อยากรูเพิ่มเติมเกี่ยวกับ า า น อ เ น า อนุ ยา ม าต
ความสัมพัน ระหวางสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิต หรือความสัมพัน ระหวางสิ่งมีชีวิต 1. ทําพิ ีบวชปาและปลูกปาทดแทนมากขึ้น
กับสิ่งไมมีชีวิต มาคนละ 1 คําถาม แลวครูสุมเรียกนักเรียนตามหมายเลขให . สรางเขื่อนเพิ่มขึ้น เพื่อกักเก็บนํ้าไวใชในหนาแลง
บอกคําถามของตนเอง จากนั้นใหเพื่อน ชวยกันระดมความคิดเห็นเพื่อตอบ 3. หยุดทําไรเลื่อนลอยแลวหันมาปลูกพืชชนิดเดียวทุกป
คําถาม โดยครูคอยเปนผูชี้แนะและอ ิบายเสริมคําตอบในสวนที่บกพรอง 4. ใชพื้นที่ทําการเกษตรมากขึ้นเพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวใหชุมชน
(วเ า ห าตอบ การบวชปาเปนพิธีที่ทําข้นตามความเชื่อทาง
ศาสนา ่งเปนอุบายวิธีในการอนุรัก ทรัพยากรปา ม รวม งการ
ปลูกปาทดแทนกเปนวิธีการเพิ่มพื้นที่ปาอีกวิธีหน่ง ดังนั้น ขอ
งเปนคําตอบที่ ูกตอง)

T52
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ น
ÊÃØ» ÊÒÃ ÊÒ
»ÃШíÒº··Õè 1 า าม า
3. นั ก เรี ย นเขี ย นสรุ ป ความรู  เ กี่ ย วกั บ เรื่ อ งที่ ไ ด
ม้ เชน พืช
บนต้น ใช
สร้างอา ้แสงแ เรียนมาจากบทที่ 1 ในรูปแบบตาง เชน
ํารัง
เ ป น ห นาม กท หาร ด
ล่ียน
ใบ รอ หญ้า ด แผนผังความคิด แผนภาพ ลงในสมุด
รเป ้า ในทุง

วัว กระ
พช หญ สัตว์ใช้ออก
ซิเจน (หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
งเ กิน ต้น ม้

เช น
หา
ูกบน
้ี ย ง ล
บอ

างมีรา
ก ค้ํา จุ น แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล)
กงก เล

ยใ
กระ

ปลาอาศัยอย
มให้ล้มงาย 4. นักเรียนแตละคนศึกษาแผนผังความคิด


ูใ น น
นก
ง กั น ในปะการัง ้ ํา
ปอ นตัว มดทํารังอย
ซอ ูใ น ด สรุปสาระสําคัญ ประจําบทที่ 1
า ิน
ปล
จากหนังสือเรียนหนานี้ เพื่อตรวจสอบกับการ
สิ่งมีชีวิตกับส เขียนสรุปความรูที่นักเรียนทําไวในสมุด
่ิงมี ช ส่ิงมีชีวิตกับ
พืช


ส ั ต ว์ ตก ั แตนพรางตวั ท่ี ใบ
ม ีวิ ต
ส่ิง มมีชีวิต
อฐู
มี
คร หน
ก วส
งส
ั ธ์
้ ะสม ขมนั
ลอ้ ม
รา้ ง วด น
มพ
ชีว และล สั
ส่งิ

าม
มี

ิต ใ กั
นแ ษณะขอ คว สงิ่ แ
หลง ง ใน
ท่อ
ี ยู
มฐ ว ป ป
สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม
ควา ั ของ
สง่ิ แวมสาํ คญ
าน ดล้อม แ น ว
การ ายทอดพลงั ง

ี วี ต
ของสิง่ มช
ทา

มีประ ยชน์ตอก
ง กา

ของสิ่งมีชีวิตตา ารดําร
ง ง
รดูแล

คว ซอาหาร คอื
ชี ว

ยก ามสม
คญ


ี วี ต
ั ั ธ์ของส่งิ มช
ารกน พน สาํ
ิต


ิ ตอกนั เปนทอด เชน ความ



กั ษ
ลร

แู
เชน สร รด
า้ งจิตสาํ นกในกา
ขาว ตั๊กแตน ไก งู
แทน
ปลก
ู ตน ู ปา่ ทด
้ ม้ ปลก

45

ขอสอบเนน การคิด เกร็ดแนะครู


เมอน มา นตน าวแ แม นนา าว แ ว าวนา าน เมื่อเรียนจบบทนี้แลว ครูอาจใหนักเรียนชวยกันสรุปความรูทั้งหมดที่ได
เ น อ อ เรียนรูจากบทนี้ โดยใชเทคนิคการเขียนแผนผังความคิดเปนเครื่องมือในการให
1. แมลงระบาดในนาขาว นักเรียนไดระดมสมองเพื่อการสรุปบทเรียน โดยครูอาจใหจับสลากหมายเลข
. ตนขาวเจริญงอกงามดี เพือ่ ใหนกั เรียนผลัดกันออกมาเขียนสิง่ ทีต่ นเองรูใ นแผนผังความคิดหนาชัน้ เรียน
3. ชาวนาไมตองคอยระวังนก
4. คางคกมีจํานวนเพิ่มมากขึ้น
(วเ า ห าตอบ ตนขาว คือ ู ลิต แมลง คือ ูบริโ คลําดับ
ที่ นกเปน ูบริโ คลําดับที่ และชาวนา คือ ูบริโ คลําดับ
ที่ เมื่อ มมีนก งทําใหแมลงมี ํานวนมากข้น ดังนั้น ขอ
งเปนคําตอบที่ ูกตอง)

T53
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ น
า าม า
กิจกรรม ··Õ 1
5. นั ก เรี ย นทํ า กิ จ กรรมฝกทั ก ษะบทที่ 1 จาก
หนังสือเรียน หนา 4 -4 ขอ 1- ลงในสมุด
ฝกทักษะ
หรือทําในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1 . เ ือกสังเกตสิงมี ีวิต น าพ 5 นิ วสืบคนวาสิงมี ีวิต นิ นันมี ครงสราง
6. ใหนกั เรียนแตละคนทํากิจกรรมทาทายการคิด หรือ ัก ณ ีเหมา สมกับ ห ง ีอยูอ าศัยอยาง ร
ขั้นสูง จากแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล)

แหลงที่อยู นทะเลทราย แหลงทีอ่ ยู น กและ นนํา้


2. พิจารณา าพ ครงสราง ัก ณ องเตาบก เตา เ วตอบคา าม

น ก กรรม กทักษะ
ขอ 1. เชน
) อู อาศัยในทะเลทราย มีขายาว มีหนอก
สะสม ขมัน มีขนตายาวปองกัน ุนทรายเขาตา เตา ก เตาทะเล
) ปลา อาศัยในนํ้า มีครีบ ชนิด ชวยใน
เคลื่อนที่และวายนํ้า 1 โครงสรางของเตา กและเตาทะเลมีความแตกตางกันอยางไร
) บัว อาศัยในนํ้า ลําตน ะกลวงและมีโพรง 2 เตา กและเตาทะเลมีโครงสรางที่เหมาะสมกั แหลงที่อยูของตนเองอยางไร
อากาศ ทําใหลอยนํ้า ด
) เสื อ อาศั ย ในป า มี ล วดลายของสี ข นที่ . พิจารณา าพความสัมพันธ องสิงมี วี ติ กับสิงมี วี ติ ว ร บุวา เปนความสัมพันธ
กลมกลืนกับบริเว ที่อยูอาศัย ร หวางสิงมี ีวิต เปนความสัมพันธ น าน
) เปด อยูบนบกและในนํ้า มีพัง ืดที่เทา ทําให 1 2 3
วายนํ้า ด
ขอ 2.
) เตาบก มีกระดองขนาดให  โคง และมี
นํ้าหนักมาก รวมทั้งมีเทาที่ มมีพัง ืดระหวางนิ้ว
สวนเตาทะเลมีกระดองเปนเกลดรูปทรงรีหรือรูป
46
หัวใ ปกคลุมรางกาย ขาทั้งสี่ขางมีลัก ะแบน
คลายพาย

st
) เตาบก มีกระดองขนาดให  โคง และมีนํ้าหนักมาก รวมทั้งมีเทาที่ มมี กิ กรร y
พัง ืดระหวางนิ้ว ง มสามาร ใชวายนํ้า ด หัวและขาสามาร หดเขา ปใน 1. ครูแบงกลุมใหนักเรียน กลุมละ 3-5 คน
กระดอง ด สวนเตาทะเลมีกระดองเปนเกลดปกคลุมรางกายทําใหเหมาะกับการ . ใหนกั เรียนแตละกลุม ชวยกันออกแบบและสรางแบบจําลองความ
วายนํ้า แตทั้งหัวและขาของเตาทะเล มสามาร ที่ ะหดเขา ปในกระดอง และ สัมพัน ของสิ่งมีชีวิตกับสิ่งไมมีชีวิต โดยเลือกใชวัสดุอุปกร ใด
ขาทั้งสี่ขางมีลัก ะแบนคลายพายเพื่อชวยในการวายนํ้าใหดียิ่งข้น โดยขาคู ก็ไดที่กลุมชวยกันพิจาร า
หนาใชในการ ลักดันและพุยนํ้า สวนคูหลังใชกําหนดทิศทาง 3. นักเรียนแตละกลุมชวยกันนําเสนอผลงานที่หนาชั้นเรียน แลว
ขอ 3. รวมกันสรุปความสัมพัน ข องสิง่ มีชวี ติ กับสิง่ ไมมชี วี ติ ในชัน้ เรียน
) ้งกับตน ม เปนความสัมพันธดานที่อยูอาศัย
) วัวกับห า เปนความสัมพันธดานแหลงอาหาร
) ปลาการตูนกับดอก มทะเล เปความสัมพันธดานที่อยูอาศัยและแหลง
หลบ ัย

T54
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ น
า าม า
7. นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน จากนั้น
ศึกษากิจกรรมสรางสรรคผลงานจากหนังสือ
. ู าพความสัมพันธร หวางสิงมี ีวิตกับสิง มมี ีวิต วตอบวาสิง คือสิงมี ีวิต เรียน หนา 4 โดยครูมอบหมายใหไปทํานอก
สิง คือสิง มมี ีวิต มีความสัมพันธกันอยาง ร ชั่วโมงเรียน แลวนํามาสงในชั่วโมงเรียนตอไป
พรอมนําเสนอหนาชั้นเรียน
1 2 3 (หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม)

ขัน้ รป

1. ครูใหนักเรียนสรุปความรูจากการเรียนจนได
5. สังเกต าพสิงมี ีวิต ีกาหน ห วเ ียน อาหารมา 5 สาย ขอสรุปรวมกันวา สิ่งแวดลอมมีความสําคัญ
เปนอยางมากตอการดํารงชีวิตของสิ่งมีชีวิต
เมื่ อ สิ่ ง แวดล อ มเกิ ด การเปลี่ ย นแปลงจึ ง ส ง
ผลกระทบต อ สิ่ ง มี ชี วิ ต โดยสาเหตุ ที่ ทํ า ให
ก งู เหยี่ยว
สิ่งแวดลอมเกิดการเปลี่ยนแปลงนั้นสวนใหญ
มาจากมนุษย ดังนั้น เราจึงควรดูแลรักษา
สิง่ แวดลอมเพือ่ ใหเกิดความสมดุลใน รรมชาติ

ตักแตน หนู ขาว

6. ตอบคา ามตอ ปนี


1 หาก นอนาคต ประชากรทั่วโลกยังคงมีจํานวนเพิ่มมากขึ้นอยางตอเนื่อง
นักเรียนคิดวา จะมี ลกระท ตอสิ่งแวดลอมอยางไร าง น ก กรรม กทักษะ
2 นักเรียนคิดวา หากคน นทองถิน่ ไมชว ยกันดูแลและรักษาสิง่ แวดลอม นทองถิน่ ขอ 4.
ของตนเอง ลจะเปนอยางไร ) พืชเปนสิ่งมีชีวิต ดินเปนสิ่ง มมีชีวิต โดยดิน
นักเรียนจะมีสวนรวม นการดูแลรักษาสิ่งแวดลอม นทองถิ่นไดอยางไร าง เปนแหลงที่อยูและแหลงธาตุอาหารของพืช
) โลมาเปนสิง่ มีชวี ติ นํา้ เปนสิง่ มมชี วี ติ โดยนํา้
กิจกรรม ทาทายการคิดขัน้ สูง เปนแหลงที่อยูและแหลงอาหารของโลมา
) สเดือนเปนสิ่งมีชีวิต ดินเปนสิ่ง มมีชีวิต
โดยดินเปนแหลงที่อยูและแหลงอาหารของ
สเดือน

ขอสอบเนน การคิด น O-NET ขอ 5.


า าย ยอาหา ตอ น ม วต นา เ นมนุ ย ) ขาว หนู งู
E F ) ขาว หนู งู เหยี่ยว
) ขาว ตักแตน กบ
) ขาว ตักแตน กบ งู
A D ) ขาว ตักแตน กบ งู เหยี่ยว
B ขอ 6.
1. . ) แนวตอบ) ทรัพยากรทีม่ อี ยู ะ กู นํามาใชมากข้นและอา ทําใหทรัพยากร
3. 4. ลด ํานวนลง ด หากมีการใชอยาง มรูคุ คาและ มสรางทดแทน
) แนวตอบ) ทรัพยากรในทอง นิ่ ะเสือ่ มโทรมและลด าํ นวนลง ทําใหมี ล
(วเ า ห าตอบ กับ นา ะเปนสัตวกนิ พืช นา ะเปนสัตว ตอการดํารงชีวิตของคนในชุมชนหลาย ดาน
ที่กินสัตวอื่น นา ะเปนมนุ ย เพราะเปน ูบริโ คลําดับสุดทาย ) แนวตอบ) เชน ชวยปลูกตน มในบริเว ทีเ่ สือ่ มโทรม ชวยร รงคใหคนใน
ในสายใยอาหาร ดังนั้น ขอ งเปนคําตอบที่ ูกตอง) ชุมชนหันมาใสใ และอนุรัก ทรัพยากรธรรมชาติมากข้น

T55
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ รป

·Ñ¡ÉÐáË‹§ÈµÇÃÃÉ·Õè
2. นักเรียนดูตารางตรวจสอบตนเอง จากหนังสือ ✓การสื่อสาร ✓ ความรวมมือ การแกปญหา
เรี ย นวิ ท ยาศาสตร หน า 44 จากนั้ น ถาม ✓การสรางสรรค ✓ การคิดอยางมีวิจารณญาณ
นักเรียนเปนรายบุคคลตามรายการขอ 1-5 ✓การ ชเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร

จากตาราง เพื่ อ เป น การตรวจสอบความรู  กิจกรรม


ความเข า ใจของนั ก เรี ย นหลั ง จากการเรี ย น ÊÌҧÊÃ䏼ŧҹ
หากนักเรียนคนใดตรวจสอบตนเองโดยใหอยู
ในเก ควรปรับปรุง ใหครูทบทวนบทเรียน นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4-5 คน จากนั้นชวยกันออกแบบ
หรือหากิจกรรมอื่น อมเสริม เพื่อใหนักเรียน และสรางแบบจําลองแหลงที่อยูอาศัยของกลุมสิ่งมีชีวิตตาง ๆ
มีความรูความเขาใจในบทเรียนมากขึ้น พรอมอธิบายโซอาหารในแหลงทีอ่ ยูน นั้ แลวนําผลงานมาจัดแสดง
พรอมเสนอแนวคิดของผลงานหนาชั้นเรียน หรือในงาน
ขัน้ ประ มน วันวิชาการของโรงเรียน

1. ครูประเมินผลจากการสังเกตพ ติกรรมการ µÑÇÍ‹ҧ ¼Å§Ò¹¢Í§ ѹ
ตอบคําถาม พ ติกรรมการทํางานรายบุคคล
พ ติกรรมการทํางานกลุม และจากการนํา
เสนอผลการทํากิจกรรมหนาชั้นเรียน
2. ครูตรวจสอบผลทํากิจกรรมพั นาการเรียนรู
ที่ 3 และ 4 จากในสมุด
3. ครูตรวจสอบผลการสรุปความรูเกี่ยวกับชีวิต
สัมพัน จากสมุด
4. ครูตรวจผลการทํากิจกรรมฝกฝนทักษะบทที่ 1
ในสมุ ด หรื อ แบบฝกหั ด วิ ท ยาศาสตร ป.5
เลม 1
5. ครูตรวจสอบผลการทํากิจกรรมทาทายการคิด
ขั้นสูงในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1
6. ครูตรวจชิ้นงาน ผลงานแบบจําลองแหลงที่อยู
อาศัยของกลุมสิ่งมีชีวิต และการนําเสนอชิ้น
ภาพที่ 2. ตัวอยางแ จําลองแหลงที่อยูอาศัยของสิ่งมีชีวิต นตูปลา
งาน ผลงาน หนาชั้นเรียน

แน ก ร ดแ ะ ระเ น กิ กรร า า
ครูสามารถวัดและประเมินผลชิ้นงาน/ผลงานแบบจําลองแหลงที่อยูอาศัย 1. ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4-5 คน แลวชวยกันเลือก
ของกลุมสิ่งมีชีวิตที่สรางขึ้น โดยศึกษาเก ประเมินผลงานจากแบบประเมิน สิ่งมีชีวิต จากนั้นทําเปน โ อาหารและสายใยอาหาร
ผลงาน/ชิ้นงานที่แนบมาทายแผนการจัดการเรียนรูของหนวยการเรียนรูที่ ลงในกระดาษแข็ง ขนาด 4 คนละ 3 ชิ้น แลวตกแตงให
สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดลอม ดังภาพตัวอยาง สวยงาม
. สมาชิกแตละคนในกลุมนํา ของตนเองมารวมกัน
การประเมินชิ้นงาน/ภาระงาน (รวบยอด) (แผนฯ ที่ 5)
ฉ)
แบบประเมินผลงานแบบจาลองที่อยู่อาศัยของกลุ่มสิ่งมีชีวิต
เกณ การประเมินผลงานแบบจาลองที่อยู่อาศัยของกลุ่มสิง่ มีชีวิต (แผนฯ ที่ 5)

คาอ ิบายระดับคุณภาพ/ระดับคะแนน
แลวจัดทําเปน
รายการประเมิน

3. แตละกลุมนําเสนอ หนาชั้นเรียน แลวนําไปจัด


ดี (3) พอใช้ (2) ปรับปรุง (1)
ระดับคุณภาพ 1. การออกแบบชิ้นงาน ชิ้นงานมความถูกต้อง ชิ้นงานมความถูกต้อง ชิ้นงานมความถูกต้อง
ลาดับที่ รายการประเมิน 3 2 1 ตาม ่ออกแบบ ว้ มขนาด ตาม ่ออกแบบ ว้ มขนาด ตาม ่ออกแบบ ว้ มขนาด
(ดี) (พอใช้) (ปรับปรุง) เหมา สม รู แบบ เหมา สม รู แบบ เหมา สม รู แบบ
1 การออกแบบชิ้นงาน น่าสนใ แ ลกตา แล น่าสนใ แล สร้างสรรค์ น่าสนใ
2
3
4
5
การเลือกใช้วัสดุเพื่อสร้างชิ้นงาน
ความถูกต้องของเนื้อหา
การสร้างสรรค์ชิ้นงาน
กาหนดเวลาส่งงาน
2. การเลือกใช้วัสดุเพื่อ
สร้างชิ้นงาน
สร้างสรรค์ด
เลือกใช้วัสดุมาสร้าง
ชิ้นงานตาม ่กาหนด ด้
เลือกใช้วัสดุมาสร้าง
ชิ้นงานตาม ่กาหนด ด้
เลือกใช้วัสดุมาสร้าง
ชิ้นงาน ม่ตรงตาม ่
แสดงในหองสมุด หรือจัดแสดงในงานวันวิชาการหรือในงาน
ถูกต้อง แล วัสดุมความ ถูกต้อง แล วัสดุมความ กาหนด แต่วัสดุมความ

วันวิทยาศาสตรของโรงเรียน
รวม เหมา สมกับการสร้าง เหมา สมกับการสร้าง เหมา สมกับการสร้าง
ชิ้นงานดมาก ชิ้นงานด ชิ้นงาน
ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน 3. ความ ูกต้องของ าแนกกลุ่มพืชออกเ น าแนกกลุ่มพืชออกเ น าแนกกลุ่มพืชออกเ น
............./.................../.............. เนื้อ า กลุ่มพืชดอก แล กลุ่มพืช กลุ่มพืชดอก แล กลุ่มพืช กลุ่มพืชดอก แล กลุ่มพืช
ม่มดอก ด้ถูกต้อง ม่มดอก ด้ถูกต้องบ้าง ม่มดอก ด้ถูกต้องน้อ
ครบถ้วน
4. การสร้างสรรค ตกแต่งชิ้นงาน ด้สว งาม ตกแต่งชิ้นงาน ด้สว งาม ตกแต่งชิ้นงาน ด้สว งาม
ชิ้นงาน ดมาก ด น้อ
5. กา นดเวลาส่งงาน ส่งชิ้นงาน า ในเวลา ่ ส่งชิ้นงานช้ากว่ากาหนด ส่งชิ้นงานช้ากว่ากาหนด
กาหนด วัน เกิน 3 วันข้น

เกณ การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14-15 ดีมาก
11-13 ดี
8-10 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง

T56
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นา
กระ น าม น
1. นักเรียนสังเกตภาพหนาบทที่ ลักษ ะทาง
º··Õè ·Ò ¹ ÃÃ ÊÔ Õ ÕÇÔµ พั น ุ ก รรมของสิ่ ง มี ชี วิ ต จากหนั ง สื อ เรี ย น
ศัพทนารู วิทยาศาสตร ป.5 เลม 1 หนานี้ จากนัน้ นักเรียน
คําศัพท คําอาน คําแปล แสดงความคิดเห็นรวมกันวา ภาพนี้เกี่ยวของ
heredity ฮิ'เร็ด-ดิทิ พันธุกรรม กับลักษ ะทางพัน ุกรรมอยางไร โดยใหครู
hair color แฮ 'คัลเลอ สีผม คอยเสริมขอมูลในสวนที่บกพรอง
heredity skin color สกิน 'คัลเลอ สีผิว 2. ครูถามนักเรียนเพื่อกระตุนความคิดวา
• น า นม บา เหมอน บ อ
แ แม
(แนวตอบ เชน ลัก ะเสน ม สี ม เหมือน
skin color พอแม ลัก ะหนังตาบนเหมือนแม ลัก ะ
มูกเหมือนพอ)
3. นักเรียนรวมกันเรียนรูคําศัพทที่เกี่ยวของกับ
การเรี ย นในบทที่ โดยครู ข ออาสาสมั ค ร
นักเรียน 1 คน เปนผูอานนําและใหนักเรียน
hair color ทั้งหองอานตาม

¨Ò¡ÀÒ¾
Å¡ÁÕÅѡɳР´ºŒÒ§
·Õà Á͹¡Ñº
? ¾‹ÍáÅÐáÁ‹

นกเร นค รรู
นักเรียนเรียนรูและฝกอานคําศัพทวิทยาศาสตร ดังนี้
า าอาน าแ
ิ เร็ด-ดิทิ พัน ุกรรม
กิน คัลเลอ สีผิว
แ คัลเลอ เสนผม

T57
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นา
กระ น าม น
4. นักเรียนแบงกลุม กลุมละ -3 คน จากนั้น กิจกรรม
แตละกลุมรวมกันทํากิจกรรมนําสูการเรียน
โดยอานสถานการ จากหนังสือเรียนหนานี้
นําสูก ารเรียน
แล ว ทํ า กิ จ กรรมโดยให ว าดภาพลงในสมุ ด ÊÔ§ÁÕ ÕÇÔµ·ÕÍ‹º¹ Å¡¹ÕÁÕ ÅÒ ¹Ô´ §ÊÔ§ÁÕ ÕÇÔµ µ‹ÅÐ ¹Ô´ ÐÁÕÅѡɳРµ¡µ‹Ò§¡Ñ¹ÍÍ¡ä
พรอมเขียนบรรยายลักษ ะที่มีการถายทอด ÁŒÊÔ§ÁÕ ÕÇÔµ ¹Ô´¹Ñ¹ Ðà ¹ÊÔ§ÁÕ ÕÇÔµ ¹Ô´à´ÕÂǡѹ¡µÒÁ ·Ñ§¹Õ à ¹ ÅÁÒ Ò¡¡Òà ‹Ò·ʹÅѡɳзҧ
จากพอแมสูรุนลูก หรือทําลงในแบบฝกหัด ѹ ¡ÃÃÁ ͧÊÔ§ÁÕ ÕÇÔµ µ‹ÅÐ ¹Ô´
วิทยาศาสตร ป.5 เลม 1 เพื่อนํามาอภิปราย
และสรุปคําตอบรวมกันในชั้นเรียน ¨ÃÔ§ æ ´ŒÇÂ
·ÒäÁ §ÁÕÊÕà´ÕÂÇ
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช ¡Ñ¹à ÃÍ à ÃÒÐ ÅÒ´¡ÁÕ¡Òà ‹Ò·ʹ
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม) ÅÒ´¡ §¹Ñ¹ÁÕÊÕ Åѡɳзҧ ѹ ¡ÃÃÁ ҡ˹
ÅÐà Ëҧ¤ÅŒÒ¡ѹ ‹Í Á‹Ê‹Ã‹¹Å¡Âѧä§Å‹Ð
·¡µÑÇàÅÂ

ʹÑ

1
ÅÒ´¡

´Í¡ºÑÇ
2
´Í¡´ÒÇ¡ÃШÒÂ

¹Œ ¡Ñ àÃÕ¹ÊÒÃÇ ÅÐʺ¤Œ¹ÊÔ§ÁÕ ÇÕ µÔ ·ÕÁÕ¡Òà ҋ ·ʹÅѡɳзҧ ¹Ñ ¡ÃÃÁ ҡ˹ Í‹ Á‹


ʋ˹š ¹Ô´ ´Â ŒÇÒ´ Ò Å§ ¹ÊÁ´ ÃŒÍÁà Õ¹ºÃÃÂÒÂÅѡɳзÕÁÕ¡Òà ‹Ò·ʹ Ò¡
‹Í Á‹Ê‹Ã‹¹Å¡ ÃСͺ
5

นกเร นค รรู ขอสอบเนน การคิด


1 ุ คือ ชือ่ ปลานํา้ จืดทีไ่ มมเี กล็ด มีเงีย่ งเ พาะทีค่ รีบอก สวนใหญครีบหลัง เา บ า าย อ า น ุ ม ยต มา า
และครีบกนยาวแตไมติดกับครีบหาง เชน ดุกอุย ดุกดาน ดุกลําพัน ปลาดุก 1. พี่นอง
เปนปลาที่อาศัยอยูในแหลงนํ้าจืด นํ้าที่คอนขางกรอย หรือแมแตในหนองนํ้าที่มี . ลุงปา
นํ้าเพียงเล็กนอย เพราะวาปลาดุกเปนปลาที่มีอวัยวะพิเศษชวยในการหายใจ 3. พอแม
เชนเดียวกับปลาชอน จึงสามารถดํารงชีวิตอยูในนํ้าที่มีออก ิเจนเพียงเล็กนอย 4. ปู ยา ตา ยาย
ไดเปนอยางดี (วเ า ห าตอบ เรา ะ ดรบั การ า ยทอดลัก ะทางพันธุกรรม
2 าว าย เปนชื่อไมลมลุกชนิดหนึ่ง มีทั้ง โดยตรงมา ากรุนพอแม แตอา มีบางลัก ะที่เราอา ดรับมา
ตนสูงและตนเตี้ย จัดเปนไมดอกไมประดับที่นิยมปลูกลงแปลง เนื่องจากดอก ากรุนปู ยา ตา ยาย ด เรียกวา ความแปร ันทางพันธุกรรม
มีขนาดใหญและมีจํานวนมาก และยังมีหลากหลายสี เชน เหลือง ขาว ชมพู ดังนั้น ขอ งเปนคําตอบที่ ูกตอง)
แดง ดาวกระจายที่ปลูกไวเปนจํานวนมากเมื่อดอกบานจะดูสวยงาม จึงนิยม
เรียกวาทุงดาวกระจาย

T58
นํา สอน สรุป ประเมิน

หนวยการเรียนรูที่ 2 ขัน้ น
ÊÔè§ÁÕªÕÇÔµ¡ÑºÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ าร น า
1
1. Òà Ò· ·Ò ¹ Ãà ÊÔ Õ ÕÇÔµ 1. ครูนาํ ภาพสุนขั พัน ตุ า ง มาใหนกั เรียนสังเกต
แลวรวมกันอภิปราย ดังนี้
สิ่งมีชีวิตทั้งพืช สัตว และมนุษย เมื่อเจริญเติ โตเต็มที่จะมีการสื พันธุ า า นุ ตว เ น อ นุ ตว
เพื่อเพิ่มจํานวนและดํารงพันธุ โดยลูกที่เกิดมาจะไดรั การถายทอดลักษณะทาง น เ ยน เ ต า วา ุน ตวนน
พันธุกรรมจากพอและแม ทํา หมีลักษณะทางพันธุกรรมที่เฉพาะแตกตางจาก เ น อ ุน ตว
สิ่งมีช2ีวิตชนิดอื่น3ไดชัดเจน เชน คน นแตละครอ ครัว สุนัขที่ตางสายพันธุ 2. ครูอ บิ ายใหนกั เรียน ง วา สิง่ มีชวี ติ แตละชนิด
มดดํากั มดแดง ดอกมะลิกั ดอกพุด มีลกั ษ ะเ พาะทีท่ าํ ใหมองเห็นความแตกตาง
ระหวางพวกหรือกลุมไดชัดเจน เชน คนใน
ครอบครัวมนุ ย ครอบครัว มว แตละครอบครัว มากับวัว เปดกับปลา
3. ครูใหนกั เรียนศึกษาขอมูลและดูภาพในหนังสือ
เรียนหนานี้ จากนั้นครูใหนักเรียนตอบคําถาม
วา
• น เ ยนม เหมอนห อแต ตา
า อ บแมบา
(แนวตอบ ข้นอยูกับคําตอบของนักเรียน ให
กุห าบตนเ ียวกัน ครอบครัวสุนั อยูในดุลยพินิ ของครู ูสอน)
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล)

ม มวงตนเ ยี วกัน ภาพที่ 2. ตัวอยางความแตกตางของการ


ถายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต

¹Ñ ¡ àÃÕ Â ¹ÁÕ ÅÑ ¡ ɳР´à Á͹ ÅÐ


µ¡µ‹Ò§ Ò¡ ‹Í¡Ñº Á‹ºŒÒ§

51

ขอสอบเนน การคิด นกเร นค รรู


อ เ น า นุ ม 1 า น ุ ม มีทั้งลักษ ะภายนอกที่มองเห็นไดดวยตาเปลา
1. สีผม เชน รูปราง สีผม สีผิว สีตา และลักษ ะภายในที่สังเกตไดยาก เชน หมูเลือด
. รอยสัก ลักษ ะโครงสรางของเ ลล โดยนักเรียนจะไดเรียนรูในระดับชั้นที่สูงขึ้นตอไป
3. กลิ่นตัว 2 ม า คือ ชือ่ มดหลายชนิด หลายสกุลในวงศ ลําตัวยาว 5-
4. เสียงพูด มิลลิเมตร และเปนสีดํามันตลอดทั้งตัว มดดํามักทํารังอยูบนตนไมโดยเ พาะ
(วเ า ห าตอบ ลัก ะทางพันธุกรรมเปนลัก ะที่ ายทอด ตาม อกของตนไมและพวกผลไมตาง เมื่อถูกจับจะสงกลิ่นเหม็น ุนออกมา
มา ากพอแม ปสูล กู หรือ ากรุน หน่ง ปยังอีกรุน หน่งตอ ป ด เชน เพื่อปองกันตัว
ลัก ะเสน ม ความสูง สี ิว สี ม ดังนั้น ขอ งเปนคําตอบ 3 ม แ คือ ชื่อมดชนิด ในวงศ
ที่ ูกตอง) มดงานลําตัวยาวประมา 1 เ นติเมตร สีสมหรือสีนํ้าตาลปนแดง
ตลอดตัว รวมทั้งหนวดและขา มีตาเล็ก สีนํ้าตาลแก ทํารังอยูตามตนไม เชน
มะมวง ขนุน โดยใชใบมาหอเขาดวยกัน ข ะถูกรบกวนจะปองกันตัวโดยกัดให
เกิดแผลแลวปลอยกรดออกมาทําใหปวดแสบปวดรอน

T59
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ น
าร น า
4. ครูใหนกั เรียนแบงกลุม กลุม ละ 3-4 คน จากนัน้
ชวยกันศึกษากิจกรรมที่ 1 เรื่อง ลักษ ะทาง
Ô ÃÃ ·Õ 1 ัก กร บวนการ
างวิ ยาศาสตร ี 
พัน ุกรรม จากหนังสือเรียน หนา 5 -53 โดย ักษ ะทางพัน กรรม 1. การสังเกต
2. ลงความเห็นจากขอมูล
ใหศึกษาขั้นตอนการทํากิจกรรม แลวป ิบัติ . การตีความหมายขอมูลและลงขอสรุป
กิจกรรมตามลําดับใหครบถวน จากนั้นบันทึก ดประสง ์ . การจัดกระทําและสื่อความหมายขอมูล

ในสมุด หรือบันทึกในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร 1. อธิ ายการถายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของมนุษย สัตว และพืช


ป.5 เลม 1 2. ตั้งคําถามเกี่ยวกั ลักษณะของตนเองที่คลายคลึงกั พอแม
ต้อง ตรียมต้อง ้
1. กระดาษแข็งแ น หญ 1 แ น
2. ัตรภาพรุนพอแมของสัตว เชน แมว สุนัข กระตาย ปลา ครูเตรียม ห
. แ นภาพแสดงการถายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของครอ ครัวมนุษย 1 แ น ครูเตรียม ห
องทาดู µÍ¹·Õè
1. แ งกลุม กลุมละ คน จากนั้นชวยกันสื คนขอมูลเกี่ยวกั การถายทอดลักษณะทาง
พันธุกรรมของมนุษย แลว ันทึก ลลง นสมุด
2. สมาชิกภาย นกลุมแตละคนตั้งคําถามและอธิ ายเกี่ยวกั ลักษณะที่ตนเองคลายคลึง
กั พอและแม หเพื่อน นกลุม ง แลว ันทึกลง นสมุด
. แตละกลมุ รวมกันสังเกตแ นภาพแสดงการถายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของครอ ครัว
มนุษยที่ครูเตรียม ห แลวแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกั การถายทอดลักษณะทางพันธุกรรม
ของครอ ครัวนี้ เชน สี ม สี ิว แลว ันทึก ลการสังเกตลง นสมุด
. รวมกันอภิปรายและสรุป ลภาย นชั้นเรียน

พอ แม

ลูก
ลักษณะทีล่ กู ไดรั จากพอและแม คือ
……………………………………………..

ภาพที่ 2. การนําเสนอหนาชั้นเรียน
52

เกร็ดแนะครู ก กรรมที่
ตา า บันทึกผลการทํากิจกรรม (ตอน )
ครูอาจใหความรูความเขาใจกับนักเรียนเพิ่มเติมกอนการทํากิจกรรมวา
ลักษ ะที่คลายคลึงพอแม คือ ลักษ ะของนักเรียนที่เกือบเหมือนหรือละมาย หว อ า บ น อม บ น
กับพอแม เชน รูปรางหนาตา สีผิว สีผม หนังตาบน สันจมูก 1. ขอมูลการถายทอด
ลักษ ะทางพัน ุกรรม ผลขึ้นอยูกับขอมูลที่นักเรียนสืบคนได
ของมนุษย
. ลักษ ะของตนเองที่ ลักษ ะที่คลายคลึงกับพอ ไดแก .......................
คลายคลึงกับพอแม
ลักษ ะที่คลายคลึงกับแม ไดแก .......................
ลักษ ะที่คลายคลึงกับพอและแม ไดแก .........

T60
นํา สอน สรุป ประเมิน

หนวยการเรียนรูที่ 2 ขัน้ น
ÊÔè§ÁÕªÕÇÔµ¡ÑºÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ า ามร
1. นักเรียนแตละกลุม รวมกันอภิปรายและสรุปผล
จากการทํากิจกรรมภายในกลุม
µÍ¹·Õè 2. ครูจบั สลากสุม เลือกตัวแทนนักเรียนแตละกลุม
1. หแตละกลุมสื คนขอมูลเกี่ยวกั การถายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของสัตว จากนั้น ออกมานําเสนอผลงานของกลุมหนาชั้นเรียน
รวมกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกั การถายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของสัตวจาก ทีละกลุม
3. นักเรียนแตละกลุม ออกมานําเสนอผลงานหนา
รุนพอแมสูรุนลูกและรุนหลาน แลว ันทึก ล
ชัน้ เรียนจนครบ จากนัน้ นักเรียนทุกคนรวมกัน
2. สังเกต ัตรภาพรุนพอแมของสัตว แลวนําความรูที่ไดจากการสื คนขอมูลมาเขียน
อภิ ป รายและสรุ ป ผลเกี่ ย วกั บ การถ า ยทอด
แ นภาพแสดงการถายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของสัตว น ัตรภาพจากรุนพอแมถึง
ลักษ ะทางพัน ุกรรมของสิ่งมีชีวิต
รุนหลานลง นกระดาษแข็งแ น หญ พรอมตกแตง หสวยงาม
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
. นําเสนอ ลงานหนาชัน้ เรียน จากนัน้ รวมกันอภิปรายและสรุป ลการทํากิจกรรมหนาชัน้ เรียน
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม)
า าม า
การ าย อ ัก ณ างพันธุกรรมจากเ สืบพันธุ องสุนั

รุนพอแม
AA
X
aa
ยีนคว คุมสีขนของสุนัข
มี 2 แอลลีล คือ
แทน แอลลีลของขนสุนัขสีนํ้าตาล
1. สมาชิกแตละกลุม ชวยกันศึกษาเนือ้ หาเพิม่ เติม
เกี่ยวกับการถายทอดลักษ ะทางพัน ุกรรม
แทน แอลลีลของขนสุนัขสีดํา
เซลลสื พันธุ A A a a

รุนลูก

ของสิ่งมีชีวิตจากหนังสือเรียน หนา 54
Aa Aa Aa Aa
เซลลสื พันธุ A a A a

รุนหลาน
AA Aa Aa aa 2. ครู อ ิ บ ายความรู  เ พิ่ ม เติ ม ให นั ก เรี ย น  ง ว า
ลักษ ะทางพัน ุกรรมของสิ่งมีชีวิตจะอยูใน
ยีน ึ่งยีน คือ หนวยพัน ุกรรมที่ทําหนาที่
ควบคุมและถายทอดลักษ ะทางพัน ุกรรม
ของสิ่งมีชีวิต ยีนจะอยูบนโครโมโ ม ึ่งอยู
ภาพที่ 2.5 การนําเสนอแ นภาพแสดงการถายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของสัตว ภายในเ ลลของสิ่งมีชีวิต โดยโครโมโ มแทง
หนูตอบ ด้ หนึ่ง จะมียีนอยูเปนจํานวน และเนื่องจาก
โครโมโ มอยูกันเปนคู ยีนที่อยูบนโครโมโ ม
. ยกตัวอยางลักษณะทางพันธุกรรมของมนุษยที่สามารถถายทอดจากพอแมมาสูลูกได
จึงมีเปนคูดวย
5 ลักษณะ
3. ครูใหนักเรียนแตละคนทํากิจกรรมหนูตอบได
2. นักเรียนมีลักษณะทางพันธุกรรม างอยางที่แตกตางจากพอและแมไดหรือไม อยางไร จากหนังสือเรียนหนานี้ ลงในสมุดหรือทําใน
. ยกตัวอยางลักษณะทางพันธุกรรมของสัตวที่ถายทอดจากพอแมมาสูลูกได ลักษณะ แบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1
. นักเรียนคิดวา พี่นองที่เกิดจากพอแมเดียวกันจะตองมีหนาตาที่คลายคลึงกันหรือไม (หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
เพราะเหตุ ด แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล)
(หมายเหตุ คํา ามขอสุดทายของหนูตอบ ด เปนคํา ามที่ออกแบบให ูเรียน กใชทัก ะการคิดขั้นสูง 53
คือ การคิดแบบใหเหตุ ล และการคิดแบบโตแยง ่ง ูเรียนอา เลือกตอบอยางใดอยางหน่งก ด ใหครู
พิ าร า ากเหตุ ลสนับสนุน)

ก กรรมที่ น น
ตา า บันทึกผลการทํากิจกรรม (ตอน ) ขอ 4.
หว อ า บ น อม บ น มีหนาตาคลายคลงกัน เพราะ ดรบั การ า ยทอดลัก ะทางพันธุกรรมมา
ากพอและแมคนเดียวกัน
การถายทอดลักษ ะทาง มีหนาตา มคลายคลงกัน เพราะพีน่ อ งคนใดคนหน่งอา ดรบั การ า ยทอด
ผลขึ้นอยูกับขอมูลที่นักเรียนสืบคนได
พัน ุกรรมของสัตว ลัก ะทางพันธุกรรมบางลัก ะมา ากรุนปู ยา ตา ยาย ด

T61
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ รป

ครูสุมนักเรียนตามเลขที่ 5- คน ใหออกมา ัก ณ างพันธุกรรม หมายถึง ลักษณะของสิ่งมีชีวิตที่ถายทอดจาก
อ บิ ายความรูเ กีย่ วกับลักษ ะทางพัน กุ รรมของ
สิ่งมีชีวิต จากนั้นใหนักเรียนทั้งหองรวมกันสรุป พอแมไปสูลูกได และถายทอดจากรุนหนึ่งไปยังอีกรุนหนึ่งตอไปเรื่อย เชน
ความรูจนไดขอสรุปวา ลักษ ะทางพัน ุกรรม ลักษณะหนังตา นของมนุษย ลักษณะสีดอกของพืช ลักษณะ หูของสัตว
คือ ลักษ ะของสิ่งมีชีวิตที่สามารถถายทอดจาก สิ่งมีชีวิตตาง สามารถถายทอดลักษณะทางพันธุก1รรมไปสูลูกหลานได
พอแมไปสูลูกได และถายทอดจากรุนหนึ่งไปสูอีก ลักษณะทางพันธุกรรมทีส่ ง า นจากพอแมไปสูล กู จะอยู นยีน ซึง่ เปนสารประกอ
รุนหนึ่งตอไปเรื่อย เชน ลักษ ะสีผิวของมนุษย ที่คว คุมการถายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต ทํา หลูกที่เกิดมา
ลักษ ะขอบใบของพืช ลักษ ะใบหูของสัตว
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใชแบบ
มีลักษณะ างอยางเหมือนกั พอแม โดยสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันจะมีลักษณะที่
สังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล) เหมือนกันหรือคลายคลึงกัน ตัวอยางเชน

ขัน้ ประ มน

ครูตรวจสอบการทํากิจกรรมนําสูการเรียนใน
สมุด หรือตรวจผลการทํากิจกรรมนําสูก ารเรียน 2
ภาพที่ 2.51 พี่นอง าแ ด ภาพที่ 2.52 เปด ภาพที่ 2.5 ตนกลวยหอม
ในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1
ครู ต รวจสอบผลการทํ า กิ จ กรรมที่ 1 เรื่ อ ง
ลักษ ะทางพัน ุกรรม ในสมุดประจําตัวหรือ
ในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1
ครู ต รวจสอบผลการทํ า กิ จ กรรมหนู ต อบได
ในสมุดประจําตัวหรือแบบฝกหัดวิทยาศาสตร
ภาพที่ 2.5 พี่นอง ภาพที่ 2.55 หมีโคอาลา ภาพที่ 2.5 ตน ีเสื้อ
ป.5 เลม 1
การถายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต สรุปได ลักษณะ ดังนี้
1) ัก ณ เ น คือ ลักษณะที่ปราก นทุกรุนของสิ่งมีชีวิต
2) ัก ณ อย คือ ลักษณะที่ปราก หเห็นเฉพาะ างรุนเทานั้น เพราะถูก
ลักษณะเดนขมเอาไว
3) กั ณ ี ปรผัน คือ ลักษณะทีแ่ ตกตางจากลักษณะของสมาชิก นครอ ครัว
และสามารถถายทอดไปยังรุนตอ ไปได
54 ที่ า า )

นกเร นค รรู ขอสอบเนน การคิด


ยน คือ หนวยพัน ุกรรมที่ทําหนาที่ควบคุมและถายทอดลักษ ะ หา นอ าแ อบ น อ ม าเ ยวเหมอน น
ทางพัน ุกรรมของสิ่งมีชีวิต ยีนอยูบนโครโมโ ม ึ่งอยูภายในเ ลลของสิ่งมีชีวิต เ น า าย อ า น ุ มห อ ม เ า อ
โครโมโ มแทงหนึ่งจะมียีนอยูเปนจํานวนมาก โครโมโ มจะอยูกันเปนคู ยีนที่ (วเ า ห าตอบ มเปน เพราะความชอบรสชาติเปนลัก ะ
อยูบนโครโมโ มจึงมีเปนคูดวย ึ่งยีนแตละคูจะมีรหัสทางพัน ุกรรมที่ควบคุม ความชอบสวนบุคคลที่ ม ดเปนการ ายทอดมา ากลัก ะทาง
ลักษ ะของสิง่ มีชวี ติ ทําใหสงิ่ มีชวี ติ เจริญเติบโตและมีพั นาการแตกตางกันไป พันธุกรรม)
นอ าแ หากมี ห น า ตาคล า ยคลึ ง กั น มาก เรี ย กว า าแ แ
เกิดจากอสุจิตัวเดียวป ิสน ิกับไขใบเดียว จากนั้นแบงเปน เ ลลแยกจากกัน
ฝาแฝดแทจะมีรหัสพัน ุกรรมชุดเดียวกัน ทารกจึงมีลักษ ะเหมือนกันไดหลาย
อยางและมักเปนทารกเพศเดียวกัน สวนฝาแฝดที่มีหนาไมเหมือนกัน เรียกวา
าแ เ ยม เกิดจากไขคนละใบ อาจมากกวา ใบก็ได โดยไขแตละใบจะถูก
ป ิสน ิจากอสุจิคนละตัว และทารกอาจเปนเพศเดียวกันหรือคนละเพศก็ได
โดยฝาแฝดอาจมีลักษ ะทางพัน ุกรรมเหมือนกันหรือไมก็ได

T62
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

หนวยการเรียนรูที่ 2 ขัน้ นา
ÊÔè§ÁÕªÕÇÔµ¡ÑºÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ กระ น าม น
1. ครูสมุ เลือกนักเรียนชายและหญิง อยางละ 1 คู
. การ าย อ ัก ณ างพันธุกรรม องมนุ ย ใหออกมาหนาชั้นเรียน จากนั้นใหนักเรียน
ถาเราสังเกตลักษณะของคนรอ ตัว จะเห็นวามีลักษณะ างอยาง รวมกันสังเกตเพื่อนที่ยืนอยูหนาหอง
คลายคลึงกันและมีลักษณะ างอยางแตกตางกัน จึงทํา หคนแตละคนนั้น 2. ครูกระตุน ความสนใจของนักเรียนกอนทีจ่ ะเขา
มีลักษณะเฉพาะที่ไมเหมือนกั คร ซึ่งลักษณะที่แตกตางกันของคนแตละคน สูบ ทเรียน โดยตัง้ คําถามกระตุน ความคิด ดังนี้
เปนลักษณะที่ไดรั การถายทอดมาจาก รรพ ุรุษ โดยลูกจะไดรั การถายทอด น เ ยน วา เ อน ยนอยหนา นม า
หนาตา าย นห อ ม เ า เหตุ
ลักษณะจากพอแม ซึ่งพอไดรั การถายทอดลักษณะมาจากปูและยา สวนแม
(แนวตอบ มคลายคลงกัน เพราะเพื่อน มใช
ไดรั การถายทอดลักษณะมาจากตาและยาย ลูกที่มีพอแมเดียวกัน)
การถายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของมนุษย ทํา หเราและคนอื่น าเ อน ยนอยหอ ม อแม นเ ยว น
สามารถทรา ไดวาเราเปนลูกของพอแม เพราะเรามีลักษณะ างอยางเหมือน เ อน ยนอยหนาหอ ม า หนาตา
พอแม เชน มี หนาเหมือนแม มี ิวคลํ้าและมีรูปรางสูงเหมือนพอ าย นห อ ม
(แนวตอบ เหมือนกัน)
ครอ ครัวสุขสอน ครอ ครัวสีเมือง า นอ ม อแม นเ ยว น ม า
หนาตาแต ตา น ห อ ม เ า อ
(แนวตอบ ด เพราะอา ดรับลัก ะทาง
พันธุกรรมบางอยางมา ากปู ยา ตา ยาย
ปูเอก ยานิด ตาตูน ยายเล็ก หรือคนในรุนอื่น )
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล)

ขัน้ น
าร น า
พอเดน อาแตว ปาเกด แมแกว นาไก
1. ครูอ ิบายเพิ่มเติมใหนักเรียนเขาใจวา มนุษย
เมื่ อ เติ บ โตเข า สู  วั ย เจริ ญ พั น ุ  จะสามารถ
สืบพัน ุออกลูกหลานได ลูกหลานที่ดํารงพัน ุ
ตอไปจะไดรับการถายทอดลักษ ะจากพอ
นองเกง แมและบรรพบุรุษ เชน ลักษ ะเสนผม สีผม
ภาพที่ 2.5 แ นภาพแสดงการถายทอดลักษณะทางพันธุกรรม างอยางของครอ ครัวนองเกง ลักษ ะหนังตาบน ความสูง สีผิว สีตา
เชน นองเกงมีลักษณะจมูกและหนังตา นคลายแมแกว แตมีลักษณะ หูคลายพอเดน 55

