Professional Documents
Culture Documents
ไฟฟ้า (Electricity)
เป้าหมายการเรียนรู้ตามหลักสูตรแกนกลาง
1. วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างความต่างศักย์กระแสไฟฟ้า และความต้านทาน และคานวณปริมาณที่
เกี่ยวข้องโดยใช้สมการ V = IR จากหลักฐานเชิงประจักษ์
2. เขียนกราฟความสัมพันธ์ระหว่างกระแสไฟฟ้าและความต่างศักย์ไฟฟ้า
3. ใช้โวลต์มิเตอร์ แอมมิเตอร์ในการวัดปริมาณทางไฟฟ้า
4.วิเคราะห์ความต่างศักย์ไฟฟ้าและกระแสไฟฟ้าในวงจรไฟฟ้าเมื่อต่อตัวต้านทานหลายตัวแบบอนุกรมและ
แบบขนานจากหลักฐานเชิงประจักษ์
5. เขียนแผนภาพวงจรไฟฟ้าแสดงการต่อตัวต้านทานแบบอนุกรมและขนาน
6. บรรยายการทางานของชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์อย่างง่ายในวงจรจากข้อมูลที่รวบรวมได้
7. เขียนแผนภาพและต่อชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์อย่างง่ายในวงจรไฟฟ้า
8. อธิบายและคานวณพลังงานไฟฟ้าโดยใช้สมการW = Pt รวมทั้งคานวณค่าไฟฟ้าของเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน
9. ตระหนักในคุณค่าของการเลือกใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าโดยนาเสนอวิธีการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างประหยัดและ
ปลอดภัย
ไฟฟ้าเป็นพลังงานชนิดหนึ่งที่สามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานรูปอื่นได้ ในปัจจุบันอาจกล่าวได้ว่าเป็นสิ่งที่
สาคัญอย่างหนึ่งในการดารงชีวิต เนื่องจากปัจจุบันเราใช้ไฟฟ้าในด้านต่างๆ เช่นนามาเป็นพลังงานของ
เครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น
สายไฟ
แบตเตอรี่
ชื่อ-สกุล........................................................................ม.3/…..เลขที.่ .....
กฎของโอห์ม
ในปี พ.ศ 2343 ยอร์ช ไซมอน โอห์ม (Georg Simon Ohm) นักฟิสิกส์ ชาว
เยอรมันได้ทาการทดลองและค้นพบความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณของ ไฟฟ้าทั้ง 3 ตัว
คือ ระหว่างกระแสไฟฟ้า ( I ) แรงดันไฟฟ้า (V) และตัวต้านทาน (R) และได้ตั้งเป็น
กฎของโอห์ม (Ohm’s Law) โดยได้ทาการทดลองดังนี้
กิจกรรมความสัมพันธ์ระหว่างศักย์ไฟฟ้าและกระแสไฟฟ้า
จุดประสงค์ของกิจกรรม
นักเรียนสามารถทดลองและสรุปกระแสไฟฟ้าที่เคลื่อนที่ ผ่านตัวนาแปรผันตรงกับความต่างศักย์
ระหว่างปลายของตัวนานั้น เมื่ออุณหภูมิคงตัว
บันทึกผลการทดลอง
จานวน ความต่างศักย์ (โวลต์) กระแสไฟฟ้า (แอมแปร์)
ถ่านไฟฉาย
(ก้อน)
1
2
3
4
ให้นักเรียนเขียนกราฟความสัมพันธ์ของความต่างศักย์และกระแสไฟฟ้า
สรุปผลการทดลอง
...........................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................
คาถามท้ายกิจกรรม
1. กราฟความสัมพันธ์ระหว่างความต่างศักย์ไฟฟ้ากับกระแสไฟฟ้ามีลักษณะอย่างไร
...........................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................
2. กระแสไฟฟ้าที่เคลื่อนที่ผ่านหลอดไฟและความต่างศักย์หลอดไฟ มีความสัมพันธ์กันอย่างไร
...........................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................
ชื่อ-สกุล........................................................................ม.3/…..เลขที.่ .....