ขอสอบเนน การคิด น O-NET เกร็ดแนะครู


อม า นุ ม อ น น อบ วหน น ครูอาจเสริมความรูเพิ่มเติมใหกับนักเรียน ดังนี้
า • การถายทอดลักษ ะทางพัน ุกรรมของสิ่งมีชีวิต สามารถถายทอดจาก
อ แม ยา ตา ยาย
นุ ม รุนหนึ่งไปยังอีกรุนหนึ่งได โดยลักษ ะตาง ที่ถายทอดไปนั้นบางลักษ ะจะ
เสนผม เรียบ เรียบ หยักศก หยักศก เรียบ หยักศก หยักศก ไมปราก ในรุนลูก แตอาจจะปราก ในรุนหลานหรือเหลนก็ได ทําใหมีความ
ลักยิ้ม มี ไมมี มี มี ไมมี มี มี แตกตางของลักษ ะทางพัน ุกรรม จึงเปนผลใหเกิดความหลากหลายของ
หนังตาบน ชั้นเดียว ชั้น ชั้นเดียว ชั้น ชั้น ชั้น ชั้นเดียว
สิ่งมีชีวิตและดํารงเผาพัน ุไวได
• วัยเจริญพัน ุ เปนวัยทีม่ กี ารเปลีย่ นแปลงทางรางกายและจิตใจอยางมาก
า อม บ า น ุ ม วน ห า ึ่งเปนผลมาจากการทํางานของ อรโมนที่สงผลตออารม และรางกาย เพื่อให
1. พอและยา . ปูและตา เตรียมพรอมกับการมีเพศสัมพัน  โดยในผูห ญิงจะนับตัง้ แตเมือ่ เริม่ มีประจําเดือน
3. แมและยาย 4. ยาและยาย ไปจนหมดประจําเดือน (อายุ 15-4 ป) สวนในผูชายจะเริ่มเขาสูวัยเจริญพัน ุ
(วเ า ห าตอบ ลูก ดรับการ ายทอดลัก ะทางพันธุกรรม ตั้งแตเมื่อรางกายผลิตอสุจิได (ประมา อายุ 1 ป) ทั้งนี้แตละคนอาจเขาสู
สวนให  ากแมและยาย ลัก ะ ดแก มีลักยิ้ม และมีหนังตา วัยเจริญพัน ุในชวงอายุที่แตกตางกัน
บนชั้นเดียว ่งเปนลัก ะทางพันธุกรรมสวนให ที่ลูก ดรับ
ดังนั้น ขอ งเปนคําตอบที่ ูกตอง)
T63
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ น
าร น า
2. นักเรียนทําใบงาน เรื่อง การสํารวจลักษ ะ
ทางพัน กุ รรมของคนในครอบครัว โดยสํารวจ
ตัวอยาง การถายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของมนุษย
ตนเองวา มีลกั ษ ะใดบางทีเ่ หมือนกับสมาชิก
คนอื่น ในครอบครัว แลวบันทึกผลลงใน
ใบงาน
า ามร มหยิกหยักศก มเหยียดตรง หนังตา นชั้นเดียว หนังตา นสองชั้น
1. ครูใหนักเรียนแตละคนออกมานําผลการทํา
ใบงาน เรือ่ ง การสํารวจลักษ ะทางพัน กุ รรม
ของคนในครอบครัวที่หนาชั้นเรียนตามลําดับ
เลขที่จนครบทุกคน
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช หอลิ้นได หอลิ้นไมได มีติ่งหู ไมมีติ่งหู
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล)
2. ครูอ ิบายเพิ่มเติมใหนักเรียนเขาใจวา แมวา
เรากับสมาชิกในครอบครัวของเราจะมีลกั ษ ะ
บางอยางเหมือนกัน แตทุกคนก็จะมีลักษ ะ
เ พาะตัวที่แตกตางจากคนอื่นที่ทําใหเรารูวา 1
เราเปนใคร และมีลักษ ะอยางไร เชน ตัวเรา มีลักยิ้ม ไมมีลักยิ้ม หัวแมมืองอน หัวแมมือไมงอน
และพี่นองของเรามีลักษ ะบางอยางที่คลาย
กับพอแม แตจะมีบางอยางทีแ่ ตกตางกัน ทัง้
ที่เปนพี่นองจากพอแมเดียวกัน ความแตกตาง
นี้เรียกวา ความแปรผันทางพัน ุกรรม
มีขวัญเดียว มีสองขวัญ แนว มทีห่ นา ากแหลม แนว มที่หนา ากตรง
ภาพที่ 2.5 ตัวอยางลักษณะทางพันธุกรรมของมนุษย
àà ÇԷ¹ÒÃÙŒ
2
โรคบางโรคสามารถถ่
3 ายทอดทางพันธุกรรมได้ เช่น โลหิตจาง เบาหวาน ตาบอดสี
ชักกระตุก ฮีโมฟเลีย (โรคเลือดไม่แข็งตัว) มะเร็งบางชนิด

56

นกเร นค รรู ขอสอบเนน การคิด น O-NET


1 ยม คือ รอยเล็ก ที่บุมลงไปที่แกม เกิดจากเนื้อที่ทับ อน ม า าย อ า น ุ ม
กันโดยเ พาะเวลายิ้ม ปกติมีอยูทั้งสองแกม ลักยิ้มเปนพัน ุกรรมลักษ ะเดน 1. ตาแดง
2 ตาบอ คือ ภาวะของดวงตาในการมองเห็นสีบางสีผดิ ไปจากสีทเี่ ปนจริง . เบาหวาน
เนื่องจากประสาทตาที่ใชในการรับรูสีพิการหรือเจริญไมเต็มที่ เพราะพัน ุกรรม 3. กระเพาะอาหาร
หรือโรคของประสาทตา 4. ไวรัสตับอักเสบบี
3 ม เ ย หรือโรคเลือดไหลไมหยุด เปนโรคทางพัน กุ รรม (วเ า ห าตอบ โรคเหวานเปน าวะที่รางกายมีระดับนํ้าตาล
ทีม่ คี วามผิดปกติเ พาะในโครโมโ ม ทําใหผปู วยทีเ่ ปนโรคนีม้ อี าการเลือดออก กลูโคสในเลือดสูงกวาปกติและ ดั เปนโรคทางพันธุกรรมชนิดหน่ง
นานกวาคนปกติทั่วไปเมื่อไดรับบาดเจ็บ และจะอันตรายมากหากมีเลือดออก กลาวคือ หากใครมีพอ แม หรือ าติพี่นองที่เปนโรคเบาหวาน กมี
ในรางกาย อาจรายแรงจนถึงขั้นเสียชีวิต ปจจุบันยังไมมีวิ ีรักษาใหหายขาด โอกาสที่เปนโรคนี้ ด ดังนั้น ขอ งเปนคําตอบที่ ูกตอง)
แตการดูแลตัวเองเปนอยางดีกส็ ามารถทําใหผปู วยดําเนินชีวติ ไดอยางปกติและ
มีความสุขเหมือนคนทั่วไป

T64
นํา สอน สรุป ประเมิน

หนวยการเรียนรูที่ 2 ขัน้ น
ÊÔè§ÁÕªÕÇÔµ¡ÑºÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ า าม า

แมวาเรากั สมาชิก นครอ ครัวของเราจะมีลักษณะ างอยางคลายกัน 1. นักเรียนศึกษาเนือ้ หาเกีย่ วกับความแปรผันทาง


พัน กุ รรม และก การถายทอดทางพัน กุ รรม
แตทุกคนจะมีลักษณะเฉพาะตัวที่แตกตางจากคนอื่นที่ทํา หรูวา เราเปน คร ของเกรเกอร โย นั น เมนเดล จากหนังสือเรียน
และมีลักษณะอยางไร เชน ตัวเราและพี่นองของเรามีลักษณะ างอยางคลายกั หนานี้
พอแม แตจะมี างอยางแตกตางกัน ทั้ง ที่เปนพี่นองที่มาจากพอแมเดียวกัน 2. ครูทบทวนความรูเรื่องลักษ ะทางพัน ุกรรม
ความแตกตางนี้ เรียกวา ความ ปรผัน างพันธุกรรม ของมนุ ษ ย โดยให นั ก เรี ย นศึ ก ษาตั ว อย า ง
ความแปร ันทางพันธุกรรม เชน ลักษณะความสูง หากพอและแมเตี้ย จากหนังสือเรียน หนา 5 จากนั้นใหนักเรียน
ไปสื บ ค น ลั ก ษ ะทางพั น ุ ก รรมของมนุ ษ ย
แตลูกสูง อาจเปนเพราะลูกไดรั สารอาหารที่ดี นอกเหนือไปจากพันธุกรรมของ ที่สามารถถายทอดไดนอกเหนือจากที่อยูใน
พอและแม ลักษณะที่แปร ันนี้สามารถถายทอดไปยังรุนลูกรุนหลานตอไปได หนั ง สื อ เรี ย นแล ว บั น ทึ ก ลงในสมุ ด จากนั้ น
นั ก วิ ท ยาศาสตร ู  ที่ ทํ า การศึ ก ษา นําสงครูในชั่วโมงถัดไป
เกี่ยวกั การถายทอดลักษณะทางพั นธุกรรม 3. ครูอ ิบายใหนักเรียนเขาใจวา การถายทอด
1 ลักษ ะทางพัน ุกรรม และความแปรผันทาง
ชื่อวา เกรเกอร ย ันน เมนเ เขาไดรั พัน ุกรรม นอกจากจะมีในมนุษยแลวยังมีใน
การยกยอง หเปน ิดาแหงวิชาพันธุศาสตร พืช สัตว ดวยเชนกัน
โดย ลการทดลองของเมนเดลทํ า ห เ รา
สามารถสรุปก ของการถายทอดลักษณะทาง ขัน้ รป

พันธุกรรมได ดังนี้
ภาพที่ 2.5 เกรเกอร โยฮันน เมนเดล ครูสุมเรียกนักเรียน 4-5 คน ใหสรุปความรู
เกี่ยวกับเรื่องที่ไดเรียนในวันนี้ จากนั้นใหนักเรียน
• ลักษณะตาง ของสิ่งมีชีวิตจะถูกคว คุมโดยยีนที่อยู นเซลลสื พัน2ธุและ ที่เหลือชวยกันสรุปอีกครั้ง
จะถายทอดไปยังลูกหลานทางเซลลสื พันธุ โดยรูปแ ของยีน เรียกวา อ ี
• การถายทอดลักษณะแตละลักษณะเปนอิสระตอกัน และไมเกี่ยวของกั ขัน้ ประ มน

ลักษณะอื่น
1. ครูตรวจสอบผลการทําใบงาน เรือ่ ง การสํารวจ
• ถารุน พอแมพนั ธุแ ท ลักษณะทีป่ ราก ออกมา นรุน ลูก เรียกวา กั ณ เ น
ลักษ ะทางพัน ุกรรมของคนในครอบครัว
สวนลักษณะทีป่ ราก ออกมา นรุน หลาน เรียกวา กั ณ อ ย 2. ครูตรวจสอบผลการสืบคนขอมูลลักษ ะทาง
• สัดสวนของลักษณะเดนตอลักษณะดอย จะเปน เสมอ พัน ุกรรมของมนุษยที่สามารถถายทอดได
จากสมุดที่นักเรียนบันทึกไว
5

นกเร นค รรู
1 เ เ อ ย นน เมนเ เปนนักบวชชาวออสเตรีย ึ่งไดทําการศึกษา
เกีย่ วกับการถายทอดลักษ ะทางพัน กุ รรมเปนคนแรกของโลก จนไดรบั ยกยอง
วาเปน บ าแห ว า น ุ า ต
2 แอ คือ รูปแบบของยีนทีแ่ สดงออกในแบบตาง ของลักษ ะ
ทางพัน ุกรรมหนึ่ง เชน ยีนควบคุมลักษ ะทางพัน ุกรรมสีตาของแมวชนิด
หนึ่งมียีนที่เปนแอลลีลกัน รูปแบบ คือ แอลลีลที่แสดงตาสีนํ้าตาลกับแอลลีล
ที่แสดงตาสีดําในดวงตาของแมวชนิดนั้น

แน ก ร ดแ ะ ระเ น
ครูสามารถสังเกตพ ติกรรมของนักเรียนจากการตอบคําถาม การทํางาน
รายบุคคล การทํางานกลุม และการนําเสนอผลการทํากิจกรรมหนาชั้นเรียนได
โดยศึกษาเก การวัดและประเมินผลที่แนบทายแผนการจัดการเรียนรูของ
หนวยการเรียนรูที่ สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดลอม
T65
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นา
กระ น าม น
ครูนาํ ภาพตัวอยางครอบครัวสัตว 1 ชนิด มาให
นักเรียนสังเกต เชน ครอบครัวสุนัข โดยมีพอ แม
.2 การ าย อ ัก ณ างพันธุกรรม องสัตว
และลูกสุนัข จากนั้นสุมเลือกนักเรียนเพื่อตอบ การถายทอดลักษณะทางพันธุกรรมนอกจากจะมี นมนุษยแลว สิ่งมีชีวิต
คําถาม ดังนี้ ชนิดอื่น เชน พืช สัตว ก็มีการถายทอดลักษณะทางพันธุกรรมเชนเดียวกัน
บา ุน บ า าย อ ซึ่งสัตวแตละชนิดยอมเกิดมาจากสัตวชนิดเดียวกัน และลูกของสัตวเหลานั้น
า น ุ ม า อ ุน ก็จะมีลักษณะหลาย อยางที่คลายคลึงกั พอและแมของมัน
บา ุน บ า าย อ
สัตวชนิดเดียวกันจะมีลักษณะทางพันธุกรรมคลายคลึงกัน เชน สีขน
า น ุ ม า แม ุน
บา ุน มแต ตา า อ ลักษณะของขน หู เทา สีตา ทั้งนี้ เนื่องจากลักษณะเหลานี้มีการถายทอด
แ แม ุน จาก รรพ ุรุษสูรุนลูกรุนหลาน ตัวอยางเชน
(แนวตอบ ข้นอยูกับดุลยพินิ ของครู ูสอน) การ าย อ ัก ณ างพันธุกรรมจากเ สืบพันธุ องกร ตาย
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
ยีนคว คุมสีขนของกระตาย
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล) มี 2 แอลลีล คือ
รุนพอแม X
แทน แอลลีลของขนกระตายสีดํา
แทน แอลลีลของขนกระตายสีขาว
ขัน้ น เซลลสื พันธุ
าร น า
1. นักเรียนศึกษาขอมูลในหัวขอ การถายทอด รุนลูก
ลักษ ะทางพัน ุกรรมของสัตว จากหนังสือ
เรียน ป.5 เลม 1 หนา 5 -5 เซลลสื พันธุ
2. ครูใหนกั เรียนแบงกลุม แบบคละความสามารถ
เกง คอนขางเกง ปานกลาง ออน จากนั้น
รุนหลาน
มอบหมายให นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ  ม ไปสื บ ค น
ข อ มู ล การถ า ยทอดลั ก ษ ะทางพั น ุ ก รรม
จากเ ลลสืบพัน ุของสัตวมากลุมละ 1 ชนิด
จากแหลงขอมูลตาง
• นรุนลูก หากกระตายมีลูก ตัว รุนลูกจะปราก ลักษณะเดนทุกตัว
3. นักเรียนแตละกลุมรวมกันสรุปขอมูล จากนั้น ซึ่งขนสีดํา คือ ลักษณะเดน
นําขอมูลมาเขียนเปนแผนผังแสดงลักษ ะ • หากกระตาย นรุนลูก สมกัน กระตายรุนหลานจะปราก เปนสัดสวนของ
การถายทอดลักษ ะทางพัน ุกรรมจากเ ลล ลักษณะเดนตอลักษณะดอย 1 นกรณีนี้ คือ ขนสีดํา ตัว และขนสีขาว 1 ตัว
สืบพัน ุของสัตวลงในกระดาษแข็งแผนใหญ 5
พรอมตกแตงใหสวยงาม

เกร็ดแนะครู ขอสอบเนน การคิด น O-NET


หลังจากนักเรียนไดเรียนรูก ารถายทอดลักษ ะทางพัน กุ รรมของสัตวแลว แ น า ม น ุหน น า บหน น าว
ครูสามารถใชใบงาน เรื่อง การถายทอดลักษ ะทางพัน ุกรรมของสัตว ที่แนบ
ุน อแม น า น าว
ทายแผนการจัดการเรียนรูที่ การถายทอดลักษ ะทางพัน ุกรรมของสัตว
มาใหนักเรียนทําเพื่อตรวจสอบความเขาใจหลังเรียนได ดังภาพตัวอยาง น า น า น า น า
ใบงาน
เรื่อง การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของสัตว์
า แ น อ ุ ตอ
คาชี้แจง ให้นักเรียนดูภาพการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของครอบครัวแมว แล้วตอบคาถาม
1. ลูกไดขนสีดํา 5
. ลูกไดขนสีดํา 5
3. ขนสีดําเปนลักษ ะเดน
 ลักษณะใดบ้างที่ลูกแมวได้รับการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมจากพ่อแมว
4. ขนสีขาวเปนลักษ ะดอย
 ลักษณะใดบ้างที่ลูกแมวได้รับการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมจากแม่แมว
(วเ า ห าตอบ ากก ของเมนเดล ารุนพอแมเปนพันธุแท
 ลักษณะใดบ้างที่ลูกแมวมีแตกต่างจากพ่อแมวและแม่แมว
ลัก ะที่ปราก ออกมาในรุนลูก เรียกวา ลัก ะเดน ดังนั้น
ขอ งเปนคําตอบที่ ูกตอง)

T66
นํา สอน สรุป ประเมิน

หนวยการเรียนรูที่ 2 ขัน้ น
สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม า ามร
นักเรียนแตละกลุม ออกมานําเสนอผลงานหนา
จากแ นภาพตัวอยาง ทํา หทรา วา กระตาย นรุนลูกจะปราก ลักษณะ
ชั้นเรียนจนครบ จากนั้นใหนักเรียนทุกคนรวมกัน
ขนสีดําที่เปนลักษณะเดนทั้งหมด สวน นรุนหลานจะปราก กระตายขนสีดํา อภิปรายและสรุปผลเกีย่ วกับลักษ ะการถายทอด
ลักษณะเดน ตัว และกระตายขนสีขาว ลักษณะดอย 1 ตัว ซึง่ ลักษณะเหลานี้ ทางพัน ุกรรมจากเ ลลสืบพัน ุของสัตวตาง ที่
ถายทอดมาจากยีน ทีม่ แี อลลีลแสดงรูปแ ของยีนนัน้ อยู นเซลลสื พันธุ แตละกลุมเลือกสืบคนมา
ของพอกระตายและแมกระตายนั่นเอง (หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใชแบบ
สังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม)
ตัวอยาง การถายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของสัตวชนิดตาง
า าม า
1. สมาชิกในแตละกลุมชวยกันศึกษาตัวอยาง
การถายทอดลักษ ะทางพัน ุกรรมของพืช
ชนิดตาง จากหนังสือเรียนหนานี้
2. ครูใหนักเรียนศึกษาการถายทอดลักษ ะทาง
พัน ุกรรมของสัตวเพิ่มเติมจากสื่อ
โดยใหนักเรียนใชโทรศัพทสอง ที่
ภาพที่ 2. นกฮูก ภาพที่ 2. 1 แกะ
หนังสือเรียน หนา 5 จากนั้นใหรวมกันสรุป
ความรูที่ศึกษารวมกัน

ขัน้ รป

ครูใหนักเรียนรวมกันสรุปความรูเกี่ยวกับการ
ถายทอดลักษ ะทางพัน ุกรรมของสัตว โดยให
ภาพที่ 2. 2 โลมา ภาพที่ 2. กระตาย ยกตัวอยางลักษ ะที่สัตวสามารถถายทอดได
àà ÇԷ¹ÒÃÙŒ คนละ 1 ลักษ ะ
1
การโคลน ( ) คือ การสร้างสิงมีชีวิตขนมา หม่ โดยการนาเอาตัวกาหนด
ขัน้ ประ มน
ลัก ะทางพันธุกรรม นเ ลลจากสิงมีชีวิตต้นแบบมากระตุ้น ห้เจริ พันธุ เพือสร้าง ร
สิงมีชีวิต หม่ขนมา งสิงมีชีวิต หม่นีจะมีลัก ะทางพันธุกรรมเหมือนสิงมีชีวิตทีเ น
ต้นแบบทุก ระการ 1. ครูตรวจสอบผลการเขียนแผนผังแสดงลักษ ะ
การถายทอดลักษ ะทางพัน ุกรรมจากเ ลล
สืบพัน ุของสัตวจากกระดาษแข็งแผนใหญ
การ ายท ก ทาง ธกรร งสตว 5 2. ครูตรวจผลการทําใบงาน เรื่อง การถายทอด
ลักษ ะทางพัน ุกรรมของสัตว

ขอสอบเนน การคิด น O-NET นกเร นค รรู


า แ น า ม น หน ุ น า บหน น าว นหนา 1 า น เปนการสรางสิง่ มีชวี ติ ขึน้ มาใหม โดยไมไดอาศัยการป สิ น ขิ อง
อ อ อย เ ลลสืบพัน ุเพศผู สเปรม กับเ ลลสืบพัน ุเพศเมีย ไข ึ่งเปนการสืบพัน ุ
1. ขนสีดํา ตามปกติ แตใชเ ลลรางกาย ในการสรางสิ่งมีชีวิตขึ้นมาใหม
. ขนสีขาว เมื่อเดือนกรก าคม พ.ศ. 53 ดอลลี่ เปนแกะตัวแรกของโลกที่เกิดจาก
3. ขนสีดําและขนสีขาว การโคลนนิง โดย เอียน วิลมุต คี แคมปเบล และผูรวมงาน สถาบันรอสลิน
4. ยังสรุปผลไมได ส ว นหนึ่ ง ของมหาวิ ท ยาลั ย เอดิ น บะระ ประเทศสกอตแลนด และบริ ษั ท
(วเ า ห าตอบ ากก ของเมนเดล ารุนพอแมเปนพันธุแท เทคโนโลยีชีวภาพ พวกเขาใชเทคนิคการถายฝากนิวเคลียส
ลัก ะที่ปราก ออกมาในรุนลูก เรียกวา ลัก ะเดน ่ง าก จากเ ลลรางกาย โดยนํานิวเคลียสของเ ลลเตานมแกะที่เปนตนแบบมาใสใน
แ น ังการ สมพันธุหนู พบวา ลูกหนูที่ออกมามีขนสีดําทั้งหมด ไขของแกะอีกตัวหนึ่ง แลวนําเ ลลไขที่ทําการโคลนแลวไปถายฝากตัวออนใน
ขนสีดํา งเปนลัก ะเดน ขนสีขาว งเปนลัก ะดอย ดังนั้น ทองแมแกะอีกตัวหนึ่ง ดอลลี่เปนแกะที่ดังที่สุดในโลก มันมีชีวิตอยูไดเพียง ป
ขอ งเปนคําตอบที่ ูกตอง) เดือน และตายดวยโรคปอด

T67
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นา
กระ น าม น
1. ครูสนทนากับนักเรียนเกี่ยวกับการถายทอด
ลักษ ะทางพัน กุ รรมของมนุษยและสัตวทไี่ ด
. การ าย อ ัก ณ างพันธุกรรม องพื
เรียนผานมาจากชั่วโมงที่ผานมา พืชเปนสิง่ มีชวี ติ ทีม่ กี ารถายทอดลักษณะทางพันธุกรรมเชนเดียวกั มนุษย
2. ครูกระตุนความสนใจของนักเรียน โดยนํา และสัตว โดยลักษณะทางพันธุกรรมของพืชแตละชนิดที่ไดรั 1 ถายทอดมาจาก
ตัวอยางตนกุหลาบและดาวเรืองมาใหนกั เรียน รุน รรพ ุรุษ เชน โครงสรางลําตน สีของดอก รูปรางของ ความสูงของตน
สั ง เกต จากนั้ น สุ  ม เลื อ กนั ก เรี ย นเพื่ อ ตอบ จะมีการถายทอดจากรุนพอแมไปสูรุนลูกและรุนหลานตอไปเรื่อย ตัวอยางเชน
คําถาม ดังนี้
ุห าบ บ าวเ อ ม ายนอ เ า การ าย อ ัก ณ างพันธุกรรมจากเ สืบพันธุ องพื
เ ต เหมอน นห อแต ตา น อยา ยีนคว คุมความสูงของพืช
(แนวตอบ แตกตางกัน เชน กุหลาบมีลําตน รุนพอแม X มี 2 แอลลีล คือ
เปนหนาม มีใบกวาง และมีดอกสีแดง แต T แทน แอลลีลความสูงของพืช
ดาวเรืองลําตน มเปนหนาม ใบมีลัก ะ TT แทน แอลลีลความเตีย้ ของพืช
เปนแขนงเลก และมีดอกสีเหลือง) เซลลสื พันธุ T T
า น ุ ม ุ ห าบ ามา
าย อ ห บ ุน ุนห านนา มอ
บา ลูกรุนที่ 1
(แนวตอบ ลําตนเปนหนาม มีใบกวาง และ
ดอกมีกลิ่นหอม)
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช เซลลสื พันธุ T T

แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล)
3. ครูใหคาํ ชมเชยนักเรียนทีต่ อบคําถาม แลวมอบ
ลูกรุนที่ 2
รางวัลหรือของขวัญใหเปนกําลังใจ
TT

• นรุน ที่ 1 เกิดจากการรวมตัวกันของเซลลสื พันธุพ อ กั แม จะปราก ลักษณะ


เดนทุกตน คือ ความสูงของตนพืช
• นรุนที่ 2 หากตนพืช นรุนลูก สมกัน ตนพืชรุนที่ 2 จะปราก เปนสัดสวน
ของลักษณะเดนตอลักษณะดอย 1 นกรณีนี้ คือ ตนพืชสูง ตน และตนพืชเตี้ย
1 ตน

นกเร นค รรู ขอสอบเนน การคิด น O-NET


1 า อ บ ใบของพืชมีหนาที่สรางอาหาร หายใจ และคายนํ้า ึ่งใบ า ม ุห าบ แ น ุเ น บ ุห าบ าว น ุ อย ย
ของพืชแตละชนิดจะมีรูปรางและลักษ ะที่เราสังเกตเห็นไดแตกตางกันไปตาม น นหุ านม ุห าบ านวน ตน เ น ุห าบ าว ตน
ชนิดของพืช เชน 1. 1 ตน
. 5 ตน
3. 5 ตน
4. 5 ตน
(วเ า ห าตอบ สัดสวนของลัก ะเดนตอลัก ะดอย ในรุน
หลานที่รุนพอแมเปนพันธุแท คือ ามีกุหลาบรุนหลาน
ตน ะ ดพันธุเดน ตน และพันธุดอย ตน ดังนั้น ขอ ง
เปนคําตอบที่ ูกตอง)
ใบรูปหอก ใบรูปรี ใบรูปกลม ใบรูปพัด

T68
นํา สอน สรุป ประเมิน

หนวยการเรียนรูที่ 2 ขัน้ น
สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม าร น า
1. นักเรียนศึกษาขอมูลในหัวขอ การถายทอด
จากแ นภาพตัวอยาง ทํา หทรา วา พืช นลูกรุนที่ 1 จะปราก ลักษณะ
ลั ก ษ ะทางพั น ุ ก รรมของพื ช และแผนผั ง
ตนสูงโดยเปนลักษณะเดนทั้งหมด สวน นลูกรุนที่ 2 จะปราก ตนสูงที่เปน การถายทอดลักษ ะทางพัน ุกรรมจากเ ลล
ลักษณะเดน ตน และตนเตี้ยที่เปนลักษณะดอย 1 ตน ซึ่งลักษณะเหลานี้ถูก สืบพัน ุของพืช จากหนังสือเรียน ป.5 เลม 1
ถายทอดมาจากยีนที่อยู นเซลลสื พันธุของรุนพอแมของพืชชนิดนั้น หนา - 1
2. นักเรียนจับกลุมเดิม จากนั้นครูมอบหมายให
ตัวอยาง การถายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของพืชชนิดตาง นักเรียนแตละกลุมไปสืบคนขอมูลเกี่ยวกับ
การถายทอดลักษ ะทางพัน ุกรรมจากเ ลล
สืบพัน ุของพืช 1 ชนิด จากแหลงขอมูลตาง
3. นักเรียนแตละกลุมรวมกันสรุปขอมูล จากนั้น
นําขอมูลมาเขียนเปนแผนผังแสดงลักษ ะ
ภาพที่ 2. กะหลํ่าปลี ภาพที่ 2. 5 ขาวโพด ภาพที่ 2. ดาวเรือง การถายทอดลักษ ะทางพัน ุกรรมจากเ ลล
สืบพัน ุของพืชลงในกระดาษแข็งแผนใหญ
พรอมตกแตงใหสวยงาม
า าม า
1
ภาพที่ 2. ัก ุง ภาพที่ 2. กลวยไม ภาพที่ 2. กุหลา 1. นักเรียนแตละกลุม รวมกันอภิปรายและสรุปผล
จากการทํากิจกรรมภายในกลุม
กิจกรรม สรุปความรูป ระจําบทที่ 2 2. ครูจบั สลากสุม เลือกตัวแทนนักเรียนแตละกลุม
ตรวจสอบตนเอง ออกมานําเสนอผลงานของกลุมหนาชั้นเรียน
หลังเรียนจ ทนี้แลว หนักเรียน อกสัญลักษณที่ตรงกั ระดั ความสามารถของตนเอง ทีละกลุม
3. นักเรียนแตละกลุม ออกนําเสนอผลงานหนาชัน้
เกณ
รายการ ี พอ  ควรปรับปรุง
เรียนจนครบ จากนั้นใหนักเรียนทุกคนรวมกัน
อภิ ป รายและสรุ ป ผลเกี่ ย วกั บ ลั ก ษ ะการ
1. เขา จเนือ้ หาเกีย่ วกั ลักษณะทางพันธุกรรมของสิง่ มีชวี ติ ถายทอดทางพัน ุกรรมของพืช
2. สามารถทํากิจกรรมและอธิ าย ลการทํากิจกรรมได (หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
. สามารถตอ คําถามจากกิจกรรมหนูตอ ไดได แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม)
. ทํางานกลุมรวมกั เพื่อนไดดี
5. นําความรูไป ชประโยชน นชีวิตประจําวันได
61

กิ กรร า า นกเร นค รรู


ใหนกั เรียนแตละคนเขียนแผนภาพแสดงลักษ ะการถายทอด 1 วย ม คือ ชื่อพรร ไมหลายชนิด หลายสกุลในวงศ
ลักษ ะทางพัน กุ รรมของสิง่ มีชวี ติ ทีต่ นเองสนใจ (นอกเหนือจาก ลักษ ะตน ใบ และชอดอกตาง กัน บางชนิดเกาะตามตนไมและหิน บางชนิด
บทเรียน) มา 1 ลักษ ะ โดยใหกําหนดยีนเดนและยีนดอยของ ขึน้ อยูบ นพืน้ ดิน บางชนิดมีดอกงาม บางชนิดมีกลิน่ หอม ภาคเหนือเรียกวาเอือ้ ง
สิ่งมีชีวิตชนิดนั้นขึ้นมาดวยตนเอง (สามารถศึกษาไดจากหนา 5 กลวยไม จัดอยูในกลุมพืชใบเลี้ยงเดี่ยว สามารถแบงตามลักษ ะการเติบโตได
และ ) ดังนี้
วย มอา า คือ กลวยไมที่เกาะหรืออิงอาศัยอยูบนตนไมอื่น โดยมี
รากเกาะอยูกับกิ่งไมหรือลําตนพืชอื่น เชน หวายตะมอย แวนดา
วย ม น คือ กลวยไมที่ขึ้นอยูตามพื้นดินที่ปกคลุมดวยอินทรียวัตถุ
เนาเปอยผุพังรวนโปรง เชน รองเทานารี เอื้องเทียนหอม เอื้องพราว

T69
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ น
า าม า
1. นักเรียนแตละกลุมชวยกันศึกษาตัวอยางการ ÊÃ ÊÒÃ ÊÒ
»ÃШíÒº··Õè 2
ถายทอดลักษ ะทางพัน ุกรรมของพืชตาง มลี
จากหนังสือเรียน หนา 1 กั ย้ม

ลักย้ิม
2. ครูขออาสามาสมัครนักเรียนกลุมละ 1 คน ให มมล ี ก ั ยิ้ม
ยกตัวอยางพืช 1 ชนิด พรอมบอกลักษ ะทาง ตั ว อ
สงู ย
พัน ุกรรมที่พืชสามารถถายทอดได มสูง
ควา

าง
3. ครู ส นทนากั บ นั ก เรี ย นเพื่ อ ทบทวนความรู  เตย
ี้
ความเขาใจเกี่ยวกับเนื้อหาที่ไดเรียนผานมา สีผม
จากหนวยการเรียนรูที่ บทที่ ลักษ ะ สีดาํ ล้ิ


ารหอ
ทางพัน ุกรรมของสิ่งมีชีวิต โดยสุมเรียกชื่อ ก
ล หอลิ้น ด้
นักเรียน 4-5 คน ใหออกมาเลาวาตนเองไดรับ ี ้ าํ ตา
สน
ะ ด้
ิ ม
ความรูอะไรบาง ลกั ษณ ษุ ย์
หอล้น
ทอด ของมน
4. นั ก เรี ย นเขี ย นสรุ ป ความรู  เ กี่ ย วกั บ เรื่ อ งที่ ไ ด การ ายก รม
เรียนมาจากบทที่ ในรูปแบบตาง เชน ทางพน ั ธุ ร
การ ายทอด
แผนผังความคิด แผนภาพ ลงในสมุด ะ ลกั
5. นักเรียนทุกคนศึกษาแผนผังความคิด ลกั ษณต
ั ว์
มฐ ว ป ป ทางพน ั ธก ุ รร ษณ
ท อด ของส การ ายทอด มข
าย กรรม

ะ พืช
สรุปสาระสําคัญ ประจําบทที่ ลักษณะทาง

อง
จากหนังสือเรียนหนานี้ เพื่อตรวจสอบกับการ พันธุกรรมของสิ่งมีชวี ต

ทาง การ
ธุ
พนั

เขียนสรุปความรูที่นักเรียนทําไวในสมุด
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช หู สั้น

ตวั อยาง
หู
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล) ะใบ
ษณ หย
ู าว
ลัก
ตวั อยาง

พช
ี อกของ


สด

้ พ

ตน
สขี

อง
น สีชมพู ข
มสงู
สข
ี าว า
ตน คว
้ี
้ เตย
สแี ด

าล งู
ี ้ าํ ต
สน ้ ส
ตน

62

เกร็ดแนะครู ขอสอบเนน การคิด น O-NET


เมื่ อ เรี ย นจบบทนี้ แ ล ว ครู อ าจให นั ก เรี ย นตั้ ง คํ า ถามที่ อ ยากรู  เ พิ่ ม เติ ม อา ตยเ นน ุตบอ ม าต เต ุตบอ เ เหมอน บ
เกีย่ วกับเรือ่ งการถายทอดลักษ ะทางพัน กุ รรมของสิง่ มีชวี ติ มา คนละ 1 คําถาม อ อ เ า น เ ยน วา า อา ตยเต ุตบอ เ เ น า
จากนั้นครูสุมเรียกใหนักเรียนบอกคําถามของตนเอง แลวใหเพื่อนคนอื่น าย อ า น ุ มห อ ม อยา
ในชั้นเรียนชวยกันแสดงความคิดเห็นเพื่อตอบคําถามนั้น โดยใหครูทําหนาที่ 1. ไมเปน เพราะเกิดจากการเลียนแบบการเตะ ตุ บอลของพอ
เปนผูชี้แนะและสังเกตการทํากิจกรรมของนักเรียนอยางใกลชิด . ไมเปน เพราะเปนความสามารถที่ตองฝกฝนดวยตนเอง
ครูอาจใหนักเรียนชวยกันสรุปความรูทั้งหมดที่ไดเรียนรูจากบทนี้ โดยใช 3. เปน เพราะเปนลักษ ะทางพัน ุกรรมที่ถายทอดมาจากรุน
เทคนิคการเขียนแผนผังความคิดเปนเครื่องมือในการใหนักเรียนไดระดมสมอง พอแมได
เพื่อการสรุปบทเรียน โดยครูอาจใหจับสลากหมายเลขเพื่อใหนักเรียนผลัดกัน 4. เปน เพราะคนในครอบครัวของอาทิตยสามารถเตะ ตุ บอล
ออกมาเขียนสิ่งที่ตนเองรูในแผนผังความคิดหนาชั้นเรียน เกงเหมือนกันทุกคน
(วเ า ห าตอบ เพราะการเตะ ุตบอลเกงเปนความสามาร
ของบุคคลที่ตอง ดรับการ ก นมาเปนเวลานานและสมํ่าเสมอ
ดังนั้น ง มใชการ ายทอดลัก ะทางพันธุกรรม ดังนั้น ขอ
งเปนคําตอบที่ ูกตอง)

T70
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ น
กิจกรรม ··Õ 2 า าม า

ฝกทักษะ 6. นักเรียนทํากิจกรรมฝกทักษะบทที่ จาก


หนังสือเรียน หนา 3- 4 ขอ 1-4 ลงในสมุด
. พิจารณา ผนผัง อมู ตอ ปนี วตอบคา าม หรือทําในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1
ครอบครัว ี ครอบครัว ี 2 7. นักเรียนแตละคนทํากิจกรรมทาทายการคิด
ขัน้ สูง จากแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1
พีสาว อง มปกุ มปุก พอนอย (หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
• มตรง สีดํา • มหยิก สีดํา แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล)
• ิวสีดําแดง • ิวสีขาว 8. นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน จากนั้น
• ไมมีลักยิ้ม • ไมมีลักยิ้ม ศึกษากิจกรรมสรางสรรคผลงานจากหนังสือ
เรียนวิทยาศาสตร หนา 5 แลวใหป ิบัติ
ลูก กิจกรรมตามขั้นตอน แลวใหนํามาสงพรอม
นําเสนอชั่วโมงถัดไป
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม)
9. นักเรียนทําทบทวนทายหนวยการเรียนรูท่ี
ภาพ ภาพ ภาพ เรือ่ ง สิง่ มีชวี ติ กับสิง่ แวดลอม จากแบบฝกหัด
วิทยาศาสตร ป.5 เลม 1
นักเรียนทําแบบทดสอบหลังเรียนของหนวย
การเรียนรูที่ เพื่อตรวจสอบความเขาใจ
ภาพ ภาพ ภาพ หลังเรียน
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
1 จากภาพ และ ภาพ ดคือพี่สาวของแมปุก เพราะเหตุ ด
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล)
2 จากภาพ และ ภาพ ดคือลูกของพอนอยกั แมปุก าง เพราะเหตุ ด
2. อาน อความ ีกาหน จากนันร บุวา อความ คือ ัก ณ างพันธุกรรม
มหยักศก ถนัดขวา ถนัดซาย มีติ่งหู หัวแมมืองอน
ชอ รสเปรีย้ ว หนังตาชัน้ เดียว มีขวัญเดียว ชอ วาดรูป
มีลักยิ้ม ชอ ออกกําลังกาย หอลิ้นได หอลิ้นไมได

63

ขอสอบเนน การคิด น O-NET เกร็ดแนะครู


ตอ น ม ามา าย อ า น ุ ม ครูสามารถหยิบใชแบบทดสอบหลังเรียนทีแ่ นบมาทายแผนการจัดการเรียนรู
1. โรคกลามเนื้อลีบ ของหนวยการเรียนรูที่ สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดลอม
. โรคเบาหวาน
3. โรคเหน็บชา น ก กรรม กทักษะ
4. โรคเลือดใส ขอ 1.
(วเ า ห าตอบ โรคเหนบชาเกิด าก าวะทางโ ชนาการทีข่ าด ) าพ เพราะคนใน าพนี้มีลัก ะเสน มตรงสีดํา มมีลักยิ้มเหมือน
วิตามิน หากรางกาย ดรับวิตามิน อยางเพียงพอ อาการ แมปุก
เหนบชาที่เกิดข้นก ะหาย ป ด ดังนั้น ขอ งเปนคําตอบที่ ) าพ และ เพราะ เดกใน าพทั้ง มีลัก ะทางพันธุกรรมเหมือน
ูกตอง) กับพอนอยและแมปุก คือ าพ มี มหยิกสีดํา มมีลักยิ้มเหมือนพอนอย
สวน าพ มี มตรงสีดําและ มมีลักยิ้มเหมือนแมปุก
ขอ 2.
มหยักศก มีติ่งหู หัวแมมืองอน หนังตาชั้นเดียว มีขวั เดียว มีลักยิ้ม
หอลิ้น ด หอลิ้น ม ด

T71
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ รป

นักเรียนดูตารางตรวจสอบตนเอง จากหนังสือ
เรียน หนา 1 จากนั้นถามนักเรียนเปนรายบุคคล . สังเกต าพการ าย อ ัก ณ างพันธุกรรม องสุนั วตอบคา าม
ตามรายการขอ 1-5 จากตาราง เพื่อตรวจสอบ
ความรูความเขาใจของนักเรียนหลังจากการเรียน
หากนักเรียนคนใดตรวจสอบตนเองโดยใหอยูใน
เก ควรปรับปรุง ใหครูทบทวนบทเรียนหรือ
หากิจกรรมอื่น อมเสริม เพื่อใหนักเรียนมีความรู
ความเขาใจในบทเรียนมากขึ้น
พอบุ เติม มนว นิ

ูก า ี

1 ลักษณะ ด างที่ชาลีไดรั การถายทอดจากพอ ุญเติม


2 ลักษณะ ด างที่ชาลีไดรั การถายทอดจากแมนวลนิล
ลักษณะ ดของชาลีที่ไมเหมือนทั้งพอ ุญเติมและแมนวลนิล
. ตอบคา ามตอ ปนี
น ก กรรม กทักษะ 1) ลักษณะทางพันธุกรรมหมายถึงอะไร
ขอ 3. ) ลัก ะรูปราง และสีขน 2 การถายทอดลักษณะทางพันธุกรรมมีปราก นพืชหรือไม อยางไร
) ลัก ะรูปราง ลักษณะ างลักษณะของลูกที่แตกตางออกไปจากพอ แม ปู ยา ตา ยาย
) สีขนบริเว ใบหู เรียกวาอะไร
ขอ 4. สุชาติพูดภาษาอังก ษเกงเหมือนพอ เปนการถายทอดลักษณะทางพันธุกรรม
) ลัก ะทางพันธุกรรม หมาย ง ลัก ะ หรือไม เพราะอะไร
ของสิ่งมีชีวิตที่ ายทอด ากพอแม ปสูลูก ด และ 5 ถา สมพันธุตนกุหลา ที่มีดอกสีแดงกั ตนกุหลา ที่มีดอกสีขาว แลวได
ายทอด ากรุนหน่ง ปยังอีกรุนหน่งตอ ปเรื่อย ตนกุหลา ที่มีดอกสีแดงทั้งหมด นักเรียนคิดวาลักษณะเดนคืออะไร
) มี เชน ลัก ะของลําตน สีของดอก
ลัก ะของใบ
) ลัก ะแปร ัน
กิจกรรม ทาทายการคิดขัน้ สูง
) มเปน เพราะการพูด า าอังกฤ เปน
ทัก ะการพูดที่ตองหมั่น ก น ง มใชลัก ะที่ 64
ายทอดทางพันธุกรรม ด
) ดอกสีแดง คือ ลัก ะเดน

ขอสอบเนน การคิด
อ ม เ า า าย อ า นุ ม
1. ผมมีสีดํา
. มีลักยิ้ม
3. วิ่งไดเร็ว
4. ติ่งหูยาว
(วเ า ห าตอบ การวิ่ง ดเรวเปนทัก ะเ พาะบุคคลที่ ดรับ
การ ก น ่ง มเกี่ยวของกับการ ายทอดลัก ะทางพันธุกรรม
ดังนั้น ขอ งเปนคําตอบที่ ูกตอง)

T72
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ ประ มน

·Ñ¡ÉÐáË‹§ÈµÇÃÃÉ·Õè
✓การสื่อสาร ✓ ความรวมมือ ✓ การแกปญหา
1. ครูประเมินผลจากการสังเกตพ ติกรรมการ
✓การสรางสรรค การคิดอยางมีวิจารณญาณ ตอบคําถาม พ ติกรรมการทํางานรายบุคคล
✓การ ชเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร พ ติกรรมการทํางานกลุม และจากการนํา
กิจกรรม เสนอผลการทํากิจกรรมหนาชั้นเรียน
ÊÌҧÊÃ䏼ŧҹ 2. ครูตรวจสอบผลการเขียนแผนผังแสดงลักษ ะ
การถายทอดลักษ ะทางพัน ุกรรมจากเ ลล
แบงกลุม กลุมละ 3-4 คน จากนั้นชวยกันออกแบบและ สืบพัน ุของพืชจากกระดาษแข็งแผนใหญ
ประดิษฐโมบายแขวนแสดงการถายทอดลักษณะทางพันธุกรรม 3. ครู ต รวจผลการสรุ ป ความรู  เ กี่ ย วกั บ การ
ของสมาชิกในกลุม 1 คน จากรุนปู ยา ตา ยาย รุนพอ แม และ ถายทอดลักษ ะทางพัน ุกรรมของสิ่งมีชีวิต
รุนตนเองมากลุมละ 1 ชิ้นงาน พรอมตกแตงใหสวยงาม จากสมุด
จากนั้นนําเสนอผลงานภายในชั้นเรียน 4. ครูตรวจผลการทํากิจกรรมฝกฝนทักษะบทที่
ในสมุดประจําตัวหรือแบบฝกหัดวิทยาศาสตร
ป.5 เลม 1
µÑÇÍ‹ҧ ¼Å§Ò¹¢Í§ ѹ
5. ครูตรวจสอบผลการทํากิจกรรมทาทายการคิด
ขั้นสูงในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1
6. ครู ต รวจชิ้ น งาน ผลงานโมบายแขวนแสดง
การถ า ยทอดลั ก ษ ะทางพั น ุ ก รรมใน
ครอบครัวของสมาชิกในกลุม และการนําเสนอ
ชิ้นงาน ผลงาน หนาชั้นเรียน
7. ครูตรวจสอบผลการทํากิจกรรมทบทวนทาย
หน ว ยการเรี ย นรู  ที่ เรื่ อ ง สิ่ ง มี ชี วิ ต กั บ
สิ่งแวดลอม จากในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร
ป.5 เลม 1
8. ครูตรวจสอบผลการทําแบบทดสอบหลังเรียน
ของหนวยการเรียนรูที่

ภาพที่ 2. ตัวอยางโม ายแขวนแสดงการถายทอดลักษณะทางพันธุกรรม

65

ขอสอบเนน การคิด แน ก ร ดแ ะ ระเ น


อ าว ตอ เ ยว บ อ เมนเ ครู ส ามารถวั ด และประเมิ น ผลชิ้ น งาน ผลงานโมบายแขวนแสดงการ
1. ลักษ ะตาง ของสิ่งมีชีวิตที่ปราก ออกมา ถูกควบคุม ถายทอดลักษ ะทางพัน ุกรรมในครอบครัวของสมาชิกในกลุม โดยศึกษา
โดยโครโมโ ม เก ประเมินผลงานจากแบบประเมินผลงาน ชิ้นงานที่แนบทายแผนการจัด
. การถายทอดลักษ ะทางพัน ุกรรมแตละลักษ ะไมเปน การเรียนรูของหนวยการเรียนรูที่ สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดลอม ดังภาพตัวอยาง
อิสระตอกัน
3. ถารุนพอแมเปนพัน ุแท ลักษ ะที่ปราก ออกมาในรุนลูก การประเมินชิ้นงาน/ภาระงาน (รวบยอด) (แผนฯ ที่ 9)
ฉ)
แบบประเมินผลงานการประดิษฐ์โมบายแขวนแสดงการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม
ในครอบครัวของสมาชิกในกลุ่ม
เกณ ์การประเมินผลงานการประดิษฐ์โมบายแขวนแสดงการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม
ในครอบครัวของสมาชิกในกลุ่ม (แผนฯ ที่ 9)

คาอธิบายระดับคุณภาพ/ระดับคะแนน
รายการประเมิน

เรียกวา ลักษ ะดอย ลาดับที่ รายการประเมิน 3


(ดี)
ระดับคุณภาพ
2 1
(พอใช้) (ปรับปรุง)
1. การออกแบบชิ้นงาน
ดี (3)
ชิ้นงานมความถูกต้อง

เหมา สม รู แบบ
พอใช้ (2)
ชิ้นงานมความถูกต้อง

เหมา สม รู แบบ
ปรับปรุง (1)
ชิ้นงานมความถูกต้อง
ตาม ่ออกแบบ ว้ มขนาด ตาม ่ออกแบบ ว้ มขนาด ตาม ่ออกแบบ ว้ มขนาด
เหมา สม รู แบบ

4. สัดสวนของลักษ ะเดนตอลักษ ะดอยเปน 3 1 เสมอ


1 การออกแบบชิ้นงาน น่าสนใ แ ลกตา แล น่าสนใ แล สร้างสรรค์ น่าสนใ
2 การเลือกใช้วัสดุเพื่อสร้างชิ้นงาน สร้างสรรค์ด
3 ความถูกต้องของเนื้อหา 2. การเลือกใช้วัสดุเพื่อ เลือกใช้วัสดุมาสร้าง เลือกใช้วัสดุมาสร้าง เลือกใช้วัสดุมาสร้าง
4 การสร้างสรรค์ชิ้นงาน สร้างชิ้นงาน ชิ้นงานตาม ่กาหนด ด้ ชิ้นงานตาม ่กาหนด ด้ ชิ้นงาน ม่ตรงตาม ่
ถูกต้อง แล วัสดุมความ ถูกต้อง แล วัสดุมความ กาหนด แต่วัสดุมความ
5 กาหนดเวลาส่งงาน
เหมา สมกับการสร้าง เหมา สมกับการสร้าง เหมา สมกับการสร้าง

(วเ า ห าตอบ เมนเดล ดสรุปก การ ายทอดลัก ะทาง รวม

ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
............./.................../..............
3. ความถูก ้องของ
เนื้อ า
ชิ้นงานดมาก
าแนกกลุ่มพืชออกเ น

ม่มดอก ด้ถูกต้อง
ชิ้นงานด
าแนกกลุ่มพืชออกเ น

ม่มดอก ด้ถูกต้องบ้าง
ชิ้นงาน
าแนกกลุ่มพืชออกเ น
กลุ่มพืชดอก แล กลุ่มพืช กลุ่มพืชดอก แล กลุ่มพืช กลุ่มพืชดอก แล กลุ่มพืช
ม่มดอก ด้ถูกต้องน้อ

พันธุกรรมวา ลัก ะตาง ของสิ่งมีชีวิตที่ปราก ะ ูกควบคุม 4. การสร้างสรรค์


ชิ้นงาน
5. กา นดเวลาส่งงาน
ครบถ้วน
ตกแต่งชิ้นงาน ด้สว งาม ตกแต่งชิ้นงาน ด้สว งาม ตกแต่งชิ้นงาน ด้สว งาม
ดมาก ด น้อ
ส่งชิ้นงาน า ในเวลา ่ ส่งชิ้นงานช้ากว่ากาหนด ส่งชิ้นงานช้ากว่ากาหนด

โดยยีน ลัก ะทางพันธุกรรมแตละลัก ะเปนอิสระตอกัน า


กาหนด วัน เกิน 3 วันข้น

เกณ ์การ ดั สินคุณภาพ

รุนพอแมเปนพันธุแท ลัก ะที่ปราก ออกมาในรุนลูก ะเรียก


ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14-15 ดีมาก
11-13 ดี
8-10 พอใช้
่ากว่า 8 ปรับปรุง