อธิบายเพิ่มเติม
1. จากการทดลองบันทึกค่ากระแสไฟฟ้าและความต่างศักย์แล้วเขียนกราฟ จะต้องให้ ความต่างศักย์
(V) อยู่ในแกน X ในขณะที่ค่าของกระแสไฟฟ้า (I) อยู่ในแกน Y เพราะเราปรับค่าของ ความต่างศักย์โดยเพิ่ม
จาานวนถ่านไฟฉาย ดังนั้นความต่างศักย์จะเป็นตัวแปรต้นและกระแสไฟฟ้าเป็น ตัวแปรตาม
2. จากกฎของโอห์มได้ว่า α เมื่ออุณหภูมิคงตัว ดังนั้นในการทาากิจกรรมเมื่ออ่านค่ากระแส ไฟฟ้า
และอ่านค่าความต่างศักย์แล้วต้องรีบยกสวิตช์ขึ้น เพราะถ้าปล่อยให้กระแสไฟฟ้าผ่านลวด นิโครมเป็น
เวลานานจะทาาให้ลวดนิโครมมีอุณหภูมิสูงขึ้น ผลการทดลองจะคลาดเคลื่อน (สสวท, 2556)
จากการทดลองดังกล่าวสามารถอธิบายได้ดังนี้
เมื่ออุณหภูมิคงตัว กระแสไฟฟ้าที่ผ่านตัวนาชนิดหนึ่งจะมีค่าแปรผันตรงกับความต่างศักย์ระหว่าง
ปลายทั้งสองชองตัวนา หาได้จาก
𝐼 แปลผันโยตรงตรงกับ 𝑉
อาจเขียนได้ว่า 𝐼 𝑉
1
เมื่อค่าคงที่ คือ 𝑅
1
ดังนั้น 𝐼 = 𝑅 𝑉
จากสมการอาจเขียนได้ว่า
𝑉
𝑅=
𝐼
ตัวอย่างการคานวณ
1) ตัวต้านทาน 500 โอห์ม มีกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน 0.02 แอมแปร์ ที่ปลายทั้งสองข้างของตัวต้านทานจะ
มีค่าความต่างศักย์ไฟฟ้าเท่าใด
ให้นักเรียนตอบคาถามต่อไปนี้
1.ไฟฟ้าเกิดขึ้นได้อย่างไร
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. ความต่างศักย์ไฟฟ้า คามต้านทาน และกระแสไฟฟ้ามีความสัมพันธ์กันอย่างไร
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. กฎของโอห์มกล่าวถึงเรื่องใด
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
4.จงหากระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านเตารีดที่มีความต้านทาน 100 โอห์มที่เสียบเข้ากับไฟบ้าน 220 โวลต์
6. นักเรียนคิดว่ากระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านเครื่องใช้ไฟฟ้าแต่ละชนิดมีค่าเท่ากันหรือไม่เพราะอะไร
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
7. ให้นักเรียนวาดรูปหรือเขียนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องไฟฟ้า (รูปหรือสิ่งที่เขียนออกมาอาจเป็น
ความรู้สึกเมื่อได้เรียนเรื่องไฟฟ้า ความรู้ที่ได้เรียนไปแล้ว เป้าหมายที่เรียนเรื่องนี้) free thinking ปล.ห้ามเขียน
หรือวาดมาเหมือนกัน
ชื่อ-สกุล........................................................................ม.3/…..เลขที.่ .....
เครื่องวัดทางไฟฟ้า
โวลต์มิเตอร์ Voltmeter เป็นเครื่องมือวัดความต่างศักย์ไฟฟ้า เมื่อนาต่อในวงจรไฟฟ้าจะต้องต่อแบบ
ขนาน มีหน่วยเป็น โวลต์ (Volt) และมีสัญลักษณ์ทางไฟฟ้าดังนี้
สานักพิมพ์วัฒนาพานิช, 2555
สานักพิมพ์วัฒนาพานิช, 2555
ชื่อ-สกุล........................................................................ม.3/…..เลขที.่ .....
การต่อวงจรไฟฟ้า
การต่อวงจรไฟฟ้าเป็นการนาเครื่องใช้ไฟฟ้าสามารถแบ่งวิธีการต่อได้ 3 แบบ คือ
1 วงจรอนุกรม เป็นการนาเอาเครื่องใช้ไฟฟ้ามาต่อเรียงกันไปเหมือนลูกโซ่ กล่าวคือ ปลายของ
เครื่องใช้ไฟฟ้าตัวที่ 1 นาไปต่อกับต้นของเครื่องใช้ไฟฟ้าตัวที่ 2 และต่อเรียงกันไปเรื่อยๆ จนหมด แล้ว
นาไปต่อเข้ากับแหล่งกาเนิด โดยจะมีทางเดินของกระแสไฟฟ้าได้ทางเดียวเท่านั้น หากเครื่องใช้ไฟฟ้า
ตัวใดตัวหนึ่งเปิดวงจรหรือขาด จะทาให้วงจรทั้งหมดไม่ทางาน
คุณสมบัติที่สาคัญของวงจรอนุกรม
1. กระแสไฟฟ้าจะไหลผ่านเท่ากันตลอดวงจร
2. แรงดันไฟฟ้าตกคร่อมส่วนต่างๆ ของวงจร เมื่อนามา
รวมกันแล้วจะเท่ากับแรงดันไฟฟ้าที่แหล่งกาเนิด
3. ความต้านทานรวมของวงจร จะมีค่าเท่ากับผลรวม
ของความต้านทานแต่ละตัวในวงจรรวมกัน
กระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านความต้านทานละตัวมีค่าเท่ากันและมีค่าเท่ากับความต้านทานรวม
Iรวม = I1 = I2 = I3
ความต่างศักย์ไฟฟ้ารวมเท่ากับผลบวกของความต่างศักย์ที่ตกคร่อมความต้านทานแต่ละตัว
Vรวม = V1 + V2 + V3
จากกฎของโอห์ม V = IR
ดังนั้น IRรวม = IR1 + IR2 + IR3
เนื่องจาก Iรวม = I1 = I2 = I3 จึงเอา I หารตลอด จะได้
Rรวม = R1 + R2 + R3
ชื่อ-สกุล........................................................................ม.3/…..เลขที.่ .....
การต่อตัวต้านทานแบบขนาน R1
Iรวม R2 Iรวม
R3
ความต่างศักย์ไฟฟ้ารวมเท่ากับความต่างความต่างศักย์ของตัวต้านทานแต่ละตัว
Vรวม = V1 = V2 = V3
กระแสไฟฟ้ารวมเท่ากับผลบวกของกระแสที่ผ่านความต้านทานแต่ละตัว
Iรวม = I1 + I2 + I3
𝑉
จากกฎของโอห์ม I =
𝑅
𝑉รวม 𝑉1 𝑉2 𝑉3
ดังนั้น = + +
Rรวม 𝑅1 𝑅2 𝑅3
1 1 1 1
= + +
Rรวม 𝑅1 𝑅2 𝑅3
ชื่อ-สกุล........................................................................ม.3/…..เลขที.่ .....