วา ลัก ะเดน สัดสวนของลัก ะเดนตอลัก ะดอยเปน


เสมอ ดังนั้น ขอ งเปนคําตอบที่ ูกตอง)
T73
Chapter Overview

นการ ั ักษ ะ
่ ที่ ช ประ น ประ มน ทักษะที่
การ ร นร ัน ึ ประ
น ที่ แ ทดสอ กอนเรียน 1. อธิ ายการหาแรงลัพธ แ สื เสาะ ตรวจแ ทดสอ กอนเรียน ทักษะการสังเกต มีวินัย
ั หนังสือเรียนวิทยาศาสตร ของแรงหลายแรง น หาความรู ตรวจการทํากิจกรรม น ทักษะการทดสอ เรียนรู
ป.5 เลม 1 แนวเดียวกันที่กระทํา 5 สมุดหรือ นแ กหัด สมมติฐาน มุงมัน่ น
3 แ กหัดวิทยาศาสตร ตอวัตถุได วิทยาศาสตร ทักษะการสรุป การทํางาน
ชั่วโมง ป.5 เลม 1 2. ทําการทดลองเกี่ยวกั การนําเสนอ ลการ อางอิง
วัสดุ อุปกรณการทดลอง การหาแรงลัพธของ การเรียนรู ทํากิจกรรม ทักษะการทํางาน
กิจกรรมที่ 1 แรงหลายแรง นแนว แ รวมมือ การนําเสนอชิน้ งาน ลงาน กลุม
วัสดุ อุปกรณกิจกรรม เดียวกันที่กระทําตอ เทคนิคเรียน ตรวจชิ้นงาน ลงาน ทักษะการเชื่อมโยง
สรางสรรค ลงาน วัตถุได รวมกัน กระถางแขวนสําหรั ทักษะการ ห
- PowerPoint . เขียนแ นภาพแสดง ปลูกพืช เหตุ ล
การหาแรงลัพธ แรงที่กระทําตอวัตถุท่ี สังเกตพ ติกรรม
สมุดประจําตัวนักเรียน อยู นแนวเดียวกันได .. การทํางานราย ุคคล
. เขียนแ นภาพแสดง สังเกตพ ติกรรม
แรงลัพธที่กระทําตอ การทํางานกลุม
วัตถุได สังเกตคุณลักษณะ
5. มุงมั่น นการเรียนรู อันพึงประสงค
และการทํางานที่ไดรั
มอ หมายตลอดเวลา

น ที่ หนังสือเรียนวิทยาศาสตร 1. สังเกตและระ ุ ลของ แ สื เสาะ ตรวจการทํากิจกรรม น ทักษะการสังเกต มีวินัย


น ป.5 เลม 1 แรงเสียดทานที่มีตอ หาความรู สมุดหรือ นแ กหัด ทักษะการทดสอ เรียนรู
แ กหัดวิทยาศาสตร การเปลีย่ นแปลงการ 5 วิทยาศาสตร สมมติฐาน มุงมั่น น
3 ป.5 เลม 1 เคลื่อนทีข่ องวัตถุได
วัสดุ อุปกรณการทดลอง 2. ทดลองเกีย่ วกั ลของ
การนําเสนอ ลการ
ทํากิจกรรม
ทักษะการสรุป
อางอิง
การทํางาน
ชั่วโมง กิจกรรมที่ 1 แรงเสียดทานที่มีตอ วิธีสอน สังเกตพ ติกรรม ทักษะการทํางาน
- PowerPoint การเปลี่ยนแปลงการ โดย ชการ การทํางานราย ุคคล กลุม
ปจจัยที่มี ล เคลื่อนที่ของวัตถุได ทดลอง สังเกตพ ติกรรม ทักษณะการ
ตอแรงเสียดทาน . หความสน จและ ห การทํางานกลุม วิเคราะห
สมุดประจําตัวนักเรียน ความรวมมือ นการ สังเกตคุณลักษณะ ทักษะการ ห
เรียนรูตลอดเวลา อันพึงประสงค เหตุ ล

น ที่ หนังสือเรียนวิทยาศาสตร 1. ระ ุประโยชนของแรง แ สื เสาะ ตรวจแ ทดสอ หลังเรียน ทักษะการสังเกต มีวินัย


นข ป.5 เลม 1 เสียดทานที่มีตอการ หาความรู ตรวจการทํากิจกรรม น ทักษะการทดสอ เรียนรู
น แ กหัดวิทยาศาสตร เปลีย่ นแปลงการ 5 สมุดหรือ นแ กหัด สมมติฐาน มุงมั่น น
ป.5 เลม 1 เคลื่อนที่ของวัตถุได วิทยาศาสตร ทักษะการสรุป การทํางาน
2 วัสดุ อุปกรณกิจกรรม 2. ทําการทดลองเกี่ยวกั
สรางสรรค ลงาน ประโยชนของแรง
การนําเสนอ ลการ
ทํากิจกรรม
อางอิง
ทักษะการทํางาน
ชั่วโมง - PowerPoint เสียดทานได การนําเสนอชิน้ งาน ลงาน กลุม
สมุดประจําตัวนักเรียน . มีความรั ดิ ชอ ตอ ตรวจชิ้นงาน ลงาน ทักษะการนํา
แ ทดสอ หลังเรียน งานที่ไดรั มอ หมาย รองเทาสําหรั ูสูงอายุ ความรูไป ช
ัตรภาพ สังเกตพ ติกรรม ประโยชน
การทํางานราย ุคคล
สังเกตพ ติกรรม
การทํางานกลุม
สังเกตคุณลักษณะ
อันพึงประสงค

T74
Chapter Concept Overview
หน่วยการเรียนรู้ที่ 3
ร ั
รง ัพธ คือ ลรวมของแรงตั้งแต 2 แรงขึ้นไป ที่รวมกันกระทําตอวัตถุเดียวกัน แลวมี ลทํา หวัตถุเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนที่ไปตาม
ลของแรงลัพธ ซึ่ง นการหาแรงลัพธจะตองพิจารณาจากขนาดและทิศทางของแรงที่มากระทําตอวัตถุนั้น โดยมี กรณี ดังนี้
1. แรงลัพธที่เกิดจากแรง 2 แรงขึ้นไป มากระทําตอวัตถุที่อยูนิ่ง นแนวเดียวกัน และมี แรง 1 แรงลัพธ
ทิศทางเดียวกัน คาของแรงลัพธจะเทากั ลรวมของแรงทั้งหมด และแรงลัพธจะมี แรง 2 วัตถุ
ทิศทางเดียวกั แรงที่มากระทํา
แรงลัพธ
2. แรงลัพธที่เกิดจากแรง 2 แรง ที่มีขนาดไมเทากัน มากระทําตอวัตถุที่อยูนิ่ง นแนว
แรง 1 วัตถุ แรง 2
เดียวกัน แตทิศทางตรงขามกัน คาของแรงลัพธจะไดจากการหักลางกันของแรงทั้ง
สอง างสวน และแรงลัพธทเี่ กิดขึน้ จะมีทศิ ทางเดียวกันกั ทิศทางของแรงทีม่ ากกวา

. แรงลัพธที่เกิดจากแรง 2 แรง ที่มีขนาดเทากัน มากระทําตอวัตถุที่อยูนิ่ง นแนว แรงลัพธเปนศูนย


เดียวกัน แตทิศทางตรงขามกัน แรงทั้งสองจะหักลางซึ่งกันจนหมด แรงลัพธจึงมีคา แรง 1 วัตถุ แรง 2
เปนศูนย วัตถุจึงหยุดนิ่งและไมมีการเคลื่อนที่

ร ี ทาน
รงเสีย าน คือ แรงที่เกิดขึ้นระหวาง ิวสัม ัสของวัตถุสองชนิด โดยเปนแรงที่ ิววัตถุหนึ่งตานการเคลื่อนที่ของ ิววัตถุอีก ิวหนึ่ง
แรงเสียดทานเปนแรงที่มีทิศทางตรงขามกั ทิศทางการเคลื่อนที่ของวัตถุ ซึ่งสามารถเขียนแ นภาพแสดงแรงเสียดทานที่ตานทาน
การเคลื่อนที่ของวัตถุได ดังนี้

ทิศทางการเคลื่อนที่ของวัตถุ
วัตถุ

แรงเสียดทานที่เกิดขึ้น

แรงเสียดทานที่เกิดขึ้นกั วัตถุจะมีคามากหรือมีคานอยขึ้นอยูกั ปจจัย ดังนี้


. นาหนัก รงก องวัต ุ
วัตถุมีนํ้าหนักนอย แรงกดของวัตถุที่กระทําตอพื้น ิวจะมีนอย ทํา หมีแรงเสียดทานนอย
วัตถุมีนํ้าหนักมาก แรงกดของวัตถุที่กระทําตอพื้น ิวจะมีมาก ทํา หมีแรงเสียดทานมาก
2. นิ องพืนผิวสัมผัส
พื้น ิวเรีย หากพื้น ิวสัม ัสของวัตถุทั้ง 2 ชนิด เรีย จะเกิดแรงเสียดทานนอย
พื้น ิวไมเรีย หากพื้น ิวสัม ัสของวัตถุทั้ง 2 ชนิด ไมเรีย จะเกิดแรงเสียดทานมาก

T75
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นา

3
กระ น าม น หนวยการเรียนรู ี
1. ครูทักทายกับนักเรียน จากนั้นแจงจุดประสงค
การเรียนรูใหนักเรียนทราบ
2. ครูยกตัวอยางสถานการ ใหนักเรียน งวา
áç㹪ÕÇµÔ »ÃШíÒÇѹ
“หากมีตู 1 หลังอยูในหองเรียน และตองการ áçÅѾ¸ ¤×Í ¼ÅÃÇÁ¢Í§áçËÅÒÂáç·Õ¡è ÃзíÒ
เคลือ่ นยายตูอ อกจากหอง นักเรียนจะมีวิ กี าร µ‹ÍÇѵ¶Øà´ÕÂǡѹ㹷ÔÈ·Ò§à´ÕÂǡѹ ËÃ×ͼŵ‹Ò§¢Í§
เคลือ่ นยายอยางไรใหสะดวกและรวดเร็วทีส่ ดุ ” áçÊͧáç·Õ¡è ÃзíÒµ‹ÍÇѵ¶Øã¹·ÔÈ·Ò§µÃ§¢ŒÒÁ¡Ñ¹
ÊíÒËÃѺÇѵ¶Ø·ÍÕè ÂÙ¹‹ §Ôè áçÅѾ¸¨ÐÁÕ¤Ò‹ ໚¹Èٹ
จากนั้นใหนักเรียนรวมกันแสดงความคิดเห็น áçàÊÕ´·Ò¹ ¤×Í áç·Õàè ¡Ô´¢Ö¹é ÃÐËÇ‹Ò§¼ÔÇÊÑÁ¼ÑÊ
โดยครูตั้งคําถาม ดังนี้ ¢Í§Çѵ¶Ø ª¹Ô´ à¾×Íè µŒÒ¹¡ÒÃà¤Å×Íè ¹·Õ¢è ͧÇѵ¶Ø¹¹Ñé æ
าน เ ยน าเ อน ยายต น เ ยน áÅÐÁÕ·ÈÔ ·Ò§µÃ§¢ŒÒÁ¡Ñº¡ÒÃà¤Å×Íè ¹·Õ¢è ͧÇѵ¶Ø¹¹Ñé æ
หเ อน วย าเนน า อยา
(แนวตอบ ชวยกันออกแรง ลัก ดัน หรือดง
ตูใหเคลื่อนที่)
น เ ยน มว า ออ แ อยา ห
เ อนยายต เ ว น
(แนวตอบ ชวยกันออกแรง ลักหรือดง ปใน
ทางเดียวกัน)
น เ ยน เ ตเหน า ออ แ แ า
เ อน อ ตนนเ นอยา
( แนวตอบ แรงที่ ก ระทํ า และทิ ศ ทางการ
เคลื่อนที่ของตู ปในทิศทางเดียวกัน)
3. ครูใหนักเรียนทําแบบทดสอบกอนเรียนหนวย
การเรียนรูที่ 3 เรื่อง แรงในชีวิตประจําวัน
4. ครูใหนักเรียนอานสาระสําคัญและดูภาพ จาก
หนังสือเรียนวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1 หนานี้
จากนัน้ ถามนักเรียนวา ภาพนีเ้ กีย่ วของกับแรง
อยางไรบาง แลวใหนกั เรียนแสดงความคิดเห็น
รวมกัน µÑǪÕéÇÑ´
(แนวตอบ เกี่ยวของกับแรงเสียดทาน ทําใหมี 1. อธิ ายวิธีการหาแรงลัพธของแรงหลายแรง นแนวเดียวกันที่กระทําตอวัตถุ นกรณีที่วัตถุอยูนิ่งจากหลักฐานเชิงประจักษ
(ม . ว 2.2 ป.5 )
การเคลื่อนที่เรวข้นหรือชาลง) 2. เขียนแ นภาพแสดงแรงที่กระทําตอวัตถุที่อยู นแนวเดียวกันและแรงลัพธที่กระทําตอวัตถุ (ม . ว 2.2 ป.5 2)
3. ชเครื่องชั่งสปริง นการวัดแรงที่กระทําตอวัตถุ (ม . ว 2.2 ป.5 )
4. ระ ุ ลของแรงเสียดทานที่มีตอการเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนที่ของวัตถุจากหลักฐานเชิงประจักษ (ม . ว 2.2 ป.5 )
5. เขียนแ นภาพแสดงแรงเสียดทานและแรงที่อยู นแนวเดียวกันที่กระทําตอวัตถุ (ม . ว 2.2 ป.5 5)

เกร็ดแนะครู
ในการเรียนรูหนวยการเรียนรูที่ 3 นี้ ครูควรจัดกระบวนการเรียนรูโดยให
นักเรียนป ิบัติกิจกรรมรวมกัน ดังนี้
• ทดลองเกี่ยวกับการหาแรงลัพ ของแรงสองแรงในแนวเดียวกัน
• ทดลองและอ ิบายผลของแรงเสียดทานที่มีตอการเคลื่อนที่ของวัตถุ
โดยครูควรใหนกั เรียนไดลงมือป บิ ตั กิ จิ กรรมดวยตนเอง จนเกิดเปนความรู
ความเขาใจที่ถูกตอง รวมทั้งสามารถนําวิ ีการทางวิทยาศาสตรและทักษะ
กระบวนการทางวิทยาศาสตรมาใชคนหาคําตอบเกี่ยวกับประเด็นที่สงสัยได

T76
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นา
กระ น าม น
ศัพทนารู
º··Õè 1 à  คําศัพท
resultant force
คําอาน
ริ'ซัลทันท ฟอซ
คําแปล
แรงลัพธ
5. ครูใหนักเรียนแตละคนคิดกิจกรรมคนละ 1
กิจกรรม เกี่ยวกับการใชแรงในชีวิตประจําวัน
force ฟอซ แรง และครูสุมนักเรียน 3-4 คน ออกมาเขียน
push พุช ผลัก กิจกรรมที่คิดไวบนกระดาน จากนั้นครูและ
pull พุล ดึง นักเรียนรวมกันแสดงความคิดเห็นวากิจกรรม
ที่เพื่อนเขียนบนกระดานใชแรงอะไรบาง
6. นักเรียนดูภาพในหนาบทที่ 1 แรงลัพ  จาก
หนังสือเรียนหนานี้ แลวชวยกันตอบคําถาม
force สําคัญประจําบทวา
•แ ออ แ ม อยา
resultant force (แนวตอบ แรงลัพธ คือ ลรวมของแรงตั้งแต
แรงข้น ป ทีร่ ว มกันกระทําตอวัต เุ ดียวกัน
งมี ลทํ า ให วั ต ุ นั้ น เปลี่ ย นแปลงการ
pull เคลื่อนที่ ปตาม ลของแรงลัพธ)
7. นั ก เรี ย นร ว มกั น อ า นคํ า ศั พ ท ที่ เ กี่ ย วข อ งกั บ
แรงลัพ จากหนังสือเรียนหนานี้

çÅÑ ¤ÍÍÐäÃ

? ÅÐÁÕÅѡɳÐ
Í‹ҧäÃ

67

นกเร นค รรู
นักเรียนเรียนรูและฝกอานคําศัพทวิทยาศาสตร ดังนี้
า าอาน าแ
resultant force ริ ลั ทันท อ แรงลัพ 
force อ แรง
push พุช ผลัก
pull พุล ดึง

T77
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นา
กระ น าม น
8. นักเรียนแบงกลุม กลุมละ -3 คน จากนั้น
กิจกรรม
ใหแตละกลุมรวมกันทํากิจกรรมนําสูการเรียน
โดยอานสถานการ จากหนังสือเรียนหนานี้
นําสูก ารเรียน
È¡ Ò¢ŒÍÁÙŨҡÀÒ¾ áŌǵͺ¤íÒ¶ÒÁ
แลวชวยกันตอบคําถามทั้ง 3 ขอ โดยเขียน
คํ า ตอบลงในสมุ ด หรื อ ทํ า ลงในแบบฝกหั ด ¹§Ò¹¡Õ ÒÊÕ ÃÐ Ò Í§ çàÃÕ¹ ‹§ ¹§ ÁÕ¡Òà ‹§ ѹ Ñ¡à‹Í
วิทยาศาสตร ป.5 เลม 1 และนําเสนอคําตอบ ÃÐ Ç‹Ò§·ÕÁÊÕ ŒÒ¡Ñº·ÕÁÊÕ ´§ §ÁÕÊÁÒ Ô¡ Ò ¹·ÕÁ ·ÕÁÅÐ ¤¹
ของกลุมหนาชั้นเรียน เพื่ออภิปรายและสรุป ´ÂÊÁÒ Ô¡ µ‹ÅФ¹ Ò ¹·ÕÁä´ŒÍÍ¡ ç ¹¡Òô§à Í¡à·‹Ò ¡Ñ¹
คําตอบรวมกัน
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม)

Ç¡àÃÒÍ‹ÒÂÍÁ Œ
Ç¡àÃÒ ‹Ç¡ѹÍÍ¡ ç Í‹ÒÂÍÁ Œ
ÊŒ ŒÁÒ¡ ¹ ¹‹Í äÁ‹ÂÍÁ ÊŒ
ÂàÅ Â

ีมสี า ีมสี ง
น ก กรรมนา การ รี น
เคลื่อนที่ ม ดเพราะ ามีการกระทําตอวัต ุใน
ทิศทางตรงขาม โดยคาของแรงเทากัน ะทําให
Ò¡·ÕÁÊÕ ŒÒ ÅзÕÁÊÕ ´§´§à Í¡´ŒÇ ç·Õ෋ҡѹ à Í¡ Ðà¤Å͹·Õ ÃÍäÁ‹ à ÃÒÐÍÐäÃ
เชือก มเคลื่อนที่หรือเคลื่อนที่ ดนอย Ò¡¡ÃÃÁ¡Òà Œ·ÕÁÊÕ ´§à ÔÁÊÁÒ Ô¡ä´ŒÍÕ¡ ¤¹ ÅÅÑ  Ðà ¹Í‹ҧäà à ÃÒÐÍÐäÃ
เชือก ะเคลือ่ นทีม่ าทางทีมสีแดง เพราะทีมสีแดง
มี ลรวมหลายแรงที่ ก ระทํ า ต อ วั ต ุ เ ดี ย วกั น Ò¡µŒÍ§¡ÒÃ·Ò Œà Í¡ÁÕ¡ÒÃà¤Å͹·Õä ·Ò§ ่§·ÕÁÊÕ ŒÒ ¹Ñ¡àÃÕ¹¤Ô´Ç‹ÒµŒÍ§·ÒÍ‹ҧäÃ
มากกวาทีมสี า
เพิ่ ม สมาชิ ก ให กั บ ที ม สี ามากกว า ที ม สี แ ดง
เพราะทีมสี ามีแรงมากระทําตอวัต ุเพิ่มมาก 68
ข้น งทําใหมี ลรวมของแรงที่กระทําตอวัต ุ
เดียวกันมากกวาทีมสีแดง

เกร็ดแนะครู ขอสอบเนน การคิด


ในการเรียนบทที่ 1 นี้ ครูควรจัดกระบวนการเรียนรูใหนักเรียนป ิบัติ ดังนี้ หา มา ตว มา า มา น เ แ แ
• สังเกตแรงลัพ ที่เกิดขึ้นเมื่อมีแรงหลายแรงกระทําตอวัตถุ 1. 1 แรง
• ทดลองเกี่ยวกับผลของแรงลัพ  . แรง
• อภิปรายผลการทดลองและลงขอสรุป 3. 3 แรง
• อภิปรายเกี่ยวกับการนําแรงลัพ ไปใชประโยชน 4. แรง
จนเกิดเปนความรูความเขาใจวา แรงลัพ  คือ ผลของแรงหลายแรงที่ (แนวตอบ แรงลัพธ คือ ลรวมของแรงหลายแรงที่มากระทําตอ
ร ว มกั น กระทํ า ต อ วั ต ถุ เ ดี ย วกั น แล ว มี ผ ลทํ า ให วั ต ถุ เ กิ ด การเปลี่ ย นแปลง วัต ุเดียวกัน แลวมี ลทําใหวัต ุเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนที่ ปตาม
การเคลื่อนที่ไปตามผลของแรงลัพ  ลของแรงลัพธ ่งมา ตัว ชวยกันลากร มาคันเดียวกัน งเกิด
แรงลัพธ แรง ดังนั้น ขอ งเปนคําตอบที่ ูกตอง)

T78
นํา สอน สรุป ประเมิน

หนวยการเรียนรูที่ 3 ขัน้ น
áç㹪ÕÇÔµ»ÃШíÒÇѹ าร น า
1
1. à  1. นักเรียนทุกคนรวมกันศึกษาขอมูลและภาพ
เกี่ยวกับแรงและแรงลัพ  จากหนังสือเรียน
นชีวิตประจําวันของเรา มีกิจกรรมหลายอยางที่เราตองออกแรงกระทํา
หนานี้ จากนั้นชวยกันตอบคําถามวา กิจกรรม
ตอวัตถุตาง เชน เปด ปดประตู หยิ สิ่งของ ยกกลองลัง ตีปงปอง ดึงเชือก ใดบางที่ตองมีการออกแรงหลายแรงรวมกัน
รง หมายถึง การกระทําที่ทํา หวัตถุที่หยุดนิ่งเปลี่ยนเปนเคลื่อนที่ หรือ เพื่อทําใหวัตถุเคลื่อนที่
ทํา หวัตถุที่กําลังเคลื่อนที่มีความเร็วเพิ่มขึ้น ชาลง หยุดนิ่ง หรือเปลี่ยนแปลง 2. ครูขออาสาสมัครนักเรียนมาตอบคําถาม -3
ทิศทางไป การออกแรงกระทําตอวัตถุอาจมีแรงหลายแรงมากระทําตอวัตถุ คน
รวมกัน โดย ลรวมของแรงหลายแรงนี้ เราเรียกวา รง ัพธ (แนวตอบ เชน ลากร และเขนร เลนกับสุนัข
เลนชักเยอ)
เ นกับสุนั เ น กั เยอ 3. ครูอ ิบายใหนักเรียน งเพื่อขยายความเขาใจ
วา การออกแรงหลายแรงกระทําตอวัตถุใน
ทิศทางเดียวกัน จะมีคาเทากับแรงเพียงแรง
เดียว ผลลัพ ของแรงหลายแรงนี้ เรียกวา
แรงลัพ 

2
กว ิง า เ นร

ากร เ นร ภาพที่ .1 ตัวอยางการออกแรงกระทําตอวัตถุ

¡Ô ¡ÃÃÁ ´ºŒÒ§·ÕµŒÍ§ÍÍ¡ ç ÅÒÂ


çËÇÁ¡Ñ¹ à Í·Ò ÇŒ µÑ à¤Å͹·Õ

69

ขอสอบเนน การคิด น O-NET นกเร นค รรู


า ออ แ อ า แ อแ เ าห า น 1 แ ถาแรงลัพ ท กี่ ระทําตอวัตถุ ทําใหวตั ถุเกิดการเปลีย่ นแปลงสภาพ
1. . การเคลือ่ นที่ แรงลัพ ท เี่ กิดขึน้ นัน้ ไมเปนศูนย แตถา แรงลัพ ท กี่ ระทําตอวัตถุนนั้
ไมทําใหวัตถุเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนที่ แรงลัพ ที่เกิดขึ้นจะมีคาเปนศูนย
3. 4. 2 เ น คือ การดันสิ่งที่ติดขัดใหเคลื่อนที่ไปบนพื้น เชน เข็นเรือที่เกยตื้น
ใหลงนํ้า เข็นรถใหเคลื่อนที่ เข็นเกวียนขึ้นจากหลม

( วเ า ห าตอบ าก าพ ทิ ศ ทางของแรงแสดงแทนด ว ย
่งในขอ - ทิศทางของแรงเปน ปในทิศทางเดียวกัน
ทําใหแรงลัพธรวมกัน สวนขอ ทิศทางของแรงตรงขามกัน
งหักลางกัน ดังนั้น ขอ งเปนคําตอบที่ ูกตอง)

T79
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ น
าร น า
4. นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน ใหแตละ
กลุมศึกษาขั้นตอนการทํากิจกรรมที่ 1 เรื่อง
¡Ô¨¡ÃÃÁ·Õè 1 ัก กร บวนการ
างวิ ยาศาสตร ี 
การหาแรงลัพ  ตอนที่ 1- โดยศึกษาขัน้ ตอน การหา รง ัพ ์ 1. การวัด
2. การสังเกต
การทํากิจกรรมจากหนังสือเรียน หนา - 1 . การทดลอง
5. ในชั่วโมงนี้ครูใชรูปแบบการสอนแบบรวมมือ ดประสง ์ . การพยากรณ
5. การ ชจํานวน
เทคนิค . . หรือ มาจัด 1. ทดลองเพื่ออธิ ายวิธีการหาแรงลัพธของแรงหลายแรง . การตีความหมายขอมูลและลงขอสรุป
. การจัดกระทําและสื่อความหมายขอมูล
กิจกรรมการเรียนรู เพื่อกําหนดใหสมาชิกของ นแนวเดียวกันที่กระทําตอวัตถุ นกรณีที่วัตถุอยูนิ่ง
นักเรียนแตละกลุมมีหนาที่ของตนเอง และให 2. เขียนแ นภาพแสดงแรงทีก่ ระทําตอวัตถุทอี่ ยู นแนวเดียวกัน
ทํางานรวมกัน และแรงลัพธที่กระทําตอวัตถุ
6. สมาชิกของแตละกลุมรวมกันทํากิจกรรมที่ 1 . ชเครื่องชั่งสปริง นการวัดแรงที่กระทําตอวัตถุตาง
ตอนที่ 1- แลวบันทึกผลลงในสมุดหรือใน
แบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1 ต้อง ตรียมต้อง ้
7. ครูใหตวั แทนแตละกลุม ออกมานําเสนอผลงาน 1. โตะเรียน 1 ตัว 5. ดินนํ้ามัน 2 กอน
ที่หนาชั้นเรียน โดยจับสลากหมายเลขกลุม 2. กระดาษแข็งแ น หญ 1 แ น . ถุงพลาสติกหูหิ้ว 1
จากนั้นใหแตละกลุมสงตัวแทนออกนําเสนอ . เครื่องชั่งสปริงแ แขวน 2 เครื่อง
ตามลําดับ . แหลงขอมูล เชน หนังสือ อินเทอรเน็ต

องทาดู µÍ¹·Õè
1. แ งกลุม กลุมละ คน แลวชวยกัน
นําดินนํ้ามัน 2 กอน สถุงพลาสติกหูหิ้ว
2. หรวมกันคาดคะเนและ ันทึกวา เมื่อนํา
ถุ ง พลาสติ ก หู หิ้ ว ที่ มี ก  อ นดิ น นํ้ า มั น มา
เกี่ยวที่ตะขอของเครื่องชั่งสปริงแ แขวน
และถือเครือ่ งชัง่ นแนวดิง่ ลจะเปนอยางไร
. ทําการทดลองเพือ่ ตรวจสอ ลการคาดคะเน
แลวอานคาของแรงและ ันทึก ลลง นสมุด
ภาพที่ .2 ทดลองหาแรงลัพธโดย ช
เครื่องชั่งสปริง 1 เครื่อง
70

เกร็ดแนะครู ก กรรมที่
ตา า บันทึกผลการทํากิจกรรม (ตอน )
เ น L.T. หรือ Learning Together คือ กระบวนการสอนหนึ่งของ
า า
รูปแบบการเรียนรูแบบรวมมือ โดยมีขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู ดังนี้ ( เ อ เ อ) ( เ อ เ อ)
1. นักเรียนแบงกลุม กลุมละเทา กัน จากนั้นครูและนักเรียนทบทวน วต ุ นามา เ อ เ อ
เนื้อหาเดิมหรือความรูพื้น านที่เกี่ยวของ า อ แ (นวตน) า อแ า อแ วม
. ครูแจกแบบฝกหัด ใบงาน หรือโจทย ใหนักเรียนทุกกลุม กลุมละ 1 ชุด (นวตน) (นวตน)
เหมือนกัน จากนั้นใหนักเรียนแบงหนาในการทํางาน นนามน (ผลขึ้นอยูกับดินนํ้ามันที่นํามาทํากิจกรรม)
3. นักเรียนทํากิจกรรม แลวนําเสนอผลงาน จากนั้นใหครูประเมินผลงาน อน
ของกลุม โดยเนนกระบวนการทํางานกลุม
ุ จากการทํากิจกรรม พบวา คาของแรงที่อานไดจากเครื่องชั่งสปริง เครื่อง
รวมกันมีคาเทากับคาของแรงที่อานไดจากเครื่องชั่งสปริง 1 เครื่อง

T80
นํา สอน สรุป ประเมิน

หนวยการเรียนรูที่ 3 ขัน้ น
áç㹪ÕÇÔµ»ÃШíÒÇѹ า ามร
1. นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ  ม ส ง ตั ว แทนกลุ  ม ออกมา
นําเสนอผลการทํากิจกรรม ตอนที่ 1- ที่หนา
ชั้นเรียน โดยครูจับสลากเลือกหมายเลขกลุม
. ชั่งนํ้าหนักดินนํ้ามัน 2 กอน อีกครั้งหนึ่ง จากนั้นใหแตละกลุมสงตัวแทนออกนําเสนอ
แตครั้งนี้ ห ชเครื่องชั่งสปริง 2 เครื่อง ตามลําดับ
โดยนําหูหิ้วของถุงพลาสติกเกี่ยวตะขอ 2. ครูและนักเรียนรวมกันสรุปความรูท ไี่ ดจากการ
ของเครือ่ งชัง่ ขางละหูและ หถอื เครือ่ งชัง่ ทดลอง จนไดขอสรุปวา การใชเครื่องชั่งสปริง
นแนวดิง่ เพือ่ อานคาของแรงจากเครือ่ ง 1 เครื่อง ชั่งสิ่งของจะเทากับหรือใกลเคียงกับ
ชั่งทั้ง 2 เครื่อง ผลรวมคาของแรงทีอ่ า นไดจากการใชเครือ่ งชัง่
5. ันทึก ลคาของแรงที่อานได จากนั้น สปริง เครื่อง ชั่งสิ่งของ ดังนั้น แรง แรง
นําขอมูลมาเขียนแ นภาพแสดงแรงที่ ทีม่ ที ศิ ทางเดียวกันจะมีแรงลัพ เ พียงแรงเดียว
อยู นแนวเดียวกันและแรงลัพธลง นสมุด ึ่งเปนผลรวมของแรงทั้งสองแรงนั่นเอง
. นําเสนอ ลการทดลอง จากนั้นรวมกัน ภาพที่ . ทดลองหาแรงลัพธโดย ช
อภิปรายและสรุป ลภาย นชั้นเรียน เครื่องชั่งสปริง 2 เครื่อง
µÍ¹·Õè
1. แตละกลุมสงตัวแทนทํากิจกรรมกลุมละ 2 คน โดย หออกแรง ลักโตะเรียนตัวเดียวกันไป
นทิศทางเดียวกัน พรอม กัน และ หสมาชิกที่เหลือชวยกันสังเกตและ ันทึก ล
2. รวมกันสรุป ลการทํากิจกรรม แลวนําขอมูลมาเขียนแ นภาพแสดงแรงลัพธของแรง
หลายแรง นแนวเดียวกันที่กระทําตอวัตถุ นกรณีที่วัตถุอยูนิ่ง ลง นกระดาษแข็งแ น หญ
และตกแตง หสวยงาม
. แตละกลุมนําเสนอ ลงานหนาชั้นเรียน เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกั เพื่อนกลุมอื่น

หนูตอบ ด้
. แรงลัพธคืออะไร จงอธิ ายมาพอสังเขป น น
2. การออกแรงดันโตะ 1 แรง กั การออกแรงดันโตะ 2 แรง จะมีความแตกตางกันหรือไม ขอ 3.
เพราะอะไร • ออกแรง ลั ก ร คนเดี ย ว เพราะหากเรา
. หากมีรถยนตจอดหนาประตู า นของนที แลวนทีตอ งการเลือ่ นรถออกไปดวยความเรงดวน เรียกคนอื่นมาชวยอา ทําใหเสียเวลามากข้นใน
นักเรียนคิดวา นทีควรเลือกออกแรง ลักรถคนเดียว หรือเรียก หคนอืน่ มาชวย เพราะเหตุ ด ส านการ ที่เรงดวน
• เรียกใหคนอื่นมาชวย เพราะ ะทําใหมีแรง
(หมายเหตุ คํา ามขอสุดทายของหนูตอบ ด เปนคํา ามที่ออกแบบให ูเรียน กใชทัก ะการคิดขั้นสูง 71
คือ การคิดแบบใหเหตุ ล และการคิดแบบโตแยง ่ง ูเรียนอา เลือกตอบอยางใดอยางหน่งก ด ใหครู มากระทําตอวัต ุเพิ่มข้น แรงลัพธ งมีคามากข้น
พิ าร า ากเหตุ ลสนับสนุน) ดวย งทําใหร เคลื่อนที่ ดเรวข้น

ก กรรมที่ กร
ตา า บันทึกผลการทํากิจกรรม (ตอน )
 à·¤¹Ô¤ ¤ÇÒÁ»ÅÍ´ÀÑÂ
า อ า อ แ น า แ แ
แรงกระทํา แรงลัพ 
ในการจับเครื่องชั่งสปริงควรจับที่หวงโลหะ ไมควรจับบนตัวสปริง และใน
น เ ยน น ออ แ โตะเรียนเคลื่อนที่ไป
ต เ ยน น ขางหนาในทิศทาง การอานคาบนเครื่องชั่งสปริง ข ะอานคาแรงดึงจากเครื่องชั่งสปริง ควรจัดให
โตะเรียน
า เ ยว น เดียวกัน สปริงทั้ง เครื่อง อยูในแนวระดับ
อม น
ุ ากการทํากิ กรรม พบวา เมื่อแรง แรงกระทําตอวัต ุเดียวกัน โตะเรียน)
ในทิศทางเดียวกัน คาของแรงลัพธ ะเทากับ ลรวมของแรง แรงรวมกัน แรงลัพธ
ะมีทิศทางเดียวกับแรงที่มากระทําตอวัต ุ วัต ุ งเคลื่อนที่ ปในทิศทางนั้นดวย

T81
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ น
า าม า
1. นักเรียนทุกคนศึกษาเนื้อหาเกี่ยวกับแรงลัพ 
รง ัพธ คือ ลรวมของแรงตั้งแต 2 แรงขึ้นไปที่รวมกันกระทําตอวัตถุ
วิ ีการหาแรงลัพ  และการใชประโยชนจาก
แรงลัพ  จากหนังสือเรียน หนา - เดียวกัน แลวมี ลทํา หวัตถุเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนที่ไปตาม ลของแรงลัพธ
2. ครูใหนกั เรียนจับคูก บั เพือ่ นแลวใหศกึ ษาขอมูล
เกี่ยวกับปจจัยที่มีผลตอแรงเสียดทานเพิ่มเติม
จากสื่อดิจิทัลจากในหนังสือเรียน หนา 3
โดยใชโทรศัพทมือถือสแกน เรื่อง
การหาแรงลัพ 
ภาพที่ . ตัวอยางการออกแรงกระทําตอวัตถุ
จากตัวอยาง เด็ก 1 คน เข็นรถ กั เด็ก 2 คน เข็นรถ แรงที่ทํา หรถ
เคลื่อนที่จะแตกตางกัน เนื่องจากเด็ก 2 คน ชวยกันเข็นรถยอมมีแรงกระทําตอ
รถมากกวา จึงทํา หรถเคลื่อนที่ไดงายกวา เพราะแรงของเด็ก 2 คน ที่กระทํา
นทิศทางเดียวกันจะเทากั ลรวมของแรงทั้งสองแรงนั้น
รง มีหนวยเปนนิวตัน และเพื่อทํา หเกิดความเขา จ นการหา
แรงลัพธ เราจะเขียนแ นภาพแสดงแรงที่กระทําตอวัตถุดวยการเขียนลูกศร
โดยเขียนหัวลูกศรแสดงทิศทางของแรง และเขียนความยาวลูกศรแสดงคาหรือ
ขนาดของแรงที่กระทําตอวัตถุ ถาออกแรงมากลูกศรจะยาว ถาออกแรงนอย
ลูกศรจะสั้น
2

หมายเหตุ กําหนด หความยาวลูกศร 1 ซม. เทากั แรง 1


ภาพที่ .5 ตัวอยางการเขียนลูกศรแสดงแรงที่กระทําตอวัตถุ
72

ขอสอบเนน การคิด น O-NET


ครูใหนักเรียนเรียนรูเกี่ยวกับวิ ีหาแรงลัพ เพิ่มเติมจากสื่อดิจิทัล โดยให า ออ แ นวตน า ต ห ม ยเ า อ
สแกน เรื่อง การหาแรงลัพ  จากหนังสือเรียน หนา 3 ึ่งจะปราก วยออ แ นวตน าย เนอ า เ อ ยนต ม า าน
คลิปวิดีโอ ดังภาพตัวอยาง าห า น า ห ม อ าเ า อ ม วยออ แ
ต ห ม า ตอ ออ แ เ า ามา า น
า ห ม
1. 1 นิวตัน . 1 1 นิวตัน
3. นิวตัน 4. 1 นิวตัน
(วเ า ห าตอบ ร ลาก ูง ะตองออกแรงเพิ่มข้น ากเดิมอีก
นิวตัน คือ นิวตัน ง ะลากร ข้น าก
หลม ด ดังนั้น ขอ งเปนคําตอบที่ ูกตอง)

T82
ตอน ี นวคิ สาคั วยกันสรุป ใหนักเรีย
●ครูให้นักเรียนช่วยกันพูดสรุปเกี่ยวกับลักษณะของแรงลัพธ์ และเขียนลงในสมุด รวบยอด

ตอน ี องคิ อง า นํา สอน สรุป ประเมิน



หหา าพ รง ัพธ ีพบเหน น ีวิตปร จาวันมาติ ง นสมุ บัน ก อมู ครูตรวจส
3
หนวยการเรียนรูที่
ขัน้ น
áç㹪ÕÇÔµ»ÃШíÒÇѹ า าม า โดยพิจา
แรงลัพธเปน ลรวมของแรงหลายแรงที่กระทําตอวัตถุเดียวกัน ซึ่งการหา
ภาพนี้ คือ 3. ใหนักเรียนนําความรูที่ไดจากการศึกษาขอมูลกับภาพ
แรงลัพธจะตองพิจารณาจากขนาดและทิ ลัก่มษณะแรงลั
ศทางของแรงที ากระทําตอวัพตธ์ถุทนั้นี่เกิดขึ้น
จากหนังสือเรียน หนา - และความรู
ครูตรวจส
พ )
โดย ลของแรงลัพธที่เกิดขึ(้นตมีิ ากรณี ดังนี้
จากการสแกน มูล เรือ่ ง การหาแรงลัพ 
การน�าไปใช้ประโยชน์ เรียนบันทึกขอ เรียน
ใหนักมาอภิ ป�ำต ย่ วกับแรงลัพ  วิ กี ารหาแรงลัพ 
รายเกี

ั น ก

ลงในสมุดประจ
. เมือ่ มีแรงหลายแรงมากระทําตอวัตถุทอี่ ยูน งิ่ นแนวเดียวกันและมีทศิ ทางเดียวกัน และการใชประโยชนจากแรงลัพ  และสรุป
ภายในชั้นเรียน โดยใหครูคอยอ ิบายเพิ่มเติม
คาของแรงลัพธจะเทากั ลรวมของแรงทั้งหมด และแรงลัพธจะมีทิศทางเดียว
ในสวนที่บกพรอง
กั แรงที่มากระทําตอวัตถุ วัตถุจึงเคลื่อนที่ไป นทิศทางนั้นดวย ตัวอยางเชน ใบบันทึก
ตอน ี คา ามวิ ยคิ สนุก บัตรภาพ
เด็กชาย 2 คน ลักตูไม แรงลัพธเทากั ลรวม
ตอบคา ามตอ ปนี ง นสมุ
นทิศทางเดียวกัน ของแรงทั้งสอง
๑) จากภาพ มีแรงลัพธ์เกิดขึ้นกี่แรง
แรง 1 ๒) ถ้ามีเลื่อน ๒ คัน เลื่อนคันหนึ่ง
แรง 2 2 มีสุนัขลาก ๕ ตัว ส่วนเลื่อนอีกคัน
แรงลัพธ มีสน ุ ขั ลาก ๗ ตัว แรงลัพธ์ทเี่ กิดขึน้
แตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร
๓) ถ้าเลื่อนคันที่มีสุนัขลาก ๗ ตัว
ออกแรงตัวละ ๓๐๐ นิวตัน ท�าให้
ภาพที่ . ตัวอยางแรงลัพธที่เกิดจากแรง 2 แรง ที่ไมเทากันกระทําตอวัตถุ นทิศทางเดียวกัน
เลือ่ นเริม่ เคลือ่ นที่ เลือ่ นคันทีม่ สี นุ ขั
วิธีหา รง ัพธ
แรง 1
ลาก
แรง 2
๕ ตัว สุนัขจะต้องออกแรง
ขนาดแรง 1 ขนาดแรง 2 ขนาดแรงลัพธ อย่างน้อยตัวละกีน่ วิ ตัน จึงจะท�าให้
2
แรงลัพธเลื่อนเคลื่อนที่ได้
วัตถุเคลื่อนที่ไปทางขวา
ดวยแรงลัพธขนาด
101
การ า รง ธ 73

ขอสอบ O-NET
ขอสอบป ’ 53 ออกเกี่ยวกับเรื่อง แรงลัขพอสอบเน
 น การคิด น O-NET เกร็ดแนะครู
ภาพการแข
า า แ นงขัา นวต
ลากวั ตถุที่มีนแ ํ้าหนันากและขนาดเท
ุ มนาหน เ า น อ แ ากันของผู
ม แขงขัน ทีม
ครูอ ิบายเพิ่มเติมใหนักเรียนเขาใจวา แรง
ทีมที่ 2 D
วัตถุ วัตถุที่ถูกแรงมากระทําจะเคลื่อนที่หรือเปลี่ยน
C
นําไปใชประโยชนในชีวิตประจําวันได เชน กา
ทีมที่ 1
A
B
วัตถุ การเคลื่อนยายสิ่งของตาง เปนตน

า า อ ม อ ออ มแ ออ นวตน แ น า หวต นวตน ุเ มเ อน าแ หวตน มุเ ม ตอ


ออ
เ แอนอยา นอย แ นน มนวตน ตอา ออ หวต แุเ อยา
อน นอย นวตน า หวต ุ
1. 4 นิวตัน . 45 นิวตัน 3. 5 นิวตัน 4. นิวตัน
เ อน
(วเ า ห าตอบ ูแขงขันทีมที่ ะตองออกแรงอยางนอยเทากับทีมที่ คือ นิวตัน
1. 5 นิ ว ตั น . 1
เนื่อง าก ูแขงขันทีมที่ มี คน ตองออกแรงอยางนอยคนละ นิ ว ตั น นิวตัน ดังนั้น
ขอ 3. งเป
1 5นคําตอบที
นิวตัน่ ูกตอง) 4. นิวตัน
วเ า ห าตอบ แู ขงขันทีมที่ ตองออกแรงอยางนอยเทากับทีมที่
คือ ูเขาแขงขันทีมที่ มี คน ออกแรงคนละ นิวตัน แรงทั้งหมด T83
เทากับ × นิวตัน ดังนั้น ขอ 3. จึงเปนคําตอบที่ถูกตอง
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ น
า าม า
4. ครูอ บิ ายเสริมใหนกั เรียนเขาใจเพิม่ เติมวา ใน 2. เมื่อมีแรง 2 แรง ที่มีขนาดไมเทากันมากระทําตอวัตถุที่อยูนิ่ง นแนวเดียวกัน
การวัดแรงนั้น นักเรียนสามารถใชเครื่องชั่ง
สปริงวัดคาของแรงลัพ ท เี่ กิดขึน้ ได งึ่ มีหนวย
แตมีทิศทางตรงขามกัน คาของแรงลัพธจะไดจากการหักลางกันของแรงทั้งสอง
เปนนิวตัน โดยเรียกตามชื่อของ เ อร ไอแ ก างสวน และแรงลัพธจะมีทิศทางเดียวกันกั ทิศทางของแรงที่มากกวา วัตถุจึง
นิวตัน เคลืี่อนที่ไปทางนั้นดวย ตัวอยางเชน
5. นักเรียนแตละคนทํากิจกรรมหนูตอบไดจาก เด็กชาย 2 คน ลักตูไม แรงลัพธเทากั
หนังสือเรียน หนา 1 ลงในสมุดหรือทําใน นทิศตรงขามกัน ลตางของแรงทั้งสอง
แบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1
แรง 1 แรง 2 2 แรงลัพธ 2

ภาพที่ . ตัวอยางแรงลัพธที่เกิดจากแรง 2 แรง ที่ไมเทากันกระทําตอวัตถุ นทิศทางตรงขามกัน


วิธีหา รง ัพธ
ขนาดแรง 1 ขนาดแรง 2 ขนาดแรงลัพธ แรง 1
แรง 2
2 2
แรงลัพธ
วัตถุเคลื่อนที่ไปทางขวา
ดวยแรงลัพธขนาด 2
à¡Ãç´ ÇԷ¹ÒÃÙŒ
นแต่ละวันเรามีการทากิจกรรมหลายอย่าง งบางกิจกรรมต้อง ช้แรงดง บางกิจกรรม
ต้อง ช้แรง ลัก หรือมีบางกิจกรรมทีต้อง ช้ทังแรงดงและแรง ลัก
• การดึง คือ การออกแรงดงวัตถุเข้าหาตัว ทา ห้วัตถุเคลือนทีเข้าหาตัวเรา
• การผลัก คือ การออกแรง ลัก ดัน หรือเข็นวัตถุออกจากตัว ทา ห้วัตถุเคลือนทีออก
จากตัวเรา

74

เกร็ดแนะครู ขอสอบเนน การคิด น O-NET


ครูใหความรูความเขาใจกับนักเรียนเพิ่มเติมวา ในการเลนกี าหลายอยาง า หาแ ตอ า า า
ทีต่ อ งอาศัยผูเ ลนหลายคนรวมแรงรวมใจกันออกแรง งึ่ ผลรวมของแรงหลายแรง 1. ทิศทางของแรงกระทํา
ที่กระทําตอวัตถุ จะทําใหเกิดแรงลัพ  เชน การแขงเรือยาวตองอาศัยแรงของ . จํานวนแรงที่มากระทํา
ผูพายทุกคนรวมกัน เพื่อทําใหเรือเขาสูเสนชัยไดเร็วที่สุด 3. รูปรางของวัตถุที่แรงไปกระทํา
4. ขนาดและทิศทางของแรงที่กระทําตอวัตถุ
(วเ า ห าตอบ แรงลัพธเปน ลรวมของแรงหลายแรงที่กระทํา
ตอวัต ุเดียวกัน ่งการหาแรงลัพธตองพิ าร า ากขนาดและ
ทิศทางของแรงทีม่ ากระทําตอวัต นุ นั้ ดังนัน้ ขอ งเปนคําตอบ
ที่ ูกตอง)

T84
นํา สอน สรุป ประเมิน

หนวยการเรียนรูที่ 3 ขัน้ รป
áç㹪ÕÇÔµ»ÃШíÒÇѹ า าม า

. เมื่อมีแรง 2 แรง ที่มีขนาดเทากันมากระทําตอวัตถุที่อยูนิ่ง นแนวเดียวกัน 6. ครูเขียนขอความบนกระดาน ดังนี้


1 แรงมา 1 แรงคน ผูชาย
แตมีทิศทางตรงขามกัน แรงทั้งสองแรงจะหักลางซึ่งกันและกันจนหมด แรงลัพธ 1 แรงมา แรงคน ผูหญิง
จะมีคาเปนศูนย วัตถุจึงหยุดนิ่งและไมมีการเคลื่อนที่ ตัวอยางเชน 1 แรงมา 35 แรงเด็ก ผูชาย
1 แรงมา 55 แรงเด็ก ผูหญิง
เด็กชาย 2 คน ลักตูไม นทิศตรงขามกัน แรงทั้งสองแรงหักลางกันหมด
7. ครูใหนักเรียนจับกลุมกัน กลุมละ -3 คน
จากนั้นตั้งคําถามเพื่อใหนักเรียนชวยกันหา
แรง 1 แรง 2 แรงลัพธ คําตอบ ดังนี้
า มา ตว ามา า น า ห ม
อ แต า มมมา ตอ แ าย
น แ แ ห น ามา
า น า ห ม
(แนวตอบ ใชแรง ูชาย คน และแรง ูห ิง
ภาพที่ . ตัวอยางแรงลัพธที่เกิดจากแรง 2 แรง ที่เทากันกระทําตอวัตถุ นทิศทางตรงขามกัน คน)

วิธีหา รง ัพธ
ขนาดแรง 1 ขนาดแรง 2 ขนาดแรงลัพธ แรง 1
แรง 2
แรงลัพธมีคาเปนศูนย

นการวั ด แรงที่ ม1 ากระทํ า ต อ วั ต ถุ


เราจะ ชเครื่องชั่งสปริงวัดขนาดของแรง
แรงมีหนวยเปนนิวตัน โดยเรียกตามชื่อ
ของ เ อร อ ก นิวตัน นักวิทยาศาสตร
ชาวอังก ษ ูที่คนพ แรงโนมถวงของโลก
อีกทั้งยังเปน ูศึกษาเกี่ยวกั เรื่องแรงและ
การเคลื่อนที่ของวัตถุ ภาพที่ . ตัวอยางเครื่องชั่งสปริง
75

ขอสอบเนน การคิด น O-NET เกร็ดแนะครู


าแ มา า า ห า น อ แ แ น า ครูอ ิบายเพิ่มเติมใหนักเรียนเขาใจวา แรงลัพ สามารถคาดการ ไดวา
วต ุ ตาม น าบม าเ า บ นวตน อยา าบวาวต ุ ม วัตถุที่ถูกแรงมากระทําจะเคลื่อนที่หรือเปลี่ยนรูปรางไดหรือไม อยางไร เพื่อให
า เ อน ห อ ม อยา เรานําไปใชประโยชนในชีวิตประจําวันได เชน การสรางสะพานแขวน จักรยาน
(แนวตอบ วัต ุมีการเคลื่อนที่ โดย ะเคลื่อนที่ ปตามทิศทาง พวง การเคลื่อนยายสิ่งของตาง
ของแรงดานที่มีคามากกวา)

นกเร นค รรู
1 เ อ คือ เครือ่ งชัง่ ทีใ่ ชวดั ปริมา นํา้ หนักของวัตถุ มีหลายรูปแบบ
แตกตางกันออกไป ขึ้นอยูกับประโยชนของการใชงาน