การต่อตัวทานแบบผสม
เป็นการนาเอาการต่อตัวท้านทานแบบอนุกรมและแบบขนานมาผสมผสานเข้าด้วยกันเช่น
R2
R1
R3
R4
จากรูปจงหาความต้านทานรวมระหว่างจุด A ถึง B
1. 3Ω
2Ω 7Ω
B
A
2. 4Ω
4Ω
A B
2Ω
3. 4Ω
4Ω 4Ω
A B
20Ω
2Ω 2Ω
4. A
1Ω
4Ω
1Ω
B 2Ω
ชื่อ-สกุล........................................................................ม.3/…..เลขที.่ .....
5.
2Ω 2Ω 2Ω
A
4Ω 4Ω 4Ω
4Ω 2Ω
B
2Ω 2Ω 2Ω
6. 2Ω
A
4Ω
B 2Ω
7. 2Ω
B
2Ω
2Ω A
2Ω
8.
2Ω
5Ω
2Ω
A B
3Ω
ชื่อ-สกุล........................................................................ม.3/…..เลขที.่ .....
กาลังไฟฟ้า
เครื่องใช้ไฟฟ้าแต่ละชนิดเมื่อนามาใช้งานในเวลาเท่ากัน จะส้นเปลืองพลังงานต่างกันไปขึ้นอยู่กับชนิด
ของเครื่องใช้ไฟฟ้านั้น หากนักเรียนสังเกตหลอด ไฟฟ้าจะเห็นฉลากข้างหลอดที่เขียนว่า 100W 220V และ
หลอดไฟ 40W 220V หมายถึงพลังงาน ไฟฟ้าที่หลอดไฟใช้ในเวลา 1 วินาที มีค่าเป็น 100 จูล หรือ 40 จูล
โดยหลอดไฟทั้งสองใช้กับ ความต่างศักย์ 220 โวลต์ (V)
P = IV
P คือกาลังไฟฟ้า (วัตต์,W)
I คือกระแสไฟฟ้า (แอมแปร์, A)
V คือความต่างศักย์ที่ต่อเข้ากับเครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดนั้น (โวลต์, V)
ตัวอย่าง
1. กระแสไฟฟ้าไหลผ่านเข้าตู้เย็น 1.5 แอแปร์ เมื่อตู้เย็นต่อเข้ากับความต่างศักย์ 220 โวลต์ ตู้เย็นใช้
กาลังไฟฟ้าเท่าไร
พลังงานไฟฟ้า
พลังงานไฟฟ้าหมายถึง งานที่ต้องทาในการเคลื่อนประจุไฟฟ้าผ่านจุดใดจุดหนึ่งในวงจรไฟฟ้าพิจารณา
วงจรไฟฟ้าซึ่งประกอบด้วยเซลล์ไฟฟ้าที่มีแรงเคลื่อนไฟฟ้า E มีความต้านทานภายใน r ต่อเข้ากับวามต้านทาน
ภายนอก R การหาค่าพลังงานไฟฟ้าที่ใช้เพื่อคาานวณค่าไฟฟ้า การกาหนด หน่วยแต่ละปริมาณเป็นดังนี้
กาลังไฟฟ้า(กิโลวัตต์)
W =Pt พลังงานไฟฟ้า=
เวลา (ชั่วโมง)
W คือพลังงานไฟฟ้า (จูล, J)
P คือกาลังไฟฟ้า (วัตต์,W)
t คือเวลา (วินาที,s)
ตัวอย่าง
ในบ้านหลังหนึ่งมีหลอดไฟฟ้า 100 วัตต์ จานวน 5 ดวง ถ้าเปิดพร้อมกันจะใช้กาลังไฟฟ้ากี่กิโลวัตต์
และถ้าเปิดหลอดไฟทุกดวงไว้นาน 10 ชั่วโมงจะสิ้นเปลืองพลังงานไปเท่าใด
ชื่อ-สกุล........................................................................ม.3/…..เลขที.่ .....
การคิดค่าไฟ
การคิดค่าไฟจะคิดในอัตราก้าวหน้า
แบบฝึกทักษะที่ 3
3.บ้านหลังหนึ่งมีเครื่องใช้ไฟฟ้าและเวลาในการใช้งานดังนี้
ก. ตู้เย็นขนาด 400 วัตต์ใช้วันละ 12 ชั่วโมง
ข. หม็อหุงข้าวไฟฟ้าขนาด 600 วัตต์ใช้วันละ 40 นาที
ค. เครื่องปรับอากาศขนาด 1200 วัตต์ ใช้วันละ 2 ชั่วโมง
ง. เตารีดไฟฟ้าขนาด 1000 วัตต์ใช้วันละ 2 ชั่วโมง
เดือนเมษายนจะต้องจ่ายค่าไฟกี่บาทถ้าค่าไฟหน่วยละ 1.50 บาท
ชื่อ-สกุล........................................................................ม.3/…..เลขที.่ .....
เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านและการเลือกเครื่องใช้ไฟฟ้า
เครื่องใช้ไฟฟ้าเป็นอุปการณ์ที่ช่วยอานวยความสะดวกให้กับมนุษย์ ซึ่งเครื่องใช้ไฟฟ้าแต่ละชนิดจะใช้
พลังงานที่ต่างกันออกไปดังนั้นหากต้องเลือกเครื่องใช้ไฟฟ้าให้คุ้มค่าควรดูรายละเอียดและจุดประสงค์ของการ
ใช้ง1าน เครื่องใช้ไฟฟ้ามีหลายประเภทดังนี้
เครื่องใช้ไฟฟ้าที่เปลี่ยนจากพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานแสง
เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้พลังงานแสงเช่น หลอดไฟฟ้า หลอดฟลูออเรสเซนต์ และหลอดไฟโฆษณา โธมัส
แอลวา เอดิสัน (Thomas Alva Edison) นักฟิสิกส์ ชาวอเมริกัน ได้ประดิษฐ์หลอดไฟฟ้า ขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อ
พ . ศ . 2422 โดยใช้คาร์บอนเส้นเล็ก เป็นไส้หลอดและต่อมาได้มีการพัฒนาขึ้น จนเป็นหลอดไฟฟ้าที่ใช้ใน
ปัจจุบัน
ประเภทของ หลักการทางานของหลอดไฟฟ้าธรรมดา รูปภาพ
หลอดไฟ
หลอดไฟฟ้าธรรมดา มีไส้หลอดที่ทาด้วยลวดโลหะที่มจี ุดหลอมเหลวสูง เช่น ทังสเตนเส้น
เล็กๆ ขดเอาไว้เหมือนขดลวดสปริงภายในหลอดแก้วสูบอากาศออก
หมดแล้วบรรจุกา๊ ซเฉื่อย เช่น อาร์กอน (Ar) ไว้ ก๊าซนี้ช่วยป้องกัน
ไม่ให้หลอดไฟฟ้าดา กระแสไฟฟ้าไหลผ่านไส้หลอดซึ่งมีความ
ต้านทานสูง พลังงานไฟฟ้าจะเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อน ทาให้ไส้
หลอดร้อนจัดจนเปล่งแสงออกมาได้ การเปลี่ยนพลังงานเป็นดังนี้
พลังงานไฟฟ้า >>พลังงานความร้อน >>พลังงานแสง
หลอดเรืองแสง หรือ ตัวหลอดมีไส้โลหะทังสเตนติดอยู่ที่ปลายทั้ง 2 ข้าง ของหลอดแก้ว
ซึ่งผิวภายในของหลอดฉาบด้วยสารเรื่องแสง อากาศในหลอดแก้วถูก
หลอดฟลูออเรส สูบออกจนหมดแล้วใส่ไอปรอทไว้เล็กน้อย เมื่อกระแสไฟฟ้าผ่านไส้
เซนต์ (fluorescent) หลอดจะทาให้ไส้หลอดร้อนขึ้น ความร้อนที่เกิดทาให้ปรอทที่บรรจุ
ไว้ในหลอดกลายเป็นไอมากขึ้น เมื่อกระแสไฟฟ้าผ่านไอปรอทได้จะ
คายพลังงานไฟฟ้าให้ไอปรอท ทาให้อะตอมของไอปรอทอยู่ในภาวะ
ถูกกระตุ้น และอะตอมปรอทจะคายพลังงานออกมาเพื่อลดระดับ
พลังงานของตนในรูปของรังสีอัลตราไวโอเลต เมื่อรังสีดังกล่าว
กระทบสารเรืองแสงที่ฉาบไว้ที่ผิวในของหลอดเรืองแสงนั้นก็จะ
เปล่งแสง
แผนผังการทางานของหลอดฟลูออเรสเซนต์
พลังงานไฟฟ้า ไอปรอทรังสีอัลตราไวโอเลต สารเรืองแสง
พลังงานแสสว่าง
แนวทางการใช้งานของหลอดไฟ
ควรปิดไฟทุกครั้งเมื่อไม่มีคนอยู่ในห้อง
เลือกใช้หลอดไฟที่มีกาลังวัตต์เหมาะสมกับการใช้งาน
สาหรับบริเวณที่ต้องการความสว่างมาก ภายในอาคารควรเลือกใช้หลอดฟลูออเรสเซนต์ ส่วนภายนอกอาคาร
ควรเลือกใช้หลอดไอโซเดียม และหลอดไอปรอท
ควรใช้ฝาครอบดวงโคมแบบใสหากไม่มีปัญหาเรื่องแสงจ้า และหมั่นทาความสะอาดอยู่เสมอ
พิจารณาใช้โคมไฟตั้งโต๊ะสาหรับงานที่ต้องการแสงสว่างจุดเดียว
ควรเลือกใช้โคมไฟแบบสะท้อนแสงแทนแบบเดิมที่ใช้พลาสติกปิด
ควรใช้หลอดฟลูออเรสเซนต์หรือหลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์ แทนหลอดไส้ ซึ่งมีคาแนะนาในการใช้ดังนี้
หลอดฟลูออเรสเซนต์แบบผอม ขนาด 18 วัตต์ และ 36 วัตต์ มีความสว่างเท่ากับ หลอด 20 วัตต์ และ 40
วัตต์แต่ประหยัดไฟกว่า และสามารถใช้แทนกันได้ โดยไม่ต้องเปลี่ยนบัลลาสต์และสตาร์ทเตอร์
หลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์มี 2 ชนิด คือ ชนิดมีบัลลาสต์ภายในสามารภใช้แทนหลอดกลมแบบเกลียวได้
ส่วนหลอดที่มีบัลลาสต์ภายนอก จะมีขาเสียบเพื่อต่อกับตัวบัลลาสต์ที่อยู่ภายนอก
หลอด LED ใช้พลังงานไฟฟ้าต่า และให้แสงสว่างเท่าหลอดไฟแบบฟลูออเรสเซนต์ และหลอดใส้
2 เครื่องใช้ไฟฟ้าที่เปลี่ยนจากพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานความร้อน
เครื่ อ งใช้ ไ ฟฟ้ า ที่ ใ ห้ พ ลั ง งานความร้ อ น เป็ น เครื่ อ งใช้ ไ ฟฟ้ า ที่ เ ปลี่ ย น
พลังงานไฟฟ้าเป็น พลังงานความร้อน เช่น หม้อหุงข้าวไฟฟ้า กระทะไฟฟ้า เตา
ไฟฟ้า เตารีดไฟฟ้า หม้อต้มน้าไฟฟ้าเครื่องเป่าผม เครื่องปิ้งขนมปังไฟฟ้า เป็นต้น
หลักการทางานของเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้ความร้อน
เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้ความร้อนมีหลักการคือเมื่อมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน
ความต้านทานไฟฟ้าสูง พลังงานไฟฟ้าจะเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อน ดังนั้น จึง
ให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านขดลวดนิโครมหรือแผ่นความร้อนซึ่งมีความต้านทานไฟฟ้า
สูง พลังงานไฟฟ้าจะเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อนมากแล้วถ่ายเทพลังงานความร้อนไปยังภาชนะ
ชื่อ-สกุล........................................................................ม.3/…..เลขที.่ .....
แนวทางการใช้งานของเตารีด
3 เครื่องใช้ไฟฟ้าที่เปลี่ยนจากพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานกล
เครื่องใช้ไฟฟ้าที่เปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานกลได้ ต้องใช้มอเตอร์เป็นอุปกรณ์ในการเปลี่ยน
พลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานกล เช่น เครื่องซักผ้า เครื่องสูบน้า พัดลม จักรเย็บผ้า ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ เป็น
ต้น
ส่วนประกอบและหลักการทางานของมอเตอร์
มอเตอร์ประกอบด้วยขดลวดตัวนาอยู่ในสนามแม่เหล็ก
ทางานโดย เมื่อผ่านกระแสไฟฟ้าเข้าไปในขดลวดตัวนาที่พันรอบแกนเหล็กใน
สนามแม่เหล็กจะเกิดอานาจ แม่เหล็ก ผลักกับสนามแม่เหล็ก ทาให้ขดลวดหมุนได้
ข้อควรระวังในการใช้มอเตอร์หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีมอเตอร์เป็นส่วนประกอบ คือ ถ้าไฟตก มอเตอร์
จะไม่หมุน แต่ยังมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านขดลวดตัวนาอยู่ ซึ่งอาจทาให้ขดลวดร้อนและไหม้ได้ ดังนั้นจึง
ต้องถอดเต้าเสียบออกจากเต้ารับทุกครั้งที่ไฟตก และเมื่อเลิกใช้งาน
แนวทางการใช้
พัดลม
- เปิดความเร็วลมพอควร
- เปิดเฉพาะเวลาใช้งาน
- ควรเปิดหน้าต่างใช้ลมธรรมชาติแทนถ้าทาได้
เครื่องเป่าผม
- เช็ดผมก่อนใช้เครื่อง
- ควรขยี้และสางผมไปด้วยขณะเป่า
เครื่องดูดฝุ่น
ชื่อ-สกุล........................................................................ม.3/…..เลขที.่ .....
ควรเอาฝุ่นในถุงทิ้งทุกครั้งที่ใช้แล้วจะได้มีแรงดูดดี ไม่เปลืองไฟ
4 เครื่องใช้ไฟฟ้าที่เปลี่ยนจากพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานเสียง
เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้พลังงานเสียง เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานเสียง เช่น
เครื่องรับวิทยุ เครื่องบันทึกเสียง เครื่องขยายเสียง
เครื่องรับวิทยุ
เครื่องรับวิทยุ เป็นอุปกรณ์ที่เปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานเสียง โดยเครื่องรับวิทยุอาศัยการรับ
คลื่นวิทยุจากสถานีส่ง แล้วใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขยายสัญญาณเสียงที่อยู่ในรูปของสัญญาณไฟฟ้าให้แรงขึ้น
จนเพียงพอที่ทาให้ลาโพงเสียงสั่นสะเทือนเป็นเสียงให้เราได้ยิน ดังแผนผัง
แผนผังการเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานเสียงของเครื่องรับวิทยุ
เครื่องบันทึกเสียง
เครื่องบันทึกเสียงเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานเสียง โดยขณะบันทึกใช้การพูด
ผ่านไมโครโฟน ซึ่งจะเปลี่ยนเสียงเป็นสัญญาณไฟฟ้า แล้วบันทึกลงในแถบบันทึกเสียงซึ่งฉาบด้วยสารแม่เหล็ก
ในรูปของสัญญาณแม่เหล็ก เมื่อนาแถบบันทึกเสียงที่บันทึกไว้มาเล่น สัญญาณแม่เหล็กจะถูกเปลี่ยนกลับไป
เป็นสัญญาณไฟฟ้า และสัญญาณไฟฟ้าจะถูกขยายให้แรงขึ้นด้วยอุปกรณ์ไฟฟ้า สัญญาณไฟฟ้าจะถูกส่งไปถึง
ลาโพง ทาให้ลาโพงสั่นสะเทือนกลับเป็นเสียงขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ดังแผนผัง
เครื่องขยายเสียง
ตัวอย่าง
ตัวต้านทานมีรหัสแถบสี ส้ม แดง น้าตาล และทอง มีความต้านทานกี่โอห์ม
ตัวต้านทานดังรูปมีค่ากี่โอห์ม
ชื่อ-สกุล........................................................................ม.3/…..เลขที.่ .....
ที่มา:
http://www.med.cmu.ac.th/dept/vascular/note/content2.html#c24
ชื่อ-สกุล........................................................................ม.3/…..เลขที.่ .....
2 ตัวเก็บประจุ (Capacitor)
ตัวเก็บประจุ เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการเก็บประจุ (Charge) และสามารถคายประจุ (Discharge) ตัว
เก็บประจุเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าคอนเดนเซอร์หรือเรียกย่อ ๆ ว่าตัวซี (C) หน่วยของตัวเก็บประจุคือ ฟารัด
(Farad) ตัวเก็บประจุแบบค่าคงที่ (Fixed Capacitor) คือตัวเก็บประจุที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงค่าได้ โดยมี
รูปลักษณะเป็นวงกลม หรือเป็นทรงกระบอก ซึ่งสามารถแบ่งได้หลายชนิด
ชนิดอิเล็กโตรไลต์ (Electrolyte Capacitor) เป็นที่นิยมใช้กันมากเพราะให้ค่าความจุสูง มีขั้วบวก
ลบ เวลาใช้งานต้องติดตั้งให้ถูกขั้ว โครงสร้างภายในคล้ายกับแบตเตอรี่ นิยมใช้กับงานความถี่ต่าหรือใช้สาหรับ
ไฟฟ้ากระแสตรง มีข้อเสียคือกระแสรั่วไหลและความผิดพลาดสูงมาก หน่วยเป็นฟารัด(Farad) เขียนแทนด้วย
อักษรภาษาอังกฤษตัวเอฟ (F) ตัวเก็บประจุที่มีความสามารถในการเก็บประจุได้ 1 ฟารัดหมายถึงเมื่อป้อนแรง
เคลื่อนจานวน 1 โวลท์ จ่ายกระแส 1 แอมแปร์ ในเวลา 1 นาที
ชื่อ-สกุล........................................................................ม.3/…..เลขที.่ .....
3 ไดโอด (Diode)
ไดโอด เป็นอุปกรณ์ที่ทาจากสารกึ่งตัวนา p-n สามารถควบคุมให้กระแสไฟฟ้าจากภายนอกไหลผ่าน
ตัวมันได้ทิศทางเดียว สารกึ่งตัวนามี 2 ชนิดคือ
1. ชนิด N (N-type) จะประกอบไปด้วยซิลิคอน หรือเจอร์เมเนียมเป็นหลัก ซึ่งถูกเติมด้วยสารหนู (As)
หรือพลวง (Sb) ในปริมาณเล็กน้อย เพื่อให้มันมีอิเล็กตรอนอิสระและจะเป็นประจุลบ
2. ชนิด P (P-type) จะประกอบไปด้วยซิลิคอน หรือเจอร์เมเนียมเป็นหลัก ซึ่งถูกเติมด้วย แกลเลียม
(Ga) หรืออินเดียม (In) เพื่อให้มันสามารถที่จะรับอิเล็กตรอนที่ขาดหายไปได้และจะมีประจุบวก
4 ทรานซิสเตอร์ (transistors)
ทรานซิสเตอร์มีอยู่ 2 แบบคือ แบบ PNP และ NPN ทรานซิสเตอร์แบบ PNP จะประกอบไปด้วยสาร
กึ่งตัวนาชนิด N และถูกประกอบด้วยสารกึ่งตัวนาชนิด P และทรานซิสเตอร์แบบ NPN จะประกอบไปด้วยสาร
กึ่งตัวนาชนิด P และถูกประกบด้วยสารกึ่งตัวนาชนิด N และสารกึ่งตัวนาที่นามาต่อกันเป็นทรานซิสเตอร์ก็จะมี
ขั้วต่อออกมา ทรานซิสเตอร์แบบพื้นฐานจะมีขา 3 ขา ได้แก่
1.ขา C หรือ Collector
2.ขา E หรือ Emitter
3.ขา B หรือ Base (ขาคอนโทรล)
หลักการทางานของทรานซิสเตอร์
หลักการทางานของ NPN Transistor เมื่อมีกระแสไฟฟ้าเพียงเล็กน้อยที่ขา B,
ทรานซิสเตอร์ก็จะอยู่ในสภาวะทางาน มันก็จะยอมให้กระแสไฟฟ้าที่มากกว่าหลายเท่า ไหลผ่านขา
C ไปยังขา E ได้, แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าไม่มีกระแสไฟฟ้าที่ขา B เลย ,ทรานซิสเตอร์จะอยู่ใน
สภาวะCut-Off คือมันจะบล็อคไม่ให้กระไสไฟฟ้าไหลผ่านขา C ไป E ได้ (แบบ NPN ขา E ทา
หน้าที่เป็นกราวด์)
หลักการทางานของ PNP Transistor จะตรงข้ามกับแบบ NPN เลย คือ ขา C จะทา
หน้าที่เป็นกราวด์แทน ,เมื่อมีกระแสไฟฟ้าเพียงเล็กน้อยที่ขา B ,มันจะทาการบล็อคไม่ให้
กระแสไฟฟ้าไหลผ่านจากขา E ไป C ได้ แต่เมื่อไม่มีกระแสไฟฟ้าที่ขา B เลยหรือกระแสไฟฟ้าติด
ลบ มันก็จะยอมให้กระแสไฟฟ้าที่มากกว่าไหลผ่านจากขา E ไปขา C
ชื่อ-สกุล........................................................................ม.3/…..เลขที.่ .....