T85
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ น
า าม า
8. ครู ส นทนากั บ นั ก เรี ย นเพื่ อ ทบทวนความรู  นการทํากิจกรรมตาง ของแตละวัน เราทุกคนตองออกแรงกระทําตอ
ความเขาใจเกี่ยวกับเนื้อหาที่ไดเรียนผานมา วัตถุตาง ดวยตนเอง แตอาจมี างกิจกรรมที่ตอง ชแรงมาก จึงจําเปนตอง
จากหนวยการเรียนรูที่ 3 บทที่ 1 แรงลัพ  อาศัยแรงจากหลาย คน เขามาชวย เพือ่ เคลือ่ นยายวัตถุหรือทํา หวตั ถุเคลือ่ นที่
โดยสุ  ม เรี ย กชื่ อ นั ก เรี ย นให อ อกมาเล า ว า
ตนเองไดรับความรูอะไรบาง
ไปได เชน การพายเรือแคนู นนํ้า การปนจักรยานพวง นอกจากนี้ เรายังนํา
9. นักเรียนเขียนสรุปความรูเกี่ยวกับเรื่องที่ได ประโยชนจากแรงลัพธไป ชไดหลายอยาง เชน
เรียนมาจากบทที่ 1 ในรูปแบบตาง เชน 1. การประดิ ษ ฐ ก ระถางแขวนโดย ช ล วด เส น
แผนผังความคิด แผนภาพ ลงในสมุด ชวยยึดกระถางเอาไว ลวด เสน ชแทนแรง แรง
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
ทํา หเกิดแรงลัพธ 1 แรง นแนวเดียวกั ตะขอที่ ชแขวน
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล)
นั ก เรี ย นแต ล ะคนศึ ก ษาแผนผั ง ความคิ ด
จึงทํา หเกิดความสมดุล กระถางแขวนจึงไมเอียง
สรุปสาระสําคัญ ประจํา ภาพที่ .1 กระถางแขวน
บทที่ 1 จากหนังสือเรียน หนา เพื่อตรวจ
สอบกับการเขียนสรุปความรูที่นักเรียนทําไว ภาพที่ .11 การ ชวัวลากเกวียน
ในสมุด 2. การคมนาคม นสมัยกอนจะ ชสัตวตาง เชน
วัว ควาย ตั้งแต 1 ตัวขึ้นไป มาชวยกันออกแรงลาก
เกวี ย น ห เ คลื่ อ นที่ ไ ปข า งหน า ได ทํ า ห ก ารเดิ น ทาง
หรือขนสงสิ่งของทําไดงายมากขึ้น
ที่ า า
กิจกรรม สรุปความรูป ระจําบทที่ 1
ตรวจสอบตนเอง
หลังเรียนจ ทนี้แลว หนักเรียน อกสัญลักษณที่ตรงกั ระดั ความสามารถของตนเอง
เกณ
รายการ ี พอ  ควรปรับปรุง

1. เขา จเนื้อหาเกี่ยวกั เรื่องแรงลัพธ


2. สามารถทํากิจกรรมและอธิ าย ลการทํากิจกรรมได
. สามารถตอ คําถามจากกิจกรรมหนูตอ ไดได
. ทํางานกลุมรวมกั เพื่อนไดดี
5. นําความรูไป ชประโยชน นชีวิตประจําวันได
76

เกร็ดแนะครู ขอสอบเนน การคิด น O-NET


เมือ่ เรียนจบบทนีแ้ ลว ครูอาจใหนกั เรียนตัง้ คําถามทีอ่ ยากรูเ พิม่ เติมเกีย่ วกับ า แ น า แ า ออ แ วต ุ อ มเ อน
เรื่องแรงลัพ  คนละ 1 คําถาม จากนั้นครูสุมเรียกใหนักเรียนบอกคําถาม 1. 3 นิวตัน . นิวตัน 4 นิวตัน
ของตนเอง แลวใหเพื่อนคนอื่น ในชั้นเรียนชวยกันแสดงความคิดเห็นวา 3 นิวตัน A นิวตัน B
จะใชวิ กี ารทางวิทยาศาสตรตอบคําถามไดอยางไร โดยครูทาํ หนาทีเ่ ปนผูช แี้ นะ
และสังเกตการทํากิจกรรมของนักเรียนอยางใกลชิด 3. 4 นิวตัน 4. 5 นิวตัน 4 นิวตัน
3 นิวตัน
1 นิวตัน D

(วเ า ห าตอบ วัต ใุ นขอ มเคลือ่ นที่ เพราะแรงทีม่ ากระทํา


ตอวัต ุในทิศทางตรงขามกันมีขนาดของแรงเทากัน แรงลัพธ
งเกิดการหักลางกันทั้งหมด แรงลัพธ งมีคาเปนศูนย วัต ุ ง
มเคลื่อนที่ ดังนั้น ขอ งเปนคําตอบที่ ูกตอง)

T86
ตอน ี นวคิ สาคั วยกันสรุป ใหนักเรีย
●ครูให้นักเรียนช่วยกันพูดสรุปเกี่ยวกับลักษณะของแรงลัพธ์ และเขียนลงในสมุด รวบยอด

ตอน ี องคิ อง า นํา สอน สรุป ประเมิน



หหา าพ รง ัพธ ีพบเหน น ีวิตปร จาวันมาติ ง นสมุ บัน ก อมู ครูตรวจส
ขัน้ น
ÊÃØ» ÊÒÃ ÊÒ ภาพนี้ คือ
»ÃШíÒº··Õè 1 า าม า โดยพิจา
11. นักเรียนทํากิจกรรมฝกทักษะบทที่ 1 จากกับภาพ
ลักษณะแรงลัพธ์ที่เกิดขึ้น หนังสือเรียน หนา ขอ 1-3 ลงในสมุดหรือ
ครูตรวจส
(ติ าพ)
ทําในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1
ึกขอมูล
การน�าไปใช้ประโยชน์ นักเรนัียนกบเรีันยทนแต
ให12. น ากิจกรรมทาทายการคิด
�ำตัวนักเรลียะคนทํ
ลงในสมุดประจ
ระทําตอวัต
ุ ขั้นสูง จากในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5
เ ท ากันก ้ า ม กั น ขนาดแรงลัพ
ม า ง ต รง ข เลม 1
แร

ธ์
นาด แตทิศท
และ รวมขอ
งท างเ

่ ี ม ี ข ั น ง ข น า ด แรงที่มีทิศตรงกัน
ะท งท อ ข้าม (หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
วก กันข
ก่ี ร
ทศ
ผล

าํ ต แร วเดีย หักล้าง
ิ ท

อวต
ดยี
วก

ใุ นแ แ น การ
ใน ้ จาก แรงที่มีขนาดเ แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล) ใบบันทึก
นา ตอน ี คา ามวิ ยคิ สนุก

ั ข
นวเดย ี วกัน ด ท าก
งข

นาด ัน
ดแ
รงท แรงล จ ะ ใ น นวเดียวกัน แตท กระทํ
แ 13. ครูมอบหมายงานใหนกั เรียนแบงกลุม กลุม ละ บัตรภาพ
งั้ หม พั ธ จ
์ ะเทากับ ข น า ด แรง ิ ศ ทา ง า ตอว
ตอบคา ามตอ ปนี ง นสมุ
ด ดย
มท ี ศิ ทางเดียวกัน
ผล
ลัพธ
์ จ ะ ม ต รงข ัต ุ
ี คาเ ้า
ปน มกัน
3-4 คน จากนั้นศึกษากิจกรรมสรางสรรค
ศูน ผลงาน จากในหนั ง สื อ เรี ย น หน า
๑) จากภาพ มีแรงลัพธ์เกิดขึ้นกี่แรง ย์
ขอ

แลวใหป ิบัติกิจกรรมตามขั้นตอน โดยให


งแ

เป
นแ
รงทเี่ ก กการรวมห รง
รอื ควา ม ห ๒) ถ้ามีเลื่อน ๒ คัน เลื่อนคันหนึ่ง ร ว มมื อ กั น ทํ า กิ จ กรรมนี้ น อกเวลาเรี ย น
การเ
รง

หก ิ
ด จา ยแ ม
ั ลา้ งก า
ั ของแรงหล
น มีสุนัขลาก ๕ ตัว ส่วนเลื่อนอีกคัน แลวนํามาสงเพื่อนําเสนอหนาชั้นเรียนตอไป
ลน
าย

เย
ชกั

อ (หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช


มีสนุ ขั ลาก ๗ ตัว แรงลัพธ์ทเี่ กิดขึน้
เชน

กา แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม)
ั้วด รใช
ใช ว้ วั ลา แตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร
ผลลั พ ธ์ กเกวียน
ที่

มฐ ว ป ป
๓) ถ้าเลื่อนคันที่มีสุนัขลาก ๗ ตัว
เครื่องมือ

แรงลัพธ์ ประ ยชน์


ออกแรงตัวละ ๓๐๐ นิวตัน ท�าให้
กา

เลือ่ นเริม่ เคลือ่ นที่ เลือ่ นคันทีม่ สี นุ ขั


รเ

ยน
ขี

แผ
นว

ห นภ
าพแส ลาก ๕ ตัว สุนัขจะต้องออกแรง
ดงแรง
เครื่องชัง่ สปรงิ
อย่างน้อยตัวละกีน่ วิ ตัน จึงจะท�าให้
นวิ ต ะสนั้

ั (N) ออกแรงน้อย ลก ู ศรจเลื่อนเคลื่อนที่ได้


าว

ลกู ศรจะ
ออกแรงมาก
101
77

ขอสอบ O-NET
ขอสอบป ’ 53 ออกเกี่ยวกับเรื่อง แรงลัขพอสอบเน
 น การคิด น O-NET เกร็ดแนะครู
าภาพการแข
า แ นงขัา นวต
ลากวั ตถุที่มแีนํ้าหนันากและขนาดเท
ุ มนาหน เ า น อ แ ากันนของผู
ม แขงขัน ทีม
ครูอ ิบายเพิ่มเติมใหนักเรียนเขาใจวา แรง
ทีมที่ 2 D
วัตถุ วัตถุที่ถูกแรงมากระทําจะเคลื่อนที่หรือเปลี่ยน
C
นําไปใชประโยชนในชีวิตประจําวันได เชน กา
ทีมที่ 1
A
B
วัตถุ การเคลื่อนยายสิ่งของตาง เปนตน

าา อ มอ มออ แ ออน แ นนวตน นวตน า หวต ุเ มเ า อน


หวต แุเ ม น ม
เ ตออน ออ แ อยา นอย นวตน า หวต ุเ อน
แ น ม ตอ ออ แ อยา นอย นวตน า หวต ุ
1. 5 นิวตัน . 1 นิวตัน 3. 1 5 นิวตัน 4. นิวตัน
เ (วเอนา ห าตอบ ูแขงขันทีมที่ ตองออกแรงอยางนอยเทากับทีมที่ คือ ูเขาแขงขันทีมที่
มี 1. คน 5ออกแรงคนละ
นิวตัน . า1กับ นิวตัน
นิวตัน แรงทั้งหมดเท นิวตัน ดังนั้น ขอ
งเป3.
นคํา1ตอบที
5 ่ นิูกตวอตัง)น 4. นิวตัน
วเ า ห าตอบ แู ขงขันทีมที่ ตองออกแรงอยางนอยเทากับทีมที่
คือ ูเขาแขงขันทีมที่ มี คน ออกแรงคนละ นิวตัน แรงทั้งหมด T87
เทากับ × นิวตัน ดังนั้น ขอ 3. จึงเปนคําตอบที่ถูกตอง
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ รป

กิจกรรม º··Õè 1
1. ครูใหนักเรียนชวยกันสรุปความรูเกี่ยวกับเรื่อง
แรงลัพ  จนไดขอสรุป ดังนี้
ฝกทักษะ
• แรงลัพ  คือ ผลรวมของแรงตั้งแต แรง . ตอบคา ามตอ ปนี
ขึ้นไปที่รวมกันกระทําตอวัตถุเดียวกัน จึงมี 1 แรงหลายแรงที่มากระทําตอวัตถุชิ้นเดียวกัน นทิศทางตรงขามกัน แรงลัพธ
ผลทําใหวัตถุนั้นเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนที่ จะเปนอยางไร
ไปตามผลของแรงลัพ  2 โสภาออกแรงดันโตะไมไปทางซายดวยแรง 2 ธานีออกแรงดันโตะไม
• เรามีการนําแรงลัพ ม าใชประโยชนมากมาย ไปทิศทางตรงขามกั โสภาดวยแรง โตะไมตัวนี้จะเคลื่อนที่ไปทาง ด
เชน การปนจักรยานพวง การใชสุนัขลาก เพราะอะไร
เลื่อน หากมีคน 5 คน ชวยกัน ลักรถยนตที่หยุดนิ่ง หเคลื่อนที่ดวยแรงที่เทากัน
น ก กรรม กทักษะ นทิศทางเดียวกัน แรงลัพธจะเปนอยางไร
ขอ 1. หากแรงลัพธทกี่ ระทําตอวัตถุมคี า เปนศูนย วัตถุจะเคลือ่ นทีห่ รือไม เพราะอะไร
) คาของแรงลัพธ ะ ด ากการหักลางกัน 5 นักเรียนคิดวา แรงลัพธมีประโยชนตอชีวิตประจําวันของเราหรือไม อยางไร
ของแรงทั้งหมดบางสวน ่งแรงลัพธ ะมีทิศทาง 2. ู าพ วเ ียน ผน าพ ส ง รง ีกร าตอวัต ุ รง ัพธ ีเกิ กับวัต ุ
เดียวกันกับทิศทางของแรงที่มากกวา
) โตะเคลือ่ นที่ ปทางขวา ดวยแรงลัพธ เอกออกแรง 1 เอกออกแรง พ ออกแรง 1
1 2
เพราะธานีออกแรงกระทําตอโตะมากกวาโส า
) แรงลัพธ ะเทากับ ลรวมของแรงทั้งหมด
ของคน คน แรงลัพธ งมีทศิ ทางเดียวกับแรงทีม่ า
กระทํา
) วัต ุ มเคลื่อนที่ เพราะแรงที่มากระทําตอ ออกแรงดึงตูไม ออกแรง ลักตูเสื้อ า
วัต ุ ะหักลาง ่งกันและกัน นหมด
) มีประโยชน โดยสามาร นํามาใชในการ . ติ าพการเกิ รง ัพธ ง นสมุ าพ วบัน ก อมู ตามตัวอยาง
เคลือ่ นยายวัต หุ รือทําใหวตั เุ คลือ่ นที่ ป ดงา ยข้น
ะ จ ําตัว
ภาพนี้ คือ ............................................................................................................................
ขอ 2. าพ) ปร
(ติ น สมุด
ลักษณะแรงลัพธที่เกิดขึ้น .....................................................................................
) ึกลง
แรงกระทํา การนําไป ชประโยชน ...............................................................................................
ันท

กิจกรรม ทาทายการคิดขัน้ สูง


) แรงลัพธ
78

แรงกระทํา ) แรงกระทํา )

เกร็ดแนะครู กิ กรร สรา เสริ


ครูใหความรูกับนักเรียนเพิ่มเติมวา สุนัขที่นํามาใชเปนสุนัขลากเลื่อน คือ ใหนกั เรียนแตละคนไปสืบคนเพิม่ เติมเกีย่ วกับการใชประโยชน
สุนัขพัน ุไ บีเรียน ัสกี ่ึงเปนสุนัขที่ชนเผาชัคชิโนไ บีเรียไดเพาะขึ้นมากวา จากแรงลัพ จากแหลงขอมูลตาง จากนั้นจัดทําเปนรายงานเลม
3, ปมาแลว เพื่อใชลากเลื่อน บรรทุกสิ่งของ หรือเปนพาหนะในบริเว เล็ก 1 เลม แลวนําสงครู
พื้นที่ที่ปกคลุมดวยนํ้าแข็งหรือหิมะ เนื่องจากสุนัขพัน ุนี้มีความแข็งแรง อดทน
ตอความหนาวเย็นไดดี และมีความวองไว

T88
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ รป

·Ñ¡ÉÐáË‹§ÈµÇÃÃÉ·Õè
✓การสื่อสาร ✓ ความรวมมือ ✓ การแกปญหา
2. ให นั ก เรี ย นดู ต ารางตรวจสอบตนเอง จาก
✓การสรางสรรค การคิดอยางมีวิจารณญาณ หนังสือเรียน หนา จากนั้นถามนักเรียน
✓การ ชเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร รายบุคคลตามรายการขอ 1-5 จากตาราง
กิจกรรม เพื่อตรวจสอบความรูความเขาใจของนักเรียน
ÊÌҧÊÃ䏼ŧҹ หลังจากเรียน หากนักเรียนคนใดตรวจสอบ
ตนเองโดยให อ ยู  ใ นเก  ที่ ค วรปรั บ ปรุ ง
แบงกลุม กลุมละ 3-4 คน จากนั้นชวยกันออกแบบและ ให ค รู ท บทวนบทเรี ย นหรื อ หากิ จ กรรมอื่ น
ประดิษฐกระถางแขวนสําหรับปลูกพืช โดยใหสมาชิกกลุมชวยกัน อมเสริม เพื่อใหนักเรียนมีความรูความใจใน
เลือกวัสดุอปุ กรณตามความเหมาะสม แลวนําเสนอแนวคิดในการ บทเรียนมากขึ้น
ออกแบบทีเ่ กีย่ วของกับแรงลัพธหนาชัน้ เรียน
ขัน้ ประ มน

µÑÇÍ‹ҧ ¼Å§Ò¹¢Í§ ѹ 1. ครู ป ระเมิ น ผลจากการสั ง เกตพ ติ ก รรม
การตอบคําถาม พ ติกรรมการทํางานราย
บุคคล พ ติกรรมการทํางานกลุม และจาก
การนําเสนอผลการทํากิจกรรมหนาชั้นเรียน
2. ครูตรวจสอบผลการทําแบบทดสอบกอนเรียน
3. ครู ต รวจสอบผลการทํ า กิ จ กรรมที่ 1 เรื่ อ ง
การหาแรงลัพ  จากในสมุดหรือแบบฝกหัด
วิทยาศาสตร ป.5 เลม 1
4. ครูตรวจผลการทํากิจกรรมหนูตอบไดในสมุด
ภาพที่ .12 ตัวอยางกระถางแ ที่ 1 ภาพที่ .1 ตัวอยางกระถางแ ที่ 2
หรือในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1
5. ครูตรวจผลการสรุปความรูเกี่ยวกับแรงลัพ 
จากสมุด
6. ครูตรวจผลการทํากิจกรรมฝกทักษะบทที่ 1
ในสมุด หรือในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5
เลม 1
ภาพที่ .1 ตัวอยางกระถางแ ที่ 7. ครูตรวจสอบผลการทํากิจกรรมทาทายการคิด
ที่ า า ขั้นสูงในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1
79 8. ครูตรวจชิ้นงาน ผลงานกระถางแขวนสําหรับ
ปลู ก พื ช และการนํ า เสนอชิ้ น งาน ผลงาน
หนาชั้นเรียน

ขอสอบเนน การคิด แน ก ร ดแ ะ ระเ น


หา มแ แ มา าตอวต ุ อยน อย นแนวเ ยว น ครูสามารถวัดและประเมินผลชิ้นงาน/ผลงานกระถางแขวนสําหรับปลูกพืช
แตม า ต าม น แ ว อ แ ม าเ น นย เ ที่นักเรียนสรางขึ้น โดยศึกษาเก ประเมินผลงานจากแบบประเมินผลงาน/
อยา ชิ้น งานที่แนบทายแผนการจัดการเรียนรู ของหนวยการเรีย นรู ที่ 3 แรงใน
1. วัตถุชิ้นนั้นไมมีการเคลื่อนที่ ชีวิตประจําวัน ดังภาพตัวอยาง
. วัตถุเคลื่อนที่ไดไกลและเร็วขึ้น การประเมินชิ้นงาน/ภาระงาน (รวบยอด) แผนฯ ที่ 1
แบบประเมินการออกแบบและประดิษฐ์กระถางแขวนสาหรับปลูกพืช รายการ
เกณ ์การประเมินการออกแบบและประดิษฐ์กระถางแขวงสาหรับปลูกพืช (แผนฯ ที่ )

เกณ ์การประเมิน (ระดับคุณภาพ)

3. วัตถุเคลื่อนที่ไปทาง ายหรือขวาก็ได ลาดับที่

1 การออกแบบชิ้นงาน
รายการประเมิน 4
(ดีมาก)
ระดับคุณภาพ
3
(ดี)
2
(พอใช้)
1
(ปรับปรุง)
ประเมิน
การออกแบบ
ชิ้นงาน
ดีมาก (4)
ชิ้นงานมความ ูก ้อง าม ่
ออกแบบ ว้ มขนาด
เหมา สม รู แบบน่าสนใ
แ ลก า แล สร้างสรรค์ด
ดี (3)
ชิ้นงานมความ ูก ้อง าม ่
ออกแบบ ว้ มขนาด
เหมา สม รู แบบน่าสนใ
แล สร้างสรรค์
พอใช้ ( )
ชิ้นงานมความ ูก ้อง าม ่
ออกแบบ ว้ มขนาดเหมา สม
รู แบบน่าสนใ
ปรับปรุง ( )
ชิ้นงาน ม่ ูก ้อง าม ่
ออกแบบ ว้ มขนาด
ม่เหมา สม รู แบบ ม่
น่าสนใ

4. ไมทราบขนาดของแรงที่มากระทํา จึงสรุปไมได
2 การเลือกใช้วัสดุเพื่อสร้างชิ้นงาน การเลือกใช้วัสดุ เลือกใช้วัสดุมาสร้างชิ้นงาน เลือกใช้วัสดุมาสร้างชิ้นงาน เลือกใช้วัสดุมาสร้างชิ้นงาน เลือกใช้วัสดุมาสร้างชิ้นงาน
3 ความสมบูรณ์ของชิ้นงาน เพื่อสร้าง าม ่กาหนด ด้ ูก ้อง แล าม ่กาหนด ด้ ูก ้อง แล รง าม ่กาหนด แ ่วัสดุ ม่ม ม่ รง าม ่กาหนด แล
ชิ้นงาน วัสดุมความเหมา สมกับการ วัสดุมความเหมา สมกับการ ความเหมา สมกับการสร้าง วัสดุ ม่มความเหมา สมกับ
4 การสร้างสรรค์ชิ้นงาน สร้างชิ้นงานดมาก สร้างชิ้นงานด ชิ้นงาน ่ออกแบบ ว้ ชิ้นงาน ่ออกแบบ ว้
5 กาหนดเวลาส่งงาน ความสมบูรณ์ ชิ้นงานมความแขงแรง ชิ้นงานมความแขงแรง ชิ้นงาน ม่มความแขงแรง แ ่ ชิ้นงาน ม่มความแขงแรง
รวม ของชิน้ งาน น าน สามาร นา ใช้ น าน สามาร นา ใช้ สามาร นา ใช้งาน ด้บา้ ง แล ม่สามาร นา ใช้งาน
งาน ด้ ริงแล ใช้ ด้ดมาก งาน ด้ ริงแล ใช้ ด้ด ด้

(แนวตอบ เมื่อมีแรง แรง ที่มีขนาดเทากันมากระทําตอวัต ุที่ ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน


............./.................../..............
4 การสร้างสรรค์
ชิ้นงาน

กาหนดเวลาสง
งาน
กแ ่งชิ้นงาน ด้สว งามด
มาก

ส่งชิ้นงาน า ในเวลา ่
กาหนด
กแ ่งชิ้นงาน ด้สว งามด

ส่งชิ้นงานช้ากว่ากาหนด
วัน
กแ ่งชิ้นงาน ด้สว งามน้อ

ส่งชิ้นงานช้ากว่ากาหนดเกิน
3 วันข้น
ชิ้นงาน ม่มความสว งาม

ส่งชิ้นงานช้ากว่ากาหนดเกิน
5 วันข้น
ระดับคุณภาพ

อยูน งิ่ ในแนวเดียวกัน แตมที ศิ ทางมากระทําตรงขามกัน แรงทัง้ สอง ดีมาก ดี พอใช้ ปรับปรุง

ะหักลางกัน นหมด แรงลัพธ งมีคา เปนศูนย วัต ุ ง มเคลือ่ นที่


เกณ ์การ ดั สินคุณภาพ
ชวงคะแนน ระดับคุณภาพ
ดีมาก
4 ดี
พอใช้

ดังนั้น ขอ งเปนคําตอบที่ ูกตอง)


่ากวา ปรับปรุง

T89
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นา
กระ น าม น
1. ครู ทั ก ทายกั บ นั ก เรี ย น จากนั้ น ถามคํ า ถาม
กระตุนความคิดวา ในชีวิตประจําวันนักเรียน º··Õè áçàÊÕ´·Ò¹
คิดวากิจกรรมใดบางที่จะทําใหเกิดแรงเสียด- ศัพทนารู
ทาน แลวใหนกั เรียนรวมกันแสดงความคิดเห็น คําศัพท คําอาน คําแปล
อยางอิสระ friction force 'ฟริคชัน ฟอซ แรงเสียดทาน
(แนวตอบ เชน การเขนร การเดิน) movement 'มูฟวมึนท การเคลื่อนที่
2. ครูขออาสาสมัครนักเรียน คน ออกมาทํา surface 'เซอเฟส พื้นผิว
กิจกรรม โดยใหนกั เรียนคนที่ 1 โยนลูก ตุ บอล
ใหกลิง้ ไปบนพืน้ ทีเ่ ปนสนามหญา และนักเรียน ¹ ÕÇÔµ ÃÐ ÒÇѹ
คนที่ โยนลูก ุตบอลใหกลิ้งไปบนพื้นที่เปน ¡Ô ¡ÃÃÁ ´ºŒÒ§
สนามปูน เี มนตเรียบ ดวยแรงเทา กัน แลว
ครูตั้งคําถามใหนักเรียนรวมกันอภิปราย ดังนี้
ุตบอ บ น เ น นามห า
? ·Õà¡Ô´
çàÊÕ´·Ò¹
แ น น เมนตแต ตา นอยา
ุตบอ หยุ อน เ า เหตุ
เ นเ นนน
3. ใหนกั เรียนรวมกันอภิปรายเกีย่ วกับคําถามและ
ตอบคําถามตามความเขาใจของนักเรียน โดย
ครูคอยชวยเสริมคําตอบของนักเรียนเพื่อให
นักเรียนมีความรูความเขาใจเพิ่มขึ้น movement
4. ครูแจงชื่อเรื่องที่จะเรียนรู และจุดประสงค
การเรียนรูใหนักเรียนทราบ

ขัน้ น
าร น า
1. นักเรียนชวยกันสังเกตภาพ จากหนังสือเรียน
surface friction force
หนานี้ แลวใหรวมกันแสดงความคิดเห็นวา
การปนจักรยานนั้นเกี่ยวของกับแรงเสียดทาน
หรือไม อยางไร ใหนกั เรียนแสดงความคิดเห็น
ตามความเขาใจของตนเอง 80

เกร็ดแนะครู
ในขั้นกระตุนความสนใจ ครูอาจจะใหนักเรียนใชหนังสือเรียน เลม
ทีม่ คี วามหนาและมีขนาดเทา กันมาเปดหนาหนังสือแตละเลมทับกันสลับไปมา
ที่ละหนาจนครบทั้งเลม แลวจึงใหนักเรียนคอย ดึงหนังสือออกจากกัน

นกเร นค รรู
นักเรียนเรียนรูและฝกอานคําศัพทวิทยาศาสตร ดังนี้
า าอาน าแ
ริคชัน อ แรงเสียดทาน
มู วมึนท การเคลื่อนที่
เ อเ ส พื้นผิว
เท็ค เชอ ผิวสัมผัส

T90
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ น
าร น า

กิจกรรม 2. นักเรียนเรียนรูคําศัพทที่เกี่ยวของกับการเรียน
นําสูก ารเรียน ในบทที่ จากภาพในหนังสือเรียน หนา
โดยครู สุ  ม เลื อ กตั ว แทนหรื อ ขออาสาสมั ค ร
È¡ Òʶҹ¡Òà ·Õ¡íÒ˹´ãËŒ áŌǵͺ¤íÒ¶ÒÁ นักเรียน 1 คน ออกมาหนาชั้นเรียนเพื่อเปน
ผูอานนําและใหเพื่อนคนอื่น อานตาม
ºŒÒ¹ ͧ Á¹ àÅ¡ ÅÐ ºÍ‹ ¹ Á‹ºŒÒ¹à´ÕÂǡѹ (หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
Çѹ¹Õ·Ñ§ ¤¹ ¹Ñ´¡Ñ¹ è¹ Ñ¡ÃÂÒ¹à Íä àÅ‹¹·ÕÊǹ แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล)
ÊÒ ÒóРͧ Á‹ºŒÒ¹ §ÃÐ Ç‹Ò§·Ò§ÁÕºŒÒ¹ Åѧ ¹§ 3. ครูแบงกลุมนักเรียนกลุมละ 3-4 คน เกง
¡ÒÅѧµ‹ÍàµÔÁÃÑǺŒÒ¹ §ÁÕ´Ô¹·ÃÒºҧʋǹ¡ÃÐ ÒÂÍ‹º¹ Á¹Åͧ è¹ Ñ¡ÃÂÒ¹
º¹ ¹¤Í¹¡ÃÕµ คอนขางเกง ปานกลาง และออน จากนั้น
¹ ¹¹ ·Ò Œ¡ÒÃà´Ô¹·Ò§ ¹Çѹ¹Õà¡Ô´¤ÇÒÁÅÒºÒ¡ ºº Ç¡àÃÒÊÔ ใหแตละกลุมรวมมือกันศึกษาสถานการ ที่
àÃÒ è¹ä´ŒÊºÒÂàÅ กําหนดใหในกิจกรรมนําสูก ารเรียนจากหนังสือ
เรียนหนานี้ แลวชวยกันตอบคําถามโดยเขียน
คําตอบลงในสมุดและนําเสนอคําตอบของกลุม
à ͹ ‹ÇÂàÃÒ´ŒÇ หนาชั้น เพื่ออภิปรายและสรุปคําตอบรวมกัน
àÃÒ è¹ Ñ¡ÃÂÒ¹ ‹Ò¹
¹·ÃÒÂä´ŒÅÒºÒ¡ÁÒ¡ 4. นักเรียนแตละกลุม นําเสนอคําตอบ จากนัน้ รวม
กันสรุปคําตอบที่ถูกตอง
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม)

น ก กรรมนา การ รี น
เพราะพื้นทรายมีลัก ะของ ิวสัม ัสหยาบ
ขรุขระ ทําใหเกิดแรงเสียดทานระหวางลอร
ักรยานกับพื้นทราย งทําใหแมนปน ักรยาน
านพื้นทราย ดอยางยากลําบาก
¹Ñ¡àÃÕ¹¤Ô´Ç‹Ò à ÃÒÐà µ ´ Á¹ § ¹ Ñ¡ÃÂÒ¹ ‹Ò¹ ¹·ÃÒÂä´ŒÂÒ¡ÅÒºÒ¡ เกิดเหตุการ เชนเดียวกับแมน เพราะการปน
ักรยานบนพื้นทรายที่มี ิวสัม ัสที่หยาบ ง
Ò¡¹Ñ¡àÃÕ¹ÁÕ Í¡ÒÊä´Œ ¹ Ñ¡ÃÂÒ¹ ‹Ò¹ ¹·ÃÒ Ðà¡Ô´à µ¡Òóà ‹¹à´ÕÂǡѺ Á¹
ทําใหเกิดแรงตานทานการเคลื่อนที่ของลอร
ÃÍäÁ‹ à ÃÒÐÍÐäà ักรยาน
¡Òà ¹ Ñ¡ÃÂÒ¹ ‹Ò¹ ¹¤Í¹¡ÃÕµ¡Ñº ¹·ÃÒÂÁÕ¤ÇÒÁ µ¡µ‹Ò§¡Ñ¹Í‹ҧäà พื้นทรายเปนพื้น ิวที่มีลัก ะขรุขระ งทําให
81 เกิดแรงเสียดทานมากกวากวาพื้นคอนกรีตที่มี
ลัก ะเรียบกวา การปน ักรยาน านพื้น ิว
คอนกรีต งงายกวาพื้นทราย

ขอสอบเนน การคิด น O-NET เกร็ดแนะครู


า มมแ เ ย าน หวา เ า อ เ า บ น เ าเ น ในการเรียนบทที่ นี้ ครูควรจัดกระบวนการเรียนรูใหนักเรียนป ิบัติ ดังนี้
เ า เ อน าบา ห อ ม อยา • สังเกตแรงเสียดทานที่เกิดขึ้นรอบ ตัว
(แนวตอบ เคลื่อนที่ ดยากลําบาก เพราะ มมีแรงเสียดทาน • ทดลองเกี่ยวกับผลของแรงเสียดทาน
ที่ทําใหเกิดการ ลักดันระหวางเทาของเรากับพื้นที่เราเดิน ป • อภิปรายผลการทดลองและลงขอสรุป
งทําใหเราเคลื่อนที่ ดยากลําบาก หรืออา ทําใหเราหกลม ด) • อภิปรายเกี่ยวกับการนําแรงเสียดทานไปใชประโยชน
จนเกิดเปนความรูความเขาใจวา แรงเสียดทานเปนแรงตานทานการ
เคลื่อนที่ของวัตถุ จึีงมีผลตอการเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนที่ของวัตถุ

T91
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ น
าร น า
5. ครูถามนักเรียนวา มีนกั เรียนคนใดเคยลากของ
บนพืน้ ถนนทีข่ รุขระบางหรือไม ถามีใหนกั เรียน
1. áçàÊÕ´·Ò¹
คนนัน้ กลาวความรูส กึ วาข ะทีล่ ากของวารูส กึ เมือ่ นักเรียนดันกลองหรือวัตถุอนื่ หเคลือ่ นทีไ่ ปตามพืน้ คอนกรีต เราจะ
อยางไร รูส กึ วาการเคลือ่ นทีข่ องกลองหรือวัตถุไมลนื่ ไหลคลายกั มีแรงชนิดหนึง่ ตานทาน
6. ครูอ ิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับแรงเสียดทานวา การเคลื่อนที่ของวัตถุไว ทํา หวัตถุเคลื่อนที่ไปไดยาก แรงตานทานนี้ เรียกวา
แรงเสียดทานเกิดจากการสัมผัสกันระหวางวัตถุ รงเสีย าน
ชนิด ดังนี้ แรงเสียดทานเกิดจากการสัม ัสกันระหวาง ิวของวัตถุกั พื้น ิวที่วัตถุ
ถาผิวสัมผัสของวัตถุทงั้ ชนิด เรียบ จะเกิด
แรงเสียดทานนอย วัตถุเคลื่อนที่ไดมาก
เคลือ่ นทีไ่ ป โดยทิศทางของแรงเสียดทานจะตรงขามกั ทิศทางการเคลือ่ นทีข่ อง
• ถาผิวสัมผัสของวัตถุทั้ง ชนิด ไมเรียบ จะ วัตถุ เชน การเข็นโตะ นพื้น ทิศทางของแรงเสียดทาน นพื้นจะตรงขามกั
เกิดแรงเสียดทานมาก วัตถุเคลื่อนที่ไดนอย ทิศทางการเคลื่อนที่ของโตะ จึงทํา หโตะเคลื่อนที่ชาลงจนกระทั่งหยุดนิ่งเมื่อเรา
7. นักเรียนศึกษาขอมูลและดูภาพในหนังสือเรียน หยุดออกแรงเข็น
หนานี้ จากนั้นครูใหนักเรียนตอบคําถามลงใน
เต กู ตุ บอ เ นร องเ น
สมุด ดังนี้
• า า ตา เ นเหตุ า บา
(แนวตอบ เดกเตะ ุตบอล เดกเขนร ของ
เลน เดกเลนส ลเดอร เดกเลนสเกตบอรด
เดกเลนสกี)
• น เ ยน วา ม น า เ ยว อ บ
แ เ ย านห อ ม เ น ส เ อร เ น สเกตบอร
(แนวตอบ เกี่ยวของ เพราะแรงเสียดทานเกิด
ากการสัม สั ระหวาง วิ ของวัต กุ บั พืน้ วิ
ที่วัต ุเคลื่อนที่ ป โดยมีทิศทางของแรงตรง
กันขามกับทิศทางการเคลือ่ นทีข่ องวัต ุ และ
ทุกกิ กรรมกเกิดแรงเสียดทานข้น) ภาพที่ .15 ตัวอยางกิจกรรมที่ทํา หเกิด
• น เ ยน วา ม น วต าอเา เ น สกี แรงเสียดทาน
เ ยว อ บแ เ ย านห อ ม อยา ¡Ô ¡ÃÃÁ ¹ ÕÇÔµ ÃÐ ÒÇѹ ͧàÃÒ
(แนวตอบ เกี่ยวของ เพราะการทํากิ กรรม à¡ÕÂÇ ŒÍ§¡Ñº çàÊÕ´·Ò¹
ตาง ของเรามักแรงเสียดทานเกี่ยวกับการ ÃÍäÁ‹ Í‹ҧäÃ
เคลือ่ น หวรางกายในการทํากิ กรรมตาง )
82
(หมายเหตุ : ครูเริม่ ประเมินนักเรียน โดยใช
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล)

เกร็ดแนะครู ขอสอบเนน การคิด น O-NET


ครูใหความรูค วามเขาใจกับนักเรียนเพิม่ เติมวา ในการสัมผัสกันของผิววัตถุ แ เ ย าน ม ามา ห อม านอย นอย บ
ถาผิวสัมผัสหยาบขรุขระ จะเกิดแรงเสียดทานมาก แตถาผิวสัมผัสเรียบลื่นจะ 1. ขนาดของวัตถุ
เกิดแรงเสียดทานนอย โดยชนิดของผิวสัมผัสจะมีผลตอแรงเสียดทานที่เกิดขึ้น . รูปรางของวัตถุ
3. ลักษ ะของผิวสัมผัส
4. การออกแรงกระทําตอวัตถุ
(แนวตอบ แรงเสียดทานเปนแรงที่เกิดข้น ากการสัม ัสกัน
ระหวาง ิวของวัต ุคูหน่ง า ิวสัม ัสของวัต ุทั้งคูนั้นแขงและ
เรียบ ะเกิดแรงเสียดทานนอย ทําใหวัต ุเคลื่อนที่ ดมาก แต า
วิ สัม สั ของวัต ทุ งั้ คู มเรียบ ะเกิดแรงเสียดทานมาก ทําใหวตั ุ
เคลื่อนที่ ดนอย ขอ งเปนคําตอบที่ ูกตอง)

T92
นํา สอน สรุป ประเมิน

หนวยการเรียนรูที่ 3 ขัน้ น
áç㹪ÕÇÔµ»ÃШíÒÇѹ าร น า
¡Ô¨¡ÃÃÁ·Õè 1 ัก กร บวนการ
างวิ ยาศาสตร ี 
8. ครูแบงกลุมนักเรียนกลุมละ 3-4 คน เกง
คอนขางเกง ปานกลาง และออน โดยครู
ักษ ะของ รง สียดทาน 1. การวัด เป น ผู  เ ลื อ กนั ก เรี ย นเข า กลุ  ม จากนั้ น ให
2. การสังเกต
. การทดลอง แต ล ะกลุ  ม ศึ ก ษาขั้ น ตอนการทํ า กิ จ กรรม
ดประสง ์ . การ ชจํานวน
ที่ 1 ลักษ ะของแรงเสียดทาน จากหนังสือ
5. การตั้งสมมติฐาน
1. ทดลองและอธิ าย ลของแรงเสียดทาน นพืน้ วิ ชนิดตาง . การกําหนดและคว คุมตัวแปร เรียนหนานี้
2. ระ ุ ลของแรงเสียดทานทีม่ ตี อ การเปลีย่ นแปลงการเคลือ่ นที่ .
.
การตีความหมายขอมูลและลงขอสรุป
การจัดกระทําและสื่อความหมายขอมูล 9. ครูใชวิ สี อนโดยใชการทดลอง
ของวัตถุ มาจัดกิจกรรมการเรียนรูในชั่วโมงนี้ จากนั้น
. เขียนแ นภาพแสดงแรงเสียดทานและแรงทีอ่ ยู นแนวเดียวกัน อ ิบายจุดประสงคของการทํากิจกรรม และ
ต้อง ตรียมต้อง ้ ขั้นตอนในการทํากิจกรรม ตอนที่ 1- และ
1. โตะเรียน 1 ตัว 5. หนังยาง เสน ระบุปญ  หาทีเ่ กีย่ วของกับการทดลองวา ชนิด
2. าขนหนู 1 ืน . ลูกปงปอง 1 ลูก ของผิวสัมผัสมีผลตอขนาดของแรงเสียดทาน
. า ิวเรีย ืน . กระดาษแข็ง 1 แ น หรือไม
. ตลั เมตร 1 ตลั . หนังสือ 1 15 เลม นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ  ม ช ว ยกั น ตั้ ง สมมติ าน
องทาดู µÍ¹·Õè แล ว บั น ทึ ก ลงในสมุ ด หรื อ ในแบบฝ กหั ด
1. แ งกลุม แลวรวมกันตั้งสมมติฐานวา ชนิดของ ิวสัม ัสมี ลตอขนาดของแรงเสียดทาน วิทยาศาสตร ป.5 เลม 1
หรือไม จากนั้นกําหนดตัวแปรที่เกี่ยวของกั การทดลองและ ันทึก ลลง นสมุด 11. นักเรียนแตละกลุมชวยกันทํากิจกรรมที่ 1
2. ทดลองเพื่อตรวจสอ สมมติฐาน โดยนําหนังสือมาวางซอนกัน นพื้นหอง หสูง 1 ตอนที่ 1 ตามขั้นตอนตาง ในหนังสือเรียน
เซนติเมตร แลวนําปลายแ นกระดาษแข็งดานหนึ่งวางพาด นกองหนังสือ แลวบันทึกผลลงในสมุด หรือในแบบฝกหัด
. วางลูกปงปองที่ปลายแ นกระดาษแข็งดาน น จากนั้นปลอย หลูกปงปองกลิ้งลงมา วิทยาศาสตร ป.5 เลม 1
ตามแ นกระดาษแข็ง และกลิ้งตอไป นพื้นหองจนกระทั่งหยุดนิ่ง 12. ครูคอยสังเกตการทํากิจกรรมของนักเรียน
. ชตลั เมตรวัดระยะทางที่ลูกปงปองกลิ้ง านไป โดย หเริ่มวัดจากปลายดานลางของแ น แตละกลุมอยางใกลชิด พรอมทั้งคอยให
กระดาษแข็งถึงจุดที่ลูกปงปองหยุดนิ่ง แลว ันทึก ล คําแนะนํากับนักเรียนที่มีขอสงสัย

ภาพที่ .1 การจัดเตรียมวัสดุอุปกรณ
สําหรั การทดลอง

83

การทาก กรรมที่ เกร็ดแนะครู


ตา า บันทึกผลการทํากิจกรรม ตอน
ว อน ย า อ (Experiment) เปนวิ ีสอนที่มุงชวยใหผูเรียน
า อ อ ว ม ย า ว ( ม.) รายบุคคลหรือรายกลุมเกิดการเรียนรูโดยการเห็นประจักษจากการคิดและ
อย อ ลูกปงปอง ผิวเรียบ ตามระยะทางทีว่ ดั ไดจริง การกระทําของตนเอง โดยเปนกระบวนการสอนที่ชวยใหผูเรียนเกิดการเรียนรู
มาตาม า แ พื้นหอง ผิวเรียบ
ตามวัตถุประสงค ึ่งตองมีการกําหนดปญหาและสมมติ านในการทดลอง
แ นหอ
ตามขั้นตอนที่กําหนด โดยใชวัสดุอุปกร ที่จําเปน เก็บรวบรวมขอมูล วิเคราะห
อย อ ลูกปงปอง ผิวเรียบ ตามระยะทางทีว่ ดั ไดจริง
ขอมูล อภิปรายและสรุปผลการทดลอง รวมทั้งสรุปผลการเรียนรูที่ไดรับจาก
มาตาม า แ พื้นหอง ผิวขรุขระ
แ า นหน
การทดลอง ึ่งมีขั้นตอนสําคัญของการจัดกิจกรรมการเรียนรู ดังนี้
1. ผูสอน/ผูเรียนกําหนดปญหาและสมมติ านในการทดลอง
ุ จากการทดลอง พบวา การเคลือ่ นทีข่ องวัตถุทมี่ ผี วิ สัมผัสทัง้ ชนิดเรียบ ทําให . ผูสอนใหความรูที่จําเปนตอการทดลอง เชน ขั้นตอนและรายละเอียด
วัตถุเคลื่อนที่ไดระยะทางมากกวาการเคลื่อนที่ของวัตถุที่มีผิวสัมผัสเรียบกับขรุขระ
ของการทดลอง
แสดงวาแรงตานทานการเคลื่อนที่ของวัตถุจะมากหรือนอยขึ้นอยูกับลักษ ะผิวสัมผัส
ของวัตถุทั้ง ชนิด 3. ผูเรียนลงมือทดลองตามขั้นตอน และบันทึกผล
4. ผูเรียนวิเคราะหและสรุปผลการทดลอง
5. ผูสอนและผูเรียนอภิปรายผลการทดลอง และสรุปผลการเรียนรู

T93
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ น
าร น า
13. นั ก เรี ย นแต ก ลุ  ม ร ว มกั น ทํ า กิ จ กรรมที่ 1
ตอนที่ โดยศึกษาขั้นตอนการทํากิจกรรม
ในหนังสือเรียนหนานี้ และป ิบัติกิจกรรม
ตามขั้นตอนใหครบถวน แลวบันทึกผลลง 5. นํา าขนหนูมาวางตอจากปลายดานลางของแ นกระดาษแข็ง แลวปลอย หลูกปงปอง
ในสมุ ด หรื อ ในแบบฝกหั ด วิ ท ยาศาสตร กลิ้งมาตามแ นกระดาษแข็ง และกลิ้งตอไป น าขนหนูจนกระทั่งหยุดนิ่ง
ป.5 เลม 1 . ชตลั เมตรวัดระยะที่ลูกปงปองกลิ้ง านไปไดแลว ันทึก ล จากนั้นเปรีย เทีย ล
การทดลองทั้ง 2 ครั้ง
า ามร
. นําขอมูล ลการทดลองทั้ง 2 มาเขียนแ นภาพแสดงแรงเสียดทานและแรงที่อยู นแนว
1. ครูสุมเรียกตัวแทนนักเรียนทุกกลุมออกเสนอ เดียวกันที่กระทําตอวัตถุลง นสมุด จากนั้นรวมกันอภิปรายและสรุป ลภาย นชั้นเรียน
ผลการทํ า กิ จ กรรมที่ ห น า ชั้ น เรี ย น จากนั้ น
ครูและนักเรียนรวมกันสรุปความรูที่ไดจาก µÍ¹·Õè
การทํากิจกรรมจนไดขอสรุป ดังนี้ 1. หสมาชิกของกลุม 2 คน ชวยกันลาก
เมื่ อ ปล อ ยลู ก ปงปองกลิ้ ง ลงมาตามแผ น โตะเรียนจากจุดหนึง่ ไปอีกจุดหนึง่ แลว ห
กระดาษแข็งและบนพืน้ หอง ลูกแกวจะกลิง้ สังเกตการเคลือ่ นทีข่ องโตะและ นั ทึก ล
ไดระยะทางไกลกวาการปลอยลูกปงปองกลิง้ 2. นํา ามาวาง ตขาโตะทั้ง ขา แลว ช
ลงมาตามแผนกระดาษแข็งและผาขนหนู หนังยางมัด ากั ขาโตะ หแนน
แสดงวาขนาดของแรงเสียดทานที่เกิดขึ้น . ทดลองลากโตะอีกครั้ง แลว หสังเกต
มากหรือนอยนัน้ ขึน้ อยูก บั ผิวสัมผัสของวัตถุ การเคลื่อนที่ของโตะและ ันทึก ล
ทั้ง ชิ้น . แตละกลุม รวมกันอภิปราย ลการทดลอง
2. ครูสรุปความรูเพิ่มเติมใหนักเรียน งวา ถา และสรุป ลภาย นกลุม
ผิวสัมผัสของวัตถุทั้ง ชนิดเรียบ จะเกิด
แรงเสียดทานนอยทําใหวัตถุเคลื่อนที่ไดมาก ภาพที่ .1 ชหนังยางมัด ากั ขาโตะ ขา
แตถาผิวสัมผัสของวัตถุทั้ง ชนิดไมเรียบ
จะเกิดแรงเสียดทานมากทําใหวัตถุเคลื่อนที่ หนูตอบ ด้
ไดนอย . แรงเสียดทานจะมีมากหรือมีนอยขึ้นอยูกั สิ่ง ด เพราะอะไร
3. นั ก เรี ย นทุ ก กลุ  ม ร ว มกั น อภิ ป รายผลการทํ า 2. ยกตัวอยางกิจกรรมที่ทํา หเกิดแรงเสียดทานมา 2 กิจกรรม
กิจกรรมจนไดขอสรุปวา แรงเสียดทานเปน . การเคลื่อนที่ของวัตถุมีความสัมพันธกั พื้น ิวสัม ัสหรือไม อยางไร
แรงที่ตานทานการเคลื่อนที่ของวัตถุ จึงมีผล . นักเรียนคิดวา การเตะลูก อลดวยแรงที่เทากัน นพื้นซีเมนตที่แหงกั สนามหญาที่เปยก
ตอการเคลื่อนที่ของวัตถุ แรงเสียดทานจะเกิด การเตะลูก อลที่ ริเวณ ดจะทํา หลูก อลเคลื่อนที่ไปไดไกลที่สุด เพราะอะไร
ขึน้ มากหรือนอยขึน้ อยูก บั นํา้ หนักของวัตถุและ
(หมายเหตุ คํา ามขอสุดทายของหนูตอบ ด เปนคํา ามที่ออกแบบให ูเรียน กใชทัก ะการคิดขั้นสูง
พื้นผิวสัมผัสของวัตถุ 84 คือ การคิดแบบใหเหตุ ล และการคิดแบบโตแยง ่ง ูเรียนอา เลือกตอบอยางใดอยางหน่งก ด ใหครู
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช พิ าร า ากเหตุ ลสนับสนุน)
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม)
น น การทาก กรรมที่
ขอ 4. ตา า บันทึกผลการทํากิจกรรม ตอน
• พื้น ีเมนตที่แหง เพราะมีลัก ะ ิวเรียบกวาพื้นสนามห า ทําให า อ า อ
ิวสัม ัสระหวางลูก ุตบอลกับพื้น ีเมนตมีแรงเสียดทานนอย ลูก ุตบอล า ต มม าหุม า ต บ น เกิดเสียงดัง โตะเคลื่อนที่ไดชา
งเคลื่อนที่ ด กล ออกแรงลากโตะมาก
• สนามห  า ที่ เ ปยก เพราะมี ลั ก ะหยาบแต เ มื่ อ พื้ น ห  า เปยกนํ้ า า ต ม าหุม า ต บ น ไมเกิดเสียงหรือเกิดเสียงนอย โตะจะ
ะทําใหลื่น งมีแรงเสียดทานกับลูก ุตบอลนอย เมื่อเตะลูก ุตบอล งทําให เคลื่อนที่ไดเร็ว ออกแรงลากโตะนอย
เคลื่อนที่ ด กล
ุ จากการทดลอง พบวา การเคลื่อนยายโตะที่ไมมีผาหุมขาโตะโดย
ลากไปกับพื้น ทําใหเคลื่อนยายโตะไดลําบากกวาการเคลื่อนยายโตะที่มีผาหุม
ขาโตะ แสดงวาการใชผาหุมขาโตะเปนการชวยลดแรงเสียดทาน จึงทําให
เคลื่อนยายโตะไดสะดวกและเร็วขึ้น