4 ไอซี IC
ไอซี ย่อมาจาก Integrated Circuit หรืออาจเรียกว่า แผงวงจรรวม เป็นอุปกรณ์ที่นาเอาอุป กรณ์
อิเล็กทรอนิกส์ชนิดต่าง ๆ ได้แก่ ตัวต้านทาน ตัวเก็บประจุ ไดโอด ทรานซิสเตอร์ ส่วนประกอบต่าง ๆ ของวงจร
มาต่อรวมกันโดยการย่อส่วนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ดังกล่าว ให้มีขนาดเล็กลง แต่ยังมีคุณสมบัติและการทางาน
เหมือนเดิมใส่รวมไว้ด้วยกันในแผงวงจรขนาดเล็ก ๆ ซึ่งแผงวงจรขนาดเล็กนี้เราเรียกว่า ชิป (Ship)
ที่มา: https://sites.google.com/site/elecso25/menu/7
ชื่อ-สกุล........................................................................ม.3/…..เลขที.่ .....
การต่อวงจรอิเล็กทรอนิกส์
การต่อวงจรอิเล็กทรอนิกส์ เป็นการนาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มาต่อในวงจรร่วมกันเพื่อใช้งานให้ตรง
กับวัตถุประสงค์ของการใช้งาน
สัญลักษณ์ในวงจรอิเล็กทรอนิกส์
ชื่อ-สกุล........................................................................ม.3/…..เลขที.่ .....
ตัวอย่างข้อสอบ
1. นายวินเช่าห้องพักอาศัยที่อยู่ห้องห้องหนึ่งตลอดทั้งเดือนสิงหาคม เจ้าของห้องเช่าคิดค่าไฟฟ้าหน่วยละ 8
บาท นายวินใช้พลังงานไฟฟ้าดังนี้ (O-net, 59)
ก. หลอดไฟฟ้าขนาด 100 วัตต์ 2 หลอด วันละ 5 ชั่วโมง
ข. โทรทัศน์ที่มีกาลังไฟฟ้า 500 วัตต์ วันละ 2 ชั่วโมง
นายวินเสียค่าไฟฟ้าเดือสิงหาคมกี่บาท
1.62.0 บาท 2. 297.6 บาท 3. 480.0 บาท 4. 496.0 บาท
2. ต่อวงจรไฟฟ้า ซึ่งประกอบไปด้วยแบตเตอรี่ แอมมิเตอร์ และหลอดไฟฟ้าดังภาพ (O-net, 60)
ทดลองปรับความต่างศักย์หม้อแปลงให้มีค่าแตกต่างกันพร้อมทั้งอ่านค่ากระแสไฟฟ้าจากแอมมิเตอร์ แล้วนา
ข้อมูลที่ได้ไปเขียนกราฟ ดังนี้
จากการทดลอง ข้อความใดต่อไปนี้ถูกต้อง
ข้อความ ใช่หรือไม่ใช่
1. ความต้านทานของวงจรมีค่าประมาณ 2 โอห์ม ใช่/ไม่ใช่
2. ถ้าปรับความต่างศักย์ไปที่ 5.0 โวลต์ กระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านวงจรจะมี ใช่/ไม่ใช่
ค่าประมาณ 10.0 มิลลิแอมแปร์
3. การทดลองข้างต้น ต้องการศึกษาปัญหาต่อไปนี้ ใช่/ไม่ใช่
“เมื่อความต้านทานของวงจรเพิ่มขึ้นกระแสไฟฟ้าจะเปลี่ยนแปลงหรือไม่ อย่างไร”
ชื่อ-สกุล........................................................................ม.3/…..เลขที.่ .....
ความต้านทานของหลอดไฟฟ้าเป็นเท่าใด และเหตุใดโทนี่จึงต้องต่อตัวต้านทานเข้ากับหลอดไฟฟ้า
1.0.45 โอห์ม และเพื่อลดกระแสไฟฟ้าในวงจร
2. 0.45 โอห์ม และเพื่อลดความต่างศักย์ระหว่างขั้วของแบตเตอรี่
3. 5.0 โอห์ม และเพื่อลดกระแสไฟฟ้าในวงจร
4. 5.0 โอห์ม และเพื่อลดคามต่างศักย์ระหว่างขั้วของแบตเตอรี่
A
2Ω 3Ω 4Ω
B
4Ω
2Ω
C D
2Ω 3Ω 4Ω
1.7 2. 9 3. 11 4. 13 5. 15
ชื่อ-สกุล........................................................................ม.3/…..เลขที.่ .....