T94
นํา สอน สรุป ประเมิน

หนวยการเรียนรูที่ 3 ขัน้ น
áç㹪ÕÇÔµ»ÃШíÒÇѹ า าม า

. ัก ณ อง รงเสีย าน 1. นักเรียนศึกษาเกี่ยวกับลักษ ะของเสียดทาน


และผลของแรงเสี ย ดทานจากหนั ง สื อ เรี ย น
แรงเสียดทาน คือ แรงที่เกิดขึ้นระหวาง ิวสัม ัสของวัตถุสองชนิด โดย หนา 5-
เปนแรงที่ ิววัตถุหนึ่งตานการเคลื่อนที่ของ ิววัตถุอีก ิวหนึ่ง และมีทิศทางของ 2. ใหนักเรียนจับคูกับเพื่อนแลวใหศึกษาขอมูล
แรงตรงขามกั ทิศทางการเคลื่อนที่ของวัตถุ เพื่อ หเกิดความเขา จเกี่ยวกั เกี่ยวกับปจจัยที่มีผลตอแรงเสียดทานเพิ่มเติม
ทิศทางของแรงเสียดทานมากขึน้ เราสามารถเขียนแ นภาพแสดงแรงเสียดทาน จากสื่อดิจิทัลจากในหนังสือเรียน หนา
ที่ตานการเคลื่อนที่ของวัตถุได ตัวอยางเชน โดยใชโทรศัพทมือถือสแกน เรื่อง
ปจจัยที่มีผลตอแรงเสียดทาน
3. นักเรียนนําความรูที่ไดจากการศึกษาขอมูล
จากหนังสือเรียน หนา 5- และความรูจาก
การสแกน เรื่อง ปจจัยที่มีผลตอ
แรงเสียดทาน มาอภิปรายเกีย่ วกับลักษ ะของ
ทิศทางที่วัตถุเคลื่อนที่ไป แรงเสียดทาน ผลของแรงเสียดทานทีม่ ตี อ วัตถุ
และรวมกันสรุปภายในชั้นเรียน โดยครูคอย
อ ิบายเพิ่มเติมในสวนที่บกพรอง

แรงเสียดทาน
ภาพที่ .1 ตัวอยางแ นภาพแสดงการเกิดแรงเสียดทานระหวาง ิวของลูก ุต อลกั พื้นสนาม
แรงตานการเคลือ่ นทีข่ องวัตถุ ทีม่ ที ศิ ทางตรงขามกั การเคลือ่ นทีข่ องวัตถุ
จะมี ลตอการเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนที่ของวัตถุที่อยูนิ่ง นพื้น หรือวัตถุที่กําลัง
เคลื่อนที่ ดังนี้
ถาออกแรงกระทําตอวัตถุ ดที่อยูนิ่ง นพื้น ิวชนิดหนึ่ง หมีการเคลื่อนที่ไป
แรงเสียดทานจะตานการเคลื่อนที่ของวัตถุนั้น จึงมี ลทํา หวัตถุนั้นเคลื่อนที่ไดยาก
เชน การเข็นรถยนตที่จอดเสียอยู นถนนลูกรัง หเคลื่อนที่
ถาออกแรงกระทําตอวัตถุ ดที่กําลังเคลื่อนที่ แรงเสียดทานจะทํา หวัตถุนั้น
เคลื่อนที่ไดชาลงหรือหยุดเคลื่อนที่ เชน การเตะรั ลูก ุต อล นสนาม

85

ขอสอบเนน การคิด น O-NET เกร็ดแนะครู


าเ าออ แ เต ุตบอ บน น วตา วย นา แ ครูอาจใหความรูความเขาใจเพิ่มเติมกับนักเรียนหลังจากทํากิจกรรมที่ 1
เ า น ุตบอ บน น ว น ุ เกี่ยวกับลักษ ะของแรงเสียดทาน ดังนี้
1. พื้นดินเหนียว • แรงเสียดทาน คือ แรงที่ตานทานการเคลื่อนที่ของวัตถุและมีทิศทาง
. พื้นทราย ตรงกันขามกับการเคลื่อนที่ของวัตถุ
3. พื้นหญา • แรงเสียดทานจะขึน้ อยูก บั นํา้ หนักของวัตถุทกี่ ดลงบนพืน้ หรือแรงโตตอบ
4. พื้นปูน จากพื้น
(แนวตอบ ากพื้นทั้ง ชนิด คือ พื้นดินเหนียว พื้นปูน พื้นห า • แรงเสียดทานจะมีคา มากหรือมีคา นอยขึน้ อยูก บั ลักษ ะของผิวสัมผัสของ
และพื้นทราย ่งพื้นปูน ะมีพื้น ิวที่เรียบที่สุด งมีแรงเสียดทาน วัตถุคูนั้น
กับลูก ุตบอลนอยที่สุด ลูก ุตบอล งกล้ง ป ด กลที่สุด ดังนั้น • แรงเสียดทานจะไมขึ้นอยูกับขนาดหรือพื้นที่สัมผัสระหวางวัตถุกับพื้น
ขอ งเปนคําตอบที่ ูกตอง)

T95
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ น
า าม า
4. ครู อ ิ บ ายเพิ่ ม เติ ม เกี่ ย วกั บ ป จ จั ย ที่ มี ผ ลต อ แรงเสียดทานเปนแรงตานทานการเคลื่อนที่ของวัตถุ ซึ่งแรงเสียดทานที่
แรงเสียดทานเพิ่มเติมจากสื่อดิจิทัล ดังนี้ เกิดขึ้นกั วัตถุจะมีคามากหรือมีคานอยขึ้นอยูกั ปจจัย ดังนี้
• นํ้าหนักหรือแรงกดของวัตถุที่กดลงบนพื้น ) นาหนัก รงก องวัต ุ
ถานํ้าหนักหรือแรงกดของวัตถุมาก จะเกิด • วัต ุมีนาหนักนอย แรงกดของวัตถุที่กระทําตอพื้น ิวจะมีนอย ทํา หมี
แรงเสียดทานมาก ถานํ้าหนักหรือแรงกด แรงเสียดทานนอย
ของวัตถุนอย จะเกิดแรงเสียดทานนอย
• ลักษ ะของพื้นผิวสัมผัส ถาพื้นผิวเรียบก็
จะเกิดแรงเสียดทานนอย ถาพืน้ ผิวไมเรียบก็
จะเกิดแรงเสียดทานมาก

แรงกด
นอย

ทิศทางที่วัตถุเคลื่อนที่ไป

แรงเสียดทานนอย

วัต ุมีนาหนักมาก แรงกดของวัตถุที่กระทํา


ตอพื้น ิวจะมีมาก ทํา หมีแรงเสียดทานมาก

แรงกด
แรงกด มาก
มาก
ทิศทางที่วัตถุเคลื่อนที่ไป

แรงเสียดทานมาก

86 ยที ี ต รง สีย ทา

ขอสอบเนน การคิด น O-NET


ครูใหนักเรียนเรียนรูเกี่ยวกับปจจัยที่มีผลตอแรงเสียดทานเพิ่มเติมจาก แ เ ย านเ น น า
สื่อดิจิทัล โดยใหสแกน เรื่อง ปจจัยที่มีผลตอแรงเสียดทาน จาก (แนวตอบ แรงเสียดทานมีทศิ ทางของแรงตรงขามกับทิศทางการ
หนังสือเรียน หนา ึ่งจะปราก คลิปวิดีโอ ดังภาพตัวอยาง เคลื่อนที่ของวัต ุ ทําใหเกิดแรงตานทานการเคลื่อนที่ของวัต ุ ง
ทําใหวัต ุเคลื่อนที่ชาลง)

T96
นํา สอน สรุป ประเมิน

หนวยการเรียนรูที่ 3 ขัน้ น
áç㹪ÕÇÔµ»ÃШíÒÇѹ า าม า
2) นิ องพืนผิวสัมผัส 5. นักเรียนนําขอมูลที่ศึกษาเพิ่มเติม มาอภิปราย
พื นผิ ว เรี ย บ หากพื้ น ิ ว สั ม ั ส ของวั ต ถุ เกี่ยวกับลักษ ะของแรงเสียดทาน ผลของ
ทั้ง 2 ชนิด เรีย จะเกิดแรงเสียดทานนอย แรงเสี ย ดทานที่ มี ต  อ วั ต ถุ และร ว มกั น สรุ ป
วัตถุจึงเคลื่อนที่ไดงาย ภายในชั้นเรียน โดยใหครูคอยอ ิบายเพิ่มเติม
ในสวนที่บกพรอง
6. นักเรียนแตละคนทํากิจกรรมหนูตอบไดจาก
ตัวอยาง พื้นผิวเรียบ เชน หนังสือเรียนหนา 4 ลงในสมุดหรือในแบบ
ฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล)
พื้นไมขัดมัน พื้นหินออน

พืนผิว มเรียบ หากพื้น ิวสัม ัสของวัตถุ


ทัง้ 2 ชนิด ไมเรีย จะเกิดแรงเสียดทานมาก
วัตถุจึงเคลื่อนที่ไดยาก
ตัวอยาง พื้นผิวไมเรียบ เชน

สนามหญา พื้นคอนกรีตหยา

87

ขอสอบเนน การคิด น O-NET เกร็ดแนะครู


า น ยานบน น วแบบ าห น ย า ครูอ ิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับผิวสัมผัสของวัตถุวา ขนาดของแรงเสียดทาน
มา ุ เมอ เว าแ ออ แ น า นเ า น จะมากหรือนอยขึ้นอยูกับผิวสัมผัสของวัตถุ ชนิดนั้น กลาวคือ ถาผิวสัมผัส
1. ถนนคอนกรีต หยาบหรือขรุขระ จะเกิดแรงเสียดทานมาก แตถาผิวสัมผัสเรียบหรือลื่น จะเกิด
. ถนนลูกรัง แรงเสียดทานนอย
3. สนามหญา
ว ม อ วต ุ น นา อ แ เ ย าน า เ อน อ วต ุ
4. ชายหาด
(วเ า ห าตอบ นนคอนกรีตเปนพื้น ิวที่เรียบมากกวา นน เรียบ-เรียบ แรงเสียดทานนอย วัตถุเคลื่อนที่ไดไกล
ลูกรัง สนามห า หรือชายหาดที่มีทราย เมื่อปน ักรยานโดย เรียบ-ขรุขระ แรงเสียดทานสูง วัตถุเคลื่อนที่ไดไมไกล
ใชเวลาและออกแรงในการปนเทากัน การปน ักรยานบนพื้น
คอนกรีต งปน ดระยะทาง กลที่สุด ดังนั้น ขอ งเปนคําตอบ ขรุขระ-ขรุขระ แรงเสียดทานสูงมาก วัตถุเคลื่อนที่ไดนอย
ที่ ูกตอง)

T97
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ น
า าม า
7. ครูกระตุนนักเรียนโดยตั้งคําถามใหนักเรียน
รวมกันแสดงความคิดเห็นวา หากไมมีแรง
.2 ผ อง รงเสีย าน
เสียดทาน จะมีผลตอการดําเนินชีวิตของเรา แรงเสียดทานที่เกิดขึ้นกั วัตถุ มี ลทํา หวัตถุเคลื่อนที่ชาลงหรือหยุดนิ่ง
หรือไม อยางไร ซึ่งอาจจะสง ลดีหรือ ลเสียตอการดํารงชีวิตของเราได เชน
8. นักเรียนใชความรูเ รือ่ ง แรงเสียดทานในการให
เหตุผลประกอบการอ ิบาย ผ ี อง รงเสีย าน ผ เสีย อง รงเสีย าน
1. แรงเสียดทานทีเ่ กิดขึน้ ระหวางพืน้ รองเทากั 1. แรงเสียดทานทํา หพื้นรองเทาสึกกรอนได
ขัน้ รป พืน้ ถนนขณะทีเ่ ราเดิน ทํา หเราไมลนื่ หกลม เมื่อ ชไปนาน
ร 2. แรงเสียดทานทีเ่ กิดขึน้ ระหวางมือของเรากั 2. แรงเสียดทานอาจทํา หเราเคลื่อนยายวัตถุ
ครูสุมนักเรียนตามเลขที่ 5- คน ใหออกมา วัตถุที่เราถือ ทํา หวัตถุไมลื่นและหลนจาก หรือสิ่งของ างอยางไดยากลํา ากมากขึ้น
อ บิ ายความรูเ กีย่ วกับผลของแรงเสียดทานทีม่ ตี อ มือของเรา เพราะตองออกแรงมากขึ้น
วัตถุ จากนัน้ ใหนกั เรียนทัง้ หองสรุปความรูร ว มกัน . แรงเสียดทานที่เกิดขึ้นระหวางลอรถตาง . แรงเสียดทานทํา หเกิดการสึกของดอกยาง
กั พื้น ิวถนน ทํา หลอรถตาง เกาะติด ลอรถตาง เมื่อ ชไปนาน
พื้น ิวถนนไดดี
ขัน้ ประ มน

1. ครู ต รวจสอบการทํ า กิ จ กรรมนํ า สู  ก ารเรี ย น
ในสมุด หรือในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5
เลม 1
2. ครู ต รวจสอบผลการทํ า กิ จ กรรมที่ 1 เรื่ อ ง
ลักษ ะของแรงเสียดทาน ในสมุดหรือในแบบ
ฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1
3. ครู ต รวจสอบผลการทํ า กิ จ กรรมหนู ต อบได
ในสมุดหรือในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 ภาพที่ .1 แรงเสียดทานระหวาง ิวของยางรถยนตกั พื้น ิวถนน
เลม 1 à¡Ãç´ ÇԷ¹ÒÃÙŒ
นข ะทีมีการเล่นสเกตนาแข็ง พืนรองเท้าสเกตของ ้เล่นจะละลายพืน ิวนาแข็ง
ทีตัด ่าน นาแข็งทีละลายจะกลายเ นแ ่นฟลมบาง ระหว่างพืนรองเท้าสเกตและ
พืนนาแข็ง ทา ห้แรงเสียดทานบนพืน ิวลดลง พืนนาแข็งจงลืนและทา ห้ ้เล่นไถลไ มา
บนพืนนาแข็งได้อย่างสะดวก

88

แน ก ร ดแ ะ ระเ น ขอสอบเนน การคิด น O-NET


ครูสามารถสังเกตพ ติกรรมของนักเรียนจากการตอบคําถาม การทํางาน ม น อ ตอ า แ เ ย านมา ุ
รายบุคคล การทํางานกลุม และการนําเสนอผลการทํากิจกรรมหนาชั้นเรียน ได 1. เตะ ุตบอล
โดยศึกษาเก การวัดและประเมินผลที่แนบทายแผนการจัดการเรียนรูของ . ปนจักรยาน
หนวยการเรียนรูที่ 3 แรงในชีวิตประจําวัน ดังภาพตัวอยาง 3. กวาดบาน
แบบประเมินการนาเสนอผลงาน
4. ปนเขา
แบบสังเกตพ ติกรรมการทางานรายบุคคล

(วเ า ห าตอบ การเตะ ุตบอล ปน ักรยาน และกวาดบาน


คาชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่ คาชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่
ตรงกับระดับคะแนน ตรงกับระดับคะแนน
ระดับคะแนน ระดับคะแนน
ลาดับที่ รายการประเมิน ลาดับที่ รายการประเมิน
3 2 1 3 2 1
1 เนื้อหาละเอียดชัดเจน    1 การแสดงความคิดเหน   
2
3
4
5
ความถูกต้องของเนื้อหา
ภาษาที่ใช้เข้าใจง่าย
ประโยชน์ที่ได้จากการนาเสนอ
วิธีการนาเสนอผลงาน












2
3
4
5
การยอมรับ งความคิดเหนของผู้อื่น
การทางานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย
ความมีน้าใจ
การตรงต่อเวลา












เป น กิ กรรมที่ ต  อ งลดแรงเสี ย ดทาน ง ะทํ า ให ทํ า กิ กรรม
ดสะดวกข้น สวนการปนเขาเปนกิ กรรมทีต่ อ งเพิม่ แรงเสียดทาน
รวม รวม

ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
............./.................../.............. ............./.................../..............

เกณฑ์การให้คะแนน
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินสมบูรณ์ชัดเจน
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินเป็นส่วนใหญ่
ให้
ให้
3 คะแนน
2 คะแนน
เกณฑ์การให้คะแนน
ป ิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ
ป ิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง
ป ิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง
ให้
ให้
ให้
คะแนน
คะแนน
คะแนน
ระหวางมือและเทาของเรากับพื้น ิว ูเขา ง ะทําใหปนเขา ด
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินบางส่วน ให้ 1 คะแนน

เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
งายและเรวข้น ดังนั้น ขอ งเปนคําตอบที่ ูกตอง)
14-15 ดีมาก 14-15 ดีมาก
11-13 ดี 11-13 ดี
8-10 พอใช้ 8-10 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง ต่ากว่า 8 ปรับปรุง

T98
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

หนวยการเรียนรูที่ 3 ขัน้ นา
áç㹪ÕÇÔµ»ÃШíÒÇѹ กระ น าม น

. การ ปร ย นจาก รงเสีย าน 1. ครูทักทาย และสนทนากับนักเรียนเกี่ยวกับ


ประโยชนของแรงเสียดทาน โดยนํารองเทาแตะ
นชีวิตประจําวัน เมื่อเราทํากิจกรรม างอยางอาจเกิดแรงเสียดทานมาก คู มาใหนักเรียนทดลองใส ดังนี้
ทํา หมีแรงตานทานการเคลื่อนที่ของวัตถุมาก จึงจําเปนตองลดแรงเสียดทาน นักเรียนคนที่ 1 ใสรองเทาแตะที่มีพื้นผิว
เพื่อชวย หวัตถุเคลื่อนที่ไดงายขึ้นหรือเร็วขึ้น รองเทาเรียบ
นักเรียนคนที่ ใสรองเทาแตะที่มีพื้นผิว
ตัวอยางการลดแรงเสียดทาน รองเทาขรุขระ
การสราง นน 2. ใหนักเรียนทั้ง คน เดินแขงกันไปเก็บของ
ตองออกแ และเลือก ชวสั ดุทที่ าํ หพนื้ วิ ของถนนเรีย เพือ่ ลด ที่สนามพื้นปูนที่มีนํ้าขังอยู โดยครูระวังความ
แรงเสียดทานที่เกิดขึ้นระหวางลอรถตาง กั พื้น ิวของถนน ซึ่งจะ ปลอดภัยของนักเรียน จากนัน้ ครูถามนักเรียน
ชวย หรถตาง สามารถเคลื1 ่อนที่ไดงายและเร็วกวา นถนนที่มี ที่เหลือวา
พื้น ิวขรุขระ เชน ถนนลูกรัง • น เ ยน น อ เ าแต น ว เ น
บน น มนา อย ว วา น เ า
เหตุ
(แนวตอบ นักเรียนคนที่ เพราะใสรองเทาแตะ
ทีม่ พี นื้ วิ ทีข่ รุขระ ะเกิดแรงเสียดทานมาก
พืน้ รองเทา งเกาะพืน้ ปูน ดดกี วาและ มลนื่
แตนกั เรียนคนที่ ใสรองเทาแตะพืน้ วิ เรียบ
งมีแรงเสียดทานนอย อา ทําใหลื่นหกลม
และเกิดอันตราย ด)
3. นักเรียนรวมกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ
คําถามทีค่ รูถาม โดยครูคอยชวยเสริมและสรุป
ภาพที่ .2 ตัวอยางการลดแรงเสียดทาน
2 คําตอบของนักเรียนเพือ่ เพิม่ ความรูค วามเขาใจ
การเค ือนยายวัต ุ ีมี นา ห  หรือ การ นามันห อ ืนหยอ ีเครืองจักร ใหกับนักเรียน
วัต ุมีนาหนักมาก อุปกรณตาง
อาจ ชรถเข็นมาชวย นการเคลื่อนยาย เพื่อชวย หเครื่องจักรทํางานไดสะดวก ขัน้ น
วัตถุ เพราะจะชวยลดแรงเสียดทานระหวาง หรือ ชนํ้ามันหลอลื่นหยอดที่ านพั ประตู าร น า
ิวสัม ัสของวัตถุที่มีนํ้าหนักมากกั พื้น ิว เพื่อชวย ห านประตูเปด ปดไดสะดวกขึ้น 1. ครู ตั้ ง ประเด็ น คํ า ถามให นั ก เรี ย นร ว มกั น
ตาง และทํา หเคลื่อนยายวัตถุไดงายขึ้น อภิปรายวา
89 • แ เ ย านม ย นตอ วต าวน
อ เ าห อ ม อยา
(แนวตอบ ข้นอยูกับคําตอบของนักเรียน)

กิ กรร า า นกเร นค รรู


ใหนกั เรียนแตละคนสํารวจและยกตัวอยางแรงเสียดทานทีเ่ กิด 1 นน คือ ถนนที่ปูผิวจราจรดวยลูกรัง หินแลงที่เปนเม็ด
ขึ้นในชีวิตประจําวันมา 5-1 กิจกรรม โดยไม ํ้ากับในบทเรียน
2 นามนห อ น คือ นํ้ามันหลอลื่นเครื่องยนต หรือนํ้ามันเครื่อง ึ่งมีความ
จากนั้นใหบันทึกขอมูลตามตารางตัวอยาง แลวนําเสนอหนา
สําคัญตอการปกปองเครื่องยนตหลายประการ เชน
ชั้นเรียนเพื่อรวมกันอภิปรายขอมูล (ตัวอยางตาราง)
• ระบายความรอนของเครื่องยนต
าน า เ น ว เ แ อ แ เ ย าน • ลดแรงเสียดทานของวัตถุชิ้นที่เสียดสีกัน
แ เ ย าน เ ย าน เ น • ปองกันการกันกรอนจากสนิมและกรดตาง
• ทําความสะอาดเขมาและเศษโลหะภายในเครื่องยนต
1.
2.
3.
4.
5.

T99
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ น
าร น า
2. นักเรียนศึกษาความรูเรื่องการใชประโยชน นอกจากนี้ นการทํากิจกรรม างอยางหากมีแรงเสียดทานเกิดขึ้นนอย
จากแรงเสี ย ดทาน จากหนั ง สื อ เรี ย น หน า
- แล ว ให ทุ ก คนแสดงความคิ ด เห็ น
อาจจะทํา หลื่นเกินไปและอาจทํา หเกิดอันตรายได จึงตองเพิ่มแรงเสียดทาน
เพิ่มเติมจากขอมูลที่ไดศึกษาเพื่อเตรียมตัว โดยการทํา หพื้น ิวทั้งสองสัม ัสกันมากขึ้น
ทํากิจกรรม ตัวอยางการเพิ่มแรงเสียดทาน
3. ครูใหนักเรียนเลนเกมการแขงขันตอบคําถาม
และแบงกลุมนักเรียนกลุมละ 3-4 คน เพื่อ การออก บบ อกยาง ว าย ี อร ตาง
ทํากิจกรรมการแขงขัน โดยใหนักเรียนแตละ เพื่อชวยทํา ห ิวสัม ัสระหวางลอรถกั พื้น ิวถนน
กลุมเขียนกิจกรรมตาง ในชีวิตประจําวันให เกิดแรงเสียดทานมากขึ้น ทํา หลอรถยึดเกาะถนนไดดี
ตรงกับหัวขอ โดยครูใหเวลาแตละกลุมระดม
ความคิดตามเวลาที่เหมาะสม ดังนี้
การลดแรงเสียดทาน
การเพิ่มแรงเสียดทาน
(แนวตอบ ใสรองเทาเตะ ุตบอลเปนการเพิ่ม
แรงเสียดทาน หยอดนํ้ามันประตูเปนการลด
แรงเสียดทาน)
4. นักเรียนสงตัวแทนกลุมออกมาเขียนคําตอบ
ของกลุมตัวเองบนกระดานหนาชั้นเรียน
5. ครูใหนักเรียนทุกคนชวยกันอภิปรายคําตอบ
ของเพื่อน และสรุปคําตอบที่ถูกตองรวมกัน
โดยมี ค รู ค อยตรวจสอบความถู ก ต อ งของ
คําตอบ ภาพที่ .21 ตัวอยางการเพิ่มแรงเสียดทาน
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม) การออก บบพืนรองเ ากี า การ เบรก องร จักรยาน
6. ครูอ ิบายเพิ่มเติมวา กิจกรรมตาง ตองการ เชน รองเทาของนักกี า ุต อลจะ เมื่อเรา ี คันเ รก กามปูหามลอจะ
แรงเสี ย ดทานไม เ ท า กั น บางกิ จ กรรมต อ ง มีพนื้ รองเทาเปนปุมหลาย ปุม เพือ่ เปน กดสัม ัสวงลอของรถจักรยานและเกิด
อาศัยแรงเสียดทานมาก เชน การเลนชักเยอ การเพิม่ แรงเสียดทานระหวางพืน้ รองเทา แรงเสียดทานเพิ่มขึ้น ทํา หรถจักรยาน
การเล น ุ ต บอล การขั บ ขี่ ร ถยนต และใน กั พื้นสนาม และชวยปองกันการลื่น ชะลอความเร็วหรือหยุดเคลื่อนที่ได
บางกิจกรรมตองการแรงเสียดทานนอย เชน หกลม นขณะวิ่ง
การเลนกระดานลื่น การเคลื่อนยายสิ่งของไป
90
บนพื้นผิวตาง ดังนั้น จึงตองมีการเพิ่มหรือ
ลดแรงเสี ย ดทานให เ หมาะสมกั บ กิ จ กรรม
ตาง
ขอสอบเนน การคิด น O-NET
น า อ า อ บเ ยว นบน น ว ตา วยตา น
ตา า แ นา อ แ า เมอ อ เ มเ อน บน น ว ตา
อ น ว นา อ แ า เมอ อ เ มเ อน นวตน
ชนิดที่ 1 5
ชนิดที่
ชนิดที่ 3
ชนิดที่ 4
า อม า า อ บน น ว น เ แ เ ย านมา ุ
1. ชนิดที่ 1 . ชนิดที่
3. ชนิดที่ 3 4. ชนิดที่ 4
(วเ า ห าตอบ การลากกลองบนพื้น ิวชนิดที่ ใชแรงมากที่สุด กลอง ง ะเริ่มเคลื่อนที่
แสดงวา พื้น ิวชนิดที่ มีแรงเสียดทานมากที่สุด ดังนั้น ขอ งเปนคําตอบที่ ูกตอง)

T100
นํา สอน สรุป ประเมิน

หนวยการเรียนรูที่ 3 ขัน้ น
áç㹪ÕÇÔµ»ÃШíÒÇѹ า ามร

Ô Ãà ¹Ò ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õ 1 1. นักเรียนกลุม เดิมศึกษาขัน้ ตอนการทํากิจกรรม


พั นาการเรี ย นรู  ที่ 1 จากหนั ง สื อ เรี ย น
หนักเรียน บงก ุม ก ุม คน ว ห ต ก ุมนา ว พ าสติก นา หน า นี้ จากนั้ น ร ว มกั น ป ิ บั ติ กิ จ กรรมตาม
.5 ิตร มา บบ ยบรรจุนา หเตม ว วป ิบัติกิจกรรม ังนี ขั้นตอนใหครบถวน แลวบันทึกผลลงในสมุด
1 ชมือขาง ดขางหนึ่งจั กลางขวดที่มีนํ้าอยูเต็มขวดแลวยกขึ้น จากนัน้ ันทึก ล 2. นักเรียนแตละกลุม รวมกันอภิปรายและสรุปผล
ลง นสมุดวา จั ขวดไดกระชั มือโดยไมลื่นหลุดมือไดมากหรือนอยเพียง ด การทํากิจกรรม จากนั้นสงตัวแทนนําเสนอ
หทําจนคร ทั้ง ขวด หนาชั้นเรียน
2 ชส ูถูมือที่เปยกนํ้าและ ชมือขางนั้นจั กลางขวดแลวยกขึ้น จากนั้น ันทึก ล 3. ครู ส นทนากั บ นั ก เรี ย นเพื่ อ ทบทวนเกี่ ย วกั บ
เชนเดียวกั ขอ 1 หทําจนคร ทั้ง ขวด เนื้ อ หาที่ ไ ด เ รี ย นรู  ผ  า นมาแล ว จากหน ว ย
แตละกลุมนํา ลการทดลองมาวิเคราะหวา ลักษณะของขวดแ ดมีการเพิ่ม การเรียนรูที่ 3 บทที่ แรงเสียดทาน โดยสุม
เรียกชื่อนักเรียนใหออกมาเลาวาตนเองไดรับ
แรงเสียดทานสําหรั การจั มากที่สุด จากนั้นรวมกันสรุป ลภาย นชั้นเรียน
ความรูอะไรบาง
า าม า
¤Ó¶ÒÁ·ŒÒ·Ò¡ÒäԴ¢Ñé¹ÊÙ§ 1. นั ก เรี ย นเขี ย นสรุ ป ความรู  เ กี่ ย วกั บ เรื่ อ งที่ ไ ด
เรียนมาจากบทที่ ในรูปแบบตาง เชน
รถยนตคนั หนึง่ ขั มาดวยความเร็วสูง นถนนที่ นกําลังตก นักเรียนคิดวา จะเกิด ลอยางไร
แผนผังความคิด แผนภาพ ลงในสมุดประจําตัว
และเพราะเหตุ ด
หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
กิจกรรม สรุปความรูป ระจําบทที่ 2
ตรวจสอบตนเอง
หลังเรียนจ ทนี้แลว หนักเรียน อกสัญลักษณที่ตรงกั ระดั ความสามารถของตนเอง
เกณ
รายการ ี พอ  ควรปรับปรุง

1. เขา จเนื้อหาเกี่ยวกั เรื่องแรงเสียดทาน


2. สามารถทํากิจกรรมและอธิ าย ลการทํากิจกรรมได
. สามารถตอ คําถามจากกิจกรรมหนูตอ ไดได น าถามทาทา การ ั้น
. ทํางานกลุมรวมกั เพื่อนไดดี อา ประสบอุบัติเหตุ ด เพราะเมื่อ นตก ะ
5. นําความรูไป ชประโยชน นชีวิตประจําวันได ทําใหมีนํ้าทวมขังอยูบนพื้น นน งมี ลทําใหลด
91
แรงเสี ย ดทานระหว า งล อ ร ยนต กั บ พื้ น นน ด
ลอร ยนต งอา ลื่น ลและประสบอุบัติเหตุ ด

กิ กรร st
y เกร็ดแนะครู
ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-5 คน จากนั้นใหสืบคน ครู อ าจอ ิ บ ายเพิ่ ม เติ ม เพื่ อ เชื่ อ มโยงกั บ ชี วิ ต ประจํ า วั น ให นั ก เรี ย นรู  ว  า
ขอมูลเกี่ยวกับเครื่องเลนในสวนสนุกหรือการเลนกี าชนิดตาง การเรียนเรื่องแรงเสียดทานทําใหเขาใจและมีความระมัดระวังในการเคลื่อนที่
วาเครื่องเลนหรือกี าชนิดนั้น ตองการแรงเสียดทานในการเลน เชน พื้นผิวที่เปยกจะมีแรงเสียดทานนอย หากเราเดินอยางไมระมัดระวังอาจ
มากหรือนอย และเกิดแรงเสียดทานบริเว ใด จากนัน้ ใหแตละกลุม ลื่นหกลมได หรือเมื่อมือเราเปยกนํ้าแลวเราถือแกวนํ้า อาจทําใหแกวนํ้าลื่น
นําเสนอผลงานหนาชั้นเรียนดวยวิ ีการที่หลากหลายและนาสนใจ หลุดมือตกพื้นและแตกไดงาย เพราะแรงเสียดทานระหวางมือที่เปยกนํ้ากับผิว
แกวมีนอย

T101
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ น
า าม า
2. นั ก เรี ย นแต ล ะคนศึ ก ษาแผนผั ง ความคิ ด ÊÃØ» ÊÒÃ ÊÒ
»ÃШíÒº··Õè 2
สรุปสาระสําคัญ ประจํา
บทที่ 1 จากหนังสือเรียนหนานี้ เพื่อตรวจสอบ น้ ําหนักน้อย แรงเสียดท
านนอ้

กับการเขียนสรุปความรูท นี่ กั เรียนทําไวในสมุด ักมาก แรงเสี
ย ด ท า น มาก น้ ําห
น้ ําหน นักแ
3. นั ก เรี ย นทํ า กิ จ กรรมฝกทั ก ษะบทที่ จาก ละ
ทานน้อย
หนังสือเรียน หนา 3- 4 ขอ 1-5 ลงในสมุด บ แ รงเสียด ชนิดข
ท าน มา ก

แร
ีย
ผิวเร งเสียด องพ้

งก
หรือในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1 พ้ืน แ ร ืนผิว
เรียบ สัม

ดขอ
ิว ม ุสองชนิ ด ผัส
4. นักเรียนแบงกลุม โดยใชกลุมเดิมจากชั่วโมง ผ ัสของวัต
พ้ืน ผ ิ ว สัมผ ท่ีของวัต ุ ค วา ม ห ม า

ง วั ต ุ
ที่ผานมา จากนั้นศึกษากิจกรรมสรางสรรค ว าง คล่ือน ย
ร ะห กา รเ
้น า น
ผลงาน บทที่ จากหนังสือเรียน หนา 5 แลว ดข ้ า น ท

นแ ีเ่ กิ
ใหป ิบัติกิจกรรมโดยมีขั้นตอน ดังนี้ ด ย แ รงท ง

1 ออกแบบพื้นรองเทาทีมีพื้นผิวสําหรับการ ร
ผี
เป


ใชงานของผูสูงอายุ จยั ทม่ี
ปัจ
นําเสนอแนวคิดและผลงานภายในชัน้ เรียน ะ ย ช น์
้ปร
(หมายเหตุ : ครูเริม่ ประเมินนักเรียน โดยใชแบบ ใช
มฐ ว ป ป กา

กา

สังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม) รเข
5. นักเรียนทําทบทวนทายหนวยการเรียนรูที่ 3
แรงเสียดทาน ยี

นแ
ผล
เรื่อง แรงในชีวิตประจําวัน จากแบบฝกหัด

ผน
เก

ท่ี
วิทยาศาสตร ป.5 เลม 1 ดิ ข

ภา
เช ้น

พแ
6. ครูใหนักเรียนทําแบบทดสอบหลังเรียนของ นอ
อกแ

สดง
บบด
การ

หนวยการเรียนรูที่ 3 เพื่อตรวจสอบความรู อกยางขอ


งล้อร ยนต์

แรง
ใชน้

ความเขาใจหลังเรียน ง่ิ
นห ุ น
้ าํ ม

ยด
การสร

ลอ ทาํ ใหว้ ต ่ า้ ลง
ั เุ คลื่อนทีช หรอื ห

ลน
่ื หย
ขัน้ รป ดเคร่อ
ื งจักร
า้ ง น


นใ

นผ ทิศทางการเคลื่อนที่ของวัต ุ
หพ้

1. ครู กั บ นั ก เรี ย นร ว มกั น สรุ ป เกี่ ย วกั บ การใช วิ


้ื

ประโยชนจากแรงเสียดทาน ในการทํากิจกรรม นน
เรย
ี บขน
้ แรงเสียดทาน
ตาง ในชีวิตประจําวัน

92

เกร็ดแนะครู
เมือ่ เรียนจบบทนีแ้ ลว ครูอาจใหนกั เรียนตัง้ คําถามทีอ่ ยากรูเ พิม่ เติมเกีย่ วกับ
เรื่องแรงเสียดทาน คนละ 1 คําถาม จากนั้นครูสุมเรียกใหนักเรียนบอกคําถาม
ของตนเอง แลวใหเพื่อนคนอื่น ในชั้นเรียนชวยกันแสดงความคิดเห็นวา จะใช
วิ ีการทางวิทยาศาสตรตอบคําถามนี้ไดยางไร โดยครูทําหนาที่เปนผูชี้แนะและ
สังเกตการทํากิจกรรมของนักเรียนอยางใกลชิด
ครูสามารถใชแบบทดสอบหลังเรียนที่แนบมาทายแผนการจัดการเรียนรู
ของหนวยการเรียนรูที่ 3 แรงในชีวิตประจําวันได

T102
นํา สอน สรุป ประเมิน

น ก กรรม กทักษะ
กิจกรรม º··Õè 2 ขอ 1.
ฝกทักษะ ) การ ดุ มขดี ทําใหเกิดแรงเสียดทานมาก
ระหวางหัว มขดี กับบริเว ดานขางกลอง มขดี
. สังเกต าพ วอธิบายวาเกียว องกับ รงเสีย านอยาง ร งทําใหเกิด ด
1. 2. 3. ) การเลน ลบนพื้นหิมะ ะทําใหเกิดแรง
เสียดทานนอย แ นรองนั่ง งลื่น ล ดดี
) ลอ ักรยานที่มีดอกยางเยอะ ทําให ิวสัม ัส
ระหวางลอ ักรยานและพื้น นนยดเกาะกัน ดดี
งชวยเพิ่มแรงเสียดทาน ทําให ักรยาน มลื่น ล
จุดไมขีดไ เลนกระดานหิมะ ปนจักรยาน ) ลูกลอของตูชวยลดแรงเสียดทานระหวางลอ
4. 5. 6. กับพืน้ วิ ทําใหตเู คลือ่ นทีบ่ นพืน้ วิ ขรุขระ ดงา ยข้น
) การสวมรอยเทามีพื้น ิวขรุขระทําใหวิ่งบน
พื้นเรียบ ดสะดวก เพราะทําใหเกิดแรงเสียดทาน
ข ะวิ่ง ง มหกลม ดงาย
) การขับร บนพืน้ นนทีม่ ี วิ เรียบ ะทําใหเกิด
เข็นสิ่งของ วิ่งออกกําลังกาย รถพวง รรทุกเรือ แรงเสียดทานระหวางลอร ยนตกับพื้น นน
ขอ 2. ทิศทางการเคลื่อนที่ของวัตถุ
2. สังเกต าพ วเ ียน ผน าพ ส ง รงเสีย าน เกิ
ี น ง นสมุ
) แรงเสียดทาน
1. 2. 3.
ทิศทางการเคลื่อนที่ของวัตถุ
)
แรงเสียดทาน
) ทิศทางการเคลื่อนที่ของวัตถุ

แรงเสียดทาน
ขี่จักรยานยนต เข็นกลอง ลากกระเปา
ขอ 3.
. ตอบคา ามตอ ปนี ) พืน้ นนทีเ่ ปยกนํา้ น ะทําใหพนื้ วิ นนลืน่
1 ขณะ นตก ิวสัม ัสของถนนจะมีแรงเสียดทานมากหรือนอย เพราะอะไร งมีแรงเสียดทานนอย เพราะเมื่อพื้น ิว นนเปยก
2 แรงเสียดทานมีแนวแรง นทิศทาง ด จงเขียนแ นภาพและอธิ ายประกอ นํ้า ะชวยลดแรงเสียดทานใหนอยลง
นักเรียนสามารถเตะ ุต อลกั เพื่อน นสนามหญาที่พื้นดินเปยกและแฉะ ) แรงต า นทานการเคลื่ อ นที่ ข องวั ต ุ ่ ง มี
ไดลํา ากหรือไม เพราะเหตุ ด ทิศทางตรงขามกับการเคลื่อนที่ของวัต ุนั้น
) ดลําบาก เพราะสนามห าที่เปยกและแ ะ
93
นํ้า ะทําใหลดแรงเสียดทาน งทําใหการเคลื่อนที่
ในการเตะลูก ุตบอลทํา ดลําบากกวาปกติ

ขอสอบเนน การคิด น O-NET


ตา า แ ย า อ เ อน บน น ว ตา เมอ วยแ น ย เว าเ า น
อ น ว ย า อ เ อน เมต
แข็งและเรียบ 3.
แข็งและขรุขระ .5
นุมและเรียบ .
นุมและขรุขระ .1
า อม น ว อ หเ แ เ ย านตา ุ อ อ
1. แข็งและเรียบ . แข็งและขรุขระ 3. นุมและเรียบ 4. นุมและขรุขระ
(วเ า ห าตอบ ลัก ะพืน้ วิ ทีท่ าํ ใหกลองเคลือ่ นที่ ป ด กลมากทีส่ ดุ คือ แขงและเรียบ เพราะทําใหเกิด
แรงเสียดทานนอยที่สุด ดังนั้น ขอ งเปนคําตอบที่ ูกตอง)

T103
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ รป

2. ครูใหนักเรียนดูตารางตรวจสอบตนเอง จาก
หนังสือเรียน หนา 1 จากนั้นถามนักเรียน . พิจารณา อมู ีกาหน วตอบคา าม
เปนรายบุคคลตามรายการขอ 1-5 จากตาราง กุกทดลองลากกลอง 1 นพืน้ วิ ลักษณะตาง ดวยเครือ่ งชัง่ สปริงแ แขวน
เพื่อเปนการตรวจสอบความรูความเขาใจของ และอานขนาดของแรงเมื่อกลองเคลื่อนที่ได ล ดังนี้
นั ก เรี ย นหลั ง จากเรี ย น หากนั ก เรี ย นคนใด
ตรวจสอบตนเองโดยให อ ยู  ใ นเก  ที่ ค วร
ัก ณ องพืนผิว นา อง รง ี  าก (นิวตัน)
ปรับปรุง ใหครูทบทวนบทเรียนหรือหากิจกรรม ชนิดที่ 1 4
อื่ น มา  อ มเสริ ม เพื่ อ ให นั ก เรี ย นมี ค วามรู  ชนิดที่ 2 6
ความเขาใจในบทเรียนมากขึ้น ชนิดที่ 8
1 การลากกลอง นพื้น ิวชนิด ดเกิดแรงเสียดทานมากที่สุด สังเกตจากสิ่ง ด
2 การลากกลอง นพื้น ิวชนิด ดเกิดแรงเสียดทานนอยที่สุด สังเกตจากสิ่ง ด
5. อานส านการณ ีกาหน ห วตอบคา าม
รังสรรคขั รถสปอรตหรูออกจาก านดวย
ความเร็วสูง ซึ่งเขามั่น จ นความชํานาญเสนทาง
น ก กรรม กทักษะ ของตนเองมาก เนื่องจากเปนเสนทางที่ ชเปน
ขอ 4.
ประจํา และเขาก็มีความเชื่อมั่น นประสิทธิภาพ
) ชนิดที่ สังเกต ากขนาดของแรงที่ใชลาก ของรถที่มีราคาแพง แต นขณะนั้นเองถนนเสนนี้
มากที่สุด งทําใหกลองเคลื่อนที่ ด เกิดมี นตกกะทันหัน และตกหนักอยางตอเนื่อง
) ชนิดที่ สังเกต ากขนาดของแรงที่ใชลาก แตรังสรรคก็ยังคงขั รถดวยความเร็วเชนเดิม
นอยที่สุด งทําใหกลองเคลื่อนที่ ด ตลอดเสนทาง
ขอ 5.
) รังสรรคอา ประสบอุบตั เิ หตุร ควํา่ เนือ่ ง าก 1 นักเรียนคิดวา ถารังสรรคยังคงขั รถดวยความเร็วเชนนี้ไปตลอดเสนทาง
นํ้ า น ะทํ า ให พื้ น ิ ว ของ นนลื่ น งอา ทํ า ให ที่มี นตกหนัก ลจะเปนอยางไร และเพราะเหตุ ดจึงเปนเชนนั้น
เกิดแรงเสียดทานระหวางพื้น ิวของ นนกับยาง 2 นักเรียนคิดวา รังสรรคจะมีวิธีปองกันไม หเกิดความเสียหายตอตนเองและรถ
ลอร ยนตนอยลง อา ทํารังสรรคควบคุมทิศทาง ไดอยางไร าง กิจกรรม ทาทายการคิดขัน้ สูง
ของร ยนต ม ด
) ขับร ยนตอยางชา และเพิ่มความระมัด
94
ระวังข ะขับร หรือควรหาส านที่หลบ นกอน
เมื่อ นหยุดตก งคอยเดินทางตอ

เกร็ดแนะครู ขอสอบเนน การคิด น O-NET


ครู อ าจให ค วามรู  ค วามเข า ใจกั บ นั ก เรี ย นเพิ่ ม เติ ม ว า การขั บ รถด ว ย า เ า ว เ ยว มออ เ า าเ ยว น น น
ความเร็วสูงอาจทําใหผูขับขี่เกิดอันตรายหรือประสบอุบัติเหตุจนถึงแกชีวิตได ตอ เ มห อ แ เ ย าน ยว
เพราะเมือ่ มีการขับขีร่ ถยนตหรือรถจักรยานยนตดว ยความเร็วบนถนนก็จะทําให (แนวตอบ เพิม่ แรงเสียดทานโดยใชหนังยางรัดที่ าเกลียว ทําให
แรงเสียดทานระหวางลอรถกับพื้นถนนลดลง จึงอาจทําใหการทรงตัวไดไมดี มีความขรุขระ งทําใหมอื บั าเกลียว ดแนนกวาเดิมและออกแรง
และอาจเกิดอุบัติเหตุได ดังนั้น ในการขับขี่ยานพาหนะประเภทตาง ผูขับขี่ หมุน ดมากกวาเดิม)
ควรคํานึงถึงความปลอดภัยในการใชรถใชถนนรวมกับผูอื่นเสมอ

T104
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ ประ มน

·Ñ¡ÉÐáË‹§ÈµÇÃÃÉ·Õè
✓การสื่อสาร ✓ ความรวมมือ ✓ การแกปญหา
1. ครูประเมินผลจากการสังเกตพ ติกรรมการ
✓การสรางสรรค ✓ การคิดอยางมีวิจารณญาณ ตอบคําถาม พ ติกรรมการทํางานรายบุคคล
✓การ ชเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร พ ติกรรมการทํางานกลุม และจากการนํา
กิจกรรม เสนอผลการทํากิจกรรมหนาชั้นเรียน
ÊÌҧÊÃ䏼ŧҹ 2. ครูตรวจผลการทํากิจกรรมสรุปความรูเ กีย่ วกับ
แรงเสียดทานจากสมุด
แบงกลุม กลุม ละ 3-4 คน แลวชวยกันออกแบบและประดิษฐ 3. ครูตรวจผลการทํากิจกรรมฝกทักษะบทที่
รองเทาที่มีพื้นผิวเหมาะสําหรับการใชงานของผูสูงอายุ จากนั้น ในสมุด หรือในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5
นําเสนอแนวคิดและผลงานภายในชั้นเรียน แลวนําไปทดสอบ เลม 1
การใชงานกับผูสูงอายุและนํากลับมาปรับปรุงใหเกิด 4. ครูตรวจสอบผลการทํากิจกรรมทาทายการคิด
ความเหมาะสม เพื่อประดิษฐสําหรับใชงานตอไป ขั้นสูงในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1
5. ครูตรวจชิน้ งาน ผลงานรองเทาสําหรับผูส งู อายุ
µÑÇÍ‹ҧ ¼Å§Ò¹¢Í§ ѹ
และการนําเสนอชิ้นงาน ผลงาน หนาชั้นเรียน
6. ครูตรวจสอบผลการทํากิจกรรมทบทวนทาย
หนวยการเรียนรูท ี่ 3 เรือ่ ง แรงในชีวติ ประจําวัน
ในแบบแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1
7. ครูตรวจสอบผลการทําแบบทดสอบหลังเรียน
ของหนวยการเรียนรูที่ 3

ภาพที่ .22 ตัวอยางวัสดุที่ ชทําพื้นรองเทา ภาพที่ .2 ตัวอยางพื้นรองเทา

95

ขอสอบเนน การคิด แน ก ร ดแ ะ ระเ น


อ แ วาม ม น อ น ว อ อ น ครูสามารถวัดและประเมินผลชิ้นงาน/ผลงานรองเทาสําหรับผูสูงอายุที่
มา ุ นักเรียนสรางขึ้น โดยศึกษาเก ประเมินผลงานจากแบบประเมินผลงาน/
1. นุมและขรุขระ เกิดแรงเสียดทานมาก ชิ้นงานที่แนบทายแผนการจัดการเรียนรูของหนวยการเรียนรูที่ 3 แรงในชีวิต
วัตถุเคลื่อนที่ไดงาย ประจําวัน ดังภาพตัวอยาง
. นุมและเรียบ เกิดแรงเสียดทานนอย การประเมินชิ้นงาน/ภาระงาน (รวบยอด) แผนฯ ที่ 3
เกณ ์การประเมินการออกแบบและประดิษฐ์พื้นผิวรองเท้าสาหรับการใช้งานของผู้สูงอายุ (แผนฯ ที่ )

รายการ เกณ ์การประเมิน (ระดับคุณภาพ)

วัตถุเคลื่อนที่ไดงาย
แบบประเมินการออกแบบและประดิษฐ์พื้นผิวรองเท้าสาหรับการใช้งานของผู้สูงอายุ ประเมิน ดีมาก (4) ดี (3) พอใช้ ( ) ปรับปรุง ( )
การออกแบบ ชิ้นงานมความ ูก ้อง าม ่ ชิ้นงานมความ ูก ้อง าม ่ ชิ้นงานมความ ูก ้อง าม ่ ชิ้นงาน ม่ ูก ้อง าม ่
ระดับคุณภาพ ชิ้นงาน ออกแบบ ว้ มขนาด ออกแบบ ว้ มขนาด ออกแบบ ว้ มขนาดเหมา สม ออกแบบ ว้ มขนาด
ลาดับที่ รายการประเมิน 4 3 2 1 เหมา สม รู แบบน่าสนใ เหมา สม รู แบบน่าสนใ รู แบบน่าสนใ ม่เหมา สม รู แบบ ม่
(ดีมาก) (ดี) (พอใช้) (ปรับปรุง) แ ลก า แล สร้างสรรค์ด แล สร้างสรรค์ น่าสนใ

3. แข็งและเรียบ เกิดแรงเสียดทานนอย
1 การออกแบบชิ้นงาน การเลือกใช้วัสดุ เลือกใช้วัสดุมาสร้างชิ้นงาน เลือกใช้วัสดุมาสร้างชิ้นงาน เลือกใช้วัสดุมาสร้างชิ้นงาน เลือกใช้วัสดุมาสร้างชิ้นงาน
2 การเลือกใช้วัสดุเพื่อสร้างชิ้นงาน เพื่อสร้าง าม ่กาหนด ด้ ูก ้อง แล าม ่กาหนด ด้ ูก ้อง แล รง าม ่กาหนด แ ่วัสดุ ม่ม ม่ รง าม ่กาหนด แล
3 ความสมบูรณ์ของชิ้นงาน ชิ้นงาน วัสดุมความเหมา สมกับการ วัสดุมความเหมา สมกับการ ความเหมา สมกับการสร้าง วัสดุ ม่มความเหมา สมกับ
สร้างชิ้นงานดมาก สร้างชิ้นงานด ชิ้นงาน ่ออกแบบ ว้ ชิ้นงาน ่ออกแบบ ว้
4 การสร้างสรรค์ชิ้นงาน
ความสมบูรณ์ ชิ้นงานมความแขงแรง ชิ้นงานมความแขงแรง ชิ้นงาน ม่มความแขงแรง แ ่ ชิ้นงาน ม่มความแขงแรง
5 กาหนดเวลาส่งงาน ของชิน้ งาน น าน สามาร นา ใช้ น าน สามาร นา ใช้ สามาร นา ใช้งาน ด้บา้ ง แล ม่สามาร นา ใช้งาน

วัตถุเคลื่อนที่ไดงาย
รวม งาน ด้ ริงแล ใช้ ด้ดมาก งาน ด้ ริงแล ใช้ ด้ด ด้
4 การสร้างสรรค์ กแ ่งชิ้นงาน ด้สว งามด กแ ่งชิ้นงาน ด้สว งามด กแ ่งชิ้นงาน ด้สว งามน้อ ชิ้นงาน ม่มความสว งาม
ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ชิ้นงาน มาก
............./.................../..............
กาหนดเวลาสง ส่งชิ้นงาน า ในเวลา ่ ส่งชิ้นงานช้ากว่ากาหนด ส่งชิ้นงานช้ากว่ากาหนดเกิน ส่งชิ้นงานช้ากว่ากาหนดเกิน

4. แข็งและขรุขระ เกิดแรงเสียดทานมาก
งาน กาหนด วัน 3 วันข้น 5 วันข้น

ระดับคุณภาพ
ดีมาก ดี พอใช้ ปรับปรุง

วัตถุเคลื่อนที่ไดงาย เกณ ์การ ัดสินคุณภาพ


ชวงคะแนน ระดับคุณภาพ
ดีมาก

(แนวตอบ พื้น ิวที่มีลัก ะแขงและเรียบ ะทําใหเกิดแรง


4 ดี
พอใช้
่ากวา ปรับปรุง

เสียดทานระหวางวัต ุกับพื้น ิวนอย วัต ุ งเคลื่อนที่ ดงาย และ


เคลื่อนที่ ดมาก ดังนั้น ขอ งเปนคําตอบที่ ูกตอง)

T105
Chapter Overview
นการ ั ักษ ะ
่ ที่ ช ประ น ประ มน ทักษะที่
การ ร นร ัน ึ ประ
น ที่ แ ทดสอ กอนเรียน 1. ระ ุตัวกลางของเสียง แ สื เสาะ ตรวจแ ทดสอ กอนเรียน ทักษะการสังเกต มีวินัย
ั หนังสือเรียนวิทยาศาสตร แตละประเภทได หาความรู ตรวจกิจกรรม นสมุดหรือ ทักษะสํารวจคนหา เรียนรู
ข ป.5 เลม 1 2. อธิ ายการเคลื่อนที่ 5 นแ กหัดวิทยาศาสตร ทักษะการระ ุ มุงมัน่ น
2 แ กหัดวิทยาศาสตร ของเสียง านตัวกลาง
ป.5 เลม 1 ตาง ได
การนําเสนอ ลการทํา
กิจกรรม
ทักษะการสรุป
อางอิง
การทํางาน
ชั่วโมง
วัสดุ อุปกรณการทดลอง . ทดลองเกี่ยวกั การ สังเกตพ ติกรรมการทํางาน ทักษะการวิเคราะห
กิจกรรมที่ 1 เคลื่อนที่ของเสียง าน ราย ุคคล
- PowerPoint ตัวกลางตาง ไดคร สังเกตพ ติกรรมการทํางาน
สมุดประจําตัวนักเรียน ทุกขั้นตอน กลุม
. มีความมุงมั่น นการ สังเกตคุณลักษณะ
ทํากิจกรรมอยางตั้ง จ อันพึงประสงค

น ที่ หนังสือเรียนวิทยาศาสตร 1. อธิ ายสวนประกอ หู แ สื เสาะ ตรวจกิจกรรม นสมุดหรือ ทักษะการสังเกต มีวินัย


น ป.5 เลม 1 และหนาที่ของแตละ หาความรู นแ กหัดวิทยาศาสตร ทักษะการทดสอ เรียนรู
แ กหัดวิทยาศาสตร สวนที่ ช นการรั เสียง 5 การนําเสนอ ลการทํา สมมติฐาน มุงมัน่ น
2 ป.5 เลม 1 ได
การไดยิน 2. อธิ ายการไดยินเสียง
กิจกรรม
สังเกตพ ติกรรมการทํางาน
ทักษะการสรุป
อางอิง
การทํางาน
ชั่วโมง
เสียง านตัวกลาง านตัวกลางตาง ได การเรียนรู ราย ุคคล ทักษะการทํางาน
สมุดประจําตัวนักเรียน แ รวมมือ สังเกตพ ติกรรมการทํางาน กลุม
งาน เรื่อง เราไดยิน . มีความมุงมั่น นการ เทคนิคกลุม กลุม ทักษะการวิเคราะห
เสียงไดอยางไร ทํากิจกรรมอยางตั้ง จ สื คน สังเกตคุณลักษณะ
อันพึงประสงค

น ที่ หนังสือเรียนวิทยาศาสตร 1. อธิ ายลักษณะการ แ สื เสาะ ตรวจกิจกรรม นสมุดหรือ ทักษะการสังเกต มีวินัย


ป.5 เลม 1 เกิดเสียงสูง เสียงตํ่าได หาความรู นแ กหัดวิทยาศาสตร ทักษะการทดสอ เรียนรู
แ กหัดวิทยาศาสตร 5 การนําเสนอ ลการทํา สมมติฐาน มุงมัน่ น
2 ป.5 เลม 1 2. ทดลองเพื่ออธิ ายการ
วัสดุ อุปกรณการทดลอง เกิดเสียงสูง เสียงตํ่าได
กิจกรรม
สังเกตพ ติกรรมการทํางาน
ทักษะการทํางาน การทํางาน
กลุม
ชั่วโมง
กิจกรรมที่ 2 คร ทุกขั้นตอน ราย ุคคล ทักษะการวิเคราะห
- PowerPoint . หความสน จ นการ สังเกตพ ติกรรมการทํางาน ทักษะการระ ุ
สมุดประจําตัวนักเรียน เรียนรูอยางตั้ง จ กลุม ทักษะการจําแนก
สังเกตคุณลักษณะ ประเภท
อันพึงประสงค

T106
นการ ั ักษ ะ
่ ที่ ช ประ น ประ มน ทักษะที่
การ ร นร ัน ึ ประ
น ที่ หนังสือเรียนวิทยาศาสตร 1. อธิ ายลักษณะการเกิด แ สื เสาะ ตรวจกิจกรรม นสมุดหรือ ทักษะการสังเกต มีวินัย
ป.5 เลม 1 เสียงดัง เสียงคอยได หาความรู นแ กหัดวิทยาศาสตร ทักษะสํารวจคนหา เรียนรู
แ กหัดวิทยาศาสตร 5 การนําเสนอ ลการทํา ทักษะการระ ุ มุงมัน่ น
2 ป.5 เลม 1 2. ออกแ การทดลอง
วัสดุ อุปกรณการทดลอง เพือ่ อธิ ายการเกิด
กิจกรรม
สังเกตพ ติกรรมการทํางาน
ทักษะการสรุปอาง การทํางาน
ทักษะการวิเคราะห
ชั่วโมง
กิจกรรมที่ เสียงดัง เสียงคอยได การเรียนรู ราย ุคคล ทักษะการทํางาน
โทรศัพทหรือวิทยุ แ รวมมือ สังเกตพ ติกรรมการทํางาน กลุม
สมุดประจําตัวนักเรียน . ชเครื่องมือเพื่อวัด เทคนิคการ กลุม ทักษะการจําแนก
ระดั เสียงได เรียนรูรวมกัน สังเกตคุณลักษณะ ประเภท
. มีการทํางานรวมกั อันพึงประสงค
อู นื่ ไดอยางสรางสรรค
..

น ที่ 5 แ ทดสอ หลังเรียน 1. อธิ ายเกี่ยวกั มลพิษ แ สื เสาะ ตรวจแ ทดสอ หลังเรียน ทักษะการสังเกต มีวินัย
หนังสือเรียนวิทยาศาสตร ทางเสียงและอันตราย หาความรู ตรวจกิจกรรม นสมุดหรือ ทักษะการวิเคราะห เรียนรู
ป.5 เลม 1 จากมลพิษทางเสียงได 5 นแ กหัดวิทยาศาสตร ทักษะการระ ุ มุงมัน่ น
2 แ กหัดวิทยาศาสตร
ป.5 เลม 1 2. เสนอแนะแนวทาง
การนําเสนอชิ้นงาน ลงาน
ตรวจชิ้นงาน ลงาน
ทักษะการสรุป
อางอิง
การทํางาน
ชั่วโมง
วัสดุ อุปกรณกิจกรรม นการหลีกเลี่ยงและ แ จําลองโทรศัพท ทักษะการเชื่อมโยง
สรางสรรค ลงาน ลดมลพิษทางเสียง สังเกตพ ติกรรมการทํางาน ทักษะการนํา
สื่อดิจิทัล นรูปแ ตาง ได ราย ุคคล ความรูไป ช
มลพิษทางเสียง สังเกตพ ติกรรมการทํางาน ประโยชน
สมุดประจําตัวนักเรียน . ตระหนัก นคุณคาของ กลุม ทักษะการสํารวจ
ความรูเรื่องระดั เสียง สังเกตคุณลักษณะ คนหา
อันพึงประสงค

T107
Chapter Concept Overview

1. การ น ี าน ั ก า
เสียง เปนพลังงานรูปหนึ่งที่เราสามารถรั รูไดโดยการ ง านทางหู เสียงเคลื่อนที่
ออกจากแหลงกําเนิดเสียงและแ กระจายไดทุกทิศทาง เสียงเดินทาง านตัวกลางของเสียง
เสมอ เมื่อแหลงกําเนิดเสียงเกิดการสั่นสะเทือน จะถายโอนพลังงานไปยังอนุภาค กลเคียง
หสั่นอยางตอเนื่องมาถึงหูของ ู ง หากตัวกลางของเสียงหยุดสั่น ู งก็จะไมไดยินเสียง

ตัวก าง องเสียง คือ วัตถุหรือสิ่งตาง ที่เสียงสามารถเดินทาง านได มี ประเภท
ไดแก ของแข็ง ของเหลว และอากาศ โดยที่เสียงจะเดินทาง านตัวกลางที่เปนของแข็งได
เร็วกวาตัวกลางที่เปนของเหลวและอากาศ ตามลําดั
การที่ ู ง จะไดยนิ เสียง ด ตองมีองคประกอ คร อยาง ไดแก แหลงกําเนิดเสียง
ตัวกลางของเสียง และอวัยวะรั เสียง หู

แหลงกําเนิดเสียง ตัวกลางของเสียง อวัยวะรั เสียง หู


2. ักษ ะ ี
เสียงที่เกิดขึ้นรอ ตัวเรา จะมีลักษณะของเสียงที่แตกตางกันไป ดังนี้
เสียงสูง เสียงตา
เปนสม ัติอยางหนึ่งของเสียงที่สัมพันธกั แหลงกําเนิดเสียง เรียกวา ร ับเสียง เกิดจากความเร็ว นการสั่นสะเทือนของวัตถุที่เปน
แหลงกําเนิดเสียง โดยจํานวนครั้งของการสั่น น 1 วินาที เรียกวา ความ ี องเสียง มีหนวยเปน ครังตอวินา ี หรือเ ิรต Hz โดย
แหลงกําเนิดเสียงที่สั่นดวยความเร็วสูง ความถี่สูง จะเกิดเสียงสูง เสียงแหลม แหลงกําเนิดเสียงที่สั่นดวยความเร็วตํ่า ความถี่ตํ่า จะเกิด
เสียงตํ่า เสียงทุม ซึ่งปจจัยที่มี ลตอการเกิดเสียงสูง เสียงตํ่า มีดังนี้
การสันส เ อื น ร ับเสียง
ปจจัย ีมีผ า หเกิ เสียงสูง เสียงตา
สัน า สันเรว เสียงตา เสียงสูง
1. ขนาดของแหลงกําเนิดเสียง มีขนาดเล็ก ✓ ✓
มีขนาด หญ ✓ ✓
2. ความยาวของแหลงกําเนิดเสียง มีความยาวนอย มวลนอย ✓ ✓
มีความยาวมาก มวลมาก ✓ ✓
. ความตึงของแหลงกําเนิดเสียง มีความตึงมาก ✓ ✓
มีความตึงนอย หยอน ✓ ✓

T108
หน่วยการเรียนรู้ที่ 4

เสียง ัง เสียงคอย
เปนสม ัติของเสียงที่เรียกวา ความ ัง องเสียง เสียงตาง ที่เราไดยินจะเปนเสียงดังหรือเสียงคอย ขึ้นอยูกั ปจจัย ดังนี้
ความ ัง องเสียง
ปจจัย ีมีผ า หเกิ เสียง ัง เสียงคอย
เสียง ัง เสียงคอย
1. ระยะทางจากแหลงกําเนิดเสียง กลแหลงกําเนิดเสียง ✓
ไกลแหลงกําเนิดเสียง ✓
2. พลังงาน นการสั่นสะเทือนของแหลงกําเนิดเสียง สั่นดวยพลังงานมาก ✓
สั่นดวยพลังงานนอย ✓

เราสามารถ ชเครืองวั ร ับเสียง sound level meter มาวัดความเขมของเสียง


ตาง ได โดยมีหนวยเปน เ ิเบ dB
ความดังของเสียงกั ความถี่ของเสียงไมเกี่ยวของกัน างครั้งเสียงตํ่าอาจเปน
เสียงดังหรือเสียงคอยก็ได โดยขึน้ อยูก ั พลังงาน นการสัน่ สะเทือนของแหลงกําเนิดเสียง เชน
เสียงเสือคําราม เปนเสียงตํ่าเพราะมีความถี่ตํ่า แตอาจเปนเสียงดังได เพราะมีพลังงานมาก

ัน รา ากม ษทา ี
ม พิ างเสียง คือ เสียงทีม่ คี วามดังมากจนกอ หเกิดอันตรายตอเยือ่ แกวหู เชน เสียงพลุ หรือเสียง างเสียงทีไ่ มดงั มากจนมีอนั ตราย
แตอาจกอ หเกิดความรูสึกหงุดหงิดและรําคาญได เชน เสียงสุนัขเหา
การรั งสียงที่มีระดั ความเขมเสียงตั้งแต 5 เดซิเ ลขึ้นไป ติดตอกันเปนเวลานาน หรือเกินวันละ ชั่วโมง อาจทํา หเยื่อแกวหู
เปนอันตราย เกิดอาการมึนงง หรือตัดสิน จ นเรื่องตาง ิดพลาดได เสียงเครื่อง ิน
เสียงประทัด กําลัง ิน
เสียงเครื่องตัดหญา
เสียงพูดเ า เสียงพูดคุยปกติ
เสียงกระซิ 125 dB 140 dB
90 dB
60 dB
30 dB
เ ิเบ ( )
แนวทางการปองกันและหลีกเลี่ยงมลพิษทางเสียงทําไดหลายวิธี เชน
สถานทีท่ อี่ ยู กลถนน หญ ควรปลูกตนไมสงู หรือสรางกําแพง เพือ่ ชเปนแนวกัน้
เสียง
หากตองทํางาน กลเครื่องจักรหรือ ริเวณที่มีเสียงดังมาก เปนเวลานาน ควรมี
อุปกรณครอ หู
หากเราไดยินเสียงที่ดังมาก อยางกะทันหัน เชน เสียง า า เสียงพลุ ควร ชมือ
อุดหูทันที

T109
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นา

4
กระ น าม น หนวยการเรียนรู ี
1. ครูใหนกั เรียนทําแบบทดสอบกอนเรียน เพือ่ วัด
ความรูเดิมของนักเรียนกอนเขาสูบทเรียน
2. ครู ใ ห นั ก เรี ย นอ า นสาระสํ า คั ญ และดู ภ าพ
พลังงานเสียง
หนวยการเรียนรูท ี่ 4 พลังงานเสียง จากหนังสือ เสียงเกิดจากการสั่นสะเทือนของวัตถุที่เป็น
เรียนวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1 หนานี้ จากนั้น áËÅ‹§¡íÒà¹Ô´àÊÕ§ àÊÕ§à¤Å×è͹·Õè ä´Œ·Ø¡·ÔÈ·Ò§
ถามนั ก เรี ย นว า ภาพนี้ เ กี่ ย วข อ งกั บ เสี ย ง â´ÂÍÒÈѵÑÇ¡ÅÒ§ 䴌ᡋ ¢Í§á¢§ ¢Í§àËÅÇ ËÃ×Í
ÍÒ¡ÒÈ ÁÒ¶Ö§Ë٢ͧàÃÒ
อยางไรบาง แลวใหนกั เรียนชวยกันตอบคําถาม àÊÕ§¨Ò¡áËÅ‹§¡íÒà¹Ô´àÊÕ§µ‹Ò§ æ ¨ÐÁÕàÊÕ§ÊÙ§ µíÒè
อยางอิสระ ËÃ×ÍàÊÕ§´Ñ§ ¤‹Í ᵡµ‹Ò§¡Ñ¹ ËÒ¡àÊÕ§ÁÕ¤ÇÒÁ´Ñ§
( แนวตอบ เกี่ ย วข อ งกั บ การ ด ยิ น เสี ย งของ ÁÒ¡ æ ¨Ð¡‹ÍãËŒà¡Ô´ÍѹµÃÒµ‹Í¡ÒÃä´ŒÂ¹Ô ¢Í§àÃÒ
คนเรา)

ตัวชี้วัด
1. อธิ ายการไดยินเสียง านตัวกลางจากหลักฐานเชิงประจักษ (ม . ว 2. ป.5 )
2. ระ ุตัวแปร ทดลอง และอธิ ายลักษณะและการเกิดเสียงสูง เสียงตํ่า (ม . ว 2. ป.5 2)
3. ออกแ การทดลองและอธิ ายลักษณะและการเกิดเสียงดัง เสียงคอย (ม . ว 2. ป.5 )
4. วัดระดั เสียงโดย ชเครื่องมือวัดระดั เสียง (ม . ว 2. ป.5 )
5. ตระหนัก นคุณคาของความรูเรื่องระดั เสียง โดยเสนอแนะแนวทาง นการหลีกเลี่ยงและลดมลพิษทางเสียง (ม . ว 2. ป.5 5)

เกร็ดแนะครู
ในการเรียนหนวยการเรียนรูที่ 4 ครูควรจัดกระบวนการเรียนรู โดยให
นักเรียนป ิบัติกิจกรรมรวมกัน ดังนี้
• ทดลองเกีย่ วกับการเกิดเสียง การเคลือ่ นทีข่ องเสียงผานตัวกลาง การเกิด
เสียงสูง-ตํ่า และการเกิดเสียงดัง-คอย
• อภิปรายผลการทดลอง และลงขอสรุป
• สืบคนเพื่ออ ิบายเกี่ยวกับการไดยินเสียง อันตรายและมลพิษทางเสียง
รวมถึงวิ ีการปองกันมลพิษทางเสียง
• อภิปรายผลจากประเด็นคําถาม
จนเกิดเปนความรูความเขาใจวา เสียงตาง เกิดจากการสั่นสะเทือนของ
แหลงกําเนิดเสียงและเสียงเคลื่อนจากแหลงกําเนิดเสียงทุกทิศทาง โดยอาศัย
ตัวกลางของเสียง การ ง เสียงดังมาก ติดตอกันเปนเวลานาน จะเปนอันตราย
ตออวัยวะรับเสียง (หู)

T110
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นา
กระ น าม น

ºทที่ 1 เสียงÃͺตัวเÃา 3. ครูใหนักเรียนดูภาพในหนาบทที่ 1 เสียงรอบ


ตัวเรา จากหนังสือเรียน หนา แลวถาม
คําถามสําคัญประจําบทวา เสียงตาง ที่อยู
ศัพทนารู รอบ ตัวเรา เกิดขึ้นไดอยางไร จากนั้นให
คําศัพท คําอาน คําแปล
sound ซาวนด เสียง นักเรียนชวยกันตอบคําถามไดอยางอิสระ
hear เฮีย การไดยิน ( แนวตอบ เสี ย งต า ง เกิ ด ข้ น ากการสั่ น
vibration ไว'เบรชัน การสั่นสะเทือน สะเทือนของวัต ุที่เปนแหลงกําเนิดเสียง)
noise pollution นอยซ พะ'ลูชัน มลพิษทางเสียง 4. นักเรียนเรียนรูคําศัพทที่เกี่ยวของกับการเรียน
sound sound level meter ซาวนด'เล็ฟวึล เครื่องวัดระดับเสียง ในบทที่ 1 โดยชวยกันอานคําศัพท คําอาน
'มีเทอ และคําแปลพรอมกัน

hear

àÊÕ§µ‹Ò§ æ
·ÕèÍÂÙ‹ÃͺµÑÇàÃÒ
à¡Ô´¢Öé¹ä´ŒÍ‹ҧäà ?
97

ขอสอบเนน การคิด นกเร นค รรู


เ ย เ น อยา นักเรียนเรียนรูและฝกอานคําศัพทวิทยาศาสตร ดังนี้
1. เกิดจากการเปลี่ยนตําแหนงของวัตถุ า าอาน าแ
. เกิดจากการสั่นสะเทือนของวัตถุ
3. เกิดจากการเดินทางของอากาศ sound าวนด เสียง
4. เกิดจากการเคลื่อนที่ของวัตถุ hear เ ีย การไดยิน
(วเ า ห าตอบ เสียงเกิดข้น ากการสั่นสะเทือนของวัต ุหรือ vibration ไว เบรชัน การสั่นสะเทือน
แหลงกําเนิดเสียง โดยเสียง ะเคลื่อนที่ออก ากแหลงกําเนิดเสียง นอย พะ ลูชัน มลพิษทางเสียง
ทุกทิศทาง ดังนั้น ขอ งเปนคําตอบที่ ูกตอง)
าวนด เล็ วึล มีเทอ เครื่องวัดระดับเสียง

T111
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นา
กระ น าม น
5. นักเรียนทํากิจกรรมนําสูการเรียน จากหนังสือ
กิจกรรม
เรียนหนานี้ โดยสังเกตเสียงตาง ที่เกิดขึ้น
ใน 1 วัน จากนั้นบันทึกผลลงในสมุดพรอม
นําสูก ารเรียน
บอกว า เสี ย งที่ ไ ด ยิ น เป น แหล ง กํ า เนิ ด เสี ย ง
ประเภทใด หรือใหทํากิจกรรมนําสูการเรียน ¡ÒÃ㪌ªÇÕ µÔ »ÃШíÒÇѹ¢Í§àÃÒ·Ø¡ æ Çѹ àÃÒ¨Ð䴌¹Ô
ในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1 àÊÕ§µ‹Ò§ ÁÒ¡ÁÒÂ à ‹¹ àÊÕ§¹¡ÃŒÍ§ àÊÕ§à ¹µ ¨Ôêº æ
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช àÊÕ Â §¹Ò ¡Ò Å¡ ´ÂàÊÕ Â §à Å‹ Ò ¹Õ à¡Ô ´ ¹ Ò¡¡ÒÃ
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล) ÊÑè ¹ ÊÐà·× Í ¹¢Í§ÊÔè § ·Õè ·í Ò ãËŒ à ¡Ô ´ àÊÕ Â §ä´Œ àÃÒàÃÕ Â ¡Ç‹ Ò
áËÅ‹§¡íÒà¹Ô´àÊÕ§ «Öè§àÃÒ¨Ðä´ŒÂÔ¹àÊÕ§¼‹Ò¹·Ò§ÍÇÑÂÇÐ
ÃѺàÊÕ§ (ËÙ) ¢Í§àÃÒ
àÊÕ§ÁÕáËÅ‹§¡íÒà¹Ô´ÁÒ¨Ò¡ÊÔ觵‹Ò§ æ ÃͺµÑÇàÃÒ
º‹§ä´Œ ÃÐà · ¤Í Å‹§¡Òà¹Ô´àÊÕ§µÒÁ ÃÃÁ ÒµÔ
ÅÐ Å‹§¡Òà¹Ô´àÊÕ§·ÕÁ¹ÉÊÌҧ ¹

ù

ܤ
µØŒÁ æ

ºŒÁ

ãËŒ¹Ñ¡àÃÕ¹ÊѧࡵàÊÕ§µ‹Ò§ æ ·Õèä´ŒÂԹ㹪ÕÇÔµ»ÃШíÒÇѹ໚¹àÇÅÒ 1 Çѹ µÑé§áµ‹µ×蹹͹


µÍ¹àªŒÒ¨¹¶Ö§à¢ŒÒ¹Í¹ áŌǺѹ·Ö¡Å§ã¹ÊÁØ´ ¾ÃŒÍÁºÍ¡Ç‹ÒàÊÕ§¹Ñé¹à»š¹áËÅ‹§¡íÒà¹Ô´àÊÕ§
»ÃÐàÀ·ã´ áÅÐÁÕÅѡɳÐàÊÕ§໚¹Í‹ҧäÃ
98

เกร็ดแนะครู น ก กรรมนา การ รี น


ตัวอยางตารางบันทึกการสังเกตเสียง
ครูจับสลากหมายเลขหรือจับสลากชื่อนักเรียนใหออกมานําเสนอผลการ
เว า ยน เ ย ยน แห าเน เ แห เ ย
ทํากิจกรรมนําสูก ารเรียน 4-5 คน เพือ่ ใชเปนตัวอยางใหนกั เรียนรวมกันอภิปราย เ ย เ ย าเน เ ย
ขอมูลแหลงกําเนิดเสียง ประเภทของแหลงกําเนิดเสียง และลักษ ะของเสียง . น. เสียงนา กาปลุก นา กาปลูก มนุษย ดัง
ตาง โดยสามารถใชนําทางเขาสูบทเรียนเรื่องการไดยินเสียงผานตัวกลาง สรางขึ้น
ตอไป . น. เสียงแม เสนเสียงใน รรมชาติ แหลม ดัง
กลองงเสียง
บริเว
ลําคอแม
.3 น. เสียงรถยนต รถยนต มนุษย ทุม เบา
สรางขึ้น

T112
นํา สอน สรุป ประเมิน

หนวยการเรียนรูที่ 4 ขัน้ น
¾Åѧ§Ò¹àÊÕ§ าร น า
1
1. ¡าÃäดŒยÔนเสียง¼‹านตัว¡ลาง 1. นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4-5 คน จากนั้น
สมาชิกแตละกลุม รวมกันศึกษาขอมูลในหัวขอ
เสียงเปนพลังงานรูปหนึ่งที่เราสามารถรั รูไดโดยการ ง านทางหู ซึ่งหู การไดยินเสียงผานตัวกลางจากหนังสือเรียน
เปนอวัยวะรั เสียงที่ประกอ ดวย สวน คือ หูชั้นนอก หูชั้นกลาง และหูชั้น น หนานี้
เมื่อเสียงเดินทาง านตัวกลางเขามาถึงรูหู จะทํา หสวนประกอ ภาย นหูเกิด 2. ครูถามคําถามแลวใหนักเรียนแตละคนตอบ
การสั่นสะเทือน จึงทํา หเราไดยินเสียง คําถามอยางอิสระวา
• แห าเน เ ย น วต าวน น เ ยน
วัตถุหรือสิ่งตาง 2ที่เกิดการสั่นสะเทือน แลวสามารถทํา หเกิดเสียงได มอ บา
เรียกวา ห งกาเนิ เสียง (แนวตอบ เชน เสียงคุ แม เสียงนกรอง เสียง
เพือ่ นคุยกัน เสียงคุ ครู เสียงโทรศัพทมอื อื
เสียงเพ ง เสียงกีตาร เสียงเครื่องดนตรี)
3. ครูใหนักเรียนรวมกันอภิปรายวา เสียงตาง
ที่เกิดขึ้นรอบตัวเรา บางครั้งแหลงกําเนิดเสียง
อยูหางจากตัวเรา แตทําไมเราจึงไดยินเสียง
เหลานั้น

3
เสียงพู คุย เสียง ว อ นิ

ภาพที่ .1 ตัวอยางการเกิดเสียง
เสียงนก

áËÅ‹§¡íÒà¹Ô´àÊÕ§㹪ÕÇÔµ»ÃШíÒÇѹ
·Õè¹Ñ¡àÃÕ¹ÃÙŒ¨Ñ¡ ÁÕÍÐäúŒÒ§

99

ขอสอบเนน การคิด นกเร นค รรู


เ ย เ น า นตว า ุ 1 เ ย เกิดจากการสั่นสะเทือนของแหลงกําเนิดเสียง เชน จิ้งหรีด ใชปก
1. อากาศ คูหนา ึ่งมี นเรียงเปนแถวที่ขอบปก ถูกับปกคูหลังจนเกิดการสั้นสะเทือนและ
. ผนังปูน มีเสียงเกิดขึ้น
3. นํ้าเปลา 2 แห าเน เ ย เมื่อแหลงกําเนิดเสียงเกิดสั่นจะมีพลังงานจากการสั่น
4. สุญญากาศ ึ่งจะแผออกจากแหลงกําเนิดเสียงทุกทิศทางเปนทรงกลม ดังนั้น เราจะไดยิน
(วเ า ห าตอบ เสียง ากแหลงกําเนิดเดียวกันเดินทางใน เสียงจากแหลงกําเนิดเสียง ไมวาเราจะอยูดานหนา ดานหลัง อยูสูงกวา หรืออยู
ตั ว กลางที่ เ ป น ของแขง ะเคลื่ อ นที่ ด เ รวกว า ตั ว กลางที่ เ ป น ตํ่ากวาแหลงกําเนิดเสียง
ของเหลว และตัวกลางที่เปนของเหลวเสียง ะเคลื่อนที่ ดเรวกวา 3 เ ย ยุ หรือเสียงคนพูด เกิดขึน้ จากการสัน่ สะเทือนของเสนเสียงทีอ่ ยู
ตัวกลางทีเ่ ปนอากาศ แกส) ง่ นังปูนเปนตัวกลางทีเ่ ปนของแขง ในกลองเสียงบริเว ลําคอ โดยเสียงคนพูดแตละคนนั้นจะแตกตางกันไปตาม
ดังนั้น ขอ งเปนคําตอบที่ ูกตอง) ลักษ ะและขนาดของเสนเสียง รูปรางของโพรงจมูกและปาก

T113
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ น
าร น า
4. ครูแจกใบงานเรื่อง การเคลื่อนที่ของเสียงผาน
ตัวกลาง เพือ่ ใหนกั เรียนทําการทดลองเกีย่ วกับ
¡Ô¨¡ÃÃÁ·ีè 1 ัก กร บวนการ
างวิ ยาศาสตร ี 
การเคลือ่ นทีข่ องเสียง โดยป บิ ตั กิ จิ กรรม ดังนี้ การ ด้ยิน สียงผานตัวก างของ สียง 1. การสังเกต
2. การทดลอง
1 ใสนํ้าในแกวประมา ครึ่งแกว . การพยากรณ
จุมสอมเสียงลงในนํ้า แลวสังเกตวาเกิด ดประสง ์ . การตั้งสมมติฐาน
5. การตีความหมายขอมูลและลงขอสรุป
เสียงหรือไม รวมทัง้ สังเกตการเปลีย่ นแปลง สังเกตและอธิ ายการไดยินเสียง านตัวกลางของเสียง
ที่ผิวนํ้า จากนั้นบันทึกผล
3 ใชคอนเคาะสอมเสียง แลวจุมสอมเสียง ต้อง ตรียมต้อง ้
ลงในนํ้าทันที สังเกตการเกิดเสียงและการ 1. ตะปู 1 ดอก . แกวพลาสติก 2
เปลี่ ย นแปลงที่ ผิ ว นํ้ า และบั น ทึ ก ผลการ 2. กรรไกร 1 เลม . เชือก 1 เสน ยาวประมาณ 5 เมตร
ทดลองลงในใบงาน
5. นักเรียนรวมกันสรุปความรูท ไี่ ดจากการทดลอง
จนไดขอสรุปวา ข ะที่เกิดเสียงสอมเสียง องทาดู
จะสั่น ึ่งสังเกตจากเมื่อจุมสอมเสียงลงในนํ้า 1. จั คูกั เพื่อน จากนั้นชวยกันสรางแ จําลองโทรศัพท โดยป ิ ัติตามขั้นตอน ดังนี้
ผิวนํ้ามีการสั่นไปดวย ดังนั้น เสียงที่เกิดขึ้น 1 เจาะรูขนาดเล็กที่กึ่งกลางของกนแกวพลาสติกทั้ง 2
จะเคลื่อนที่จากแหลงกําเนิดเสียง ในที่นี้ คือ 2 มัดปมที่ปลายเชือกดานหนึ่ง แลวนําปลายเชือกอีกดานหนึ่งสอดเขาไป นรู านทาง
สอมเสียง ทุกทิศทางผานตัวกลาง ในที่นี้ ปากแกว ที่ 1 ที่เจาะไว
คือ นํ้า ดึงปลายเชือกจนกระทั่งปมที่มัดไวติดกั กนแกว จากนั้นนําปลายเชือกสอดเขาไป น
6. ครูจดั กิจกรรมการนําเสนอคําตอบของนักเรียน รูที่กนแกว ที่ 2 แลวมัดปมที่ปลายเชือก
แตละกลุมใหนาสนใจ และใหนักเรียนรวมกัน 2. หนักเรียนทั้งคูนําแ จําลองโทรศัพทที่ประกอ เสร็จแลวไปยืนหางกันประมาณ 5 เมตร
สรุปคําตอบที่ถูกตอง แลวกําหนด หนักเรียนคนหนึ่งเปน ูพูดและนักเรียนอีกคนเปน ู ง จากนั้นชวยกันตั้ง
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช สมมติฐานวา เสียงเคลื่อนที่ไดอยางไร แลว ันทึก ลลง นสมุด
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม)
7. นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน จากนั้น
แตละกลุมรวมกันศึกษาและทํากิจกรรมที่ 1
เรือ่ ง การไดยนิ เสียงผานตัวกลางของเสียงจาก
หนังสือเรียน หนา 1 -1 1 แลวบันทึกผลลงใน
สมุด หรือแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1

100 ภาพที่ .2 การสรางแ จําลองโทรศัพท

เกร็ดแนะครู การทาก กรรมที่


ตา า บันทึกผลการทํากิจกรรม ตัวอยาง
ครูอาจใหนกั เรียนทํากิจกรรมเพิม่ เติม เพือ่ ทดสอบเกีย่ วกับการเคลือ่ นทีข่ อง า อ า ยา า อ
เสียงผานตัวกลาง ดังนี้ 1. ผูพูดพูดโดยไมใช ไดยินเสียงพูดแตไม ไดยินเสียงพูดแตไม
1. ใสน้ําเปลาในแกวประมา ครึ่งแกว จากนั้นใหจุมสอมเสียงลงในนํ้า แบบจําลองโทรศัพท ชัดเจน ชัดเจน
แลวสังเกตการเปลี่ยนแปลงที่ผิวนํ้า พรอมสังเกตวามีเสียงหรือไม . ผูพูดพูดเบา ผาน ไดยินเสียงพูดดังและ ไดยินเสียงพูดดังและ
. ใชคอ นเคาะสอมเสียง แลวจุม สอมเสียงลงในนํา้ ทันที จากนัน้ สังเกตการ แบบจําลองโทรศัพท ชัดเจน ชัดเจน
เกิดเสียงและการเปลี่ยนแปลงที่ผิวนํ้า โดยขึงเชือกใหตึง
3. นําขอมูลที่สังเกตไดมาอภิปราย เพื่อสรุปผลการทดลองรวมกัน 3. ใชมือแตะเสนเชือกเบา ไดยินเสียงพูดแตไม ไดยินเสียงพูดแตไม
หลังจากการทํากิจกรรม ครูควรใหความรูกับนักเรียนเพิ่มเติมวา สอมเสียง ข ะที่ผูพูดกําลังพูด ชัดเจน ชัดเจน
( ) เปนอุปกร ที่ใชเปนแหลงกําเนิดเสียง ึ่งใชเปนมาตร านในการ 4. ใชมือจับเสนเชือกใหแนน ไมไดยินเสียงพูด ไมไดยินเสียงพูด
ข ะที่ผูพูดกําลังพูด
เทียบเสียงของเครื่องดนตรี และใชทดสอบในหองป ิบัติการ
5. ตัดเสนเชือกใหขาด ไมไดยินเสียงพูด ไมไดยินเสียงพูด
ข ะผูพูดกําลังพูด
ุ เสียงสามารถเคลื่อนที่ไดโดยตองอาศัยตัวกลางของเสียง ึ่งในข ะที่เชือก
ขึงตึงพลังงานการสั่นสะเทือนที่สงมาจากแกวของผูพูด จะผานเชือกไปจนถึงแกวของ

T114 ผู ง ทําใหกนแกวสั่นและมีเสียงเกิดขึ้น ผู งจึงไดยินเสียงของผูพูด


นํา สอน สรุป ประเมิน

หนวยการเรียนรูที่ 4 ขัน้ น
¾Åѧ§Ò¹àÊÕ§ า ามร
1. นักเรียนแตละกลุม รวมกันสรุปความรูท ไี่ ดจาก
การทดลอง จนไดขอสรุป ดังนี้
. หแตละคูชวยกันพยากรณ ลการทดลองตามเงื่อนไขและ ันทึก ล ดังนี้ • เราไดยินเสียงเพื่อนพูดชัดเจนข ะที่เรานํา
ถวยมาครอบหู แสดงวา เสียงเดินทางผาน
1 ถา ูพูดพูดโดยไม ชแ จําลองโทรศัพท
เสนเชือก ึ่งเปนของแข็งไดดีกวาอากาศ
2 ถา พู ดู พูด า นแ จําลองโทรศัพทโดยขึงเสนเชือก หตงึ นักเรียนอีกคนจะไดยนิ เสียง
• วัตถุทเี่ สียงเดินทางผานได เรียกวา ตัวกลาง
หรือไม อยางไร
ของเสียง ไดแก อากาศ ของเหลว และ
หาก ูพูดทําเหมือนขอ 2 แต ชมือแตะเสนเชือกเ า นักเรียนอีกคนจะไดยินเสียง
ของแข็ง ึ่งเสียงตาง จะเดินทางผาน
หรือไม อยางไร
ตั ว กลางที่ เ ป น ของแข็ ง ได ดี แ ละเร็ ว กว า
หาก ูพูดทําเหมือนขอ 2 แต ชมือจั เสนเชือก หแนน นักเรียนอีกคนจะไดยินเสียง
ตัวกลางที่เปนของเหลว และอากาศ
หรือไม อยางไร
2. ตัวแทนแตละกลุมออกมานําเสนอผลงานที่
. ทําการทดลองเพือ่ ตรวจสอ ลการพยากรณ โดย หสลั กันเปน พู ดู และ ู ง หลาย ครัง้
หนาชั้นเรียน โดยครูเปนผูจับสลากหมายเลข
สังเกตและ ันทึก ล
กลุ  ม จากนั้ น ให แ ต ล ะกลุ  ม ส ง ตั ว แทนออก
5. พยากรณตออีกวา หาก ูพูดทําเหมือนขอ 2 แตตัดเสนเชือก หขาด นักเรียนอีกคนจะ
นําเสนอตามลําดับ
ไดยนิ เสียงหรือไม อยางไร แลวทําการทดลองเพือ่ ตรวจสอ ล พรอมสังเกตและ นั ทึก ล
จากนั้นสรุป ลการทดลองรวมกัน

น น
ขอ 3.
นังปูน เพราะเสียงสามาร เคลื่อนที่ าน
ตัวกลางที่เปนของแขง ดดีกวาของเหลวและแกส
ภาพที่ . ทดสอ การไดยินเสียง านตัวกลางของเสียง ่ง นังปูนมีส านะเปนของแขง และมีความแขง
หนูตอบ ด้ มากกวา ม เมื่อเสียงเดินทาง าน นังปูนเรา ะ
. ตัวกลางของเสียงมีความสําคัญตอการไดยินเสียงของมนุษยอยางไร ดยินเสียงเรวกวา นังปูน งเปนตัวกลางที่เสียง
2. สิ่งที่สามารถทํา หหูของมนุษยไดยินเสียงตาง ไดคืออะไร จงอธิ าย เดินทาง าน ดดีที่สุด
. นักเรียนคิดวา ระหวาง นังหองทีท่ าํ ดวยปูนกั นังหองทีท่ าํ ดวยไม เสียงสามารถเดินทาง นัง ม เพราะ นังปูนและ นัง มมีส านะ
านสิ่ง ดไดดีกวากัน เพราะอะไร เปนของแขง เมือ่ เราลองเคาะ นังทีเ่ ปนปูนเทียบกับ
นังทีเ่ ปน มดว ยแรงทีเ่ ทากัน เรา ะ ดยนิ เสียงของ
(หมายเหตุ คํา ามขอสุดทายของหนูตอบ ด เปนคํา ามที่ออกแบบให ูเรียน กใชทัก ะการคิดขั้นสูง 101
คือ การคิดแบบใหเหตุ ล และการคิดแบบโตแยง ่ง ูเรียนอา เลือกตอบอยางใดอยางหน่งก ด ใหครู นัง มดังกองมากกวา นังปูน ม งเปนตัวกลางที่
พิ าร า ากเหตุ ลสนับสนุน) เสียงสามาร เดินทาง าน ดดีที่สุด

ขอสอบเนน การคิด
ตา า ผลการ งเสียงกระดิ่ง เมื่อเขยาขวดที่ปดฝาสนิท ระหวางขวดที่มี
อากาศ และขวดที่สูบอากาศออกหมด
า ุ อ า อ น ออ
า อ า า อ า เ ย
1. ขนาดของขวดมีผลตอการไดยินเสียง
ขั้นที่ 1 . ความถี่ในการเขยาขวด ทําใหเกิดเสียง
ไดยิน 3. เสียงเคลื่อนที่โดยอาศัยอากาศเปนตัวกลาง
กระดิง่ ในขวดทีม่ อี ากาศ
4. อากาศมีผลตอความถี่ในการสั่นของกระดิ่ง

ขั้นที่
ไมไดยิน
สูบอากาศออกจนหมด

(วเ า ห าตอบ เสียงที่เรา ดยิน ะเคลื่อนที่ านตัวกลางในกร ีนี้ คือ อากาศ เมื่อสูบเอาอากาศในขวดออก นหมด ทําให มมี
ตัวกลางใหเสียงเคลื่อนที่ าน เรา ง ม ดยินเสียงกระดิ่ง ดังนั้น ขอ งเปนคําตอบที่ ูกตอง)
T115
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ น
า าม า
1. นักเรียนทุกกลุมศึกษาเนื้อหาเพิ่มเติมเกี่ยวกับ
พลังงานเสียงเปนคลื่นกลที่เกิดจากการสั่นสะเทือนของแหลงกําเนิดเสียง
ตัวกลางของเสียง จากหนังสือเรียน หนา 1
2. นักเรียนแตละคนทํากิจกรรมหนูตอบไดจาก
แหลงกําเนิดเสียงมีอยูมากมายรอ ตัวเรา เราสามารถทํา หแหลงกําเนิดเสียง
หนังสือเรียน หนา 1 1 ลงในสมุดหรือทําใน เกิดการสั่นสะเทือนแลวทํา หเกิดเสียงไดหลายวิธี เชน การดีด การตี การเคาะ
แบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1 การเปา แตเมื่อเราทํา หแหลงกําเนิดเสียงหยุดสั่น ก็จะไมมีเสียงเกิดขึ้น
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช เสียงเคลื่อนที่ออกจากแหลงกําเนิดเสียง และแ กระจายไปไดทุกทิศทาง
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล) โดยอาศัยตัวก าง องเสียง
ตัวกลางของเสียง คือ วัตถุหรือสิ่งตาง ที่เสียงสามารถเดินทาง านได
ขัน้ รป มี ประเภท ไดแก ของแข็ง ของเหลว และอากาศ

ครูใหนักเรียนสรุปความรูจากการเรียนจนได
ขอสรุปรวมกันวา เสียงตาง จะเดินทางผาน
ตัวกลาง ไดแก ของแข็ง ของเหลว และอากาศ
ึ่ ง เสี ย งต า ง จะเดิ น ทางผ า นตั ว กลางที่ เ ป น ของแข็ง
ของแข็งไดดีและเร็วกวาตัวกลางที่เปนของเหลว
และอากาศ

ขัน้ ประ มน

1. ครูตรวจสอบผลการทําแบบทดสอบกอนเรียน ของเหลว
2. ครูตรวจผลการทํากิจกรรมนําสูการเรียนใน
สมุดหรือแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1
3. ครู ต รวจสอบผลการทํ า กิ จ กรรมที่ 1 เรื่ อ ง
การไดยินเสียงผานตัวกลางของเสียง ในสมุด ภาพที่ . แสดงการเคลื่อนที่ของ
หรือในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1 เสียง านตัวกลางมาถึงหูของ ู ง อากาศ
4. ครู ต รวจสอบผลการทํ า กิ จ กรรมหนู ต อบได เ¡Ãçด ÇԷ¹ÒÃÙŒ
ในสมุด หรือในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5
เลม 1 นบริเว ทีไม่มีอากา (สุ ากา ) เช่น นอวกา เราจะไม่ได้ยินเสียง ด
เกิดขนเลย เพราะไม่มีอากา เ นตัวกลางทีทา ห้เสียงเดินทางมาถงหของเราได้

102

แน ก ร ดแ ะ ระเ น ขอสอบเนน การคิด น O-NET


ครูสามารถสังเกตพ ติกรรมของนักเรียนจากการตอบคําถาม การทํางาน ภาพการ งเสียง
รายบุคคล การทํางานกลุม และการนําเสนอผลการทํากิจกรรมหนาชั้นเรียนได ทีเ่ กิดจากการเคาะ
โดยศึกษาเก การวัดและประเมินผลที่แนบทายแผนการจัดการเรียนรูของ นํ้า ชอนใตผิวนํ้าใน
หนวยการเรียนรูที่ 4 พลังงานเสียง ดังภาพตัวอยาง กลองพลาสติก
แบบสังเกตพฤติกรรมการทางานรายบุคคล แบบสังเกตพฤติกรรมการทางานกลุ่ม
า า อ น เ ยน ามา ยนเ ย เ า อน ต วนา
เ น น เ ยน วา า อ นต ว อบเ อ
คาชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่ คาชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่
ตรงกับระดับคะแนน ตรงกับระดับคะแนน
ระดับคะแนน การมี
ลาดับที่ รายการประเมิน การทางาน
3 2 1 การแสดง การยอมรับ ส่วนร่วมใน รวม
ชื่อ–สกุล ตามที่ ด้รับ ความมีน้าใจ
1 การแสดงความคิดเห็น    ลาดับที่ ความคิดเหน งคนอื่น การปรับปรุง 15

1. นํ้าเปนตัวกลางในการเคลื่อนที่ของเสียง
องนักเรียน มอบหมาย
2 การยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น    ผลงานกลุ่ม คะแนน
3 การทางานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย    3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1
4 ความมีน้าใจ   
5 การตรงต่อเวลา   
รวม

ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
. ชอนเปนตัวกลางในการเคลื่อนที่ของเสียง
............./.................../..............

เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 3 คะแนน ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
3. ขนาดของชอนมีผลตอการเกิดเสียงใตนํ้า
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง
ให้
ให้
2 คะแนน
1 คะแนน
เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้
............./.................../..............