6Ω 1. 4
15Ω 2. 6
3. 8
A C D B
4Ω 4. 18
18Ω
5. 20
8Ω
8Ω
จากคาอธิบายที่กาหนดให ขอใดอธิบายไดถูกตอง
1. ก 2. ค 3. ก, ข 4. ข, ค 5. ก, ข,
จากตัวเลือก ขอใดบางที่เปนการเปลี่ยนแปลงที่ไมถูกตอง
1.ความตางศักยไฟฟาระหวาง P และ Q เปน 0
2. ความสวางของดวงไฟ C ไมเปลี่ยนแปลง
3. ความสวางของดวงไฟ A สวางขึ้น
4. กระแสไฟฟาที่ไหลผานวงจรไฟฟาเพิ่มขึ้น
5. ความตางศักยไฟฟาที่ปลายทั้งสองขางของ ดวงไฟ B ไมเปลี่ยนแปลง
ชื่อ-สกุล........................................................................ม.3/…..เลขที.่ .....
1.ความชันของกราฟนี้คือความตานทาน
2. ความตานทานของ a คือ 0.02 W
3. เมื่อความตางศักยไฟฟาเทากัน กระแสไฟฟาจะไหลผานลวดนิโครม a มากกวา b
4. อัตราสวนของความตานทานของ a : b คือ 1 : 2
5. ถาความยาวของลวดนิโครม a และ b เทากันพื้นที่หนาตัดของลวดนิโครม b จะใหญกวา
(ก) เชื่อมตอวงจรไฟฟาดวยไสดินสอดังภาพ
(ข) ทาใหจานวนของแบตเตอรี่แหงคงที่และเปลี่ยนแปลง ความยาวของไสดินสอเพิ่มเปน
2 เซนติเมตร 4 เซนติเมตร และ 6 เซนติเมตร แลววัดความตางศักย ไฟฟากับกระแสไฟฟา
(ค) ทาใหจานวนของแบตเตอรี่แหงและความยาวของ ไสดินสอคงที่ และวางซอนไสดินสอ 1 ไส 2 ไส
3 ไส และ 4 ไส แลววัดความตางศักยไฟฟากับกระแส ไฟฟา
ขอใดวิเคราะหผลเกี่ยวกับการทดลองนี้ไดถูกตอง
1. (ข) คือ การทาความตางศักยไฟฟาใหคงที่ และ(ค) คือ การทาความตานทานใหคงที่
2. ผลลัพธของ (ข) ความยาวของไสดินสอยิ่งยาวกระแสไฟฟายิ่งเพิ่มขึ้น
3. ผลลัพธของ (ค) จานวนของไสดินสอยิ่งมากกระแสไฟฟายิ่งเพิ่มขึ้น
4. ขั้นตอน (ข) คือ การเชื่อมตอแบบขนานของความตานทานและ (ค) คือ การเชื่อมตอแบบอนุกรม
5. สามารถทราบไดวาความยาวของไสดินสอยิ่งยาวพื้นที่หนาตัดยิ่งมาก ความตานทานยิ่งเพิ่มขึ้น
ชื่อ-สกุล........................................................................ม.3/…..เลขที.่ .....
ก. นาหลอดไฟ R1 ออกไป
ข. นาหลอดไฟ R3 ออกไป
ค. นาหลอดไฟ R2, R3 ออกไป
ง. เพิ่มหลอดไฟที่จุด a 1 ดวง และนาหลอด R3 ออก
จ. เพิ่มหลอดไฟที่จุด b 1 ดวง และนาหลอด R2 ออก
ฉ. เพิ่มหลอดไฟที่จุด c 1 ดวง โวลต์
จากคาอธิบายที่กาหนดให ขอใดถูกตองทั้งหมด
1. ก, ข, ค 2. ก, ค, ง 3. ก, ค, จ 4. ข, ง, ฉ 5. ค, จ, ฉ
จากตัวเลือก ขอใดบางที่ไม่ถูกตอง
1. กระแสไฟฟาที่ไหลผานแตละความตานทานคือ I1 : I2 : I3 = 6 : 4 : 3
2. ความตางศักยไฟฟาระหวางปลายตัวตานทาน คือ V1 : V2 : V3 = 6 : 3 : 4
3. อัตราสวนของปริมาณความรอนที่เกิดขึ้นในแตละตัวตานทานคือ Q1 : Q2 : Q3 = 6 : 4 : 3
4. ถาความตางศักยไฟฟาระหวางปลายของตัวตานทาน ทั้งหมดของวงจรไฟฟาเปน 2 เทาปริมาณ
ความรอนที่ความตานทาน R1 ก็จะเปน 2 เทา
5. จากความตางศักยไฟฟาระหวางปลายของตัวตานทานทั้งหมดของวงจรไฟฟา ถาปริมาณความรอน
ที่เกิดที่ R1 เปน 2 เทา ปริมาณความรอนที่เกิด ที่ R2 จะเปน 2 เทาดวย
ชื่อ-สกุล........................................................................ม.3/…..เลขที.่ .....
ขอใดวิเคราะหผลการทดลองนี้ไดถูกตอง
1. ความตานทานยิ่งมาก ระดับความรอนยิ่งเพิ่มขึ้น
2. ความตางศักยไฟฟายิ่งมาก ระดับความร้อนยิ่งลดลง
3. กระแสไฟฟายิ่งมาก ระดับความรอนยิ่งลดลง
4. ความตางศักยไฟฟาและกระแสไฟฟายิ่งมาก
ระดับความรอนยิ่งเพิ่มขึ้น
5. กระแสไฟฟาและความตานทานยิ่งมาก ระดับ
ความรอนยิ่งลดลง
I=3A
6V
R1 = 4 R2