3 คะแนน
4. ปริมา นํ้ามีผลตอระดับความเขมของเสียง
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน

(วเ า ห าตอบ าก าพ เสียงที่เกิดข้น ากการเคาะชอนใต


เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14-15 ดีมาก เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
11-13 ดี
14-15 ดีมาก
8-10 พอใช้

วิ นํา้ สามาร เคลือ่ นที่ ปยังหูของ ู ง ด แสดงวานํา้ เปนตัวกลาง


11-13 ดี
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
8-10 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง

ในการเคลือ่ นทีข่ องเสียง ด ดังนัน้ ขอ งเปนคําตอบที่ กู ตอง)


T116
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

หนวยการเรียนรูที่ 4 ขัน้ นา
¾Åѧ§Ò¹àÊÕ§ กระ น าม น

เสียงเดินทาง านตัวกลางเสมอ เมื่อแหลงกําเนิดเสียงเกิดการสั่นสะเทือน 1. ครู นํ า ภาพโลมาและค า งคาวมาให นั ก เรี ย น


สังเกต แลวตั้งคําถามวา โลมาและคางคาวใช
จะเกิดการถายโอนพลังงานไปยังอนุภาค กลเคียง หส่ันอยางตอเนื่องจนมาถึงหู เสียงในการนําทาง นักเรียนคิดวาโลมาและ
ของ ู ง หากตัวกลางหยุดสั่น ู งก็จะไมไดยินเสียง ด เสียงตาง เดินทาง คางคาวมีอวัยวะรับเสียงเหมือนมนุษยหรือไม
านตัวกลางที่เปนของแข็งไดเร็วกวาตัวกลางที่เปนของเหลวและอากาศ จากนั้นใหนักเรียนรวมกันแสดงความคิดเห็น
เสียงตาง ตองอาศัยตัวกลางเดินทางมาถึงหูของ ู ง การที่ ู งไดยิน ไดอยางอิสระ
เสียงตองมีองคประกอ อยาง ไดแก แหลงกําเนิดเสียง ตัวกลางของเสียง 2. ครูอ ิบายเชื่อมโยงใหนักเรียนเขาใจวา เสียง
เมื่อถูกสงจากแหลงกําเนิด ผูรับเสียงจะตอง
และอวัยวะรั เสียง หู มี อ วั ย วะรั บ เสี ย งเพื่ อ จะรั บ รู  แ ละตอบสนอง
ต อ เสี ย งนั้ น ในบทเรี ย นนี้ เ ราจะศึ ก ษาส ว น
ประกอบและหนาที่ของหู ึ่งเปนอวัยวะรับ
เสียงของมนุษย

ขัน้ น
าร น า
1. ครูใชเทคนิคกลุมสืบคน . . โดยใหนักเรียน
แบงกลุมออกเปนกลุมละ 4 คน โดยคละตาม
1. แหลงกําเนิดเสียง 2. ตัวกลางของเสียง อากาศ . อวัยวะรั เสียง หู ความสามารถ เกง คอนขางเกง ปานกลาง
ภาพที่ .5 การไดยินเสียงตองประกอ ดวยองคประกอ คร ทั้ง อยาง และออน
2. ครูแจกใบงานเรื่อง เราไดยินเสียงไดอยางไร
เมื่อแหลงกําเนิดเสียงสั่นจะสงพลังงาน าน จากนั้ น มอบหมายให ส มาชิ ก ทุ ก คนในกลุ  ม
อากาศ ทํา หโมเลกุลของอากาศสั่นสะเทือนจน ป ิบัติตามขั้นตอนการทํากิจกรรมจากใบงาน
มาถึงหูเรา หูจะเปนตัวรั และสะทอนคลื่นเสียง โดยใหสืบคนเพิ่มเติมเกี่ยวกับการไดยินเสียง
เขาไป นรูหูทํา หเยื่อแกวหูสั่น มี ล หกระดูกคอน ผานตัวกลาง องคประกอบของการไดยินเสียง
กระดูกทั่ง และกระดูกโกลนสั่นตามดวย พลังงาน และสวนประกอบของหูมนุษย พรอมทั้งวาด
ภาพหรือติดภาพแบบจําลองสวนประกอบหู
จากการสั่นจะถูกสง านไปยังเสนประสาทเขาสู และหนาที่ของแตละสวนประกอบลงในสมุด
สมอง ทํา หเราไดยินเสียงนั้น ดังนั้น เยื่อแกวหู ภาพที่ . การพูดคุยของมนุษย
3. ใหสมาชิกในกลุม 1 คน นําขอมูลที่ทุกคน
จึงเปนอวัยวะสําคัญอยางยิ่งที่ทํา หเราไดยินเสียง สืบคนไดบันทึกลงสมุด และรวมกันตรวจสอบ
103 ความถูกตอง แลวจึงใหสมาชิกทุกคนรวมกัน
ตวก าง ง สียง
สรางแบบจําลองเพื่อแสดงสวนประกอบของหู
ที่ใชในการรับเสียง

ขอสอบเนน การคิด เกร็ดแนะครู


อ าว ม ตอ เ ยว บเ ย G.I. หรือ Group Investigation เปนกระบวนการสอนหนึ่งของรูปแบบ
1. เสียงเกิดขึ้นไดเมื่อแหลงกําเนิดเสียงสั่นสะเทือน การเรียนรูแบบรวมมือ ึ่งเปนกระบวนการที่สงเสริมใหนักเรียนชวยกันสืบคน
. เมื่อเคาะสอมเสียงแลวนําไปแตะที่ผิวนํ้า ผิวนํ้าจะสั่น ขอมูลเพื่อนํามาใชในการเรียนรูรวมกัน โดยเทคนิคนี้เหมาะสําหรับฝกนักเรียน
3. หากเราอยูในอวกาศ เราจะไดยินเสียงอุกกาบาตชน ใหรูจักสืบคนความรูหรือวางแผนการเพื่อแกไขปญหาหรือหาคําตอบในประเด็น
ดวงจันทร ที่สนใจ ดังนั้น กอนการดําเนินกิจกรรมทุกครั้ง ครูควรฝกทักษะการสื่อสาร
4. เมื่อเขยาขวดที่มีเมล็ดถั่วเขียวกับอากาศอยูภายใน เราจะ ทักษะการคิด ตลอดจนทักษะทางสังคมใหแกนักเรียนกอนเสมอ
ไดยินเสียง
( วเ า ห าตอบ เสี ย งที่ เ กิ ด ข้ น ากการสั่ น สะเทื อ นของ
แหลงกําเนิดเสียง ะอาศัยตัวกลางเดินทางมา งหูของ ู ง ง
ทําให ู ง ดยินเสียงนั้น แตในอวกาศเปนบริเว ที่ มมีอากาศ ครูใหนักเรียนเรียนรูเกี่ยวกับตัวกลางของเสียงเพิ่มเติมจากสื่อดิจิทัล โดย
สุ ากาศ) เรา ะ ม ดยินเสียงใด เกิดข้น ขอ งเปน ใหสแกน เรื่อง ตัวกลางของเสียง จากหนังสือเรียน หนา 1 3 ึ่งจะ
คําตอบที่ ูกตอง) ปราก คลิปวิดีโอขึ้น

T117
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ น
า ามร
ครูสุมเลือกตัวแทนกลุม 3-4 กลุม ใหออกมา
หู องคนเรา บงออกเปน สวน ไดแก หูชั้นนอก หูชั้นกลาง และหูชั้น น
นําเสนอผลการทํากิจกรรมและแบบจําลองของ
ตนเองหนาชั้นเรียน โดยมีครูคอยแนะนําเพิ่มเติม 2
า าม า
1. นั ก เรี ย นทุ ก กลุ  ม ศึ ก ษาเนื้ อ หาเพิ่ ม เติ ม จาก
หนังสือเรียน หนา 1 3-1 4
2. ครูใหนกั เรียนจับคูก บั เพือ่ น แลวใหศกึ ษาขอมูล
เกี่ยวกับการไดยินเสียงผานตัวกลางเพิ่มเติม
จากสื่อดิจิทัลในหนังสือเรียน หนา 1 3 โดย
ใช โ ทรศั พ ท มื อ ถื อ สแกน เรื่ อ ง
การไดยินเสียงผานตัวกลาง จากนั้นรวมกัน
ภาพที่ . โครงสรางสวนประกอ ภาย นหู
อภิปรายและสรุปภายในชั้นเรียน โดยใหครู
คอยอ ิบายเพิ่มเติมในสวนที่บกพรอง หูสว นนอก ประกอ ดวย 2 หูสว นกลาง ประกอ ดวย หู ชั้ น น ประกอ ด ว ย
หู รูหู และเยื่อแกวหู กระดูกคอน กระดูกทั่ง คอเคลี ย ซึ่ ง มี ลั ก ษณะ
ขัน้ รป และกระดูกโกลน คลายกนหอยและภาย น
ร มีของเหลว รรจุอยู
ครู ใ ห นั ก เรี ย นสรุ ป ความรู  จ ากการเรี ย นจน
ไดขอสรุปรวมกันวา การไดยินเสียงนั้นตองมี 5
2 6
องคประกอบ 3 อยาง ไดแก แหลงกําเนิดเสียง
ตัวกลางของเสียง และอวัยวะรับเสียง หู

ขัน้ ประ มน บหู 7


ร ชวย นการรั คลื่นเสียง กร ูกคอน
เพื่อ หเสียงเขาสูรูหู 5 กร ูก ัง คอเค ีย
1. ครูตรวจสอบผลการทํากิจกรรมจากใบงาน 2 รูหู 6 กร กู ก น เปนสวนทีค่ อยรั การสัน่
เรื่อง เราไดยินเสียงไดอยางไร เปนทาง า นของคลืน่ เสียง เปนสวนที่คอยรั การสั่น สะเทือนของคลื่นเสียง
2. ครู ต รวจสอบผลงานการสร า งแบบจํ า ลอง เขาสูอวัยวะภาย นหู สะเทือนมาจากเยือ่ แกวหู ที่มาจากหูชั้นกลาง และ
สวนประกอบของหูมนุษยที่ใชในการรับเสียง เยือ กวหู เมื่อไดรั เสียงแลวจะสง สงไปยังเสนประสาท น
เปนสวนของหูที่เกิดการ การสั่นสะเทือนไปสูสวน การรั ง
สัน่ สะเทือนเมือ่ ไดรั เสียง นอกสุดของหูชั้น น
104

แน ก ร ดแ ะ ระเ น ขอสอบเนน การคิด


ครูสามารถสังเกตพ ติกรรมของนักเรียนจากการตอบคําถาม การทํางาน เมอ ยนเ ย แ ว อวยว าหนา แ วามหมาย
รายบุคคล การทํางานกลุม และการนําเสนอผลการทํากิจกรรมหนาชั้นเรียนได อเ ย
โดยศึกษาเก การวัดและประเมินผลที่แนบทายแผนการจัดการเรียนรูของ 1. สมอง
หนวยการเรียนรูที่ 4 พลังงานเสียง ดังภาพตัวอยาง . เยื่อแกวหู
3. กระดูกโกลน
แบบสังเกตพฤติกรรมการทางานรายบุคคล แบบสังเกตพฤติกรรมการทางานกลุ่ม
คาชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่
ตรงกับระดับคะแนน
ระดับคะแนน
คาชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่
ตรงกับระดับคะแนน
การมี
4. เยื่อแกวหู กระดูกโกลน กระดูกคอน และกระดูกทั่ง
ลาดับที่ รายการประเมิน การทางาน
3 2 1 การแสดง การยอมรับ ส่วนร่วมใน รวม
ตามที่ ด้รับ ความมีน้าใจ

(วเ า ห าตอบ คลื่นเสียงที่สงมา ากหูชั้นกลางและหูชั้นใน


ชื่อ–สกุล
1 การแสดงความคิดเห็น    ลาดับที่
องนักเรียน
ความคิดเหน งคนอื่น
มอบหมาย
การปรับปรุง 15
2 การยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น    ผลงานกลุ่ม คะแนน
3 การทางานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย    3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1
4 ความมีน้าใจ   

ะสง านเสนประสาท ปยังสมอง ่งสมอง ะทําหนาที่ในการ


5 การตรงต่อเวลา   
รวม

ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน

เกณฑ์การให้คะแนน
............./.................../..............
แปลความหมายของเสียงที่ ดยินวาเปนเสียงใด หรือเปนเสียงที่มี
ลัก ะอยาง ร ดังนั้น ขอ งเปนคําตอบที่ ูกตอง)
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 3 คะแนน ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน ............./.................../..............
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน
เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 3 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14-15 ดีมาก เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
11-13 ดี
14-15 ดีมาก
8-10 พอใช้
11-13 ดี
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
8-10 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง

T118
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

หนวยการเรียนรูที่ 4 ขัน้ นา
¾Åѧ§Ò¹àÊÕ§ กระ น าม น

2. ลั¡É³Ð¢Íงเสียง 1. ครูขออาสาสมัครนักเรียน คน ใหแตละคน


ออกมารองเพลงหนาหองคนละเพลง จากนั้น
การสั่นสะเทือนของแหลงกําเนิดเสียงทํา หเกิดเสียง โดยจํานวนรอ น ครูถามคําถามนักเรียนทีอ่ ยูใ นหองวา นักเรียน
การสัน่ ของแหลงกําเนิดเสียง นหนึง่ วินาที เรียกวา ความ ี องเสียง มีหนวยเปน คิดวาเพื่อน คนนี้มีเสียงเหมือนกันหรือไม
ครั้งตอวินาที เรียกวา เ ิรต จะสังเกตไดวาเสียงที่อยูรอ ตัวเรานั้น อยางไร
มีความแตกตางกัน แสดงวาเสียงเหลานั้นมีความถี่และมีปริมาณพลังงาน น (แนวตอบ มเหมือนกัน คนหน่งเสียงสูง อีกคน
การสั่นของแหลงกําเนิดเสียงที่แตกตางกันดวย จึงทํา หเกิดเสียงหลายลักษณะ เสียงตํ่า เหมือนกัน ทั้ง คน มีเสียงสูง
เหมือนกัน ทั้ง คน มีเสียงตํ่า)
เชน เสียงสูง เสียงตํ่า เสียงดัง เสียงคอย 2. ครูอาจนํานํากีตารมาดีดใหนกั เรียน ง จากนัน้
ภาพที่ . การแสดงดนตรีทํา หเกิดเสียงสูง เสียงตํ่า เสียงดัง และเสียงคอย ถามนักเรียนวา การดีดกีตารสายตาง ทําให
เกิดเสียงตางกันหรือไม อยางไร จากนั้นให
นักเรียนรวมกันแสดงความคิดเห็นอยางอิสระ
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล)

ขัน้ น
าร น า
1. นักเรียนอานเนือ้ หาในหัวขอ ลักษ ะของเสียง
จากหนังสือเรียนหนานี้ จากนัน้ ครูถามคําถาม
เพื่อนําเขาสูบทเรียนวา
น เ ยน วาเ ย เ ย ตา เ ย
1 เ ย อย ม อยา
(แนวตอบ เสียงตํ่า คือ เสียงที่มีความ ี่ตํ่า
เสียงสูง คือ เสียงที่มีความ ี่สูง เสียงดัง คือ
เสียงทีม่ พี ลังงานของเสียงมาก เสียงคอย คือ
àÊÕ§ÊÙ§ àÊÕ§µíèÒ àÊÕ§´Ñ§ เสียงที่มีพลังงานของเสียงนอย)
ÅÐàÊÕ§¤‹Í ÁÕÅѡɳÐÍ‹ҧäÃ

105

นกเร นค รรู
ครูใหความรูกับนักเรียนเพิ่มเติมวา หูของมนุษยนั้นจะสามารถ งเสียงได
เ พาะเสียงที่มีความถี่ในชวง - เ ิรต เทานั้น เสียงที่มีความถี่สูงหรือ
ตํ่ากวานี้ มนุษยจะไมสามารถไดยินเสียงเหลานั้นได
เสียงที่มีความถี่ตํ่ากวา เ ิรต  คือ เสียงอิน ราโ นิก หรือคลื่น
ใตเสียง หากคลื่นเสียงนี้มีพลังงานมากพอ สามารถนําไปใชประโยชนได เชน
การสํารวจชั้นหิน แหลงนํ้ามัน ชั้นนํ้าใตดิน
เสียงที่มีความถี่สูงกวา เ ิรต  คือ เสียงอัลตราโ นิก หรือคลื่น
เหนือเสียง สามารถใชในทางการแพทย โดยปลอยคลื่นเสียงความถี่ผานผิวหนัง
ไปกระทบกับอวัยวะภายใน เชน การดูเพศทารกในครรภมารดา

T119
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ น
าร น า
2. ครูอ ิบายเชื่อมโยงเพื่อใหนักเรียนเขาใจวา
เสียงสูง เสียงตํ่า เกิดจากการสั่นสะเทือนของ
¡Ô¨¡ÃÃÁ·ีè 2 ัก กร บวนการ
างวิ ยาศาสตร ี 
แหลงกําเนิดเสียงที่ตางกัน ึ่งเราจะศึกษาใน การ กิด สียงสูง สียงตา 1. การวัด
2. การสังเกต
บทเรียนตอไป . การทดลอง
3. ครูเขียนขอความบนกระดานดําวา ความยาว ดประสง ์ . การพยากรณ
5. การตั้งสมมติฐาน
ของเสี ย งมี ผ ลต อ การเกิ ด เสี ย งสู ง เสี ย งตํ่ า 1. สังเกต ระ ุตัวแปร ทดลอง และอธิ ายลักษณะการเกิด . การลงความเห็นจากขอมูล
. การกําหนดและคว คุมตัวแปร
อยางไร เสียงสูง เสียงตํ่า . การกําหนดนิยามเชิงป ิ ัติการ
4. ครูใหนักเรียนรวมกันตั้งสมมติ านของระบุ 2. วัดระดั เสียงโดย ชเครื่องมือวัดระดั เสียง . การตีความหมายขอมูลและลงขอสรุป
ปญหาที่ครูไดเขียนไวบนกระดานดํา ต้อง ตรียมต้อง ้
(แนวตอบ หากความยาวของแหลงกําเนิดเสียง
มี ลตอการเกิดเสียงสูง เสียงตํ่า ดังนั้น แหลง
1. ชอน 1 คัน . โตะเขียนหนังสือ 1 ตัว
กําเนิดเสียงทีม่ คี วามยาวมาก ทําใหเกิดเสียงตํา่
2. นํา้ เปลา 2 ลิตร 5. ไม รรทัดพลาสติก าง 2 อัน
สวนแหลงกําเนิดเสียงทีม่ คี วามยาวนอย ทําให
. ขวดแกวที่มีขนาดเทากัน . เครื่องวัดระดั เสียง 1 เครื่อง
เกิดเสียงสูง)
5. ครูใหนักเรียนนับเลข 1-5 ไปเรื่อย จนครบ องทาดู ตอนที่ 1
ทุกคนในหอง จากนั้นใหนักเรียนที่นับไดเลข 1. แ งกลุม จากนั้นชวยกันตั้งสมมติฐานวา ความยาวของแหลงกําเนิดเสียงที่แตกตางกัน
ตัวเดียวกันมาอยูกลุมเดียวกัน มี ลตอการเกิดเสียงสูง เสียงตํ่าอยางไร แลว ันทึก ลลง นสมุด
6. เมือ่ นักเรียนจับกลุม ไดแลว ครูใหนกั เรียนแตละ 2. ทําการทดลองโดยป ิ ัติ ดังนี้
กลุมทํากิจกรรมที่ การเกิดเสียงสูง เสียงตํ่า 1 วางไม รรทัดยื่นออกมาจากขอ โตะประมาณ 1 ซม. ชมือกดปลายไม รรทัดที่ยื่น
โดยใหแตละกลุมศึกษาขั้นตอนจากหนังสือ ออกมาแลวปลอย
เรียน หนา 1 ตอนที่ 1 และป ิบัติกิจกรรม 2 วางไม รรทัดยื่นออกจากขอ โตะประมาณ 2 ซม. ชมือกดปลายไม รรทัดที่ยื่น
ตามขั้นตอนแลวบันทึกผลลงในสมุด หรือใน ออกมา โดย ชแรงเทาครั้งแรกแลวปลอย
แบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1 สังเกตการสัน่ ของไม รรทัดและระดั เสียงทีไ่ ดยนิ จากไม รรทัดทัง้ 2 ครัง้ โดย ชเครือ่ ง
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช วัดระดั เสียง จากนั้นเปรีย เทีย เสียงที่ไดยินและ ันทึก ล
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม) . รวมกันระดมความคิดวา สิ่ง ดนาจะมี ลตอระดั เสียง นการทดลอง ตัวแปรตน และ
ถาความยาวของปลายไม รรทัดทีย่ นื่ พนขอ โตะเพิม่ ขึน้ นาจะมี ลตอสิง่ ด ตัวแปรตาม
และถา นแตละครั้งมีการออกแรงกดไม รรทัดไมเทากัน จะมี ลตอการทดลองหรือไม
ตัวแปรคว คุม แลว ันทึก ล
. รวมกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกั การเกิดเสียงสูง เสียงตํ่า แลวสรุป ล
1

เกร็ดแนะครู การทาก กรรมที่


ตา า บันทึกผลการทํากิจกรรม ตอนที่ 1
ในการทํากิจกรรมที่ ึ่งมีการทดลองทั้งหมด ตอน นักเรียนแตละกลุม
อาจจะใชเวลาในการทํากิจกรรมมากพอสมควร จึงอาจทําใหเกินเวลาสอนใน า น อ มบ เ ย ยน
า อ
แตละชั่วโมงของครู ดังนั้น ครูอาจจัดกิจกรรมโดยใชเทคนิคการสอนแบบสา ิต นเ ว น า เ ย เ ย ตา
โดยครูเลือกนักเรียน 1- กลุม เพื่อเปนกลุมตัวแทนสา ิตการทํากิจกรรมนี้ 1. ใชมอื กดปลายไมบรรทัด
แลวใหนกั เรียนกลุม ทีเ่ หลือคอยสังเกตการทํากิจกรรมหรืออาจมีสว นรวมไดบา ง ✓ ✓
ทีย่ นื่ พนขอบโตะ 1 ม.
ตามความเหมาะสม จากนั้นบันทึกผลและนํามาสรุปผลภายในกลุมของตนเอง
. ใชมอื กดปลายไมบรรทัด
✓ ✓
ทีย่ นื่ พนขอบโตะ ม.
ุ จากการทดลอง พบวา ความยาวของแหลงกําเนิดเสียงมีผลตอความถี่
ในการสั่น ถาแหลงกําเนิดเสียงมีความยาวมาก จะสั่นดวยความถี่ต่ํา สั่นชา
ทําใหเกิดเสียงตํา่ ถาแหลงกําเนิดเสียงมีความยาวนอยกวา จะสัน่ ดวยความถีส่ งู
สั่นเร็ว ทําใหเกิดเสียงสูง

T120
นํา สอน สรุป ประเมิน

หนวยการเรียนรูที่ 4 ขัน้ น
¾Åѧ§Ò¹àÊÕ§ าร น า
7. ครูใหนักเรียนแตละกลุมทํากิจกรรมที่ ตอน
ที่ โดยใหศึกษาขั้นตอนการทําและป ิบัติ
กิจกรรมจากหนังสือเรียนหนานี้ใหครบถวน
ตอนที่ 2
แลวบันทึกในสมุดหรือแบบฝกหัดวิทยาศาสตร
1. ชวยกันตั้งสมมติฐานวา มวลของแหลงกําเนิดเสียงที่แตกตางกัน มี ลตอการเกิดเสียงสูง ป.5 เลม 1
เสียงตํ่าอยางไร แลว ันทึก ลลง นสมุด (หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
2. เตรียมอุปกรณทําการทดลอง โดยเตรียมขวด ที่ 1 ไม สนํ้า ขวด ที่ 2 สนํ้าครึ่งขวด แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม)
และขวด ที่ สนํ้าเต็มขวด แลววางเรียงกันตามลําดั
. ชวยกันพยากรณและ ันทึก ลวา เมื่อ ชดามชอนเคาะขวดนํ้าทั้ง ดวยแรงที่เทากัน า ามร
จะเกิดเสียงสูง เสียงตํ่าเหมือนกันหรือแตกตางกัน อยางไร 1. ครูสุมเลือกตัวแทนนักเรียนของแตละกลุมให
. ทดลองเพื่อตรวจสอ ลการพยากรณ โดย ชดามชอนเคาะขวด ที่ 1 ที่ 2 และ ที่ มานําเสนอผลการทํากิจกรรมที่หนาชั้นเรียน
ตามลําดั สังเกตเสียงจากขวดแตละ โดย ชเครื่องวัดระดั เสียง แลว ันทึก ล 2. นักเรียนและรวมกันสรุปความรูที่ไดจากการ
5. รวมกันอภิปราย ลเกี่ยวกั ระดั เสียงที่เกิดขึ้น และสรุป ลภาย นชั้นเรียน ทดลองจนไดขอสรุปรวมกันวา ความยาวของ
แหลงกําเนิดเสียงมีผลตอความถี่ในการสั่น
3. ครูอ ิบายเพิ่มเติมวา ถาแหลงกําเนิดเสียงมี
ความยาวมาก จะมีมวลมาก จึงสัน่ ดวยความถี่
ตํ่าทําใหเกิดเสียงตํ่า แตถาแหลงกําเนิดเสียง
ากิจกรรมอยางป อ ัย มีความยาวนอยกวา จะมีมวลนอยกวา จึงสั่น
นการทํากิจกรรมตอนที่ 2 นักเรียนควร ดวยความถี่สูง ทําใหเกิดเสียงสูง
เคาะขวดแกวอยางระมัดระวัง หากเคาะแรง
อาจทํ า ห ข วดแตก และเกิ ด อั น ตรายกั
นักเรียนได
ภาพที่ . ทดลองเคาะขวดแกวที่ รรจุนํ้าปริมาณตางกัน
หนูตอบ ด้
. เสียงสูง เสียงตํ่าคืออะไร และเกิดขึ้นไดอยางไร
2. ปจจัย ด างที่มีความสัมพันธตอการเกิดเสียงสูง เสียงตํ่า
. หากแหลงกําเนิดเสียงมีความเร็ว นการสั่นสะเทือนนอย จะทํา หเกิดระดั เสียงอยางไร
. ถานักเรียนตองการเลือกซื้อกลองที่มีเสียงสูง เสียงตํ่าตางกัน จํานวน 2 นักเรียน
ควรเลือกซือ้ กลองทีม่ ลี กั ษณะ ด ระหวางกลองทีม่ ขี นาดตางกัน หรือกลองทีม่ คี วามตึงของ
ิวหนาตางกัน เพราะเหตุ ด
(หมายเหตุ คํา ามขอสุดทายของหนูตอบ ด เปนคํา ามที่ออกแบบให ูเรียน กใชทัก ะการคิดขั้นสูง 107
คือ การคิดแบบใหเหตุ ล และการคิดแบบโตแยง ่ง ูเรียนอา เลือกตอบอยางใดอยางหน่งก ด ใหครู
พิ าร า ากเหตุ ลสนับสนุน)

การทาก กรรมที่ น น
ตา า บันทึกผลการทํากิจกรรม ตอนที่ ขอ 4.
บเ ย ตา กลองทีม่ ขี นาดตางกัน เพราะกลองทีม่ ขี นาดเลก เมือ่ กู ตีหนังกลอง ะสัน่
า อ สะเทือนเรว ทําใหเกิดเสียงสูง สวนกลองทีม่ ขี นาดให  เมือ่ กู ตีหนังกลอง ะสัน่
า ยา า อ
สะเทือนชา ทําใหเกิดเสียงตํ่า
1. เคาะขวดใบที่ 1
ขวดเปลา
เสียงสูงที่สุด เสียงสูงที่สุด กลองที่มีความตงของ ิวหนาตางกัน เพราะกลองที่มีความตงของ ิวหนา
กลองนอย มีความหยอน) เมื่อ ูกตี ะสั่นสะเทือนชา ทําใหเกิดเสียงตํ่าและ
. เคาะขวดใบที่ เสียงตํ่ากวา เสียงตํ่ากวา
มีนํ้าครึ่งขวด ขวดใบที่ 1 ขวดใบที่ 1
กลองที่มีความตงของ ิวหนากลองมาก มีความตง) เมื่อ ูกตี ะสั่นสะเทือนเรว
ทําใหเกิดเสียงสูง
3. เคาะขวดใบที่ 3
เสียงตํ่าที่สุด เสียงตํ่าที่สุด
มีนํ้าเต็มขวด
ุ จากการทดลอง พบวา ขวดที่บรรจุนํ้ามากที่สุดจะมีมวลรวมของขวด
และนํ้ามากที่สุด จึงสั่นดวยความถี่ตํ่าสุด ทําใหเกิดเสียงตํ่า สวนขวดที่ไมมีนํ้า
จะมีมวลนอยที่สุด จึงสั่นดวยความถี่สูงสุดทําใหเกิดเสียงสูงที่สุด ดังนั้น มวล
ของแหลงกําเนิดเสียงที่ตางกันมีผลตอความถี่ในการสั่นของแหลงกําเนิดเสียง
จึงทําใหเกิดเสียงสูง เสียงตํ่าแตกตางกัน
T121
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ น
า าม า
1. นักเรียนทุกกลุมศึกษาเนื้อหาเกี่ยวกับเสียงสูง เสียงที่เกิดขึ้นรอ ตัวเรา มีลักษณะของเสียงที่แตกตางกัน เชน เสียงสูง
เสียงตํ่า จากหนังสือเรียนหนานี้
2. นักเรียนแตละคนทํากิจกรรมหนูตอบไดจาก
เสียงตํ่า เสียงดัง เสียงคอย
หนังสือเรียน หนา 1 ลงในสมุดหรือทําใน . เสียงสูง เสียงตา เปนสม ัติประการหนึ่งของเสียงที่มีความสัมพันธกั
แบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1 แหลงกําเนิดเสียง เรียกวา ร ับเสียง
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช ระดั เสียง เกิดจากความเร็ว นการสั่นสะเทือนของแหลงกําเนิดเสียง
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล)
โดยจํานวนครั้ง นการสั่นสะเทือนของแหลงกําเนิดเสียง น 1 วินาที เรียกวา
ขัน้ รป ความ ี องเสียง มีหนวยเปนครั้งตอวินาที เรียกวา เ ิรต ( ) ซึ่งหูของมนุษย
ร จะสามารถไดยินเสียงที่มีชวงความถี่ 2 2 เทานั้น
1. ครูใหนักเรียนสรุปความรูจากการเรียนจนได ระดั เสียง หรือการเกิดเสียงสูง เสียงตํ่า จะขึ้นอยูกั ความถี่ นการสั่น
ขอสรุปรวมกันวา เสียงสูง เสียงตํา่ เปนลักษ ะ สะเทือนของวัตถุที่เปนแหลงกําเนิดเสียง ดังนี้
ของเสียงทีม่ คี วามสัมพัน ก บั แหลงกําเนิดเสียง
หากแหลงกําเนิดเสียงสัน่ ดวยความถีต่ าํ่ จะเกิด การสันส เ ือน อง
ความ ี องเสียง ร ับเสียง
เสียงตํา่ แตถา สัน่ ดวยความถีส่ งู จะเกิดเสียงสูง ห งกาเนิ เสียง
2. ครูอ ิบายเสริมเพื่อสรุปวา ปจจัยที่มีผลตอ
สั่นดวยความเร็วตํ่า ความถี่ตํ่า เสียงตํ่า เสียงทุม
การเกิดเสียงสูง เสียงตํ่า คือ ขนาดของแหลง
กําเนิดเสียง ความยาวของแหลงกําเนิดเสียง สั่นดวยความเร็วปานกลาง ความถี่ปานกลาง เสียงกลาง เสียงปกติ
และความตึงของแหลงกําเนิดเสียง
สั่นดวยความเร็วสูง ความถี่สูง เสียงสูง เสียงแหลม
ขัน้ ประ มน

1. ครู ต รวจสอบผลการทํ า กิ จ กรรมที่ เรื่ อ ง
เ¡Ãçด ÇԷ¹ÒÃÙŒ
การเกิดเสียงสูง เสียงตํา่ ในสมุดหรือแบบฝกหัด ระดับเสียงสามารถเ ลียนแ ลงได้ งขนอย่กบั ขนาด ความยาว และความตงของ
วิทยาศาสตร ป.5 เลม 1 วัตถุทีเ นแหล่งกาเนิดเสียง ถ้าวัตถุทีเ นแหล่งกาเนิดเสียงมีขนาดเล็ก มีความยาวน้อย
หรือมีความตงมาก จะสันสะเทือนเร็วทา ห้เกิดเสียงสง แต่ถา้ วัตถุทเี นแหล่งกาเนิดเสียง
2. ครูตรวจสอบผลการทํากิจกรรมหนูตอบไดใน
มีขนาด ห ่ มีความยาวมาก หรือมีความตงน้อย (หย่อน) จะสันสะเทือนช้าทา ห้เกิด
สมุดหรือในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1 เสียงตา

108

เกร็ดแนะครู ขอสอบเนน การคิด


ครูควรใหความรูเพิ่มเติมกับนักเรียนวา ในการผลิตเครื่องดนตรี ผูผลิตจะ เ ย ม วาม ม อยา
นําหลักของการเปลี่ยนระดับเสียงมาใชในการสรางเครื่องดนตรีชนิดตาง ที่ 1. เสียงตํ่า
สามารถเลนเสียงสูงเสียงตํ่าได ่ึงเครื่องดนตรีบางชนิด เชน กีตาร สามารถ . เสียงสูง
เปลี่ยนระดับเสียงไดโดยเปลี่ยนตําแหนงการวางนิ้วมือบนสายกีตาร จะทําให 3. เสียงทุม
ความยาวของสายกีตารเปลี่ยนไป ระดับเสียงที่เกิดขึ้นจึงมีเสียงสูงหรือเสียงตํ่า 4. เสียงดัง
แตกตางกัน (วเ า ห าตอบ เสียงที่มีความ ี่สูง ะทําใหเกิดเสียงสูงหรือ
เสียงแหลม สวนเสียงที่มีความ ี่ตํ่า ะทําใหเกิดเสียงตํ่าหรือเสียง
แน ก ร ดแ ะ ระเ น ทุม ดังนั้น ขอ งเปนคําตอบที่ ูกตอง)

ครูสามารถสังเกตพ ติกรรมของนักเรียนจากการตอบคําถาม การทํางาน


รายบุคคล การทํางานกลุม และการนําเสนอผลการทํากิจกรรมหนาชั้นเรียนได
โดยศึกษาเก การวัดและประเมินผลที่แนบทายแผนการจัดการเรียนรูของ
หนวยการเรียนรูที่ 4 พลังงานเสียง

T122
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

หนวยการเรียนรูที่ 4 ขัน้ นา
¾Åѧ§Ò¹àÊÕ§ กระ น าม น
¡Ô¨¡ÃÃÁ·ีè 3 ัก กร บวนการ
างวิ ยาศาสตร ี 
1. ครูใหนักเรียนเคาะโตะตามคําสั่ง ดังนี้
ใหนักเรียนเคาะโตะเบา 3 ที
การ กิด สียงดัง สียง อย 1. การวัด ใหนักเรียนเคาะโตะดังกวาครั้งแรก 3 ที
2. การสังเกต
. การทดลอง 2. ครูตั้งคําถามเพื่อนําเขาสูบทเรียนวา นักเรียน
ดประสง ์ . การลงความเห็นจากขอมูล
ใชพลังงานในการเคาะโตะครั้งใดมากกวากัน
5. การตีความหมายขอมูลและลงขอสรุป
1. สังเกต ออกแ การทดลอง และอธิ ายลักษณะการเกิด (แนวตอบ ครั้งที่ )
เสียงดัง เสียงคอย 3. ครูอ ิบายเชื่อมโยงใหนักเรียนเขาใจวา ถา
2. วัดระดั เสียงโดย ชเครื่องมือวัดระดั เสียง ตองการใหเสียงเคาะโตะมีระดับเสียงตางกัน
นักเรียนตองใชพลังงานในการสรางเสียงตาง
ต้อง ตรียมต้อง ้ กัน และในบทเรียนนี้นักเรียนจะไดศึกษาวา
1. ไมตี อัน พลังงานของแหลงกําเนิดเสียงสงผลตอระดับ
2. กลองกระดาษ 1 เสียงอยางไร
. โทรศัพทมือถือ 1 เครื่อง
. เครื่องวัดระดั เสียง 1 เครื่อง
ขัน้ น
าร น า

องทาดู ตอนที่ 1 1. นั ก เรี ย นแบ ง กลุ  ม คละความสามารถ เก ง


คอนขางเกง ปานกลาง และออน
1. แ งกลุม กลุมละ คน แลว หแตละกลุมเตรียมกลองกระดาษที่ปดสนิทมา 1 กลอง 2. ครูใชรูปแบบการเรียนรูแบบรวมมือ เทคนิค
พรอมไมตีคนละ 1 อัน . . โดยเริ่มจากกําหนดใหสมาชิกแตละกลุม
2. รวมกันระดมความคิดและหาวิธีทํา ห กํ า หนดลํ า ดั บ ที่ ข องตนเอง จากนั้ น ครู แ จ ง
กลองกระดาษเกิดเสียงดัง เสียงคอย บทบาทหนาทีข่ องสมาชิกแตละคนภายในกลุม
แลว ันทึก ลลง นสมุด 3. นั ก เรี ย นร ว มกั น ตั้ ง สมมติ านจากป ญ หาที่
. ทํ า กิ จ กรรมตามวิ ธี ท่ี ร  ว มกั น ออกแ ตั้งวา
จากนั้ น สั ง เกตเสี ย งที่ เ กิ ด ขึ้ น โดย ช • าน น า น อ แห าเน เ ย
เครื่องวัดระดั เสียง แลว ันทึก ล ตอ บเ ย อยา
. แตละกลุมสรุป ลการทํากิจกรรม แลว (แนวตอบ าแหลงกําเนิดเสียงสั่นสะเทือน
นําเสนอ ลหนาชั้นเรียน จากนั้นรวมกัน ดวยพลังงานมาก ระดับเสียง ะดังมากกวา
อภิปรายเกี่ยวกั การทํา หเกิดเสียงดัง แหลงกําเนิดเสียงที่สั่นดวยพลังงานนอย)
เสียงคอยภาย นชั้นเรียน ภาพที่ .1 ทดลอง ชไมตีกลองเพื่อทํา ห 4. สมาชิกภายในแตละกลุมรวมกันทํากิจกรรมที่
เกิดเสียงดัง เสียงคอย 3 เรื่อง การเกิดเสียงดัง เสียงคอย ตอนที่ 1
109 ในหนังสือเรียนหนานี้ตามหนาที่ของตนเอง
แล ว บั น ทึ ก ผลลงในสมุ ด หรื อ แบบฝกหั ด
วิทยาศาสตร ป.5 เลม 1
การทาก กรรมที่ เกร็ดแนะครู
ตา า บันทึกผลการทํากิจกรรม ตอนที่ 1
ในการทํากิจกรรมครูอาจแบงหนาที่ของสมาชิกในแตละกลุมตามกระบวน
เ ย ตอ า วาม อเ ย การสอนรูปแบบการเรียนรูแ บบรวมมือ เทคนิค L.T. หรือ Learning Together ดังนี้
ว า า หเ เ ย
หเ ว สมาชิกคนที่ 1 ทําหนาที่ ศึกษาตองเตรียมตองใช แลวเตรียมอุปกร ต า ง
เสียงดัง ออกแรงตีกลองแรง จะทําให สมาชิกคนที่ ทําหนาที่ อานลองทําดู ทําความเขาใจ แลวนํามาอ ิบาย
กลองสั่นสะเทือนรุนแรง จึงเกิด ัด ใหสมาชิกภายในกลุม ง
เสียงดัง ก ารว
ผล น สมาชิกคนที่ 3 ทําหนาที่ บันทึกผลการทดลอง
ย ูกับ ักเรีย
เสียงคอย ออกแรงตีกลองเบา จะทําให อ สมาชิกคนที่ 4 ทําหนาที่ นําเสนอผลการทดลอง
ขึ้น ของน
กลองสั่นสะเทือนเล็กนอย จึงเกิด
เสียงคอย
ุ จากการทดสอบ พบวา ความดังของเสียงทีเ่ ราไดยนิ ขึน้ อยูก บั พลังงาน
ในการสั่นสะเทือนของแหลงกําเนิดเสียง โดยเมื่อเราออกแรงตีกลองมาก เสียง
จะมีความดังมาก แตถาเราออกแรงตีกลองนอย เสียงจะมีความเบาหรือคอย

T123
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ น
าร น า
5. นั ก เรี ย นรวมกั น ตั้ ง สมมติ านจากป ญ หาที่
สงสัยวา ระยะหางของแหลงกําเนิดเสียงมีผล
ตอความดังของเสียงที่ผูรับเสียงไดรับอยางไร
(แนวตอบ าระยะหาง ากแหลงกําเนิดเสียง ตอนที่ 2
มี ลตอความดังของเสียง ดังนั้น ระยะหาง 1. ครูพานักเรียนไปทํากิจกรรมที่ ริเวณ
ากแหลงกําเนิดเสียงนอยเสียงที่ ดยิน ะดัง สนามหรือพื้นที่โลง นโรงเรียน
มากกวาระยะหาง ากแหลงกําเนิดเสียงมาก) 2. ครูยืนอยูกลางสนามและทําหนาที่เปด
6. ครูใหสมาชิกทุกคนในกลุมชวยกันทํากิจกรรม เพลง แลว หนกั เรียนยืนลอมเปนวงกลม
ตอนที่ จากหนังสือเรียนหนานี้ โดยใหป บิ ตั ิ กล ครู 2 วง ซอนกัน
หนาที่เดิมจากการทํากิจกรรมตอนที่ 1 แลว . ทํากิจกรรมโดยครูเปดเพลงจากโทรศัพท
บันทึกผลลงสมุด หรือแบบฝกหัดวิทยาศาสตร มือถือ หันักเรียน ง จากนั้น หนักเรียน
ป.5 เลม 1 คอย เดินถอยออกหางจากครูไปเรือ่ ย
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช จนจ เพลง
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม) . ทํากิจกรรมซํ้าโดย หทุกคนอยูตําแหนง ภาพที่ .11 ยืนลอมวง งเสียงเพลง
เดิมทีเ่ พลงจ จากนัน้ ครูเปดเพลงอีกครัง้
า ามร แลว หนักเรียนทุกคนเดินเขามาหาครูอยางชา จนจ เพลง
5. นักเรียนเปรีย เทีย ลการไดยินเสียงเพลงจากการทํากิจกรรม ระหวางการยืนอยู กลครู
1. ครูสุมเลือกสมาชิกคนที่ 4 ของแตละกลุมให
กั การยืนอยูไกลครู แลว ันทึก ลลง นสมุด
ออกมานําเสนอผลการทํากิจกรรมที่หนาชั้น
. ทุกคนรวมกันอภิปราย ลการทํากิจกรรม และสรุป ลเกีย่ วกั การไดยนิ เสียงดัง เสียงคอย
เรียนตามลําดับการจับสลากของครู
2. นักเรียนและรวมกันสรุปความรูที่ไดจากการ
ทดลอง จนไดขอสรุปวา ความดังของเสียง
หนูตอบ ด้
ขึ้นอยูกับพลังในการสั่นของแหลงกําเนิดเสียง
และระยะทางระหวางตัวเรากับแหลงกําเนิด . การที่ไดยินเสียงดังหรือเสียงคอยตางกัน ขึ้นอยูกั อะไร
เสียง 2. หากแหลงกําเนิดเสียงสั่นดวยพลังงานเสียงเทาเดิมตลอดเวลา ถานักเรียนอยูไกลจาก
แหลงกําเนิดเสียงนั้นจะไดยินเสียงชัดเจนหรือไม เพราะเหตุ ด
. เราสามารถรั งเสียงที่ดังมากหรือคอยมากไดหรือไม เพราะอะไร
. ถานักเรียนกําลังนั่งอยู นสวนหลัง าน แลวตองการ งเพลงที่เปดจากวิทยุ ซึ่งอยู น าน
นักเรียนจะทําวิธีการ ดเพื่อ หไดยินเสียงวิทยุไดอยางชัดเจน ระหวางเปดวิทยุเสียงดัง
หรือยายเครื่องวิทยุมาไว กล ตัว เพราะเหตุ ด
110 (หมายเหตุ คํา ามขอสุดทายของหนูตอบ ด เปนคํา ามที่ออกแบบให ูเรียน กใชทัก ะการคิดขั้นสูง
คือ การคิดแบบใหเหตุ ล และการคิดแบบโตแยง ่ง ูเรียนอา เลือกตอบอยางใดอยางหน่งก ด ใหครู
พิ าร า ากเหตุ ลสนับสนุน)

เกร็ดแนะครู การทาก กรรมที่


ตา า บันทึกผลการทํากิจกรรม ตอนที่
การทํากิจกรรมตอนที่ หากนักเรียนในชั้นเรียนมีจํานวนมาก ครูอาจใช
วิ ีการแบงนักเรียนออกเปน กลุม โดยใหผลัดกันทํากิจกรรม คือ กลุมที่ 1 ทํา า อบ เ ย ยน า อบ
กิจกรรมกอน แลวใหกลุมที่ คอยสังเกต จากนั้นใหกลุมที่ ทํากิจกรรม แลว เดินเขาใกลโทรศัพท เสียงดัง ไดยินเสียงเพลง
ใหกลุมที่ 1 คอยสังเกต ึ่งจะทําใหนักเรียนไดทํากิจกรรมครบทุกคนและเขาใจ ดังชัดเจน
ในบทเรียนมากขึ้น เดินออกหางโทรศัพท เสียงคอย ไดยินเสียงเพลงเบา
ไมคอยชัดเจน
น น
ขอ 4. ุ จากการทดสอบ พบวา ความดังของเสียงทีเ่ ราไดยนิ ขึน้ อยูก บั ระยะทาง
เปดวิทยุเสียงดัง เพราะ าเราอยู กล ากวิทยุ ะ ดยินเสียงของวิทยุเบา ระหวางตัวเรากับแหลงกําเนิดเสียง เมือ่ เราอยูใ กลกบั แหลงกําเนิดเสียง โทรศัพท
ทําใหเรา ดยนิ เสียง ากวิทยุ มชดั เ น ดังนัน้ เราตองเปดวิทยุใหมเี สียงดัง เพือ่ จะไดยินเสียงดังและชัดเจน แตถาเราอยูไกลจากแหลงกําเนิดเสียง โทรศัพท
ทําให ดยินเสียงวิทยุชัดเ นมากข้น จะไดยินเสียงเบาหรือคอย และไมคอยชัดเจน
ยกวิทยุมาใกล ตัว เพราะเมื่อเราเปดวิทยุดังมาก และ งเสียงดังเปน
เวลานาน ะทําใหเกิดอันตรายตอเยือ่ แกวหูของเรา ด ดังนัน้ ควรเปดเสียงวิทยุ
ใหเหมาะสม แลวยกวิทยุมาใกลตัว ะทําให ดยินเสียงวิทยุชัดเ นข้น

T124
นํา สอน สรุป ประเมิน

หนวยการเรียนรูที่ 4 ขัน้ น
¾Åѧ§Ò¹àÊÕ§ า าม า
1. นักเรียนทุกกลุมศึกษาเนื้อหาเกี่ยวกับเสียงสูง
2. เสียง ัง เสียงคอย เปนสม ัติของเสียงที่เรียกวา ความ ัง องเสียง
เสียงตํ่า จากหนังสือเรียนหนานี้
ขึ้นอยูกั ปริมาณพลังงานของเสียงที่เดินทางมาถึงหูเรา เสียงตาง ที่เราไดยิน 2. ครูอ ิบายเพิ่มเติมใหนักเรียนเขาใจวา การวัด
มีความดังของเสียงไมเทากัน เชน เสียงเครื่อง ิน มีพลังงานของเสียงมาก ความดังของเสียง เราจะใชเครื่องมือวัดระดับ
ทํา หเกิดเสียงดัง เสียงกระซิ มีพลังงานเสียงนอยทํา หเกิดเสียงคอย ความเขมของเสียง เรียกวา เครื่องวัดระดับ
ความ ัง องเสียง เสียง ึ่งมีหนวยการวัดเปน เด ิเบล
ปจจัย ีมีผ า หวัต ุเกิ เสียง ัง เสียงคอย 3. นักเรียนแตละคนทํากิจกรรมหนูตอบไดจาก
เสียง ัง เสียงคอย
หนังสือเรียน หนา 11 ลงในสมุดหรือทําใน
1. ระยะทางจากแหลงกําเนิดเสียง กลแหลงกําเนิดเสียง ✓
แบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1
ไกลแหลงกําเนิดเสียง ✓
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
2. พลังงาน นการสั่นสะเทือนของ สั่นดวยพลังงานมาก ✓ แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล)
แหลงกําเนิดเสียง สั่นดวยพลังงานนอย ✓

นการวั ด ความดั ง ของเสี ย ง จะ ช ขัน้ รป



เครื่องมือวัดระดั ความเขมของเสียง เรียกวา
ครูสุมเลือกนักเรียน -3 คน ใหออกมาสรุป
เครืองวั ร ับเสียง ซึ่งมี ความรูจากการเรียนวา เสียงดัง เสียงคอย เปน
หนวยเปน เ ิเบ ( ) สมบัติหนึ่งของเสียงที่เรียกวา ความดังของเสียง
เครื่องวัดระดั เสียง คือ เครื่องมือที่ ึ่งขึ้นอยูกับพลังในการสั่นของแหลงกําเนิดเสียง
ชวัดระดั เสียง โดยทั่วไปจะเปนเครื่องมือวัด ภาพที่ .12 ตัวอยางเครื่องวัดระดั และระยะทางระหวางตัวเรากับแหลงกําเนิดเสียง
แ ถือ และมีไมโครโ นสําหรั เสียงแ ตาง โดยเราสามารถวัดความดังของเสียงไดโดยใช
ติดกั เครื่องเพื่อ ชวัดระดั เสียง ซึ่งจะ ชตรวจสอ วา เสียงที่เกิดขึ้นมีความดัง เครื่องวัดระดับเสียง มีหนวยเปน เด ิเบล
เกินกวาที่ก หมายกําหนดหรือไม หรือตรวจสอ วาความดังของเสียงที่เกิดขึ้น ขัน้ ประ มน
จะสง ลกระท ตอการไดยินของเราหรือไม ร
เ¡Ãçด ÇԷ¹ÒÃÙŒ 1. ครูตรวจสอบผลการทํากิจกรรมที่ 3 เรื่อง การ
ความดังของเสียงนันไม่เกียวข้องกับความถีของเสียง บางครังเสียงตาอาจเ น เกิดเสียงดัง เสียงคอย ในสมุดประจําตัวหรือ
เสียงดังได้ เช่น เสียงสิงโตคาราม จะเ นเสียงตาเพราะมีความถีตา แต่เ นเสียงดังได้ แบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1
เพราะมีพลังงานมาก และ นบางครังเสียงสงอาจเ นเสียงค่อยได้ เช่น เสียง งบิน 2. ครู ต รวจสอบผลการทํ า กิ จ กรรมหนู ต อบได
จะเ นเสียงสงเพราะมีความถีสง แต่เ นเสียงค่อยเพราะมีพลังงานน้อย ในสมุดประจําตัวนักเรียนหรือในแบบฝกหัด
111 วิทยาศาสตร ป.5 เลม 1

ขอสอบเนน การคิด แน ก ร ดแ ะ ระเ น


ย ม า หเ เ ย เ ย อย ครูสามารถสังเกตพ ติกรรมของนักเรียนจากการตอบคําถาม การทํางาน
1. ระยะทางจากแหลงกําเนิดเสียง รายบุคคล การทํางานกลุม และการนําเสนอผลการทํากิจกรรมหนาชั้นเรียนได
. ความสั้นและยาวของแหลงกําเนิดเสียง โดยศึกษาเก การวัดและประเมินผลที่แนบทายแผนการจัดการเรียนรูของ
3. พลังงานในการสั่นสะเทือนแหลงกําเนิดเสียง หนวยการเรียนรูที่ 4 พลังงานเสียง ดังภาพตัวอยาง
4. ขอ 1. และ 3. ถูกตอง
แบบสังเกตพฤติกรรมการทางานรายบุคคล แบบสังเกตพฤติกรรมการทางานกลุ่ม

(แนวตอบ ป ัยที่มี ลทําใหเกิดเสียงดัง เสียงคอย ดแก ระยะ คาชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่

ลาดับที่
ตรงกับระดับคะแนน
รายการประเมิน
3
ระดับคะแนน
2 1
คาชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่
ตรงกับระดับคะแนน

การแสดง การยอมรับ
การทางาน
การมี
ส่วนร่วมใน รวม
ตามที่ ด้รับ ความมีน้าใจ

ทาง ากแหลงกําเนิดเสียง และพลังงานในการสั่นสะเทือนแหลง


ชื่อ–สกุล
1 การแสดงความคิดเห็น    ลาดับที่
องนักเรียน
ความคิดเหน งคนอื่น
มอบหมาย
การปรับปรุง 15
2 การยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น    ผลงานกลุ่ม คะแนน
3 การทางานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย    3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1
4 ความมีน้าใจ   

กําเนิดเสียง ดังนั้น ขอ งเปนคําตอบที่ ูกตอง)


5 การตรงต่อเวลา   
รวม

ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
............./.................../..............

เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 3 คะแนน ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน ............./.................../..............
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน
เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 3 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14-15 ดีมาก เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
11-13 ดี
14-15 ดีมาก
8-10 พอใช้
11-13 ดี
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
8-10 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง

T125
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นา
กระ น าม น
1. ครูเปดวิดโี อจาก .
มลพิษทางเสียง ใหนักเรียนดู
. เกีย่ วกับ
3. ÍันตÃาย¨า¡ÁลพÔÉ·างเสียง
2. ครูตั้งคําถามเพือ่ กระตุน ความคิดของนักเรียน นชีวิตประจําวันของเรา างครั้งเราอาจไดยินเสียง างเสียงที่กอ หเกิด
ดังนี้ ความรําคาญ หรือ างครั้งอาจไดยินเสียงดังมาก จนอาจทํา หเปนอันตราย
า เ อ อยอา ย น เ ยน เ อ อย ตอการไดยินของเราไดโดยไมรูตัว เรียกวา ม พิ างเสียง
บ นามบนห อ ม เ า เหตุ ดังนั้น เราจึงควรเรียนรูเกี่ยวกั อันตรายของเสียง เพื่อจะไดหาแนวทางหรือ
(แนวตอบ เลือกทีใ่ กลสนามบิน เพราะสะดวก วิธีปองกันอันตรายจากเสียงเหลานั้นไดอยางถูกวิธี
ในการคมนาคมขนสง เลือกหาง ากสนามบิน
เพราะ ม ดรับมลพิ ทางเสียง)
เสียงเครืองบิน เสียงเ คิ อปเตอร
ม า เ ย เ น หาตอ ุ า อ เ า
ห อ ม อยา
(แนวตอบ เปนป หา เนื่อง ากรบกวนการ
พัก อน ทําใหพัก อน มเพียงพอ รบกวน
สมาธิการทํางาน ทําใหเกิดความเครียด ด)
3. นักเรียนรวมกันตอบคําถามอยางอิสระ จากนัน้
ครูใหคาํ ชมเชยหรือมอบรางวัลใหกบั นักเรียนที่ เสียงการจราจร เสียงสุนั หอน
ตอบคําถามไดถูกตองเพื่อเปนการเสริมแรง
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล)
4. ครูอ ิบายเชื่อมโยงวา มลพิษทางเสียงเปน
ปญหาตอมนุษย แตเสียงแบบใดจึงจะเรียกวา
เปนมลพิษทางเสียง เราจะศึกษาในบทเรียน
ตอไปนี้ เสียงเครืองเจา นน ภาพที่ .1 ตัวอยางการเกิดมลพิษทางเสียง
5. ครูใหนักเรียนศึกษาภาพและขอมูลในหัวขอ
อันตรายจากมลพิษทางเสียง จากหนังสือเรียน
หนานี้
àÊÕ§·Õèà¡Ô´¢Öé¹ã¹ªÕÇÔµ»ÃШíÒÇѹ
ã´ºŒÒ§ ໚¹ÁžÔÉ·Ò§àÊÕ§
น าถาม
เชน เสียงสุนัขเหา เสียงสุนัขหอน เสียงสุนัข
112
กัดกัน เสียงร ักรยานยนตที่มีทอเสียงดัง เสียง
เครื่อง ักรในโรงงาน

เกร็ดแนะครู ขอสอบเนน การคิด


ครูอาจใหความรูเพิ่มเติมกับนักเรียนอีกวา อันตรายของเสียงจะกอใหเกิด เ ย มา ม เ ยตอมนุ ยห อ ม อยา
ผลกระทบตอสุขภาพไดเดนชัดที่สุด คือ อาการประสาทหูเสื่อม ึ่งเกิดจาก (แนวตอบ มี ลเสีย เพราะเสียงทีด่ งั มาก ะมีพลังงานมา งหูมาก
ปจจัยตอไปนี้ นอา ทําใหเยือ่ แกวหูเปนอันตราย ด และอา สง ลทําใหสู เสีย
1. วามเ ม อ เ ย เสียงที่มีความเขมสูง (ดังมาก) จะทําลายประสาทหู การ ดยิน ทําใหการสื่อสารบกพรอง)
ไดมาก
2. วาม เ ย เสียงแหลม (มีความถี่สูง) จะทําลายประสาทหูไดมากกวา
เสียงทุม
3. ย เว า ยนเ ย การ งเสียงดังเปนเวลานานติดตอกัน จะทําให
ประสาทหูเสื่อมมากขึ้น
4. อ เ ย เสียงที่ดังติดตอกันไปจะทําลายประสาทหูนอยกวา
เสียงที่กระแทกไมเปนจังหวะ

T126
นํา สอน สรุป ประเมิน

หนวยการเรียนรูที่ 4 ขัน้ น
¾Åѧ§Ò¹àÊÕ§ าร น า
¡Ô¨¡ÃÃÁ·ีè 4 ัก กร บวนการ
างวิ ยาศาสตร ี 
1. นักเรียนจับกลุมกับเพื่อน -3 คน เพื่อทํา
กิจกรรมที่ 4 เรื่อง มลพิษทางเสียง โดยให
ม พิษทาง สียง 1. การลงความเห็นจากขอมูล ศึกษาขัน้ ตอนการทํากิจกรรมจากหนังสือเรียน
2. การตีความหมายขอมูลและลงขอสรุป
. การจัดกระทําและสื่อความหมายขอมูล หนานี้ แลวไปสืบคนเพิ่มเติมเกี่ยวกับมลพิษ
ดประสง ์ ทางเสียงอันตรายจากมลพิษทางเสียงในชีวิต
สื คนขอมูล เพื่อเสนอแนวทาง นการปองกันและหลีกเลี่ยงมลพิษทางเสียง ประจําวัน พรอมสืบคนวิ ีปองกันอันตรายที่
เกิ ด จากมลพิ ษ ทางเสี ย ง จากหนั ง สื อ เรี ย น
ต้อง ตรียมต้อง ้ หนา 115 รวมทั้งจากแหลงอื่น แลวบันทึก
แหลงขอมูล เชน หนังสือ อินเทอรเน็ต ขอมูลที่สืบคนมาไดลงในสมุด หรือบันทึกใน
แบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1
องทาดู 2. นั ก เรี ย นทุ ก คนนํ า ข อ มู ล ที่ สื บ ค น ได ม าสรุ ป
รวมกัน จากนั้นนําขอมูลทั้งหมดจัดทําเปน
1. แ ง กลุม จากนัน้ ชวยกันสื คนขอมูลแลว นั ทึก ล
แผนพับใหความรูเ กีย่ วกับมลพิษทางเสียงและ
นสมุดตามหัวขอ ดังนี้
แนวทางในการปองกันมลพิษทางเสียง
• มลพิษทางเสียงคืออะไร
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
• อันตรายจากมลพิษทางเสียง นชีวิตประจําวัน แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม)
• วิธีปองกันและแนวทาง นการหลีกเลี่ยงอันตราย
ที่อาจเกิดขึ้นจากมลพิษทางเสียง
2. หแตละกลุมนําเสนอ ลการสื คนหนาชั้นเรียน
เพื่ออภิปรายขอมูลที่ไดสื คนตามหัวขอตาง ภาพที่ .1 การสื คนขอมูล
. แตละกลุมรวมกันสรุปขอมูลภาย นกลุม จากนั้นนําขอมูลมาจัดทําแ นพั หความรู น น
เกีย่ วกั มลพิษทางเสียงและวิธปี องกัน เพือ่ นําไป หความรูต ามจุดตาง ของโรงเรียนหรือ ขอ 3.
นชุมชน คาราโอเกะ เพราะเปนรานทีเ่ ปดเสียงเพลงดัง
ตลอดเวลาเมือ่ มีการรองเพลง ง่ ะมีเสียงทีด่ งั เกิน
หนูตอบ ด้ เด เิ บล หาก งติดตอกันเวลานานอา สง ลเสีย
. มลพิษทางเสียงคืออะไร จงอธิ ายพรอมยกตัวอยางประกอ ตออวัยวะรับเสียง หู) เชน อา ทําใหเกิดอาการ
2. วิธีการปองกันและหลีกเลี1่ยงอันตรายจากมลพิ2ษทางเสียงตองทําอยางไร าง หูอื้อชั่วคราว
. ระหวางรานคาราโอเกะกั ริเวณตลาดนัด นักเรียนคิดวาสถานที่ ดมีมลพิษทางเสียง ตลาดนัด เพราะในตลาดนัดเปนส านที่ที่
เพราะอะไร มี ูคนพลุกพลาน ่งมีทั้งเสียงคนและเสียง าก
113 เครื่องขยายเสียงของรานคาตาง ที่มีความดัง
หลายระดับเสียง งอา กอใหเกิดความหงุดหงิด
และความรําคา ตอ ูคนในบริเว นั้น ด

ขอสอบเนน การคิด น O-NET เกร็ดแนะครู


อ เ นม า เ ย เ นอนต ายมา ุ ครูอาจเปดวิดีโอเกี่ยวกับมลพิษทางเสียงใหนักเรียนดูกอนเขาสูกิจกรรม
1. เสียงในรานอาหาร การเรียนรู โดยสามารถเปดไดจาก . . โดยพิมพคาํ วา ภารกิจ
. เสียงกริ่งรถจักรยาน พิทักษโลก ตอนที่ เสียงดัง 4 ชั่วโมง
3. เสียงพูดคุยกันในบาน เมือ่ นักเรียนดูวดิ โี อจบแลว ครูอาจใหนกั เรียนรวมกันแสดงความคิดเห็นเพือ่
4. เสียงเครื่องบินกําลังบินขึ้น เชือ่ มโยงสูช วี ติ ประจําวัน โดยตัง้ คําถามวา มลพิษทางเสียงเปนปญหาตอสุขภาพ
(วเ า ห าตอบ เสียงที่เปนอันตราย หมาย ง เสียงที่ดังเกิน ของเราหรือไม อยางไร
เด เิ บล ง่ เสียงเครือ่ งบินกําลังบินข้นมีระดับเสียงทีด่ งั มากกวา
เด ิเบล ดังนั้น ขอ งเปนคําตอบที่ ูกตอง)
นกเร นค รรู
1 า า อเ คือ บทเพลงที่มีเ พาะดนตรีเปลาและเนื้อรองปราก โดยตัด
เสียงนักรองเดิมออกไป ใชสาํ หรับใหคนทัว่ ไปรอง เพือ่ ความบันเทิงและผอนคลาย
2 ต า น คือ ตลาดหรือบริเว ที่ ื้อขายของกันเ พาะในวันหรือเวลาที่
กําหนดเทานั้น
T127
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ น
า ามร
ครูสุมตัวแทนนักเรียนใหออกมานําเสนอผล
การทํากิจกรรมของตนเองหนาชั้นเรียน โดยมี
เสียงตาง ที่เราไดยิน นชีวิตประจําวัน างครั้งอาจทํา หเกิดอันตราย
ครูคอยแนะนําเพิ่มเติม กั หูของเราได โดยเสียงแตละเสียงจะมีระดั ความดังของเสียงไมเทากัน
ครูใหนักเรียนในชั้นเรียนเปรียบเทียบผลงาน ซึ่ง ริเวณที่จะเกิดเสียงดังมากและเกิดเสียงดังขึ้นเปนประจํา เชน ริเวณ กล
แผนพับใหความรูข องแตละกลุม พรอมทัง้ ถาม ถนน หญ ภาย นโรงงานอุตสาหกรรม ริเวณสนาม ิน สวนเสียง างเสียง
คําถาม แลวใหนักเรียนชวยกันตอบ ดังนี้ แมวาจะไมดังมากจนเปนอันตรายตอเยื่อแกวหู แตอาจกอ หเกิดความรูสึก
น เ ยน นาแ น บ แ ห บ หงุดหงิดและรําคาญได เชน เสียงสุนัขหอน
( แนวตอบ คนที่ ทํ า งานบริ เ ว ที่ มี เ สี ย งดั ง
และชุมชนที่อยูในบริเว ที่มีเสียงดัง เชน
ใกลโรงงานอุตสาหกรรม ใกล นน หรือ
สนามบิน) 60
เสียงพูดคุยปกติ
เ า เหตุ น เ ยน นาแ น บ แ 0
ห ุม น าว 0 เสียงเครื่องดูด ุน
เสียง นหองสมุด
(แนวตอบ เพื่อประชาสัมพันธใหทุกคนทราบ
ง ัยอันตรายของเสียงที่ดังเกิน ปและรูวิธี ร ับความ ัง 0
องเสียงตาง เสียงเครื่องตัดหญา
ปองกันมลพิ ทางเสียง) 0
เสียงพูดเ า
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช เสียงกระซิ
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม)

0 25
เสียงเครื่อง ินกําลัง ินขึ้น เสียงพลุหรือเสียงประทัด

อันตราย
การรั งเสียงที่มีระดั ความเขมเสียงตั้งแต ภาพที่ .15 ตัวอยางระดั ความดังของเสียงตาง
5 เดซิเ ลขึ้นไป ติดตอกันเกินวันละ ชั่วโมง
จะทํา หเยื่อแกวหูเปนอันตราย เกิดอาการมึนงง
และอาจตัดสิน จ นเรื่องตาง ิดพลาดได

114 ิ ทาง สียง

ขอสอบเนน การคิด น O-NET


ครูใหนักเรียนเรียนรูเกี่ยวกับมลพิษทางเสียงเพิ่มเติมจากสื่อดิจิทัล โดย ตา า ปริมา เวลาทีอ่ นุญาตใหพนักงานทํางานไดอยางปลอดภัย
ใหสแกน เรื่อง มลพิษทางเสียง จากหนังสือเรียน หนา 114 ึ่งจะ เมื่อไดรับความเขมเสียงอยางตอเนื่องในระดับตาง
ปราก คลิปวิดีโอ ดังภาพตัวอยาง บ วามเ มเ ย บอยา ตอเนอ 91 90 85 80
เว า อนุ าต ห า าน อยา อ ย วม 6 7 8 9
า ตา า า า าน มอ า บอนต าย า
เ ย มา ุ
1. ทํางาน 5 ชั่วโมง ในบริเว ที่มีระดับความเขมเสียง 1
. ทํางาน ชั่วโมง ในบริเว ที่มีระดับความเขมเสียง
3. ทํางาน ชั่วโมง ในบริเว ที่มีระดับความเขมเสียง
4. ทํางาน ชั่วโมง ในบริเว ที่มีระดับความเขมเสียง 5
(วเ า ห าตอบ ในบริเว ที่มีระดับความเขมเสียง เด ิเบล
กําหนดใหทํางาน ด มเกิน ชั่วโมง เพราะ ะนั้น าทํางาน
ชั่วโมง งมีโอกาส ดรับอันตราย ากเสียงมากที่สุด ดังนั้น ขอ
งเปนคําตอบที่ ูกตอง)
T128
นํา สอน สรุป ประเมิน

หนวยการเรียนรูที่ 4 ขัน้ น
พลังงานเสียง า าม า
1. นักเรียนทุกกลุมศึกษาเนื้อหาเกี่ยวกับมลพิษ
การรูจ กั ปองกันหรือหลีกเลีย่ งเสียงดัง จะชวยปองกันไม หเยือ่ แกวหูของเรา
ทางเสียง อันตรายจากมลพิษทางเสียง และ
เกิดอันตราย และยังชวยปองกันประสาทการรั งเสียงไม หเสื่อม โดยแนวทาง แนวทางการปองกั น มลพิ ษ ทางเสี ย ง จาก
การปองกันและหลีกเลี่ยงมลพิษทางเสียงทําไดหลายวิธี เชน หนังสือเรียน หนา 114-11
2. นักเรียนจับคูกับเพื่อนแลวศึกษาขอมูลมลพิษ
1. สถานที่ที่อยู กลกั ถนน หญ เชน ริเวณ านหรือ ทางเสียงเพิ่มเติมจากสื่อดิจิทัลจากในหนังสือ
โรงเรียนทีอ่ ยูต ดิ กั ถนน หญ ควรมีการปลูกตนไมสงู เรียน หนา 114 โดยใชโทรศัพทมือถือสแกน
หรือสรางกําแพง เพื่อ ชเปนแนวกั้นเสียง เรื่อง มลพิษทางเสียง จากนั้นรวม
กันอภิปรายและสรุปภายในชั้นเรียน โดยให
ภาพที่ .1 สรางกําแพงปองกันเสียง ครูคอยอ ิบายเพิ่มเติมในสวนที่บกพรอง

ภาพที่ .1 ชมืออุดหูทันทีเมื่อไดยินเสียงดัง
2. หากเราไดยินเสียงที่ดังมาก อยางกะทันหัน เชน
เสียงประทัด เสียง า า อาจจะทํา หเกิดอาการ
หูดั ฉั พลันได ดังนั้น ห ชมืออุดหูทันทีี

. คนที่ตองทํางาน น ริเวณที่มีเสียงดังเปนประจํา เชน


ริเวณสนาม ิน โรงงานอุตสาหกรรม สนามยิงปน
ควรมีอุปกรณครอ หู เพื่อปองกันเสียงดัง
ภาพที่ .1 สวมเครื่องปองกันหู

ภาพที่ .1 เปดเครื่องเสียง หเหมาะสม


. หากเปนเครื่องเสียงที่มีเสียงดังมาก หลดความดัง
ของเสียงลง หอยู นระดั ที่เหมาะสมกั การ ง
และไมควร งเสียง านหู งที่มีเสียงดังเปนเวลา
นาน เพราะอาจทํา หเยื่อแกวหูเสื่อมได
115

กิ กรร 21st Century Skills เกร็ดแนะครู


1. นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-5 คน ครูใหความรูเพิ่มเติมกับนักเรียนวา หนวยงานของรั ทีม่ ีหนาที่เกี่ยวของกับ
2. สมาชิกแตละกลุม รวมกันสํารวจขอมูลวา บริเว หรือสถานทีใ่ ด การควบคุมมลพิษทางเสียง คือ กรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากร รรมชาติ
ในชุมชนบางที่จัดเปนแหลงที่มลพิษทางเสียง โดยใหถายภาพ และสิง่ แวดลอม นอกจากนี้ ยังมีหนวยงานอืน่ ทีเ่ กีย่ วของอีก เชน กรมสงเสริม
หรือวาดภาพลงในสมุดวาดเขียน พรอมบันทึกขอมูล คุ ภาพสิ่งแวดลอม มูลนิ ิสิ่งแวดลอมไทย
3. นําขอมูลมาจัดกระทําเปนสมุดบันทึกรวบรวมแหลงมลพิษทาง
เสียงของชุมชน พรอมตกแตงใหสวยงาม
4. ใหนักเรียนแตละกลุมนําเสนอผลงานหนาชั้นเรียนดวยวิ ีการที่
นาสนใจ และอภิปรายพรอมสรุปผลรวมกันภายในชั้นเรียน

T129
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ น
า าม า
3. ครูอ ิบายเพิ่มเติมวา การรับ งเสียงที่มีระดับ เ¡Ãçด ÇԷ¹ÒÃÙŒ
ความเขมเสียงตั้งแต 5 เด ิเบล ขึ้นไป โดยทัวไ หของคน กติจะสามารถรับเสียงทีมีความดังของเสียงตาสุด เด เิ บล ( )
ติดตอกันเกินวันละ ชั่วโมง จะมีผลทําให และสงสุด เด ิเบล ( ) (ความถีของคลืนเสียง ตังแต่ เฮิรต ) งระดับ
เยื้อแกวหูเปนอันตรายได ดังนั้น นักเรียน เสียงทีมีความ ลอด ัย นการได้ยินสาหรับมนุ ย คือ ความดัง ระมา เด ิเบล ( )
ไมควร ง เสียงทีด่ งั มากติดตอกันเปนเวลานาน หรือน้อยกว่านัน
4. นักเรียนแตละคนทํากิจกรรมหนูตอบไดจาก
หนังสือเรียน หนา 113 ลงในสมุดหรือทําใน Ô Ãà ¹Ò ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õ 1
แบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1 จับคูกับเพือน จากนันสังเกต าพ ีกาหน วเ ือก าพ ีคิ วา า ห
5. นักเรียนทํากิจกรรมพั นาการเรียนรูที่ 1 จาก
เกิ ม พิ างเสียงมา าพ พรอมยกตัวอยางวิธีปองกันหรือห ีกเ ียงม พิ
หนังสือเรียนหนานี้ ลงในสมุด
6. ครู ใ ห นั ก เรี ย นทบทวนความรู  ค วามเข า ใจ
างเสียงจาก าพนันมา 2 อ วนาเสนอหนา ันเรียน
เกี่ยวกับเนื้อหาหนวยการเรียนรูที่ 4 บทที่ 1 1. 2. 3. 4.
พลังงานเสียงที่เรียนผานมา โดยสุมเรียกชื่อ
นักเรียนใหออกมาเลาวาตนเองไดรับความรู
อะไรบาง เสียงเฮลิคอปเตอร เสียงกระซิ เสียงจราจร เสียง นหองสมุด
7. นั ก เรี ย นเขี ย นสรุ ป ความรู  เ กี่ ย วกั บ เรื่ อ งที่ ไ ด ¤Ó¶ÒÁ·ŒÒ·Ò¡ÒäԴ¢Ñé¹ÊÙ§
เรียนมาจากบทที่ 1 ในรูปแบบตาง เชน
แผนผังความคิด แผนภาพ ลงในสมุด ระยะทางจากแหลงกําเนิดเสียงกั หูของ ู ง มี ลตอความดังของเสียงหรือไม อยางไร
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
กิจกรรม สรุปความรูป ระจําบทที่ 1
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล) ตรวจสอบตนเอง
หลังเรียนจ ทนี้แลว หนักเรียน อกสัญลักษณที่ตรงกั ระดั ความสามารถของตนเอง
เกณ
รายการ ี พอ  ควรปรับปรุง

1. เขา จเนื้อหาเกี่ยวกั เรื่องพลังงานเสียง


2. สามารถทํากิจกรรมและอธิ าย ลการทํากิจกรรมได
น าถามทาทา การ ั้น
. สามารถตอ คําถามจากกิจกรรมหนูตอ ไดได
มี ลตอความดังของเสียง เพราะระยะทาง
. ทํางานกลุมรวมกั เพื่อนไดดี
ากแห ล งกํ าเนิ ด เสี ย งคื อ ป ั ยหน่ ง ที่ ทํ าให เ กิ ด
เสียงดัง เสียงคอย แตกตางกัน ป หาก ู งอยูใกล 5. นําความรูไป ชประโยชน นชีวิตประจําวันได
11
แหลงกําเนิดเสียง ะ ดยนิ เสียงดัง หาก ู งอยู กล
ากแหงกําเนิดเสียง ะ ดยินเสียงคอย

เกร็ดแนะครู กิ กรร า า
ครูใหความรูความเขาใจกับนักเรียนเพิ่มเติมวา ชวงความถี่ของเสียงพูด ใหนกั เรียนแตละคนไปสํารวจลักษ ะของเสียงตาง 1 เสียง
ระหวางความถี่ 5 - , เ ิรต  หูของมนุษยจะมีความอดทนในการรับ ง จากสื่อตาง เชน วิทยุ โทรทัศน อินเทอรเน็ต แลวบันทึกผลลงใน
เสียงในขอบเขตจํากัด สําหรับผูท อี่ ยูใ นสภาพแวดลอมทีม่ เี สียงดังมาก จะทําให กระดาษ 4 โดยใหบอกความรูสึกเมื่อได งเสียงนั้น แลวนํามา
อวัยวะรับเสียงเสื่อมเร็วขึ้น และอาจทําใหความสามารถในการรับ งเสียงลดลง เปรียบเทียบกับเพื่อน ในชั้นเรียน เพื่อรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับ
หรือทีเ่ รียกวา “อาการหูตงึ ” โดยหากอยูใ นสภาพแวดลอมทีม่ เี สียงดังตอไปนาน ลักษ ะเสียงที่ไดยิน
จะทําใหเกิดอาการหูหนวกได และไมสามารถไดยินเสียงพูดคุยตามปกติได
เชนเดิม ดังนั้น นักเรียนควรหลีกเลี่ยงบริเว ที่มีเสียงดัง

T130
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ น
สÃØ» ÊÒÃ ÊÒ
»ÃШíÒº··Õè 1 า าม า
8. นั ก เรี ย นแต ล ะคนศึ ก ษาแผนผั ง ความคิ ด
สรุปสาระสําคัญ ประจํา

ี ง าผ
ตามธรรมชาติ เชน เสย บทที่ 1 จากหนังสือเรียนหนานี้ เพื่อตรวจ-
สอบกับการเขียนสรุปความรูที่นักเรียนทําไว

สี ย

มน
ษุ ยส ั น์ ในสมุด

์ รา้ งข้น ศ
เชน เสียง ทรท
นิด

ฐิ
นอ
กํ า เ

เช 9. นักเรียนทํากิจกรรมฝกทักษะบทที่ 1 จาก
ขง็
ของแ
แ หลง

ของเสียง หนังสือเรียนหนา 11 ขอ 1-3 ลงในสมุด


ก ล าง
ตั ว ของเหลว เชน น้ าํ
MILK

หรือทําในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1


อวัยวะรับเสียง (ห ู) แกส
เชน อากาศ 10. นักเรียนแตละคนทํากิจกรรมทาทายการคิด
ขั้ น สู ง จากแบบฝกหั ด วิ ท ยาศาสตร ป.5
การ ด้ยินเ คร
งสร
สีย า้ งภาย เลม 1
ง ในหู
มีหนวยเปน (หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช
เดซ
ิเ บ
ล แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล)
(
11. นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน จากนั้น
dB
)

เส ียง ศึกษากิจกรรมสรางสรรคผลงานจากหนังสือ
ดับ เรียน หนา 11 แลวใหป ิบัติกิจกรรมตาม
ระ มฐ ว ป ป มล
พ ิษ
วั ด

พลังงานเสียง ขั้นใหครบถวน จากนั้นนําเสนอหนาชั้นเรียน


เ ค ร่ื อ ง

ทา

(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช



งเ ส

เสยี แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม)
ั ษณะของ
ลก
เสยี งท่ี

ี ยง
เสยี

ม 12. นักเรียนทําทบทวนทายหนวยการเรียนรูท่ี 4
งท

กอ คี วา
่ี

ให มดงั
เสียงตํา่ เสียงสูง เ้ กด ม
ิ ค าก หรอ เรื่ อ ง พลั ง งานเสี ย ง จากในแบบฝ กหั ด
วามร ื
วิทยาศาสตร ป.5 เลม 1
ระดบั

าํ คาญ ควา มาย


เสยี มห
ง เสยี งตาํ่ (ความ ต ่ี าํ่ )
ความด

เสยี
รปองกัน

งสงู (ความ ส่ี งู )


อง
งั ข

เสยี เช
ง เสยี ย) นใ
งคอย (พลงั งานนอ้ ชอ้
งกา

สรา้ ปุ ก
เสยี งกาํ แ รณป์ องก
ทา

งดงั (พ ว
ลังงานมาก) พงเป
น แนวกน

ั หู แน
มอยใู ั เสียง
นบรเิ ว
ณทม ี่ เี สียงดังนาน

117

ขอสอบเนน การคิด น O-NET


แขวนแผ น เหล็ ก ชนิ ด เดี ย วกั น
มีความหนาแนนเทากัน แตมขี นาด
ตางกัน ดังภาพ 1 cm 2 cm
2 cm 1 cm 2 cm 2 cm
3 cm 3 cm

แ นที่ 1 แ นที่ 2 แ นที่ แ นที่


าตแ นเห วยแ เ า น เ ย เ เ นอยา ตอบ ขอ
1. แผนที่ 1 เสียงสูงกวาแผนที่ 3 . แผนที่ เสียงสูงกวาแผนที่ 1
3. แผนที่ เสียงสูงกวาแผนที่ 4 4. แผนที่ 3 เสียงสูงกวาแผนที่ 1
5. แผนที่ 3 เสียงสูงเทากับแผนที่ 4 . แผนที่ 4 เสียงสูงกวาแผนที่
(วเ า ห าตอบ วัต ุที่มีขนาดเลกหรือมีความยาวนอย งสั่นดวยความ ี่สูง ทําใหเกิดเสียงสูง แ นเหลก
แ นที่ งมีเสียงสูงกวาแ นที่ ) และวัต ุที่มีขนาดให  หรือมีความยาวมาก ะสั่นดวยความ ี่ตํ่า ทําให
เกิดเสียงตํ่า แ นเหลกแ นที่ งมีเสียงสูงกวาแ นที่ ) ดังนั้น ขอ และขอ งเปนคําตอบที่ ูกตอง)

T131
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ น
า าม า
กิจกรรม º··ีè 1
13. ครูใหนักเรียนทําแบบทดสอบหลังเรียนของ
หนวยการเรียนรูที่ 4 เพื่อตรวจสอบความรู
ฝกทักษะ
ความเขาใจหลังเรียน . ตอบคา ามตอ ปนี
ขัน้ รป 1 องคประกอ ที่ทํา หมนุษยสามารถไดยินเสียง มีอะไร าง
ร 2 เสียงสามารถเคลื่อนที่ านตัวกลาง ดได าง จงยกตัวอยางประกอ
นักเรียนดูตารางตรวจสอบตนเอง จากหนังสือ นักเรียนคิดวา หากเกิดการระเ ิด นอวกาศนอกโลกของเรา นัก ินอวกาศ
เรียนวิทยาศาสตร หนา 11 จากนั้นถามนักเรียน จะไดยินเสียงหรือไม เพราะอะไร
เปนรายบุคคลตามรายการขอ 1-5 จากตาราง เพือ่ 2. นาตัวอัก รหนา อความ ีกาหน ห ปเติมหนา อ ีมีความสัมพันธกัน
เปนการตรวจสอบความรูค วามเขาใจของนักเรียน
หลังจากการเรียน หากนักเรียนคนใดตรวจสอบ ก. อวัยวะรั เสียง ข. ตัวกลางของเสียง ค. มลพิษทางเสียง
ตนเองโดยให อ ยู  ใ นเก  ค วรปรั บ ปรุ ง ให ค รู
ทบทวนบทเรียนหรือหากิจกรรมอืน่ อ มเสริม เพือ่
ง. ระดั เสียง จ. แหลงกําเนิดเสียง ฉ. ความดังของเสียง
ใหนักเรียนมีความรูความใจในบทเรียนมากขึ้น
…………………. 1 เสียงที่มีความดังมาก กอ หเกิดความรําคาญ
………………….
น 2 สิ่งตาง เมื่อเกิดการสั่นสะเทือนแลวทํา หเกิดเสียง
น ก กรรม กทักษะ ลง
ึก ัว สิ่งที่ทํา หเสียงเคลื่อนที่จากแหลงกําเนิดเสียงเขาสูรูหูของเราได
ันท จําต
………………….
ขอ 1. ด
ุ ประ เกิดจากวัตถุสั่นดวยความถี่ที่แตกตางกัน จึงทํา หเกิดเสียงสูง ตํ่า
ส ม
………………….
) มี อยาง ดแก แหลงกําเนิดเสียง ตัวกลาง
ของเสียง และอวัยวะรับเสียง หู)
…………………. 5 มีความสัมพันธกั พลังงาน นการสั่นวัตถุ ทํา หเกิดเสียงดังและ
) เสียงเคลื่อนที่ านตัวกลางที่เปนของแขง เสียงคอย
เชน กอนหิน ตัวกลางที่เปนของเหลว เชน นํ้าเปลา . สืบคน อมู เกียวกับส าน ี ีมีม พิ างเสียง หง ววา าพหรือติ าพ
และตัวกลางที่เปนอากาศ เชน แกสออกชิเ น
ง นสมุ พรอมบอกวิธีปองกันม พิ างเสียงจากส าน ีนันมาพอสังเ ป
) ม ดยินเสียง เพราะในอวกาศเปนบริเว
ที่ มมีอากาศ ง มมีตัวกลางของเสียงที่ ะทําให 1 สถานที่ที่มีมลพิษทางเสียง คือ
นักบินอวกาศ ดยินเสียง าพ) ............................................................................................................................................................
ัว
ติ จําต
หรือ 2 วิธีปองกันมลพิษทางเสียง มีดังนี้ ประ
ขอ 2. าพ สมุด
ลง น
) ค มลพิ ทางเสียง (วา ันทึก
............................................................................................................................................................

) แหลงกําเนิดเสียง ............................................................................................................................................................

) ข ตัวกลางของเสียง กิจกรรม ทาทายการคิดขัน้ สูง


) ง ระดับเสียง
118
) ความดังของเสียง
ขอ 3. ข้นอยูกับดุลยพินิ ของครู ูสอน)

เกร็ดแนะครู ขอสอบเนน การคิด


ครูสามารถใชแบบทดสอบหลังเรียนทีแ่ นบมาทายแผนการจัดการเรียนรูข อง เ ย บ เ นเ ย ม อยา
หนวยการเรียนรูที่ 4 พลังงานเสียง ไดดังภาพตัวอยาง 1. ความถี่ของเสียงตํ่า
. ความถี่ของเสียงสูง
แบบทดสอบหลังเรียน
หน่วยการเรียนรู้ที่ 4

คาชี้แจง : ให้นักเรียนเลือกคาตอบที่ถูกต้ องที่สุดเพียงข้อเดี ยว


3. ความดังของเสียงตํ่า
1. เสียงเกิดขึ้นได้อย่างไร
ก. การสั่นสะเทือนของเสียง
6. การที่เสียงมีลักษณะแตกต่างกัน เช่น เสียงสูง เสียงต่้า
เพราะเหตุใด
ก. ตัวกลางแตกต่างกัน
4. ความดังของเสียงสูง
ข. การสั่นสะเทือนของวัตถุ
ข. การได้ยินแตกต่างกัน
ค. การกระทบของอากาศ
ง. การกดดันของวัตถุ
2. การใช้ค้อนเคาะส้อมเสียง แล้วจุ่มส้อมเสียงลง
ค. แหล่งก้าเนิดเสียงแตกต่างกัน
ง. สถานที่ใช้ออกเสียงแตกต่างกัน
7. ถ้าแหล่งก้าเนิดเสียงสั่นด้วยพลังงานน้อย จะท้าให้เสียง
(วเ า ห าตอบ เสียงกระ ิบ เปนเสียงที่มีความเขมเสียงหรือ
ในน้้า ผิวน้้าจะสั่น แหล่งก้าเนิดเสียง คืออะไร เป็นอย่างไร
ก. น้้า
ข. ค้อน
ก. เสียงค่อย
ข. เสียงดัง
ค. เสียงสั่น
ความดังของเสียงตํา่ โดยแหลงกําเนิดเสียง ะสัน่ ดวยพลังงานนอย
ค. อากาศ

งทําใหเกิดเสียงคอย ดังนั้น ขอ งเปนคําตอบที่ ูกตอง)


ง. เสียงก้อง
ง. ส้อมเสียง 8. หน่วยวัดความดังของเสียง เรียกว่าอะไร
3. จาก ข้อ 2 ตัวกลาง คืออะไร ก. เดต้าเบล
ก. น้้า ข. มิลลิเบล
ข. ค้อน ค. เซนติเบล
ค. อากาศ ง. เดซิเบล
9. สถานที่ใดท้าให้เกิดมลพิษทางเสียง
ง. ส้อมเสียง ก. วัด
4. เสียงเดินทางผ่านตัวกลาง ชนิดใดได้ดีที่สุด ข. โรงเรียน
ก. ของแข็ง ค. สวนสาธารณะ
ข. ของเหลว ง. โรงงานอุตสาหกรรม
ค. อากาศ 10. ความเข้มของเสียงเท่าไร อาจท้าให้เกิดอันตรายต่อเยื่อ
ง. ถูกทุกข้อ แก้วหู
ก. เกิน 60 เดซิเบล
5. อวัยวะส่วนใดของหูที่ท้าให้เราได้ยินเสียง ข. เกิน 70 เดซิเบล
ก. กระดูกค้อน ค. เกิน 85 เดซิเบล
ข. กระดูกทั่ง ง. เกิน 100 เดซิเบล
ค. เยื่อแก้วหู
ง. คอเคลีย

เฉลย 1. ข 2. ง 3. ก 4. ก 5. ค 6. ค 7. ก 8. ง 9. ง 10. ค

T132
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ ประ มน

·Ñ¡ÉÐáË‹§ÈµÇÃÃÉ·Õè
✓การสื่อสาร ✓ ความรวมมือ ✓ การแกปญหา
1. ครูประเมินผลจากการสังเกตพ ติกรรมการ
✓การสรางสรรค การคิดอยางมีวิจารณญาณ ตอบคําถาม พ ติกรรมการทํางานรายบุคคล
✓การ ชเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร พ ติ ก รรมการทํ า งานกลุ  ม และจากการ
กิจกรรม นําเสนอผลการทํากิจกรรมหนาชั้นเรียน
ÊÌҧÊÃ䏼ŧҹ 2. ครูตรวจสอบผลการทํากิจกรรมที่ 4 เรื่อง
มลพิษทางเสียง ในสมุดหรือในแบบฝกหัด
แบงกลุม กลุมละ 2-3 คน แลวชวยกันระดมความคิด วิทยาศาสตร ป.5 เลม 1
เพือ่ ออกแบบและประดิษฐแบบจําลองโทรศัพททที่ าํ ใหผฟู ง คนอืน่ ๆ 3. ครูตรวจสอบผลทํากิจกรรมพั นาการเรียนรู
หลายคนไดยินเสียงผูพูดเพียง 1 คน ไดพรอม ๆ กัน โดยให ใช ที่ 1 จากสมุด
ความรูเกี่ยวกับตัวกลางของเสียงเขามาประกอบ 4. ครูตรวจสอบผลการทํากิจกรรมหนูตอบได
จากนั้นประดิษฐชิ้นงาน แลวนําเสนอหนาชั้นเรียน
ในสมุด หรือในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5
เลม 1
ตัวอย‹าง ¼Å§Ò¹¢Í§ ѹ 5. ครูตรวจสอบผลการทํากิจกรรมสรุปความรู
เกี่ยวกับเสียงรอบตัวเราจากสมุด
6. ครูตรวจผลการทํากิจกรรมฝกฝนทักษะบทที่ 1
ในสมุด หรือในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5
เลม 1
7. ครูตรวจผลการทํากิจกรรมทาทายการคิด
ขั้นสูงในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1
8. ครูตรวจชิน้ งาน ผลงานการประดิษ โ ทรศัพท
และการนําเสนอชิน้ งาน ผลงาน หนาชัน้ เรียน
9. ครู ต รวจสอบผลการทํ า กิ จ กรรมทบทวน
ทายหนวยการเรียนรูที่ 4 เรื่อง พลังงานเสียง
จากแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ป.5 เลม 1
10. ครูตรวจสอบผลการทําแบบทดสอบหลังเรียน
ของหนวยการเรียนรูที่ 4
ภาพที่ .2 ตัวอยางแ จําลองโทรศัพท

119

ขอสอบเนน การคิด น O-NET แน ก ร ดแ ะ ระเ น


อต อ บ บ วยแ เ า น แ วบน ครูสามารถวัดและประเมินผลชิ้นงาน ผลงานการประดิษ แบบจําลอง
บเ ย ยน ว นตา า น โทรศัพทที่นักเรียนสรางขึ้น โดยศึกษาเก ประเมินผลงานจากแบบประเมิน
อ เ ย ยน ผลงาน ชิ้นงานที่แนบมาทายแผนการจัดการเรียนรูของหนวยการเรียนรูที่ 4
ใบที่ 1 แหลมที่สุด พลังงานเสียง ดังภาพตัวอยาง
ใบที่ แหลม การประเมินชิ้นงาน/ภาระงาน (รวบยอด) (แผนฯ ที่ 5) เกณ ์การประเมินผลงานการประดิษฐ์แบบจาลองโทรศัพท์ (แผนฯ ที่ 5)

ใบที่ 3 ทุม ฉ)
แบบประเมินผลงานการประดิษฐ์แบบจาลองโทรศัพท์
ระดับคุณภาพ
รายการประเมิน
1. การออกแบบชิ้นงาน
ดี (3)
ชิ้นงานมความถูกต้อง
คาอ ิบายระดับคุณภาพ/ระดับคะแนน
พอใช้ (2)
ชิ้นงานมความถูกต้อง
ปรับปรุง (1)
ชิ้นงานมความถูกต้อง

ใบที่ 4 ทุมที่สุด ลาดับที่

1 การออกแบบชิ้นงาน
รายการประเมิน 3
(ดี)
2 1
(พอใช้) (ปรับปรุง)
ตาม ่ออกแบบ ว้ มขนาด
เหมา สม รู แบบ
น่าสนใ แ ลกตา แล
สร้างสรรค์ด
ตาม ่ออกแบบ ว้ มขนาด ตาม ่ออกแบบ ว้ มขนาด
เหมา สม รู แบบ เหมา สม รู แบบ
น่าสนใ แล สร้างสรรค์ น่าสนใ
2 การเลือกใช้วัสดุเพื่อสร้างชิ้นงาน
2. การเลือกใช้วั ดุเพื่อ เลือกใช้วัสดุมาสร้าง เลือกใช้วัสดุมาสร้าง เลือกใช้วัสดุมาสร้าง
3 ความถูกต้องของเนื้อหา

า ตา า า ต อ แ ว า ห วหนา อ อ น วย
ร้างชิ้นงาน ชิ้นงานตาม ่กาหนด ด้ ชิ้นงานตาม ่กาหนด ด้ ชิ้นงาน ม่ตรงตาม ่
4 การสร้างสรรค์ชิ้นงาน ถูกต้อง แล วัสดุมความ ถูกต้อง แล วัสดุมความ กาหนด แต่วัสดุมความ
5 กาหนดเวลาส่งงาน เหมา สมกับการสร้าง เหมา สมกับการสร้าง เหมา สมกับการสร้าง
รวม ชิ้นงานดมาก ชิ้นงานด ชิ้นงาน
3. ความ ูก ้อง อง าแนกกลุ่มพืชออกเ น าแนกกลุ่มพืชออกเ น าแนกกลุ่มพืชออกเ น

วาม ตา ุ อ า ต อ น อ ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
............./.................../..............
เนื้อ า

4. การ ร้าง รรค์


กลุ่มพืชดอก แล กลุ่มพืช
ม่มดอก ด้ถูกต้อง
ครบถ้วน
ตกแต่งชิ้นงาน ด้สว งาม
กลุ่มพืชดอก แล กลุ่มพืช
ม่มดอก ด้ถูกต้องบ้าง

ตกแต่งชิ้นงาน ด้สว งาม


กลุ่มพืชดอก แล กลุ่มพืช
ม่มดอก ด้ถูกต้องน้อ

ตกแต่งชิ้นงาน ด้สว งาม

1. ใบที่ 1 . ใบที่ 3. ใบที่ 3 4. ใบที่ 4


ชิ้นงาน ดมาก ด น้อ
5. กา นดเวลา งงาน ส่งชิ้นงาน า ในเวลา ่ ส่งชิ้นงานช้ากว่ากาหนด ส่งชิ้นงานช้ากว่ากาหนด
กาหนด วัน เกิน 3 วันข้น

(วเ า ห าตอบ กลองใบที่ตีแลวเกิดการสั่นดวยความ ี่ตํ่าสุด เกณ ์การ ดั ินคุณภาพ


ชวงคะแนน
14-15
11-13
ระดับคุณภาพ
ดีมาก
ดี

คือใบที่ทําใหเกิดเสียงทุมที่สุด นั่นคือ ใบที่ ดังนั้น ขอ งเปน


8-10 พอใช้
่ากวา 8 ปรับปรุง

คําตอบที่ ูกตอง)

T133
โครงงาน วิทยาศาสตร
พรมเช็ดเทาเพิม่ แรงเสียดทาน
โครงงานสํารวจและรวบรวมขอมูล ✓ โครงงานทดลอง
โครงงานสิ่งประดิษฐ โครงงานทฤษฎี

สถานการณ
งั้นเราตองมาทําพรมเช็ดเทา หม
เพือ่ หมแี รงเสียดทานมากขึน้ แลวละ

คุณแมครั มเช็ดเทากั พรม


เช็ดเทาหนาหองนํ้า แลวลื่น
เกือ หกลมเลยครั

นักเรียนคิดวาวัสดุ
ชนิดใดจะชวยเพิ่ม
แรงเสียดทานของ
พวกเราสามารถนํา พรมเช็ดเทากับพื้น
แผนยางกันลื่นมาทํา หรือวาเราลองใชทั้ง ไดดีที่สุด
Ò¡Ê Ò¹¡Òó ¹Ñ¡àÃÕ¹ เปนพื้นของพรมเช็ดเทา แผนยางกันลื่นและ
à¡Ô´ ŒÍʧÊÑÂÍÐäà ไดหรือไมนะ ผาผิวหยาบเลยดีกวา เราวาใชผาผิวหยาบ
จะดีกวาไหม

T134
ขั้นตอนการทําโครงงานตามกระบวนการบันได 5 ขั้น
ขั้นตอนที นักเรียนอานสถานการณที่กําหนด แลวชวยกันตั้งคําถาม
ตั้ง า าม ระ ุสมมติฐาน กําหนดตัวแปร และประโยชนที่คาดวา
(Question)
จะไดรั จากการทําโครงงาน
ขัน
้ ตอนที นักเรียนสื คนขอมูลไดจากแหลงการเรียนรูที่หลากหลาย
สืบ ้น เชน อินเทอรเน็ต หองสมุด สื่อตาง รวมทั้งแสวงหา
(Search)
ขอมูลจากการสํารวจ หรือการสอ ถาม
ขัน
้ ตอนที นักเรียนนําความรู ขอมูล และสารสนเทศตาง ที่ ได
สรปอง ์ วามรู้ จากการอภิปราย การสํารวจ การทดลอง มาวิเคราะห
(Construct)
สังเคราะห แลวสรุปเปนองคความรู
ขัน
้ ตอนที นักเรียนมีวิธีนําเสนอ ลงานที่ไดจากโครงงานอยางไร าง
นา สนอ เพื่อทํา หเกิดการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ และทํา ห ูอื่น
(Communicate)
เกิดความเขา จไดงาย
ขัน
้ ตอนที นักเรียนนําความรูที่ไดจากการทําโครงงานไปประยุกต ช
ประยกต์ ้ หเกิดประโยชนอยางสรางสรรคไดอยางไร
(Serve)

เกณฑการประเมิน
รายการปร เมิน ร ับค นน
3 ดี 2 พอ ช 1 ปรับปรง
1. ตั้งคําถามและตั้งสมมติฐานได
2. อกแหลงการเรียนรูได
. สรุปองคความรูและนําเสนอขอมูลได
. นําความรูจาก ลงานไป ชประโยชน

T135
บรรณานุ ก รม
กุณ รี เพ็ชรทวีพรเดช และคณะ. 255 . สุ ยอ วิธีสอนวิ ยาศาสตร นา ปสูการจั การเรียนรู องครูยุค หม. กรุงเทพ
อักษรเจริญทัศน.
คาน ซาราห และกิลเลสพี ลิซา เจน. 255 . พจนานุกรม าพวิ ยาศาสตร ปร ม มัธยมตน. แปลโดย ก ติกา ชินพันธ.
กรุงเทพ นานมี ุคส.
งานพั นาวิทยาศาสตรและเทคโนโลยีแหงชาติ กระทรวงวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี สํานัก. 25 . หนังสือ ุ กิจกรรมสงเสริม
การเรียนรู การสืบคน างวิ ยาศาสตร ร ับมัธยมศก า. ปทุมธานี สํานักงานพั นาวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
แหงชาติ.
ชุติมา วั นะคีรี. 25 . กิจกรรมวิ ยาศาสตร น รงเรียน. กรุงเทพ สุวีริยาสาสน.
ทิศนา แขมมณี. 255 . ศาสตรการสอน องคความรูเพือการจั กร บวนการเรียนรู ีมีปร สิ ธิ าพ. พิมพครั้งที่ 1 . กรุงเทพ
ดานสุทธาการพิมพ.
พลอยทราย โอฮามา. 255 . หนังสือเรียนรายวิ าเพิมเติม วิ ยาศาสตรเพือศตวรร ี 2 ป. . พิมพครั้งที่ 2. นนท ุรี
ไทยรมเกลา.
. 25 . หนังสือเรียนรายวิ าเพิมเติม วิ ยาศาสตรเพือศตวรร ี 2 ป.5. พิมพครั้งที่ 2. นนท ุรี ไทยรมเกลา.
พิมพพันธ เดชะคุปต. 25 . การจั การเรียนการสอน วยวิธีการสอน บบสืบสวน. กรุงเทพ เดอมาสเตอรกรุ เมเนจเมนท.
ภพ เลาหไพ ูลย. 25 2. นวการสอนวิ ยาศาสตร (ฉบับปรับปรุง). พิมพครั้งที่ . กรุงเทพ ไทยวั นาพานิช.
แรมสมร อยูสถาพร. 25 . เ คนิค วิธีการสอน นร ับปร มศก า. กรุงเทพ สํานักพิมพแหงจุ าลงกรณมหาวิทยาลัย.
วันเฉลิม กลิน่ ศรีสขุ . 255 . การ ก จิ กรรมคายวิ ยาศาสตรเพือพั นา กั กร บวนการ างวิ ยาศาสตร นพื ั น าน. วิทยานิพนธ
ครุศาสตรมหา ัณ ิต หลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยราชภั สวนสุนันทา.
วันเฉลิม กลิ่นศรีสุข และคณะ. 255 . คูมือครูวิ ยาศาสตร เพือศตวรร ี 2 ันปร มศก าป ี . นนท ุรี ไทยรมเกลา.
วิจารณ พานิช. 2555. วิ ีสรางการเรียนรูเพือศิ ย นศตวรร ี 2 . กรุงเทพ ตถาตาพั ลิเคชั่น.
วิชาการและมาตรฐานการศึกษา สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ สํานัก. 255 . นว าง
การจั กิจกรรมการเรียนรูเพือพั นา ัก การคิ ตามห ักสูตร กนก างการศก า ันพืน าน พุ ธศักรา 255
ร ับปร มศก า. กรุงเทพ โรงพิมพชุมนุมสหกรณการเกษตรแหงประเทศไทย.
. 25 . ตัว ีวั สาร การเรียนรู กนก าง ก ุมสาร การเรียนรูวิ ยาศาสตร (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามห ักสูตร
กนก างการศก า ันพืน าน พุ ธศักรา 255 . กรุงเทพ โรงพิมพ สกสค. ลาดพราว.
ศิริรัตน วงศศิริ และคณะ. 25 . คูมือครูรายวิ าพืน าน วิ ยาศาสตร ันปร มศก าป ี . พิมพครั้งที่ . นนท ุรี ไทยรมเกลา.
. 25 . คูมือครูรายวิ าพืน าน วิ ยาศาสตร ันปร มศก าป ี 5. พิมพครั้งที่ . นนท ุรี ไทยรมเกลา.
. 25 . คูมือครูรายวิ าพืน าน วิ ยาศาสตร ันปร มศก าป ี 6. พิมพครั้งที่ . นนท ุรี ไทยรมเกลา.
สงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ สถา ัน. 255 . บบบัน กกิจกรรมรายวิ าพืน าน วิ ยาศาสตร
ันปร มศก าป ี . กรุงเทพ โรงพิมพ สกสค. ลาดพราว.
. 25 . คูมือครูรายวิ าพืน าน วิ ยาศาสตร ันปร มศก าป ี . กรุงเทพ โรงพิมพ สกสค. ลาดพราว.
. 25 1. คูม อื การ ห กั สูตรรายวิ าพืน านวิ ยาศาสตร ก มุ สาร การเรียนรูว ิ ยาศาสตร (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตาม
ห ักสูตร กนก างการศก า ันพืน าน พุ ธศักรา 255 ร ับปร มศก า. ออนไลน . สื คนเมื่อ 25 ตุลาคม 25 1.
จาก . . 22 . 2.
สรศักดิ แพรคํา. 25 . ัก กร บวนการ างวิ ยาศาสตร. อุ ลราชธานี สถา ันราชภั อุ ลราชธานี.
สํานัก ริหารวิชาการ วิทยาลัยเทคโนโลยีปญญาภิวั น แ นก ริหารหลักสูตร. 255 . เอกสารเผย พรความรูวิ าการศก า
วิธีการสอน ( ). กรุงเทพ วิทยาลัยเทคโนโลยีปญญาภิวั น.
สุวิทย มูลคํา และอรทัย มูลคํา. 25 . 2 วิธีจั การเรียนรู เพือพั นากร บวนการคิ . พิมพครั้งที่ 5. กรุงเทพ ภาพพิมพ.
.21 . 5 6. .
. 2 11 . ( ) .
.
. 2 12 . ( ) 5.
.
T136

You might also like